ตอนที่ 42 : นางมาร บทที่ 41
บทที่ 41
ชุดที่เธอสวมใส่แนบลู่ไปกับลำตัวครึ่งร่าง สัดส่วนจึงเด่นชัดขึ้น ซูหนี่ว์มองตัวเองอย่างไม่สบอารมณ์ พายุลูกเล็กๆ จึงปรากฏขึ้นรอบๆ ตัว พัดอาภรณ์ที่เปียกให้แห้งขึ้นมาเล็กน้อย แม้จะแอบหนาวนิดๆ แต่ก็ยังดีกว่ายืนตัวเปียกอวดรูปร่างตนเองกับสายตาผู้อื่นเช่นนี้ จากนั้นจึงทำเช่นนี้ให้กับศิษย์พี่ของตนด้วย เมื่ออาภรณ์แห้งจื่อเหยียนจึงก้มหัวขอบคุณศิษย์น้องตนเล็กน้อย แล้วจึงเริ่มประลองต่อ
เมื่อเห็นว่าผ่านไปแล้วหนึ่งชั่วยามซูหนี่ว์จึงคิดจัดการอีกฝ่ายขั้นเด็ดขาดเสียที เล่นด้วยมาสักพักแล้ว รากไม้เลื่อยมาตามดินก่อนจะแทงทะลุลาดประลองขึ้นมาจับมัดขาสองข้างของจื่อเหยียนไว้แน่น นางได้แต่ตกใจอย่างทำอะไรไม่ถูกคิดว่าอีกฝ่ายมีเพียงธาตุลม นางพยายามสลัดรากไม้ที่พันขาทิ้งแต่ดึงเท่าไหร่ก็ไม่ยอมหลุดเสียที มือบางเริ่มเรียกเข็มน้ำออกมาแต่กลับถูกรากไม้เลื่อยมาพันแขนทั้งสองข้างของตน ยึดดึงไว้แน่น ทำเอาเข็มน้ำที่ปรากฏหายไปในพริบตา พลังปราณขั้นห้าและขั้นหกต่างกันอยู่พอสมควร เพียงรากไม้ของปราณขั้นห้าไม่ควรยึดผู้มีปราณขั้นหกได้นานนัก
“ซูหนี่ว์ขอล่วงเกินศิษย์พี่แล้ว”
กล่าวจบซูหนี่ว์รวบรวมปราณไว้ที่มือ ก่อนจะซัดออกไปที่ท้องน้อยของอีกฝ่าย จื่อเหยียนเห็นดังนั้นจึงเกร็งพลังด้านรับ คิดว่าระดับปราณนางที่มากกว่าหนึ่งขั้นน่าจะไม่ทำให้เจ็บมากนัก
ผวัะ!
เสียงลมอัดเข้าที่ท้องอีกฝ่ายเต็มแรง ประจวบเหมาะกับที่ซูหนี่ว์ถอนรากไม้ออกร่างบางที่เกร็งพลังด้านรับก็กระเด็นออกจากสนามไป ทำให้ถูกปรับแพ้ แรงปะทะทำให้จื่อเหยียนจุกจนลุกไม่ขึ้นไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเก่งกาจถึงเพียงนั้น เสียงร้องเชียร์ก็ดังขึ้น ซูหนี่ว์โค้งคำนับเล็กน้อย เกินจะเดินไปช่วยพยุงให้ศิษย์พี่ของตนลุกขึ้น
เมื่อเดินไปใกล้ก็ได้ยินเสียงคนข้างสนามเอ่ยว่า นางโดนคลื่นน้ำของปราณขั้นหกซัดใส่แต่กลับไม่เป็นอะไรเลยหรือ?
ซูหนี่ว์ได้ยินดังนั้น เมื่อพยุงศิษย์พี่ขึ้นมาได้แล้วนางจึงกระอักเลือดออกมาคำโตคิดจะเสแสร้งก็ต้องเล่นใหญ่เสียหน่อยพี่ห้าสองนางมา
เมื่อคนทั้งสนามเห็นนางเองก็กระอักเลือดบาดเจ็บก็ยิ่งชื่นชมนางเข้าไปใหญ่ว่าตนเองก็บาดเจ็บหนักแต่ก็กลั้นใจสู้ ดึงพลังโจมตีเฮือกสุดท้ายจนพลิกชนะกลับมาได้ จบการประลองนี้ชื่อเสียงนางก็คงจะดังขึ้นไปอีกผิดจากที่คาดหวังไว้นัก
“ศิษย์น้องเป็นอะไรหรือไม่” จื่อเหยียนเอ่ยถามศิษย์น้องข้างกายที่กระอักเลือดออกมาคำโตอย่างเป็นห่วง แม้ตัวเองจะพ่ายแพ้แต่ก็นับว่าเจอคู่ปรับที่เกินคาดยิ่ง นางถูกใจศิษย์น้องผู้นี้นัก
“ไม่เป็นอะไรแล้วเจ้าค่ะ พลังปราณศิษย์พี่แข็งแกร่งยิ่ง” ซูหนี่ว์เอ่ยชมอีกฝ่าย ทั้งยังยกยิ้มให้เล็กน้อย แสดงสีหน้าอ่อนแรง
“เจ้าทำให้ข้าตกตะลึงหลายรอบยิ่งนัก”
“ข้าชนะได้เพราะศิษย์พี่ออมมือให้ข้าแล้ว” ซูหนี่ว์กล่าวอีกประโยคมือบางก็ยกเช็ดเลือดที่มุมปากอย่างลวกๆ นางกระอักเลือดจริงๆ ก็รู้แสบคอยิ่งนัก
“เรียกข้าว่าพี่จื่อเหยียนก็ได้” อีกฝ่ายกล่าวอย่างอารมณ์ดีแต่ก็นิ่วหน้าเล็กน้อยเพราะเจ็บท้องที่ถูกอัดมาเต็มแรง ขนาดเกร็งพลังต้านยังเจ็บเพียงนี้หากไม่เกร็งพลังต้านคงจะกระอักเลือดออกมาคำโตเป็นแน่
“เจ้าค่ะ พี่จื่อเหยียน ท่านก็เรียกข้าว่าซูหนี่ว์ก็ได้เจ้าค่ะ แต่ข้าว่าตอนนี้ พี่จื่อเหยียนไปใส่ยาก่อนดีหรือไม่” ซูหนี่ว์เอ่ยตอบอย่างเป็นมิตร พลางพยุงอีกฝ่ายไปที่โรงหมอ
ผลประกาศออกมาแล้วว่านางชนะ การแข่งอีกรอบจะจัดในอีกสองวันใจจริงก็อยากอยู่ดูการประลองต่อแต่เมื่อเห็นว่าศิษย์พี่ของตนนิ่วหน้าเจ็บท้องจนเดินไม่ไหวจึงคิดจะพาอีกฝ่ายไปโรงหมอก่อน นางจึงหันไปทางจินเฟิ่งโบกมือให้อีกฝ่ายรีบตามมา
เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จแล้วซูหนี่ว์ก็มุ่งตรงมาที่ถ้ำมิติของชินอ๋องในช่วงเวลาเดิม นางอยากเร่งฝึกฝนในเข้าสู้ระดับเจ้าจอมยุทธให้ทันก่อนจะหมดการศึกษานี้ หญิงสาวร่างบางเดินตรงเข้ามาที่ศาลาริมน้ำตกแล้วถือวิสาสะนั่งลงตรงข้ามกับชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์ที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว มือบางก็เอื้อมไปหยิบจอกชามารินให้ตัวเองอย่างคุ้นชิน
“หากเปิ่นหวางเห็นมันแตะต้องตัวหนี่ว์เอ๋อร์อีก เปิ่นหวางจะตัดแขนมันเสีย” เสียงเรียบนิ่งใบหน้าไร้อารมณ์เอ่ยขึ้นหลังจากที่หญิงสาวยกชาขึ้นจิบ แค่ก! ซูหนี่ว์ที่ได้ยินดังนั้นถึงกับสำลักออกมานิดๆ
“พี่เทียนหลง คิดมากไปแล้วเจ้าค่ะ” นางเอ่ยบอกใบหน้างามแต้มสีชมพูเล็กๆ อย่างขัดเขินในใจกับคำเรียกขานอีกฝ่ายที่ยังไม่ค่อยจะชินเสียเท่าไหร่
“หากเปิ่นหวางคิดมากกว่านี้ มือข้างนั้นคงขาดไปเสียแล้ว” ชายหนุ่มวางจอกชาลงพลางจ้องมองอีกฝ่ายด้วยอารมณ์คุกรุ่น ภายในอกรู้สึกร้อนวูบวาบอยากจะตีคนเสียให้ได้
“ไหน้ำส้มใบใหญ่แตกเสียแล้ว” ซูหนี่ว์เอ่ยพร้อมกับยิ้มบางๆ ไปให้คนตรงหน้า อารมณ์หึงหวงของชิงอ๋องทำให้นางเปิดหูเปิดตาเสียแล้ว
“หากเห็นอีกอย่าหาว่าเปิ่นหวางไม่เอ่ยเตือน” เสียงเย็นๆ เอ่ยออกมาอีกครั้งใบหน้าหล่อเหลาหันหน้าหนีหญิงสาวตรงหน้าไปอีกทางเพราะรอยยิ้มของนางเริ่มทำให้เขาคันในหัวใจยุบยิบ อยากจะจับมาตีก้นเสียให้หลาบจำว่าไม่ควรให้บุรุษอื่นมาแตะต้องตัวตามอำเภอใจ
“รับทราบเจ้าค่ะ ต่อไปหนี่ว์เอ๋อร์จะระวังตัวไม่ให้บุรุษมาแตะต้องตัวง่ายๆ ดีไหมเจ้าคะ” ซูหนี่ว์เอ่ยทีเล่นทีจริง แต่ในใจนางก็คิดว่าควรระวังตัวจริงๆ เพราะน้ำส้มไหนี้เหม็นกลิ่นเปรี้ยวเสียเหลือเกิน
“ดี แต่แน่นอนว่ายกเว้นเปิ่นหวาง หึหึ” เขาเอ่ยพลางหัวเราะในลำคอ ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มขึ้นเล็กๆ ความขุ่นข้องหมองใจเมื่อครู่หายไปหมดอย่างรวดเร็ว
“ไปฝึกปราณกันดีกว่าเจ้าค่ะ” ซูหนี่ว์พูดจบก็ลุกขึ้นหันหลังวิ่งออกจากศาลาทันที เห็นใบหูหน่อยๆ ขึ้นสีแดงนิดๆ เรียกรอยยิ้มจากชายหนุ่มที่นั่งอยู่ได้อีกครั้ง
สองวันผ่านพ้นไปในพริบตาเดียว ก็ถึงวันตัดสินการจัดอันดับวันสุดท้าย แปดคนผู้เข้ารอบ ยืนเรียงรายกันอยู่ที่ลาดกว้าง ทุกสายตาของศิษย์ในสำนักต่างจ้องมองด้วยความเลื่อมใส บ้างก็อิจฉาริษยา ผู้คนรอบทั้งแปดคนมีหญิงสาวเพียงผู้เดียวคือซูหนี่ว์ ทำให้นางยิ่งเป็นที่จับตามองยิ่งนัก
“คารวะท่านเจ้าสำนัก”
เสียงของศิษย์ทุกคนเอ่ยดังกึกก้อง เมื่อบุรุษผู้สวมหน้ากากอันเป็นเอกลักษณ์เดินมาประจำที่ เจ้าหน้าที่ประจำสำนัก ก็ขึ้นมายืนประจำที่เพื่อประกาศคู่แข่งขัน
“คู่แรกศิษย์ปีหนึ่ง ฉิง จินเฟิ่ง กับ มู่ อี้ตง คู่ที่สองศิษย์ปีหนึ่ง หลี่ ซูหนี่ว์ กับศิษย์ปีสอง หยาง ฉิงกวาง”
ประกาศการต่อสู้สองคู่แรกจบซูหนี่ว์ที่ได้รู้ว่าตนเองต้องประลองกับองค์ชายสี่ก็แอบดีใจเล็กๆ ที่จะได้ประลองกับองค์ชายแต่ก็อดที่จะเสียดายไม่ได้เพราะรอบนี้นางจำเป็นต้องแกล้งแพ้เสียแล้ว
“คู่ที่สาม ศิษย์ปีสอง ตง เสี่ยวถัง กับ ศิษย์ปีสาม หยาง จินเกอ คู่สุดท้ายศิษย์ปีสาม ฉิง จินไห่ กับ หยาง เหวินซือ”
สองคู่สุดท้ายถูกประกาศออกมา ซูหนี่ว์ก็จับจ้องไปที่ ศิษย์ปีสาม หยาง จินเกอ บุคคลที่นางรู้สึกคุ้นหน้าอยู่ไม่น้อย นางเพิ่งมารู้ว่าเขาคือองค์ชายสาม เมื่อไม่กี่วันก่อนแต่ตอนนี้ก็ยังนึกไม่ออกเสียทีว่าเคยเจอหรือไม่ ใบหน้างามหันมามองคู่ที่สี่คือ แม่ทัพฉิงกับองค์รัชทายาท คู่นี้นับว่าน่าสนใจที่สุดในบรรดาคู่ประลองเพราะทั้งคู่อยู่ในระดับสิบ การประลองน่าจะดุเดือดอยู่พอสมควร
การประลองให้เวลาหนึ่งชั่วยามเช่นเดิม การประลองถูกจัดคะแนนไว้แล้ว คู่แรกคือคู่ที่มีคะแนนในระดับเจ็ดและแปด ผู้ชนะจะได้อันดับเจ็ดผู้แพ้จะได้ระดับแปด ซูหนี่ว์เองก็เช่นกันหากแพ้จะได้อันดับหก หากชนะจะได้อันดับห้า ซึ่งวันนี้นางเองก็ตั้งใจมาแพ้
การประลองเริ่มทีละคู่ซูหนี่ว์และคนอื่นๆ จำต้องกลับไปนั่งที่เพื่อชมการประลอง การประลองเริ่มที่คู่แรก ฉิง จินเฟิ่ง กับศิษย์ปีหนึ่งอีกหนึ่งคน ทั้งคู่มีระดับพลังเท่ากัน คนหนึ่งธาตุน้ำแข็ง คนหนึ่งธาตุไฟ การต่อสู้ทั้งสองสูสีกันเป็นอย่างมาก ผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างไม่มีใครยอมใคร การต่อสู้โดยอาศัยพลังธาตุและพลังปราณ ทำให้ทั้งคู่ต่างก็ได้รับบาดเจ็บพอสมควร ในช่วงเวลาสุดท้ายก็เป็นจินเฟิ่งที่พลิกกลับมาเอาชนะได้ เขาอัดพลังใส่อีกฝ่ายจนกระเด็นตกลานประลองไป
การประลองคู่ที่สองเริ่มต้นอย่างต่อเนื่องทำให้นางไม่มีเวลาไปดูสหายอย่างจินเฟิ่ง ซูหนี่ว์ยืนประจันหน้ากับองค์ชายสี่ ใบหน้างดงามยกยิ้มเล็กน้อย พร้อมก้มตัวถวายพระพรอีกฝ่ายด้วยท่วงท่าชดช้อยงดงาม
“ถวายพระพรองค์ชายสี่เพคะ โปรดออมมือให้ศิษย์น้องผู้นี้ด้วย”
“ไม่ต้องมากพิธี อยู่ในสำนักเราก็ไม่ต่างจากสามัญชน เอ่ยเรียกศิษย์พี่ก็พอ” ใบหน้างามขององค์ชายสี่ตอบกลับมาอย่างทีเล่นทีจริง ใบหน้างามฉีกยิ้มกว้างจนซูหนี่ว์เผลอกลั้นหายใจไปหนึ่งเฮือก ข่าวว่าองค์ชายสี่เจ้าสำราญชมชอบสะสมหญิงงามเห็นทีว่าจะเป็นข่าวจริงเสียแล้ว
“เจ้าค่ะศิษย์พี่ ออมมือให้ศิษย์น้องผู้นี้ด้วย” ซูหนี่ว์เอ่ยอีกครั้งพลางเตือนสติตนเองว่าอย่าได้เผลอแสดงกิริยาไม่งามออกไปเชียว ไหน้ำส้มแตกคราวนี้น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ อีกฝ่ายเขาเป็นถึงอาหลานกัน
“เชิญศิษย์น้องลงมือก่อนเลย ข้าไม่ถนัดทำร้ายบุปผางาม” องค์ชายสี่เอ่ยเย้าแหย่จนซูหนี่ว์ได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ ไปให้ บุปผางามดอกนี้อยากพ่ายแพ้เป็นอย่างยิ่ง หากไม่ลงมือข้าจะแพ้ได้อย่างไร!
ซูหนี่ว์เริ่มลงมือโจมตีไปหลายกระบวนท่า ทั้งใช้ธาตุไม้และดึงธาตุลมมาใช้ ต่อหน้าผู้อื่นนางใช้ได้เพียงสองธาตุนี้เท่านั้น เพราะธาตุของนางไม่เหมือนผู้อื่น นางโจมตีองค์ชายสี่ไปหลายกระบวนท่าแต่ทุกครั้งเป็นการยั้งฝีมือไว้ถึงห้าส่วน หากไม่องค์ชายผู้นี้คนแพ้ไปตั้งแต่สามกระบวนท่าแรกแล้วไม่มัวแต่วิ่งหลบอยู่แบบนี้ จนซูหนี่ว์เริ่มจะเหนื่อยหน่าย ชายผู้นี้ไม่ยอมโจมตีกลับเสียทีแล้วแบบนี้จะจบอย่างไรเล่า!
“ศิษย์พี่ ท่านออมมือเกินไปแล้ว โจมตีกลับมาบ้างก็ได้เจ้าค่ะ” ซูหนี่ว์เอ่ยตอบกลับ ใบหน้างามเริ่มจะยกยิ้มไม่ออก คนผู้นี้เอาแต่วิ่งหลบทำตัวเหมือนลิงลม ยั่วโมโหเก่งเสียเหลือเกิน
“ข้าเพียงอยากดูฝีมือศิษย์น้องเพียงเท่านั้น ฝีมือเจ้านับว่าไม่แย่แต่ช้าไปเสียหน่อย” ชายหนุ่มเอ่ยบอกพร้อมกับส่งยิ้มยียวนกวนใจสาวงาม
ซูหนี่ว์ที่เล่นบทโจมตีอีกฝ่ายมากว่าครึ่งชั่วยามก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาจริงๆ มือบางข้างหนึ่งตวัดรากไม้ตบลงพื้นข้างกายชายหนุ่มที่พลิกหลบอีกครั้ง อีกมือก็เผลอซัดพลังปราณอัดกระแสลมไปเต็มแรงอย่างหงุดหงิดใจ
ผวัะ!! โครม!!
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

คำผิดจ๊ะ....ลานประลอง ไม่ใช่ ลาดประลอง....ลานกว้าง ไม่ใช่ ลาดกว้าง...ฉัวะ ไม่ใช่ ฉวัะ
ชนะแน่เลย งานนี้มีฮา
อยากดูน้องโชว์เทพ😊😊😊