ตอนที่ 6 : นางมาร บทที่ 5
บทที่ 5
ห้าปีต่อมา
จากเด็กสาวใส่ซื่อกลายร่างเป็นนางมารตัวน้อยในวัยสิบสามหนาว ส่อแววโฉมงามตั้งแต่อายุยังน้อยเป็นที่อิจฉา ของพี่สาวทั้งสองยิ่งนัก แม้หลี่ ฟางเซียนจะได้ชื่อว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งและยังได้เป็นคู่หมั้นขององค์ชายสอง แต่ก็ยังมีความริษยาที่มีให้ หลี่ ซูหนี่ว์ ตลอดเวลา
แม้จะไม่ได้ลงมือกลั่นแกล้งเองแต่ทุกครั้งที่ หลี่ ฟางซิน ผู้เป็นน้องสาวลงมือกลั่นแกล้งนางก็มักจะเป็นผู้สนับสนุนน้องสาวผู้นี้ทุกครั้ง ส่วนหลี่ ซูหนี่ว์ นั้นเบื้องหน้าใสซื่อแต่เบื้องหลังคือนางมารตัวน้อยคอยกลั่นแกล้งเอาคืนพี่สาวทั้งสองได้อย่างเจ็บแสบทุกครั้ง
ระยะเวลาห้าปีที่มานั้นซูหนี่ว์ ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่แต่ในมิติเพื่อฝึกฝนพลังปราณแล้วปรุงยาจนตอนนี้ยาที่นางมีมากพอที่จะใช้ได้หลายปีทั้งยาพิษระดับหนึ่งถึงระดับสิบ ทั้งยารักษาโรคต่างๆ ซ้ำตอนนี้ นางยังมีพลังปราณถึงขั้นเจ็ดได้เมื่อครู่ สามารถสื่อสารกับสัตว์อสูรได้แล้ว หลี่ ซูหนี่ว์ลืมตาขึ้นหลังที่พลังปราณตัวเองเลื่อนระดับ นางใช้เวลาฝึกฝนทุกวัน อย่างไม่ให้เสียเปล่า
ระดับเจ็ดข้ายังแข็งแกร่งไม่พอ!! นางรำพึงรำพันหากผู้ใดมาได้ยินคงต้องฆ่าตัวตายหนีนางไปแน่เพราะพลังปราณไร้ลักษณ์ระดับเจ็ดนี้สามารถต่อกรกับผู้มีพลังปราณระดับสิบได้อย่างสูสีแล้ว ร่างบางออกจากมิติก่อนจะเดินออกจากเรือนไปหาสาวใช้นาม ซื่อซื่อที่ออกท่าทางฝึกวรยุทธ์ อยู่ด้านนอกเรือน
เรื่องมิติและพลังปราณซูหนี่ว์ไม่ได้บอกใครแม้กระทั่งซื่อซื่อไม่ใช่ไม่ไว้ใจแต่นางเพียงอยากจะมั่นใจในตัวซื่อซื่อให้มากกว่านี้สักหน่อย ต่อให้ตอนนี้นางจะนับถือซื่อซื่อเป็นพี่สาวก็เถอะ
ซูหนี่ว์นางบอกเพียงแต่ว่าตนเองมีพลังปราณธาตุลม แต่ไม่รู้เหตุใดถึงไม่มีใครสามารถวัดพลังปราณนางได้ ตอนแรกซื่อซื่อไม่เชื่อ นางเลยแสดงวรยุทธ์ให้ซื่อซื่อดูโดยการใช้พลังงานจากลมควบคุมใบไม้ ซึ่งพลังปราณไร้ลักษณ์นี้มีส่วนคล้ายพลังธาตุลมอยู่หลายส่วน ทำให้ทั้งซื่อซื่อ และคนในจวนเชื่อว่านางมีพลังธาตุลมจริง แต่เรื่องนี้กลับรู้กันแค่ภายในจวนเท่านั้นเหมือนมีผู้ปิดปังเรื่องนี้ ซึ่งซูหนี่ว์ก็หาได้ใส่ใจไม่
“พี่ซื่อซื่อ ข้าหิวแล้วเราไปตลาดกันได้ไหม ข้าอยากไปกินอาหารที่โรงเตี๊ยมล่องนภา”
“ได้เจ้าค่ะ ขอเวลาพี่สักหนึ่งเค่อนะเจ้าคะ” กล่าวจบคำร่างบางปราดเปรียวของซื่อซื่อก็หายวับไปกับตา
อืม..ฝีมือพี่ซื่อซื่อพัฒนาไปอีกขั้นแล้วสินะวิชาตัวเบาของพี่ซื่อซื่อคงบรรลุถึงขั้นสูงสุดแล้ว ไม่เสียแรงที่ข้าแอบเอาน้ำมรกตมาใส่น้ำให้ดื่มบ่อยๆ ซูหนี่ว์คิดจบก็ใช้วิชาตัวเบาที่ซื่อซื่อเป็นผู้สอนให้พาร่างบางของตัวเองไปนั่งรออยู่ที่ศาลากลางน้ำใกล้ๆ กับเรือนนางวิชาตัวเบาของนางก็อยู่ในขั้นสูงสุดตั้งนานแล้ว
ก่อนผู้เป็นอาจารย์เสียอีก แต่ซูหนี่ว์ยังคงปิดบังไว้เช่นเดิมให้ซื่อซื่อรับรู้เพียงขั้นเก้าก็พอ ไม่อย่างนั้นนางคงได้ลมจับล้มพับเป็นแน่ เพราะตัวซื่อซื่อเองยังใช้เวลาในการฝึกหลายปีกว่าจะบรรลุแต่นางใช้เวลาเพียงสามปี
นั่งชมธรรมชาติเพียงไม่นานร่างสูงใหญ่ของใครบางคนก็ย่างเท้าเข้ามาอย่างแผ่วเบา ซูหนี่ว์ รู้ตัวอยู่ก่อนแล้วจึงแสร้งหันไปมองจึงพบกับบุรุษหนุ่มรูปงามใบหน้าหล่อเหลา ท่าทางองอาจ บุรุษผู้นั่นส่งยิ้มบางๆ ให้ซูหนี่ว์เมื่อเห็นนางหันไปมอง
“เสี่ยวเม่ยตัวน้อยเจ้ามานั่งทำอะไรคนเดียวตรงนี้รึ”
“ถวายพระพรองค์ชายสองเพคะ หม่อมฉันเสียมารยาทแล้ว”
บุรุษหนุ่มเอ่ยคำทักทายจบ ซูหนี่ว์ จึงรีบก้มลงคารวะองค์ชายสองด้วยความเสียมารยาทที่ไปจ้องพระพักตร์เสียนานสองนาน ถึงร่างนี้จะอายุเพียงสิบสามหนาว
แต่วิญญาณในร่างตอนนี้ปาเข้าไปจะสี่สิบแล้วเจอบุรุษหนุ่มหล่อก็มีเผลอตัวเป็นธรรมดา..อืมว่าที่สามีพี่หญิงใหญ่ช่างหล่อเหลาเสียจริง เพิ่งเห็นตรงๆ ก็วันนี้
“ลุกขึ้นเถิดไม่ต้องมากพิธี ข้าต่างหากที่เสียมารยาทมารบกวนเวลาของเจ้า”
“มิได้รบกวนอันใดเพคะ ข้าเอ่อ..หม่อมฉันเพียงมานั่งเล่นเท่านั้นไม่นานก็จะกลับเรือนแล้วเจ้าค่ะ เอ่อเพคะ”
“หึหึ..เด็กน้อยถ้ามันพูดลำบากมากนักพูดกับข้าธรรมดาก็ได้ยังไงซะอีกไม่นานเราคงได้เกี่ยวดองกัน”
องค์ชายสองหัวเราะในลำคอพลางเอ่ยกับซูหนี่ว์ด้วยคำสามัญด้วยความเอ็นดูเด็กสาวตรงหน้า นางคงจะเป็นบุตรีคนที่สามละมั้ง ช่างน่ารักน่าเอ็นดูสมคำร่ำลือ
“เอ่อ จะดีหรือเพคะ”
“เอาเป็นว่าแล้วแต่เจ้าจะสะดวกเถิดเจ้าคือบุตรีคนที่สาม หลี่ ซูหนี่ว์ใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ ข้าหลี่ ซูหนี่ว์” นางเอ่ยตอบออกไปพลางคิดถึงพี่หญิงใหญ่ไปอยู่ที่ใดเสียปล่อยบุรุษรูปงามไว้กับข้าสองต่อสองเดี๋ยวประจับกินเสียนี้
ชาติที่แล้วมัวแต่หลงไหลวิชาพิษ หมางเมินบุรุษจนเป็นสาวทื่อขึ้นคาน ชาตินี้ผู้ใดรูปงามข้าจะไม่ละเว้นแน่นอน หึหึหึ นางคิดอย่างขบขัน
“คารวะองค์ชายสองเพคะ เหตุใดองค์ชายเสด็จมาถึงแล้วไม่ให้บ่าวไปแจ้งแก่หม่อมฉันละเพคะ” เสียงหวานใสของ หลี่ ฟางเซียนดังขึ้น พร้อมปรากฏร่างบางระหงใบหน้ารูปไข่สวยงามสมกับตำแหน่งสาวงามอันดับหนึ่งของแคว้น
คิดถึงผี ผีก็มาไม่น่าเลยซูหนี่ว์เอ๋ย
“ซูหนี่ว์คารวะพี่หญิงใหญ่เจ้าค่ะ” ซูหนี่ว์เอ่ยคำคารวะแต่ไม่เพียงฟางเซียนไม่สนใจนางยังหันหน้าหนีหันไปจ้องมองคู่หมั้นตัวเองอีก
“องค์ชาย ทรงเสด็จไปเรือนใหญ่ดีกว่าไหมเพคะ ตรงนี้ร้อนนัก เซียนเอ๋อร์จะได้ให้คนเตรียมของว่างถวาย”
“อืม ไปสิ”
องค์ชายสองผู้หลงใหลสาวงาม เมื่อเห็นฟางเซียนเดินเข้ามาจึงเลิกสนใจเด็กสาวตัวน้อยตรงหน้าทั้งยังตามหลี่ ฟางเซียนไปโดยง่าย เอ่ยรับคำจบทั้งสองก็เดินจากไปทิ้งให้สาวน้อยยืนซื่อบื้ออยู่เพียงผู้เดียว
เพียงพ้นร่างของทั้งสองจากหน้าตาเด็กสาวซื่อบื้อจึงแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มร้ายกาจตามแบบฉบับนางมารน้อย คนหนึ่งก็หลงสาวงาม คนหนึ่งก็ร้ายกาจ ช่างเหมาะสมกันเสียจริง ซูหนี่ว์ใช้วิชาตัวเบารีบออกจากตรงศาลากลับเรือนทันทีด้วยความเหนื่อยหน่ายและหิวโหย
“เจ้ามันนางมารตัวน้อยดีๆนี่เอง” บุรุษชุดดำผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา พร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ ก่อนจะหายวับไปจากตรงนั้น
หนึ่งเค่อทำไมช้านักนะพี่ซื่อซื่อข้าหิวจะแย่แล้ว
“เม่ยเม่ยคนงาม พี่สาวผู้นี้มาแล้วเจ้าค่ะ”
“ทำไมนานนักละพี่ซื่อซื่อ”
“พี่สาวไปตบทรัพย์ท่านเสนาบดีกรมกลาโหมมาเจ้าค่ะ ได้เงินมาถุงใหญ่เชียวละ”
“พี่ซื่อซื่อละก็ ไปไถ่เงินท่านพ่อบ่อยๆ เกิดท่านพ่อไม่รักข้าขึ้นมาจะทำยังไงเจ้าคะ” ซูหนี่ว์เอ่ยกวนสาวใช้ของตนยิ้มๆ ท่านพ่อก็แปลกคนทำเหมือนจะไม่รักข้าแต่ขออะไรก็ให้ทุกสิ่งเสียนี่
“นายท่านรักคุณหนูจะตายไม่มีทางทิ้งขว้างคุณหนูหรอกเจ้าค่ะ”
“จ้า ไปกันเถอะข้าหิวมากๆ เลย” เอ่ยคำจบสองสาวจึงใช้วิชาตัวเบา ออกจากเรือนไป
-โรงเตี๊ยม ล่องนภา-
“เสี่ยวเอ้อ..จัดอาหารมาให้ข้าเหมือนเดิม”
“ขอรับแม่นาง รอสักครู่ขอรับ”
ภายในโรงเตี๊ยมใหญ่โตหรูหรามีที่นั่งถึงสามชั้นด้วยกัน ทั้งสองสาวนั่งอยู่ริมหน้าต่างในชั้นที่สอง เพราะชั้นที่สามราคาจะสูงกว่าและเป็นห้องรับรองส่วนตัว ซูหนี่ว์มักจะเลือกนั่งชั้นที่สองริมหน้าต่างที่โต๊ะประจำของตัวเองเพราะนางมักจะชอบผู้คนในตลาดแห่งนี้
เหมยเหมยเจ้าคนทรยศ เจ้าไปอยู่ที่ใดกันนะ รอข้าเลื่อนระดับให้แข็งแกร่งกว่านี้ก่อนเถอะ หนี้เลือดต้องชำระด้วยเลือดเท่านั้น ซูหนี่ว์ที่นั่งเหม่อลอยจนคิดไปถึงในชาติอดีต ความแค้นทำให้นางเผลอปล่อยพลังปราณออกมากดดันผู้คนโดยไม่รู้ตัว
“คะ..คุณหนู!” ซื่อซื่อ รีบเอ่ยเรียกสติคุณหนูของตนก่อนที่พลังปราณที่นางปล่อยออกมาจะทำร้ายผู้คนรอบข้างไปมากกว่านี้
นางไม่ตกใจที่คุณหนูเป็นแบบนี้ เพราะไม่ใช่เพียงครั้งแรกที่ซูหนี่ว์เผลอปล่อยพลังปราณออกมา ครั้งแรกที่ซูหนี่ว์เผลอปล่อยพลังปราณออกมาก็ตอนที่นางนึกถึงเรื่องในอดีตชาติ นางจึงอ้างกับซื่อซื่อว่าไม่รู้ตัวควบคุมพลังไม่ค่อยได้
“อ่ะ! ข้าขอโทษพี่ซื่อซื่อได้รับบาดเจ็บไหมเจ้าคะ” เมื่อมีสตินางจึงรีบเก็บพลังปราณของตนโดยไว
“ไม่เจ้าค่ะ..คุณหนูเลื่อนระดับหรือเจ้าคะพลังปราณที่ปล่อยมารอบนี้ดูแข็งแกร่งกว่าเดิมมากนัก”
“ใช่เจ้าค่ะ ข้าอุตส่าห์จะเก็บไว้ ทำให้พี่ซื่อซื่อแปลกใจเสียหน่อยนะหว้า..โดนจับได้ซะแล้ว”
“คุณหนูของพี่เก่งที่สุดแล้วเจ้าค่ะ”
“ข้าไม่ชอบให้พี่เรียกข้าว่าคุณหนูเลย ดูห่างเหินอย่างไรก็ไม่รู้”
“คุณหนู เราตกลงกันไว้แล้วนะเจ้าคะว่าอยู่ข้างนอกหรือต่อหน้าผู้อื่นต้องให้พี่สาวเรียกว่าคุณหนู”
“เอาเถอะตามแต่พี่จะสะดวกเลยเจ้าค่ะ..อาหารมาแล้ว ข้าหิวจนตาลายแล้ววว”
เมื่อทั้งสองรับประทานอาหารจนอิ่มหนำสำราญแล้ว ซูหนี่ว์จึงชวนสาวใช้กลับจวน แต่ในระหว่างทางเดินกลับซูหนี่ว์กลับได้ยินเสียงบางอย่างคล้ายกับเสียงขอความช่วยเหลือ
‘ช่วยด้วยท่านพี่..อย่าเอาลูกข้าไปนะ!!’
“พี่ซื่อซื่อ ถ้าได้ยินเสียงอะไรหรือไม่”
“ไม่ได้ยินนะเจ้าคะเสียงอะไรหรือ”
“เสียงมันดังมาจากในป่าทางด้านโน้น” นางว่าพลางชี้นิ้วเขาไปในป่าอสูรที่อยู่ห่างออกไป เสียงช่างน่าสงสารเหลือเกิน
‘ช่วยด้วย..ช่วยข้าด้วยยย’
“นี้ไงข้ายังได้ยินอยู่เลย พี่ซื่อซื่อเรารีบไปดูกันเถอะ!!” เอ่ยจบคำหลี่ ซูหนี่ว์จึงรีบทะยานตัวออกไปทันทีไม่ฟังคำทัดทานของซื่อซื่อแม้แต่น้อย จนสาวใช้ได้แต่ส่ายหัวอย่างปลงตกและรีบตามไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งโตยิ่งแสบนักนะคุณหนู
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ใครกันนะที่ร้องขอความช่วยเหลือน่ะ
ใสซื่อ ไม่ใช่ ใส่ซื่อ (ใส่เสื้อ ใส่ใจ)....ทื้อ ไม่ใช่ ทื่อ (ยืนตรงทื่อเหมือไม้บรรทัด)...ไถเงิน ไม่ใช่ ไถ่เงิน (ไถ่ทอน ไถ่คืน)