ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บททดสอบความสามารถ
บทที่ 2
บททดสอบความสามารถ
“สวัสดียามสายคับน้องๆ” รุ่นพี่เวทรัตติกาลคนหนึ่งเดินออกมาจากหอคอเวทรัตติกาลที่อยู่ด้านหลังหอนาฬิกาไปประมาณ 10 กว่าเมตร กล่าวขึ้นเมื่อเดินมาถึงหน้าหอนาฬิกา
“ก่อนอื่น....พี่ขอให้น้องๆที่มีสายรัดข้อมือหนังสีดำที่ข้อมือข้างซ้ายออกมายืนเรียงแถวหน้ากระดานตรงหน้าพี่เดี๋ยวนี้เลยครับ” รุ่นพี่กล่าวด้วยเสียงที่เรียบเฉยแต่เต็มไปด้วยความเฉียบขาด
“เอ.....ปีนี้มีน้อยจังเลยนะ....” รุ่นพี่กล่าวลอยๆเมื่อเห็นจำนวนน้องๆที่มายืนเรียงแถวหน้ากระดาน ที่มีแค่ 30 คนเท่านั้น แถมมีผู้หญิงอยู่แค่ 4 คน
“เอาละครับ เมื่อน้องๆมาครบกันแล้ว พี่ก็ต้องขอแสดงความยินดีกับน้องๆที่ได้สายรัดข้อมือ เพราะนั้นหมายความว่าน้องได้รับรายงานตัวแล้ว แต่น้องก็ไม่ควรดีใจมากนั้น เพราะมันไม่ได้แปลว่าน้องที่มีสายรัดข้อมือจะได้เป็นเด็กเวทรัตติกาลทุกคน ส่วนน้องที่ไม่ได้รับสายรัดข้อมือ พี่ก็ขอแสดงความเสียใจด้วย แต่น้องๆยังสามารถทำการเทียบโอนรายชื่อไปเรียนสายเวทอื่นได้ โดยน้องที่ต้องการเทียบโอนให้ไปหาพี่ที่ยืนอยู่ทางซ้ายมือพี่ เขาจะทำการเทียบโอนรายชื่อของน้องๆให้ ส่วนน้องที่อยากเข้าเรียนเวทรัตติกาลน้องก็ต้องมาลงทะเบียนเรียนและทดการสอบเลือกสายเวทในปีการศึกษาหน้านะคับ” รุ่นพี่คนนั้นหยุดพูดเพื่อให้พี่ที่ยืนอยู่ทางซ้ายมือเขาเรียกน้องๆที่ต้องการเทียบโอนไปรวมตัวกัน และให้น้องที่ต้องเรียนในปีหน้าทยอยกันกลับออกไปก่อนที่จะเริ่มพูดกับน้องๆที่เหลือต่อ
“ส่วนน้องๆ ก็เดินตามพี่มาครับ” รุ่นพี่กล่าวก่อนเดินนำไปที่หอรัตติกาลแต่หยุดอยู่ตรงที่รั้วที่กั้นระหว่างอาณาเขตของหอนาฬิกากับหอคอยรัตติกาล ทำให้น้องๆที่ได้เห็นหอคอยเวทรัตติกาลเป็นครั้งแรกนั้นตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เพราะหอคอยรัตติกาลนั้นตัวหอคอยทำด้วยอัญมณีที่หายากมากชนิดหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันใกล้สาบสูญเต็มที่แล้ว และยังเขาวงกตที่ทำจากต้นไม้ที่สูงมาก จนเกือบบังตัวหอคอยจนมิด
“น้องๆครับ! ต่อจากนี้ไปจะเป็นการทดสอบเพื่อคัดเลือกเด็กที่จะมาเรียนเวทรัตติกาลอย่างแท้จริงแล้วนะครับ ซึ่งก่อนอื่นน้องๆต้องแบ่งเป็นกลุ่มๆกลุ่มละ 5 คนก่อนนะครับ”รุ่นพี่หยุดพูดเพื่อให้น้องได้จัดกลุ่มกัน และเมื่อเห็นว่าน้องๆจัดกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว รุ่นพี่จึงเริ่มพูดต่อ
“น้องคงเห็นเขาวงกตที่อยู่ต้องหน้าพวกเราแล้วใช่ไหมครับ บททดสอบของเราคือ น้องแต่ละกลุ่มจะเข้าไปในเขาวงกตกันทีละกลุ่ม โดยพี่จะให้นาฬิกาทรายไปกลุ่มละอัน น้องต้องไปถึงหน้าหอรัตติกาลก่อนทรายเม็ดสุดท้ายจะร่วงลงมา ซึ่งกลุ่มแรกจะเข้าไปก่อน 5 นาที แล้วกลุ่มต่อไปจึงตามเข้าไป มีน้องคนไหนไม่เข้าใจบ้างไหมครับ” รุ่นพี่หยุดพูดเพื่อดูปฏิกิริยาของน้องๆ และเมื่อมั่นใจแล้วว่าน้องๆทุกคนเข้าใจที่เขาพูด เขาจึงเริ่มเลือกน้องเข้าไปทีละกลุ่ม โดยกลุ่มของเซออนเป็นกลุ่มสุดท้ายที่เข้าไป
“เซออน............นายว่าบรรยากาศมันแปลกๆไหมอะ”คาเรนพูดอย่างกล้าๆกลัวๆขณะที่เดินเกาะแขนเซออนมาตลอดตั้งแต่เริ่มดินเข้ามาในเขาวงกตที่มีต้นไม้สูงเสียดฟ้าจนทำให้มองเห็นอะไรไม่ชัดนัก
“คาเรน! ถ้านายกลัวมาเกาะแขนฉันแทนเซออนก็ได้นะ”ไฟร์เออร์พูดขึ้นมาในความมืด
“ไม่มีทางหรอก! ฉันยอมโดยขังอยู่ในนี้คนเดียวเป็นปียังดีกว่าเกาะแขนนาย 3 วินาทีเลย”
“ให้มันจริงเถอะครับ.......”
“เมื่อไหร่พวกนายจะเลิกเถียงกันสักที” ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาวใสราวกลับว่าจะโปร่งแสง จนสามารถมองเห็นได้ชัดเจนแม้ว่าจะอยู่ในที่มีแสงน้อย ดวงตาสีเทาอ่อน และเส้นผมสีบรอนซ์ที่ยิ่งทำให้เขาดูเหมือนโปร่งแสงมากขึ้น พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยและดูเลื่อนลอยขณะที่ถือดอกโมนาน (ดอกไม้ชนิดหนึ่ง ที่สามารถให้แสงสว่างได้ในเวลากลางคืนหรือในที่มืดๆ ตัวดอกมีลักษณะคล้ายๆกับโคมไฟ ตอนกลางวันจะเห็นดอกโมนานมีสีขาวเรียงกันลงมาตามก้านดอก แต่ตอนกลางคืนจะเห็นเป็นเพียงแสงไฟกลมๆเท่านั้น) มาให้ทุกคน คนละช่อเพื่อให้เกิดแสงสว่าง และง่ายต่อการหาทางออกจากเขาวงกต
ดอกโมนาน
“โทษทีนะ .... ดราฟ” ไฟร์เออร์พูดด้วยน้ำเสียงที่สำนึกผิด
“ไม่เป็นไร”ดราฟกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยเช่นเดิม
“แล้วเราจะเอาไงดีอะเซออน จะเดินไปเรือยๆโดยที่ไม่รู้จุดหมายอย่างนี้ หรอ”คาเรนถามเซออนเมื่อพวกเขาเดินลึกเข้ามาในเขาวงกตมากขึ้นเรื่อยๆ
“แล้วนายคิดว่าไงทาม..... ”เซออนหันไปพูดกับชายหนุ่มที่ตัวสูงที่สุดในกลุ่ม ซึ่งยืนอยู่ข้างหลังเขา
“ทำไมถึงต้องถามทามด้วยละเซออน”คาเรนยังคงถามต่อไป
“ก็เพราะทามน่ะมันเป็นคนชนเผ่าแวมไง”ไฟร์เออร์พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เริ่มงุดงิดเล็กน้อยกับการเจ้าปัญหาของคาเรน
“แล้วนายรู้ได้ไงไฟร์”
“ก็ดูจากสีผมกับสีตาไงละ”
“จริงด้วยเนอะ ก็ตาและผมของทามเป็นสีดำนิหนา แต่แล้ว................”คาเรนยังไม่ทันจะได้พูดจบไฟร์เออร์ก็ชิงพูดขัดขึ้นมาก่อน
“นายจะเลิกถามได้รึยังคาเรน ทามจะได้บอกว่าพวกเราจะต้องทำอะไรต่อไปเสียที”
“ชิ”
“ฉันคิดว่า.....ตอนนี้เราน่าจะเดินตรงไปเรื่อยๆอย่างนี้ก่อนเพราะว่าเราไม่รู้ว่าทางที่เราเดินอยู่นี้จะไปสิ้นสุดตรงไหนกันแน่”ทามพูดขณะที่มองตรงไปยังทางข้างหน้าที่ทอดยาวออกไปไม่มีที่สิ้นสุด
“อืม..งั้นตกลงตามนี้ละกัน”เซออนพูดขึ้นก่อนเริ่มต้นเดินอีกครั้ง
เมื่อพวกเซออนเดินต่อไปได้ซักพักหนึ่งพวกเขาก็พบทางแยก 2ทาง
“แล้วทีนี้จะเอาไงดี....ซ้าย....หรือขวา”คาเรนถามขณะที่มองไปยังทางทั้งสองอย่างชังใจ
“พวกนายได้ยินเสียงอะไรไหม”ไฟร์เออร์พูดขณะพยายามฟังเสียงอะไรบางอย่างที่กำลังตรงมาทางที่พวกเขาอยู่
“อืม.......เสียงมันเหมือน........อะไรสักอย่างที่ตัวใหญ่ๆยาวๆและกำลังเลื้อยตรงมาทางพวกเราอย่างช้าๆ” ทามพูดขณะที่ก้มลงแนบหูกับพื้นดินเพื่อฟังเสียงของอะไรบางอย่างที่กำลังตรงมา
“ใหญ่ๆยาวๆเหรอ.....มันก็น่าจะเป็น.......”ดราฟยังไม่ทันได้พูดจบทามก็ชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า
“ทุกคนระวังตัว! มันใกล้เข้ามาแล้ว!”
เมื่อสิ้นเสียงของทามทุกคนก็ตั้งท่าพร้อมที่จะป้องกันตัว แล้วจ้องมองไปยังสุดแสงสว่างที่ดอกโมนานสร้างขึ้นเพื่อดูว่าอะไรจะออกมากันแน่
“เฮ้อ! ไม่จริงอะ! นั้นมันกระต่ายนี้หวา....” ไฟร์เออร์พูดเมื่อเห็นว่าสิ่งที่ออกมาเป็นเพียงกระต่ายขนปุยสีขาวตัวเล็กๆตัวหนึ่งเท่านั้น ซึ่งดูยังไงก็ไม่น่าจะเป็นอันตรายกับใครได้เลยสักนิดเดียว
“มานี้มา...เจ้ากระต่ายน้อย..มาหาฉันดีกว่านะ อยู่ตรงนั้นมันอันตรายนะ” ไฟร์เออร์พูดพร้อมกับย่อตัวลงและผายมือออกเพื่อให้เจ้ากระต่ายคิดว่าเขาเป็นมิตรและไม่เป็นอันตรายใดๆ จนเจ้ากระต่ายไว้ใจและค่อยๆกระโดดเข้ามาใกล้เขามากขึ้นเรื่อยๆ
“ใช่ ..... อย่างนั้นละ....” ไฟร์เออร์พูดเมื่อเจ้ากระต่ายกระโดดมาใกล้เขามากขึ้น ใกล้จนแค่กระโดดอีกครั้งเดียวก็จะถึงตัวเขาแล้ว และเมื่อเจ้ากระต่ายกระโดดอีกครั้งมันหน้าของเจ้ากระต่ายก็กลายเป็นหัวของงูซึ่งมีขนาดใหญ่มาก และกำลังอ้าปากกว้างเพื่อจะงับหัวของไฟร์เออร์ แต่ยังไม่ทันที่มันจะกลายร่างเต็มที่ตัวของมันก็ลุกกลายเป็นไฟเสียก่อน ทำให้เกิดเสียงดังโหยโหนไปทั่ว ก่อนที่มันจะกลายเป็นแค่เศษเท่าถ่านเท่านั้น
“เฮอ......นึกว่าจะไม่รอดซะแล้วสิเรา”ไฟร์เออร์พูดก่อนล้มลงนั่งกับพื้นอย่างเหนื่อยอ่อน
“นั้นสินึกว่าจะตายซะแล้ว”ทามพูดพร้อมกับส่ายหัวไปมา
“ฉันว่า...เราน่าจะไปทางซ้ายนะ เพราะเจ้าปีศาจนั้นมันเคลียร์ทางให้พวกเราไว้แล้ว” ดราฟหันมาพูดกับเพื่อนๆเมื่อเขาเดินไปดูทางที่เจ้าปีศาจตัวนั้นพึงออกมา
“งั้น! พวกเราเรียบไปกันเถอะเวลาเหลือน้อยเต็มทีแล้ว..”เซออนพูดหลังจากเก็บนาฬิกาทรายที่ตอนนี้ทรายร่วงลงมาได้เกือบครึ่งหนึ่งแล้วลงไปในกระเป๋าเสื้อ
....................................................
“พวกเราดูนั้นสิ! ฉันว่าฉันเห็นแสงสว่างนะ”คาเรนพูดอย่างตื้นเต้นหลังจากที่เดินมาได้ซักพักใหญ่ๆแล้ว
“นั้นซิ! แสงสว่างจริงๆด้วย” ไฟร์เออร์พูดเมื่อมองตรงไปทางที่คาเรนพูดถึง
“นั้นมัน.....ต้นไม้แห่งปัญญานี่นา”ดราฟพูดเมื่อพวกเขาเดินเข้าใกล้แสงสว่างมากขึ้น แล้วจึงเห็นว่าตรงปลายทางออกนั้นมีต้นไม้ต้นใหญ่ต้นหนึ่งขึ้นอยู่กลางทางออก
“อืม...ใช่จริงด้วย”เซออนพูดขึ้นเมื่อเขาเดินมาถึงที่เพื่อนๆของเขายืนอยู่ก่อนแล้ว
“ พฤกษาเอยพฤกษาฉลาดล้ำ ซึ่งมีคำกล่าวขานธารปํญญา
ข้าต้องการข้ามผ่านทางนั้นนา ท่านโปรดเอ่ยวาจากับข้านี้
ว่าท่านมีปริศนาอันใด ข้านั้นใคร่อยากรู้เต็มที
ตัวข้านี้เพลาหามากมี เหลือไม่กี่เม็ดทรายแล้วท่านนา ” เซออนกล่าวอย่างนอบน้อมกับต้นไม้เห็นปัญญา และในไม่ช้าก็มีใบไม้ร่วงลงมาตรงหน้าเซออนเรื่อยๆ ซึ่งเมื่อนำมาเรียงต่อกันแล้วจะได้ความว่า
“ น้ำเอ๋ยน้ำใดยามรินหลั่งไหล หลั่งรินไม่ขาดดังสายธารา
สวยสดงดงามเสมือนน้ำฟ้า หยาดรินจากนภาที่แสนกว้างไกล
บริสุทธิ์นักยากหาใดเปรียบ จะมาเทียบเคียงเทียบเท่ามิได้
เป็นทั้งยาทิพย์รักษาฤทัย ช่วยเยียวยาดวงใจให้หายทุกข์ทน”
“แล้วมันน้ำอะไรละนี่”คาเรนพูดอย่างหัวเสีย
“ฉันว่า....ฉันรู้คำตอบแล้วละ”เซออนพูดกับเพื่อนๆด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ
“ถ้านายแน่ใจแล้วก็ตอบเถอะ.... แต่อย่าลืมนะว่าเราตอบได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น”ดราฟพูด
“อืม.....ฉันเข้าใจ”
“ ท่านผู้เลิศล้ำไปด้วยปัญญา ข้าตอบปริศนาแห่งท่านนา
ว่าสิ่งที่ท่านได้เอ่ยถามมา นี้นั้นหนาคำตอบคือ...น้ำตา.... ”
เมื่อเซออนพูดจบต้นไม้นั้นก็หายไป แล้วแทนที่ด้วยประตูหอคอยเวทรัตติกาล
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น