ตอนที่ 2 : บทที่ 1 : ซิงเกิ้ลมัม (70%)
โรงแรมแกรนด์เบเวอร์ลี่ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองและเดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้า แพรริศาไม่มีรถส่วนตัวเพราะอาศัยอยู่ในย่านที่เดินทางสะดวกอยู่แล้ว
หญิงสาวจำต้องพาลูกชายตัวน้อยไปด้วย ครั้นจะฝากไว้กับคุณป้าเจ้าของบ้านเช่าที่เธอกับลูกอาศัยอยู่มาสามปี เด็กชายก็ส่ายหน้าและอ้อนตื๊อขอมาด้วย
“ถ้าจะตามหม่ามี้ไปด้วย ก็ต้องอย่าดื้ออย่าซนนะครับรู้มั้ย” เธอกำชับกับเจ้าตัวเล็กที่พยักหน้าหงึกๆ
“พอร์ชจะไม่ดื้อไม่ซน สัญญาเลยค้าบ”
นิ้วก้อยเล็กจิ๋วสอดเข้ามาเกี่ยวกับนิ้วก้อยของเธอ ทำเอาหัวใจเธออ่อนยวบและปฏิเสธลูกชายไม่ได้สักที สุดท้ายเลยต้องจูงมือเล็กให้เดินตามต้อยๆ เข้าไปในโรงแรมที่สูงกว่าสี่สิบชั้น ตรงไปยังแผนกต้อนรับของโรงแรมและแจ้งว่าจะมาสัมภาษณ์งาน
ฝ่ายนั้นแลกบัตรประชาชนของเธอกับการ์ดใบหนึ่งที่สำหรับแตะในลิฟต์และกดไปยังชั้นสี่ หัวใจเธอเต้นเป็นจังหวะตุ้มๆ ต่อมๆ เพราะห่างหายจากการทำงานมานานแล้ว เกรงจะไม่ถูกพิจารณาให้เข้าทำงานด้วเหตุนี้ แถมยังพาลูกชายมาด้วยอีก
ประตูลิฟต์เปิดออก สองแม่ลูกก้าวมายังบริเวณโถงเล็กๆ ด้านหน้าของสำนักงานที่ซ่อนตัวอยู่ในโรงแรม พื้นที่นี้ถูกแบ่งเป็นสามส่วน ตรงเธอหน้าเป็นส่วนออฟฟิศหลักที่สามารถมองเห็นภายในได้ผ่านผนังซึ่งเป็นกระจกตลอดแนว ส่วนซ้ายมือนั้นเป็นห้องแยกต่างหาก มีตัวอักษรติดไว้ว่า ‘ผู้จัดการ’ ถัดไปทางขวามือเป็นห้องของใครนั้นเธอไม่อาจรู้ เพราะอ่านตัวหนังสือได้ไม่ถนัดนัก
“มือของหม่ามี้เย็นจังเลย”
เด็กชายเขย่ามือของคนเป็นแม่เบาๆ หญิงสาวลูบศีรษะเล็กที่ปกคลุมด้วยเส้นผมนุ่มสีน้ำตาลอ่อน
“หม่ามี้ตื่นเต้นน่ะลูก”
เธอสูดลมหายใจลึกเพื่อเรียกความมั่นใจ เมื่อได้กุมมือเล็กอุ่นๆ ของเด็กชาย เธอก็รู้สึกอุ่นใจมากขึ้นและนึกดีใจที่พาเจ้าตัวเล็กมาด้วย
มือบางผลักประตูเข้าไปในส่วนของออฟฟิศหลักที่เห็นว่ามีพนักงานเดินไปมา เธอถูกพาเข้าไปในห้องของแผนกบุคคล จากนั้นก็มีหญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่งบอกให้เธอไปรออีกห้อง
“ทางนี้ค่ะ”
สองแม่ลูกเดินกลับออกไปยังบริเวณโถงอีกครั้ง ก่อนเลี้ยวไปยังอีกทางหนึ่งที่เมื่อครู่แพรริศาสงสัยว่าเป็นห้องของใคร และพบกับป้ายกรอบทองหน้าห้องที่บอกไว้ว่า ‘ประธานกรรมการ’
ใช่! เธอยื่นใบสมัครเป็นเลขาของท่านประธาน นับว่าเป็นความกล้าเสี่ยงพอตัวเลยทีเดียว หลังจากเว้นว่างจากงานไปหลายปี แต่การที่ถูกเรียกมาสัมภาษณ์ก็ถือได้ว่าคุณสมบัติของเธอนั้นตรงกับงาน
ฝ่ายนั้นเปิดประตูเข้าไป ตรงหน้ามีโต๊ะทำงานตัวหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นโต๊ะประจำตำแหน่งเลขาหน้าห้อง ถ้าเธอเดาไม่ผิด ส่วนอีกมุมนั้นเป็นเหมือนบริเวณสำหรับรับรองแขก
“นั่งรอตรงนี้ก่อนนะคะ ตอนนี้กำลังสัมภาษณ์ผู้สมัครอีกคนอยู่ค่ะ”
พนักงานสาวสวยที่น่าจะเป็นเลขาคนปัจจุบันของท่านประธาน ผายมือเชิญให้สองแม่ลูกนั่งลงที่โซฟารับแขก เด็กชายตัวน้อยชะเง้อมองไปยังเบื้องล่างของโรงแรมผ่านหน้าต่างกระจกบานสูงด้วยความสนใจ แต่ก็นั่งด้วยท่าทีนิ่งๆ ไม่ดื้อไม่ซนอย่างที่ได้เกี่ยวก้อยสัญญาไว้แล้ว
แพรริศาบีบมือตัวเองเบาๆ อย่างไม่มั่นใจ ครู่หนึ่งประตูกระจกสีขุ่นก็เปิดออก ผู้หญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอเดินออกมาพร้อมกับแฟ้มเอกสารในมือ ดูจากสีหน้า ยากที่จะบอกว่าอีกฝ่ายได้งานนี้แล้วหรือยัง
“เชิญคุณแพรริศาค่ะ”
หญิงสาวลุกขึ้น น้องพอร์ชก็ลุกตามด้วย แต่เธอไม่คิดว่าควรจะพาลูกชายเข้าไปนั่งฟังสัมภาษณ์ด้วย จึงย่อตัวลงคุยกับเด็กชาย
“น้องพอร์ชนั่งรอหม่ามี้อยู่ตรงนี้อยู่กับพี่คนสวยก่อนนะครับ หม่ามี้เข้าไปคุยงานไม่นานเดี๋ยวก็ออกมาแล้ว”
เด็กน้อยผู้ซึ่งติดคนเป็นแม่มาก ส่ายหน้ารัวพร้อมกับเบะปากนิดๆ
“ไม่เอาค้าบ พอร์ชอยากเข้าไปกับหม่ามี้ด้วย”
ขนาดคุณป้าเจ้าของบ้านที่เห็นหน้าค่าตากันมานาน แกยังไม่ยอมอยู่ด้วยเลย นับประสาอะไรกับคนแปลกหน้า แม้ว่าปกติแล้วแกจะชอบผู้หญิงสวยๆ ตามประสาเด็กผู้ชายก็ตาม
หญิงสาวที่แพรริศาถือวิสาสะฝากลูกชายให้ช่วยดูแล โน้มตัวมาพูดกับเด็กชายด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าเอ็นดู
“ไม่อยากอยู่กับพี่เหรอครับ เดี๋ยวพี่ให้กินขนมด้วยนะ”
ทว่าเด็กน้อยยังคงส่ายหน้าและคล้องแขนเล็กป้อมโอบกอดขาของผู้เป็นแม่ เล่นเอาแพรริศาชักจะหนักใจเลย
“ไหนบอกว่าจะไม่ดื้อไงล่ะครับ”
เมื่อเห็นท่าทีของเด็กชายที่ไม่ยอมอยู่ห่างคนเป็นแม่ เลขาหน้าห้องจึงตัดสินใจเอ่ย “เดี๋ยวฉันจะเข้าไปถามบอสให้นะคะว่าจะพาเด็กเข้าไปด้วยได้หรือเปล่า”
อีกฝ่ายบอกแล้วหายเข้าไปในห้องทำงานของเจ้านายครู่เดียว ก่อนออกมาพร้อมกับพยักหน้าให้เธอ “พาน้องเข้าไปได้ค่ะ”
“ขอบคุณนะคะ”
แพรริศายิ้มแกนๆ อย่างเกรงใจ แล้วจับจูงมือเล็กเดินเข้าไปในห้องนั้นด้วยหัวใจที่เต้นระรัว
ผู้ชายในชุดสูทสีดำ ซึ่งน่าจะเป็นประธานของโรงแรมแห่งนี้กำลังอ่านแฟ้มประวัติของเธอ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า เขาก็เงยหน้าขึ้น
ตรงหน้าของเธอคือชายหนุ่มผิวขาว ใบหน้าเรียวหล่อเหลาราวกับดารา และเผยลักยิ้มนิดๆ เมื่ออีกฝ่ายคลี่ยิ้มกว้างมาให้เธอพร้อมกับผายมือ
“คุณแพรริศาเชิญนั่งครับ”
หญิงสาวแปลกใจที่เขายังดูหนุ่มแน่นและอ่อนวัยมากๆ เธอคิดว่าท่านประธานจะต้องมีอายุอย่างน้อยสักสี่สิบกว่าปี แต่นี่เขาดูเหมือนจะอายุสามสิบต้นๆ เท่านั้นเอง
แต่ความแปลกใจก็ไม่ได้ทำให้เธอชะงัก เธอจูงมือลูกชายให้ไปนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามเขา แล้วจึงหย่อนตัวนั่งลงข้างๆ กัน
“ลูกชายเหรอครับ อายุเท่าไหร่แล้ว” เขาพยักเพยิดไปยังเด็กชายที่กำลังมองหน้าตนเองอย่างแปลกใจ
“แกเพิ่งอายุสามขวบได้เมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เองค่ะ” แพรริศาเอ่ยตอบแล้วหันไปพูดกับลูก “สวัสดีครับผู้ใหญ่หรือยังลูก”
“ซาหวัดดีค้าบ” เด็กน้อยพนมมือเล็กป้อมไหว้ผู้ใหญ่ตามที่แม่บอก อย่างน้อยเรื่องนี้แกก็ยังว่านอนสอนง่าย
“ผมอ่านประวัติคุณแล้ว คุณไม่ได้ทำงานมาเกือบสี่ปีแล้ว”
“ค่ะ ตั้งแต่มีลูกฉันก็อยู่บ้านเลี้ยงลูกน่ะค่ะเพราะว่าไม่มีญาติคนไหนช่วยดูแลแก”
“หม่ามี้เก่งมากเลยค้าบ ทำกับข้าวอะหย่อยด้วยน้า”
จู่ๆ เด็กชายก็พูดชมแม่ขึ้นมาพร้อมกับยกนิ้วโป้งอย่างคนรู้มาก เล่นเอาคนเป็นแม่แก้มเห่อร้อนไปหมด
“น้องพอร์ชเงียบๆ ก่อนนะครับ หม่ามี้จะคุยเรื่องงาน”
ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมว่าผมเปลี่ยนจากสัมภาษณ์คุณมาสัมภาษณ์หนูน้อยคนนี้ดีกว่า ท่าทางแกจะพูดเก่งนะครับ”
คำพูดทีเล่นทีจริงของอีกฝ่ายทำเอาหญิงสาวไม่มั่นใจเลย เธอเกรงว่าจะโดนปัดตกเรื่องคุณสมบัติตั้งแต่ยังไม่ทันได้อ้าปากตอบเรื่องงานเลยด้วยซ้ำ
“ว่าไงล่ะเรา ชื่อพอร์ชใช่มั้ยครับ” เขาเปลี่ยนมาพูดกับเด็กชายจริงๆ
“ค้าบ” คนตัวเล็กขานตอบเสียงใส
“หม่ามี้ของน้องพอร์ชเป็นคนยังไงครับ เล่าให้ฟังหน่อยสิ”
แพรริศากำลังจะพูดขัดขึ้น แต่ก็พูดไม่ทันเด็กน้อยที่ช่างจ้อ
“หม่ามี้ใจดีมากค้าบ ฉวยด้วย” เด็กชายจะพูดว่าสวย “หม่ามี้เล่านิทานให้พอร์ชฟังเยอะเลย และ...และบอกว่าจะหาเงินมาให้พอร์ชเรียนเยอะๆ ด้วยค้าบ”
“พอแล้วล่ะลูก” เธอไม่อยากให้ลูกชายพูดเรื่อยเปื่อยมากกว่านี้แล้ว เดี๋ยวแกจะพานทำให้เธอชวดงานนี้เปล่าๆ ทว่าชายหนุ่มกลับไม่คิดเช่นนั้น
“หม่ามี้น้องพอร์ชขยันหรือเปล่า”
“ขยันม๊ากมากเลยค้าบ” เด็กชายชูมือสองพร้อมกับยกนิ้วโป้งประกอบ “หม่ามี้ตื่นเช้ามากเลยค้าบ แล้วก็ทำงานในบ้านหมดเลย ตอนหม่ามี้เหนื่อย หม่ามี้ก็ไม่บ่นเลย ยังยิ้มให้พอร์ชและกอดพอร์ชด้วยนะค้าบ”
เธออึ้งในตัวลูกชาย ไม่คิดว่าเด็กน้อยตัวเล็กๆ จะสนใจใคร่รู้และช่างสังเกตเรื่องของเธอเยอะเหมือนกัน
“แกพูดเก่งจังนะครับ ดูเป็นเด็กฉลาดเหลือเกิน” คราวนี้ชายหนุ่มพูดกับเธอ แต่ยังคงยิ้มให้กับลูกชายเธอราวกับถูกชะตากัน
หญิงสาวพยักหน้าแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่รู้ว่าคนสัมภาษณ์ต้องการอะไรกันแน่ “เอ่อ...ค่ะ”
“ทำไมคุณถึงอยากได้งานนี้ล่ะครับ” เขาเปลี่ยนมาถามเธออย่างมีสาระบ้างแล้ว
“เพราะดิฉันคิดว่าตัวเองสามารถทำงานนี้ได้ดีค่ะ ถ้าดิฉันตั้งใจจะทำอะไรแล้วก็จะทำให้ดีที่สุดค่ะ” เธอพูดออกไปอย่างที่คิดโดยไม่ได้ซ้อมคำตอบนี้มาก่อนเลย
“และผมก็เห็นแล้วล่ะว่าคุณสามารถทำได้ดี ดูจากการเลี้ยงลูกของคุณแล้ว คุณคงเป็นคนละเอียดอ่อนและใจเย็นมาก ซึ่งผมคิดว่าเหมาะกับตำแหน่งเลขาของประธานโรงแรมนี้นะ”
ได้ยินเช่นนั้น หัวใจของหญิงสาวก็โลดเต้นทันที
“หมายความว่า...คุณสนใจรับฉันเข้าทำงานที่นี่เหรอคะ”
✿◕ ‿ ◕✿
แพรจะผ่านสัมภาษณ์งานหรือไม่ และผู้ชายคนนี้จะใช่ท่านประธานหรือเปล่านะ รอติดตามตอนต่อไปกันให้ได้ อย่าลืมนะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เขาก็ให้ลูกนั่งรอที่คาเฟ่อยู่ดี อันนี้เป็นโรงแรมด้วยน่าจะทิ้งไว้ลอบบี้ได้
มีเหตุผลเดียวคือพระเอกรู้อยู่แล้วว่าเป็นลูกเลยจงใจเรียกมาเจอ
(สมัครฝ่ายอื่นไม่โดนขนาดนี้ค่ะ) ยิ่งถ้าบจ.ใหญ่ๆ ถามด้วยซ้ำว่าดูตลาดหุ้นเป็นมั๊ย 😑
ผ่านทีเถิดน้องพอร์ชจะได้มีตังค์กินหนม