ตอนที่ 1 : บทที่ 1 : ซิงเกิ้ลมัม (30%)
“หม่ามี้ค้าบ! นั่นปาอะไรค้าบ”
เสียงเล็กๆ ของเด็กชายวัยสามขวบร้องถามมารดาพลางชี้มือไปยังตู้ปลาตู้หนึ่งภายในอควาเรียม รอบตัวของคนทั้งคู่เต็มไปด้วยสัตว์น้ำหลากหลายชนิดที่น่าสนใจและแปลกตา เด็กชายยังพูดไม่ชัดนัก แกจะถามคนเป็นแม่ว่านั่นปลาอะไร
ดวงตาสีดำขลับ สีเดียวกับเส้นผมเรียบตรงของหญิงสาวรูปร่างผอมบาง มองไปยังป้ายที่บอกสายพันธุ์ของปลาหน้าตาแปลกประหลาดตัวนี้ แล้วจึงหันไปตอบคนตัวเล็ก
“นั่นปลาไหลทะเลครับลูก เข้ามาดูใกล้ๆ สิ”
ดวงตากลมจ้องมองเจ้าปลาไหลทะเลที่มีลวดลายจุดสีดำไปทั่วทั้งตัว มันโผล่ออกมาจากซอกหินและอ้าปากกว้าง ร่างเล็กรีบถอยไปหลบอยู่ด้านหลังของมารดาพร้อมกับส่ายหน้ารัว
“ไม่เอาค้าบ พอร์ชกลัวปาไหล”
เด็กชายยังพูดไม่ค่อยชัดเป็นบางคำ ใบหน้าเล็กหันไปมองตู้ปลาถัดไป เมื่อเห็นเป็นปลาตัวเล็กสีสวยงามน่ารักก็กระตุกมือมารดาไปให้ดูตรงนั้นแทน
น้องพอร์ชเขย่งปลายเท้าเพื่อจะดูปลาในตู้ที่อยู่สูงพ้นศีรษะของตนเอง ทว่าก็มองไม่ถนัด จึงหันมาหาหญิงสาวพร้อมกับยกแขนขึ้น
“หม่ามี้อุ้ม”
แพรริศายิ้มอย่างเอ็นดู ก่อนก้มลงอุ้มคนตัวเล็กที่หัวเราะชอบใจเพราะได้เห็นปลาว่ายน้ำตัวเป็นๆ นี่เป็นครั้งแรกที่แพรริศาได้พาลูกชายออกมาดูชีวิตสัตว์โลกตัวเป็นๆ หลังจากที่เด็กน้อยเคยได้เห็นแต่ในจอทีวี
“อู้หู...ปานี้น่ารักจังเลย หม่ามี้ดูสิค้าบ” เด็กน้อยชี้นิ้วไปตามปลาการ์ตูนตัวเล็กที่ว่ายน้ำผ่านหน้าตัวเองไป ดวงตากลมแป๋วเบิกกว้างด้วยความกระตือรือร้นอยากรู้
แพรริศาเห็นลูกชายมีความสุขก็ยิ้มกว้าง
“ปลาครับ ไม่ใช่ปา ไหนลองพูดชัดๆ ดูสิครับ”
“ปลา...” เด็กชายพูดช้าๆ ซึ่งก็พูดได้อย่างชัดถ้อยชัดคำ “ปลามีหม่ามี้เหมือนน้องพอร์ชมั้ยค้าบ”
เด็กชายเอ่ยถามตามประสาเด็กช่างใฝ่รู้ ซึ่งแพรริศาก็ดีใจที่ลูกชายหัดตั้งคำถามกับสิ่งใหม่ๆ อันที่จริงน้องพอร์ชเป็นเด็กที่มีพัฒนาการเร็วเกินวัย แม้ว่าจะยังพูดไม่ค่อยชัดบ้างก็ตาม
“มีสิครับ ลูกปลาก็ต้องมีแม่ปลา เหมือนที่น้องพอร์ชมีหม่ามี้ไงล่ะครับ”
“แล้วปะป๊าล่ะค้าบ มีมั้ย”
น้องพอร์ชคงเคยได้ยินคำนี้จากในทีวี เพราะเธอยังไม่เคยสอนแกให้รู้จักคำนี้เลย ตลอดชีวิตของน้องพอร์ช แกมีแค่แม่คนเดียวซึ่งก็คือเธอเท่านั้น ส่วนพ่อของลูกชายนั้น ตอนนี้เธอไม่รู้จริงๆ ว่าเขาอยู่ที่ไหน จำชื่อไม่ได้ด้วยซ้ำ
“มีสิครับ มีแม่ปลาก็ต้องมีพ่อปลา”
“แล้วทำไม...ทำไมพอร์ชไม่มีปะป๊าเหมือนลูกปลาเลยอะค้าบ”
เด็กอาจจะถามไปเพราะความสงสัยและช่างสังเกต แต่คนเป็นแม่ได้แต่รู้สึกสะอึกอยู่ในใจ ไม่รู้จะตอบลูกว่าอย่างไรดีเลย เธอรู้อยู่แล้วว่าความช่างสงสัยของเจ้าตัวเล็กจะนำพาความลำบากใจมาให้เธอในสักวัน แต่วันนี้เธอยังไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนั้น เลยต้องเบนความสนใจของลูกชายไปจากเรื่องนี้
“เอ่อ...หม่ามี้ว่าเราไปดูปลาตู้นั้นกันดีกว่านะครับ หม่ามี้เห็นปลาน่ารักๆ เยอะแยะเลย”
เมื่อเด็กน้อยถูกผู้ใหญ่ชี้ชวนไปดูสิ่งที่น่าสนใจ แกก็ลืมเรื่องที่ได้ถามหม่ามี้เมื่อกี้นี้ไปเลย
หลังจากเดินดูสัตว์น้ำนานาชนิดที่อยู่ในอควาเรียมมาเกือบสองชั่วโมง น้องพอร์ชก็บอกแพรริศาว่าหิวข้าวแล้ว เธอจึงพาลูกชายออกมารับประทานอาหารในห้างสรรพสินค้า ซึ่งอควาเรียมที่เธอเพิ่งจูงมือลูกชายเดินออกมานั้นได้ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าสุดหรูใจกลางกรุงเทพฯ นั่นเอง
ซิงเกิ้ลมัมสาวที่มีหน้าตาอ่อนเยาว์กว่าวัยยี่สิบแปดปี จูงมือของลูกชายตัวอวบนิดๆ น่ากอดฟัดเป็นที่สุด เดินเข้าไปในร้านอาหารที่ราคาไม่แรงนัก ฐานะของแพรริศาไม่ได้ดีนัก เงินเก็บในบัญชีธนาคารก็ร่อยหรอลงทุกวัน เธอไม่ได้ทำงานอย่างจริงจังมาหลายปีแล้วนับตั้งแต่ที่คลอดน้องพอร์ช แต่ที่ประคองตัวมาได้เพราะมีเงินก้อนใหญ่จากการขายแหวนเพชรวงหนึ่งที่ไม่ใช่ของตัวเองด้วยซ้ำ เงินก้อนนั้นช่วยประทังชีวิตทั้งสองแม่ลูกมาสามปี และพอจะมีรายได้จากการขายของออนไลน์เป็นค่าขนมให้ลูกอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่มั่นคง และตอนนี้ลูกชายก็กำลังจะเข้าเรียนอนุบาลแล้วหญิงสาวจึงคิดจะกลับไปหางานทำอีกครั้งในวัยยี่สิบแปดปี ซึ่งตอนนี้ก็ได้ร่อนใบสมัครไปยังบริษัทต่างๆ บ้างแล้ว และรอให้มีสักบริษัทโทร.มานัดสัมภาษณ์
“อร่อยมั้ยลูก”
เธอสั่งชุดอาหารสำหรับเด็กมาให้น้องพอร์ช มือเล็กจับช้อนยังไม่ค่อยถนัดนัก แต่ก็สามารถตักอาหารกินเองได้ แกกำลังกินอย่างตั้งใจ
“อะหย่อยค้าบ”
มีข้าวเม็ดเล็กติดอยู่ที่มุมปากสีแดงเรื่อเป็นธรรมชาติของเด็กชาย เธอจึงเอื้อมมือไปหยิบมันออกให้ลูก แล้วตอนนั้นเองโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าของเธอก็ส่งเสียงเป็นดนตรีว่ามีสายเรียกเข้า เธอปล่อยมือจากแก้มกลมๆ อมชมพูของคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างกัน หันไปล้วงเอาโทรศัพท์ออกมาและพบว่าเป็นเบอร์ที่ไม่ได้บันทึกเอาไว้
พลันก็ตื่นเต้นเมื่อคิดว่าอาจจะเป็นสายมาจากบริษัทใดบริษัทหนึ่งที่จะเรียกให้เธอไปสัมภาษณ์งาน
“เงียบๆ ก่อนนะลูก อย่าเพิ่งพูดแทรกหม่ามี้ตอนนี้นะจ๊ะ” เธอบอกกับเด็กชาย อีกฝ่ายพยักหน้าอย่างว่าง่าย แล้วเธอจึงกดรับสาย
“สวัสดีค่ะ แพรริศาพูดสายค่ะ”
“สวัสดีค่ะ โทร.มาจากโรงแรม....นะคะ จะนัดให้มาสัมภาษณ์งานวันพฤหัสนี้ตอนบ่ายโมงค่ะ ไม่ทราบว่าสะดวกมั้ยคะ”
แพรริศารีบตอบรับทันทีอย่างไม่ต้องคิดเลย “ค่ะๆ สะดวกค่ะ”
ฝ่ายนั้นแจ้งข้อมูลกับเธอไว้ว่าต้องเดินทางมาอย่างไรและติดต่อใคร เมื่อนัดหมายเรียบร้อยแล้วก็วางสาย
“หม่ามี้จะได้ไปสัมภาษณ์งานแล้วครับ น้องพอร์ชดีใจมั้ยเอ่ย”
“ดีใจค้าบ!” เด็กชายชูมือขึ้นทั้งสองและยิ้มร่า แม้แกจะยังไม่ค่อยรู้เรื่องว่าการทำงานคืออะไรก็ตาม เธอคว้าศีรษะเล็กของเด็กชายเข้ามาจูบด้วยความดีใจประหนึ่งว่าได้งานทำแล้วอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากน้องพอร์ชอิ่มแล้ว เธอก็จูงมือลูกชายพาไปเลือกซื้อชุดสำหรับใส่ไปสัมภาษณ์งานในวันมะรืนด้วยความหวังว่าตนเองจะได้งานนี้ เนื่องจากเป็นโรงแรมที่มีชื่อเสียงติดอันดับต้นๆ ของกรุงเทพ เงินเดือนที่ประกาศไว้ในเว็บไซต์สมัครงานก็ค่อนข้างสูงทีเดียว เธอสมัครเป็นเลขานุการ ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับที่เธอเคยทำก่อนที่จะมีน้องพอร์ช
✿◕ ‿ ◕✿
สวัสดีค่า เจอกันอีกครั้งแล้วนะคะ สำหรับใครที่ติดตามมาจากเรื่อง 'ก็ว่าจะไม่รัก' ไรท์ก็ยินดีที่ได้เจอกันอีก ส่วนใครที่เพิ่งติดตามก็ขอฝากนิยายของปันแก้วด้วยนะคะ แวะไปอ่านเรื่อง ก็ว่าจะไม่รัก กันได้นะค้า
เรื่อง 'สามีของฉันคือท่านประธาน' ไรท์ยังเขียนไม่จบค่ะ เขียนไปอัพไปเพราะไม่อยากให้รอกันนาน และเป็นแรงผลักดันให้ขยันเขียนออกมาเร็วๆ ด้วยค่ะ ก็อาจจะมีคำผิด หรือพิมพ์ตกหล่นไปบ้างเนื่องจากยังไม่ได้ตรวจทานและรีไรท์ หากมีจุดผิดก็ต้องขออภัยด้วยนะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ชอบค่ะ
มมาในนี้
ขอให้แพรริศาได้งานด้วยเถิด จะได้มีตังค์มาเปย์ค่าขนมน้องพอร์ช
3ขวบเป็นประโยคเลยก็ขัดๆนีสหนึ่งนะคะ
รออ่านนะค่ะ
รอเลยคะ