ตอนที่ 26 : บทที่ 9 : ไปรับลูกที่โรงเรียน (50%)
ในหัวของเธอเต็มไปด้วยคำถามและความหวั่นใจ
“ท่านประธานจะไปรับน้องพอร์ชทำไมเหรอคะ”
“ผมรับปากแกไว้แล้วว่าจะไปที่โรงเรียน และผมอยากรู้ด้วยว่าคุณจะใช้เวลาไปรับลูกและกลับมาที่ออฟฟิศนานแค่ไหน เผื่อว่าวันไหนคุณหายไปนานผิดปกติผมจะได้รู้ไว้ว่าคุณอู้งาน”
ขณะที่แพรริศาก็เข้าใจแจ้มแจ้งแล้ว เป็นเพราะเขาอยากจะจับผิดเรื่องเวลาทำงานของเธอนั่นเอง จึงได้อาสาจะพาเธอไปรับลูก ถ้าหากเป็นเพราะเหตุผลนี้เธอยังพอรับได้ อย่างน้อยก็ดีกว่าเหตุผลว่าเขาเริ่มสงสัยแล้วว่าเด็กชายเป็นใคร
“ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่ท่านประธานเถอะค่ะ”
เธอไม่ปฏิเสธ ดีเหมือนกันเธอจะได้ไม่ต้องลำบากไปขึ้นรถหลายต่อ และน้องพอร์ชก็คงดีใจที่เห็นว่าเขาทำตามสัญญา
“ผมมีเรื่องจะบอกคุณแค่นี้แหละ คุณไปทำงานต่อเถอะ อย่าลืมทวงเอกสารจากแผนกบัญชีให้ผมด้วยล่ะ”
“ค่ะท่านประธาน”
เธอรับคำสั่งอย่างแข็งขัน ก่อนก้าวถอยแล้วหันหลังกลับออกไป
เมื่อร่างบางคล้อยหลังไปแล้ว ติณภัทรเอนตัวพิงพนักเก้าอี้สูงอย่างคิดไม่ตก เหตุผลที่เขาอ้างกับเธอช่างฟังดูพิลึกพิลั่น แต่โชคดีที่หญิงสาวไม่ได้เอะใจ เขาก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมถึงอยากไปหาเด็กชายที่โรงเรียน เป็นเพราะว่าเขาให้สัญญากับแกไว้แล้วงั้นหรือ เขาคิดว่ามันยังมีเหตุผลอื่นอีก ทว่าเขาบอกไม่ถูกว่ามันคืออะไร รู้เพียงว่าเขาอยากเห็นหน้าแก เพียงแค่คิดถึงตอนที่เด็กชายมาปวนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ เขาคอยถามนู่นถามนี่ด้วยความสนใจใครรู้ ชายหนุ่มก็ถึงกับยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว
แต่ครู่หนึ่งก็กลับสะบัดศีรษะแทน
‘เรานี่ท่าจะเป็นเอามาก ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้วะ’
หรือเป็นเพราะว่าวัยของเขาสมควรแก่การมีครอบครัวเป็นตัวเป็นตนได้แล้วอย่างที่มารดาบอก เมื่อเห็นเด็กเล็กๆ แถมยังหน้าตาคล้ายตัวเองก็เลยอดเอ็นดูไม่ได้
ใช่ มันต้องเป็นเหตุผลนั้นแน่ๆ เพราะนอกจากนั้นเขาก็คิดไม่ออกแล้วว่ามันจะเป็นเพราะอะไรไปได้อีก
โทรศัพท์ของแพรริศาเงียบเสียงไปตลอดจนถึงตอนบ่าย ไม่มีสายจากโรงเรียนของลูกชายโทร.มา เธอจึงรู้ได้โดยอัตโนมัติว่าวันนี้ที่โรงเรียนคงเลิกตามเวลาปกติ เมื่อใกล้ถึงบ่ายสามโมงหญิงสาวจึงเคาะประตูห้องของเจ้านายหนุ่มอีกครั้งเพื่อบอกว่าเขาว่าใกล้จะได้เวลาแล้ว
ชายหนุ่มถอดชุดสูทสีดำตัวนอกซึ่งเขามักจะสวมใส่อยู่เป็นประจำ พาดไว้กับพนักพิงเก้าอี้ เขาดูตัวเล็กลงเล็กน้อยเมื่อไม่มีไหล่กว้างของชุดสูทห่อคลุมไว้ และทำให้สังเกตเห็นช่วงกลางลำตัวของเขาที่สอบเพรียว ส่วนที่เคยแนบชิดกับร่างกายของเธอ แม้ว่าเธอจะจำอะไรในคืนนั้นไม่ค่อยได้นักก็ตาม
“คุณมองอะไรอยู่เหรอ”
หญิงสาวเรียกสติของตัวเองที่หลุดลอยไปหากลางลำตัวของเขากลับคืนมา ใบหน้าเรียวเล็กส่ายเบาๆ
“ปะ...เปล่าค่ะท่านประธาน ดิฉันคงใจลอยคิดไปถึงลูกน่ะค่ะ” หรือว่ากำลังคิดถึงการทำลูกอยู่ก็ไม่แน่ใจ “ไปกันเถอะค่ะ”
เธอให้เขาเดินนำหน้าไปก่อน เธอก้าวตามร่างสูงเข้าไปในลิฟต์ เมื่อยืนอยู่ข้างเขาในระยะห่างกันเพียงแค่สองก้าว เธอก็รู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กลงไปถนัดตา พลางสงสัยว่าในคืนนั้นเธอรับมือกับเขาไหวได้อย่างไรกัน คิดแล้วก็รู้สึกแปลกพิลึกที่ต้องมายืนอยู่ข้างพ่อของลูก สามีของตัวเองที่จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยมีอะไรกับเธอเมื่อราวสี่ปีก่อน เขาลืมมันไปหมดแล้วจริงๆ หรือ
“คุณอาศัยอยู่บ้านของตัวเองหรือว่าห้องเช่า”
ประโยคคำถามของเขาดึงสติเธอกลับมาอีกครั้ง
“ฉันอยู่บ้านเช่าน่ะค่ะ อยู่มาหลายปีแล้วตั้งแต่ก่อนที่จะมีน้องพอร์ช”
“ผมอ่านประวัติของคุณแล้ว คุณไม่ได้ทำงานมาหลายปี แล้วคุณเอาเงินที่ไหนมาเลี้ยงลูกล่ะ”
ก็เงินที่ได้จากการขายแหวนเพชรวงโตของคุณน่ะสิ แพรริศาตอบในใจอย่างนั้น แต่พูดออกไปไม่ได้
“ดิฉันพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง และได้จากการขายของออนไลน์ ช่วยคุณป้าเจ้าของบ้านทำขนมค่ะ”
เธอไม่ได้โกหกเสียทีเดียว ก่อนหน้านี้เธอพยายามหางานพิเศษเล็กๆ น้อยๆ ทำ ป้าเจ้าของบ้านเช่าจึงชวนเธอไปช่วยทำขนม ขายได้เท่าไหร่ก็จะแบ่งเงินส่วนหนึ่งมาให้ แต่รายได้เดือนละสองสามพันนั้นไม่เพียงพอ เธอจึงตัดสินใจหางานทำเป็นหลักแหล่ง
ไม่ทันได้พูดอะไรอีกประตูลิฟต์ก็เปิดออก หญิงสาวเดินตามหลังชายหนุ่มผ่านบริเวณโถงกว้างขวางไปยังด้านหน้าของโรงแรม ตลอดทางจะมีพนักงานโก้งโค้งบ้างก็ยกมือไหว้ทำความเคารพชายหนุ่ม แพรริศาเลยพลอยรู้สึกเกร็งนิดๆ ไปด้วยเพราะถูกให้ความสนใจในฐานะที่เป็นเลขาของเขา
ทันทีที่ชายหนุ่มก้าวพ้นประตูโรงแรม รถยนต์หรูคันใหญ่ก็แล่นมาจอดเทียบ พนักงานขับรถก้าวลงมาและเปิดประตูรอชายหนุ่ม เขาเดินไปยังฝั่งคนขับ เมื่อเห็นหญิงสาวยืนเก้ๆ กังๆ ก็ออกคำสั่ง
“แพรริศา ขึ้นรถสิ!”
“ค่ะๆ”
ที่เธอกำลังงง เป็นเพราะเธอคิดว่าเขาคงมีคนขับรถให้ เพราะเมื่อครั้งที่เธอเป็นเลขาฯ ให้กับเจ้านายคนเก่า เขามักจะใช้บริการคนขับรถให้อยู่เสมอ ทว่าตอนนี้ท่านประธานของโรงแรมระดับห้าดาวหรูหรากลับกลายเป็นสารถีขับรถคันโตไปส่งเลขาสาวรับลูกที่โรงเรียน แพรริศาคิดว่าทุกอย่างมันดูดีและโก้หรูเกินไปสำหรับผู้หญิงธรรมดาๆ อย่างเธอ
แต่หากความจริงแล้ว สถานะของเธอซึ่งเป็นภรรยาและแม่ของลูกเขา ก็ควรจะได้รับอภิสิทธิ์เช่นนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ เพียงแค่เธอเอ่ยปากบอกความจริง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ก็จะเป็นอยู่ตลอดไป ทว่าแพรริศาตัดสินใจทำเช่นนั้นไม่ได้หรอก เธอยังไม่รู้จักชายหนุ่มดีพอ เขาอาจจะรับน้องพอร์ชเป็นลูก แต่เธอนั้นอาจจะถูกเขี่ยออกไปจากชีวิตของเขา หรือแม้กระทั่งชีวิตของลูกเลยก็ได้ ดังนั้นหญิงสาวจึงปิดปากเงียบต่อไป
✿◕ ‿ ◕✿
น้องพอร์ชต้องดีใจแน่ๆ ที่เห็นลุงภัทรไปรับที่โรงเรียน ตอนหน้ามีความน่ารักมาฝากกัน ฝากติดตามกันต่อนะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เอิ่ม ภรรยาตามสิทธิ์....ให้เค้าจำได้ก่อนไหม ปากบอกไม่อยากให้จำได้ แต่ใจนี่เป็นภรรยาเค้าแล้ว อืมมมม
น้องพอร์ชคงตื่นเต้นน่าดูเมื่อเห็นลุงประธานไปรับที่โรงเรียน
เมื่อไหร่พระเอกจะจำความหลังได้สักทีค่ะไรค์ ลุ้นค่ะ
แล้วจะรู้ความจริงได้อย่างไรกันนะ
มีความสุขอ่านไปยิ้มไป
มาเร็วๆนะคะ
อยากให้ป๊ารู้ความจริงเร็วๆง่าาา
รออ่านความสดใสน่ารัก ฉบับ พ่อ แม่ ลูก นะคะ