ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    S o u l : M a g e . [โซลเมจ]

    ลำดับตอนที่ #5 : [4] : Awakening ตื่นจากภวังค์

    • อัปเดตล่าสุด 23 เม.ย. 57


    [4] : Awakening ตื่นจากภวังค์ 

     

    อึก!

     

    แอ็กๆๆ!

     

    “เฮือก!” เพรดีทัสสะดุ้งตื่นหลังจากที่เขานอนสำลักน้ำลายตัวเอง แล้วคำแรกที่หลุดจากปากของเขาคือ

     

    “ชิบอ๋าย"

     

    ก็ใช่น่ะสิ จะไม่ซวยได้อย่างใรในเมื่อวินเทอร์เตือนไว้แล้วว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรบางอย่าง... อย่างเช่นมีปีศาจจะมาจุมพิตเขา!?

     

    “บ้าไปแล้ว" เพรดีทัสบ่นเบาๆ พลางขยับแขนช้าๆ ขึ้นมาปาดเม็ดเหงื่อที่เกาะอยู่ตามหน้าผาก

     

    บรรยากาศของป่ายามกลางคืนนั้นมีความงดงามได้ด้วยแสงจันทร์ ผสมผสานกับเสียงจากสัตว์และแมลงที่ใช้ชีวิตตอนกลางคืนออกมาส่งเสียงประสานกันอย่างไพเราะ เสียงบางอย่างก็อาจจะประหลาดหน่อย เช่นเสียงของภูติที่กำลังคุยกันหรือเทวดาเจ้าป่าเจ้าเขาที่กำลังจัดปาร์ตี้เต้นรำกันอย่างร่าเริง

     

    เทวดาเหล่านี้รวมถึงภูติและวิญญาณชนิดอื่นๆ ที่ไม่มีกายเนื้อเป็นเรือนหลักในการอาศัยมักจะออกมาใช้ชีวิตในยามกลางคืน ที่เป็นแบบนี้ก็เป็นเพราะพวกเขารู้ว่ามนุษย์หรือพวกที่มีกายเป็นเรือนอาศัยใช้ชีวิตส่วนใหญ่ตอนกลางวัน และคลื่นของพวกเหล่านี้โดยเฉพาะมนุษย์นั้นมักจะอยู่ในทางลบ เมื่อพลังของพวกเขาถูกพลังด้านลบมากระทบจะทำให้รู้สึกอ่อนเพลียไร้กำลัง

     

    เพรดีทัสที่กำลังนั่งพิงต้นไม้ใช้สายตากวาดตั้งแต่มุมขวาสุดไปจนซ้ายสุดอย่างเชื่องช้า ตรงหน้าเขาห่างไปไม่มากเป็นกองไฟที่วินเทอร์คงก่อไว้ก่อนหน้านี้ ไม่ห่างจากกองไฟไปมากก็เป็นร่างของวินเทอร์กำลังนอนลอยอยู่เหนือพื้น ช่างเป็นสุนัขรักสะอาดดีเสียจริง!

     

    เมื่อนั้นเองที่้เพรดีทัสสังเกตได้ถึงความผิดปกติ เสียงต่างๆ ที่เขาได้ยินในตอนแรกค่อยๆ จางหายไปเรื่อยๆ จนกระทั่งตอนนี้เสียงที่ดังที่สุดคงเป็นเปลวเพลิงจากกองไฟ

     

    แกร็บ... แกร็บ...

     

    เสียงเหมือนมีคนเดินบนใบไม้แห้งดังขึ้น มันดังไกล้เข้ามาเรื่อยๆ จวนจะถึงตรงต้นไม้ที่เพรดีทัสกำลังพิงอยู่ เขารีบหันไปทางมุมนั้นและจ้องตาเขม็ง เพรดีทัสกำลังคิดว่าเขาควรจะทำอย่างไรดีระหว่างนั่งรอเงียบๆ กับแหกปากตะโกนดังๆ

     

    เพรดีทัสที่เลือกจะตะโกนนั้นรีบอ้าปากทันที แต่ดูเหมือนจะไม่ทันเสียแล้วเมื่อมีมือพุ่งออกมาจากความมืดอย่างรวดเร็วมาปิดปากเขาเอาไว้

     

    “อย่าส่งเสียง" เสียงนั้นกล่าวแล้วค่อยๆ ยื้นหน้าเข้ามาหา "หากแกส่งเสียงแม้แต่น้อย ชั้นจะทำให้หัวแกมีน้ำแข็งเกาะ... ตายทรมานนะจะบอกให้"

     

    เมื่อเพรดีทัสเห็นใบหน้าของเจ้าของเสียงนั้นถึงกลับแทบสำลักอีกครั้ง เพราะว่าเธอนั้นหน้าตางดงามดุจดังเทพเพยดา นัยน์ตาสีฟ้าครามนั้นเหมือนมีมนต์สะกดที่สามารถทำให้ชายใดก็ตามที่จ้องเข้าไปแล้วต้องเคลิบเคลิ้มไปตามๆ กัน

     

    ด้วยไหวพริบของเพรดีทัสทำให้เขาเข้าใจแล้วว่าเหยื่อรายอื่นๆ นั้น จริงๆ แล้วพวกเขาไม่เคยคิดจะหนีตั้งแต่แรก พวกเขากลับปล่อยให้ใบหน้าอันงดงามของเธอใช้เป็นอาวุธแทงหัวใจของพวกเขาไปตั้งแต่แรกแล้ว

     

    เพรดีทัสรีบใช้มือซ้ายดึงมือของนางออก แล้วเอามือขวาที่กำดินอยู่นั้นขึ้นมายัดใส่ปากแล้วเคี้ยวด้วยสีหน้าเหมือนทารกที่โดนแม่ยัดเยียดผักให้ทาน

     

    “กะ-แกทำบ้าอะไรเนี่ย? เพี้ยนไปแล้วหรอ!” นางกล่าวด้วยสีหน้าตกใจ

     

    “อยากจุมพิตเราก็เชิญเลย! หากไม่กลัวว่าปากเรามีดิน... หรืออาจจะหนอนหรืออึขอสัตว์ต่างๆ ก็ตามใจ!"

     

    นางอึ้งเล็กน้อยเพราะตั้งแต่ออกล่าเหยื่อยมานั้นไม่เคยมีใครลังเลแม้แต่น้อย ทว่าคนตรงหน้านั้นไม่ลังเลที่จะดึงมือของนางออกเลย แถมยังบ้าขนาดหยิบดินที่ไม่รู้มีอะไรบ้างเข้าปากตัวเองอีก... และสายตาของเขานั้นดูไม่หวาดกลัวคำขู่จะเอาชีวิตของนางเลยสักนิด

     

    “ชั้นไม่จูบแกไม่ได้แปลว่าชั้นจะฆ่าแกไม่ได้นะ" นางกล่าว

     

    “ก็ลองดูสิ" เพรดีทัสตอบและลุกขึ้นก้าวเข้ามาหานาง "เอาเลย"

     

    นางแสยะยิ้ม "ถ้าอยากนาดนั้น ชั้นก็จะไม่ขัดหรอกนะ"

     

    เธอแผ่ฝ่ามือออกมาด้านหน้าแล้วเล็งไปทางหัวของเพรดีทัส ลมจางๆ พร้อมเกล็ดหิมะที่พัดออกจากแขนของนางก่อให้เกิดน้ำแข็งเกาะบริเวณคอของเพรดีทัส น้ำแข็งเกาะหนาขึ้นพร้อมๆ กับขยายขึ้นหน้าของเขาจนกระทั่งทั้งหัวกลายเป็นก้อนน้ำแข็ง

     

    ร่างของเพรดีทัสล้มฟุบลงพื้นทันทีเพราะน้ำแข็งที่เกาะบนหัวนั้นหนักมาก แล้วด้วยความหนานั้นทำให้ร่างที่ฟุบลงมาไม่ทำให้น้ำแข็งแตกสักนิด

     

    “หน้าตาก็ดี อยากจากโลกไปไวซะงั้น" นางกล่าวพร้อมหันหลังจะเดินจากไป

     

    แกร็กกก...!!!

     

    ทันใดนั้นเสียงเหมือนร้อยร้าวก็ดังขึ้น นางรีบหันกลับไปแล้วพบเหนือร่างของเพรดีทัสมีลำแสงสี่ม่วงเป็นรูปสามเหลี่ยมปรากฏออกมา มันส่องแสงกระพริบอยู่หลายครั้งจนในที่สุดก็จางหายไป นางรีบก้าวเดินเข้าไปยังร่างของเพรดีทัสที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นแล้วพบว่ามีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไป

     

    ...สีผมและนัยน์ตาของเพรดีทัสได้กลายเป็นสีม่วงแทน

     

    “เกิดอะไรขึ้น?” เธอบ่น

     

    ในตอนนั้นเองที่นางรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างกำลังพุ่งมาหา

     

    ควับ!

     

    มีมือใหญ่มากมาจับร่างของนางแล้วยกขึ้นเฉียดฟ้า ใบหน้าของนางหน้าบ่งบอกถึงความงงปนตกใจทันทีที่เห็นเจ้าของของมือที่กำลังจับนางเอาไว้...

     

    เจ้าของร่างยักษ์ที่จับนางเอาไว้นั้นเป็นวานรเผือกตัวใหญ่มหึมา วานรเผือกตัวนี้นั้นแลดูเด่นเป็นพิเศษเพราะมีเครื่องแต่งกายเป็นทองเต็มไปหมดทั้งตัว เช่นสวมผ้าขาวม้าในส่วนล่าง ทั้งยังมีตรีเพชร (มีดสั้นสามง่าม)เหน็บเอาไว้ ข้อมือและใหล่ทั้งสองนั้นมีเครื่องทองประดับไว้อย่างดี

     

    “ไอ้ลิงบ้า ปล่อยชั้นลงเดี๋ยวนี้นะ!” นางเริ่มโวยวาย

     

    วานรเผือกตัวนั้นทำสีหน้าไม่พอใจ มันอ้าปากแล้วทำท่าจะหย่อนนางลงท้อง

     

    “หยุดนะฮานุ!” เสียงๆ หนึ่งดังขึ้นกลางอากาศ "เธอไม่ใช่ของกินของนายนะฮานุ" เขากล่าว

     

    “ขอโทษขอรับนายท่าน พอดีนางบอกว่าข้าน้อยเป็นลิงบ้า" ฮานุกล่าว

     

    “นี่... แกรอดมาได้ไง?” เมื่อนางเห็นร่างของเพรดีทัสที่ลอยอยู่ข้างๆ ก็อดที่ใจที่จะถามไม่ได้ "แล้วผมของแกเป็นอะไร ทำไมอยู่ๆ กลายเป็นสีม่วง??”

     

    “สงสัยจะไม่เคยมีใครสั่งสอนเรื่องมารยาทสินะ?” เขากล่าว "ก่อนที่จะถามคำถามเป็นชุดแบบนั้น แนะนำตัวกันก่อนดีมั้ย?”

     

    “ซีเลีย" นางกล่าว

     

    “ผู้คนต่างๆ ให้ชื่อข้าว่าคราวน์... ส่วนตัวของข้าก่อนหน้านี้มีชื่อว่าเพรดีทัส" คราวน์ตอบ

     

    “แกเป็นใคร? ทำไมชั้นสำผัสถึงพลังเวทมนตร์หรือพลังจิตไม่ได้เลย"

     

    “ข้าจำเป็นต้องเป็นใครสักคนสินะถึงจะตอบคำถามของเจ้าได้?”

     

    “อย่ามาเล่นคำกับชั้นนะ!” ซีเลียเหวี่ยงเล็กน้อย "แล้วช่วยบอกให้เจ้าลิงบ้านี่วางชั้นลงได้ยัง?”

     

    คราวน์มองไปที่ฮานุแล้วพยักหน้า ฮานุพยักกลับแล้ววางเธอลงบนพื้นในไม่ช้า พร้อมๆ กับร่างของคราวน์ที่ลอยตามประจบลงมา

     

    “พวกแกนี่ไม่ฉลาดเล๊ย!” ซีเลียกล่าวแล้วสยายมือทั้งสองออกมาข้างๆ ลมน้ำแข็งพัดออกมาด้วยความรวดเร็วไปในบริเวณที่นางยืนอยู่จนกลายเป็นโดมขนาดกลางแต่หนามาก ร่างของซีเลียในตอนนี้มีกำแพงน้ำแข็งหนากั้นไว้อย่างหนาแน่น

     

    ในเวลาต่อมาท้องฟ้าก็ปกคลุมด้วยเมฆก้อนโต เมฆก้อนนั้นเริ่มโปรยหิมะลงมาจนกระทั่งบริเวนรอบๆ กลายเป็นสิขาวโพลน ในขณะเดียวกันนั้นหิมะที่กำลังตกลงก็ได้เกาะกันเป็นกลุ่มจนกลายเป็นโกเล็มหิมะสี่ตัวร่างมหึมาพอๆ กับฮานุ

     

    คราวน์ชะเง้อหัวไปหาฮานุแล้วกล่าวว่า “ใช้ได้เลยผู้หญิงคนนี้ นายคิดว่าไงฮานุ?”

     

    “ข้าน้อยรู้สึกไม่ค่อยชอบนางสักเท่าไหร่" ฮานุก้มหน้าลงมาตอบ "ข้าน้อยคิดว่าเราควรเก็บโกเล็มพวกนี้ แล้วขอให้นายท่านอนุญาติให้ข้าน้อยกินนางเป็นอาหาร"

     

    “ฮ่าๆๆ ข้าน่ะชอบอารมณ์ขันของเจ้าจริงๆ ฮานุ ข้าบอกแล้วไงว่าเจ้ากินนางไม่ได้" คราวน์หัวเราะร่า "เจ้ารีบจัดการเจ้าพวกนั้นให้เร็วๆ ดีกว่า"

     

    “ขอรับนายท่าน"

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×