ตอนที่ 40 : นางมาร บทที่ 39
บทที่ 39
อันฉีโค้งตัวให้อีกฝ่ายเล็กน้อยก่อนจะเดินกลับมานั่งข้างๆ ซูหนี่ว์และพี่ชายของตน แต่ดวงตากลมโต กลับจ้องมองไปที่สหายอย่างออดอ้อน พลางถกแขนเสื้อให้ซูหนี่ว์ดูแผลให้
“เจ็บใจจริงๆ ข้าไม่น่าพลาดเลย”
“กินเสียเดี๋ยวข้าทายาให้”
ซูหนี่ว์จับแขนอันฉีมาพลิกดูพบรอยถลอกยาวบาดแผลมีรอยไหม้จากการโดนของร้อน ทั้งยังมีเลือดซึมอีกด้วย นางส่งเม็ดยาสมานแผลระดับห้าไปให้อันฉีอย่างไม่หวงแหนทั้งที่แผลแค่นั้นใช้เม็ดยาระดับสามก็สามารถหายได้ ทั้งยังหยิบยามาทาให้สหายตนอย่างเบามือ
“ฉีเอ๋อร์เจ็บมากหรือไม่” เฉินคุนเห็นแผลที่แขนน้องสาวของตนก็รีบเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“เจ็บสิเจ้าคะ เจ้าทาอะไรให้ข้าอยู่หอมจัง” เอ่ยบอกพี่ชายตนเสร็จก็หันไปมองตลับยาในมือสหายที่กำลังส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกมา
“สีผึ้งทิวา ทาไว้จะได้ไม่มีรอยแผลเป็น ลดความแสบร้อนได้อีกด้วย” ซูหนี่ว์เอ่ยเสียงเรียบ
“ตัวเจ้าเป็นตู้ยาเคลื่อนที่หรือ” จินเฟิ่งเอ่ยถามอย่างสงสัย
เวลาเพื่อนคนไหนป่วยนางก็มักจะมียามาให้เสมอ ทำให้พวกเขาทั้งสามแทบจะไม่ต้องไปโรงหมอของสำนักเลย แม้ว่าบางครั้งอาจจะโดนขูดรีดจากนางก็ตามแต่ยาที่นางมอบให้นับว่าคุณภาพดีและราคาถูกอยู่มาก หากไปที่โรงหมอของสำนักนอกจากจะได้ยาคุณภาพกลางแล้ว ตอนเรียกเก็บเงินก่อนจบการศึกษายังต้องเสียแพงอีกด้วย
“เจ้าก็กล่าวเกินไป” ซูหนี่ว์เอ่ย พร้อมกับยื่นตลับยาในมือของตนให้อันฉีพกไว้ทาอย่างไม่เสียดาย
“ยาสมานแผลระดับห้า ความบริสุทธิ์เต็มสิบส่วน สามเม็ดหนึ่งพันเหรียญทอง สีผึ้งทิวากระปุกนี้ก็ห้าพันเหรียญทอง แต่ข้าใจดีไม่คิดเงินเจ้า เพราะข้าถูกใจฝ่ามือพิฆาตของเจ้ายิ่ง!” ซูหนี่ว์เอ่ยร่ายยาว
จนเฉินคุนประเดี๋ยวหน้าซีดประเดี๋ยวฉีกยิ้มอย่างร้อนๆ หนาวๆ เขานึกว่าจะโดนขูดรีดเงินเกือบหมื่นเหรียญทอง แน่นอนแม้ว่าคนใช้ยาจะเป็นน้องสาวเขาแต่คนจ่ายเงินยอมต้องเป็นเขาอยู่แล้ว
ราคาของยาจะขึ้นอยู่กับประเภทของยา ระดับและความบริสุทธิ์ ระดับยายิ่งสูงก็จะดีและแพง ส่วนความบริสุทธิ์ยิ่งมากราคาก็จะยิ่งแพงกว่าเดิม เพราะคุณภาพของโอสถจะดีกว่าโอสถที่มีความบริสุทธิ์น้อย โอสถระดับห้าขึ้นไปการจะหลอมให้มีความบริสุทธิ์เต็มสิบส่วนนั้นยากพอสมควรเพราะฉะนั้นเม็ดยาระดับห้าที่มีความบริสุทธิ์เต็มสิบส่วนจึงมีราคาแพงมากกว่าปกติ
“สหายข้านอกจากจะสวยแล้วยังใจกว้างถึงเพียงนี้ ฮ่าๆๆๆ” อันฉีเอ่ยอย่างถูกอกถูกใจกับสิ่งที่สหายตนเอง
เมื่อจบการประลองระดับชั้น เจ้าหน้าที่ก็เอาป้ายชื่อของแต่ละคนมาแขวนไว้เรียงตามลำดับ ลำดับหนึ่งของชั้นคือหลี่ ซูหนี่ว์ ระดับสอง ฉิง จินเฟิ่ง ส่วนจ้าว เฉินคุนอยู่อันดับหก จ้าวอันฉี ตกไปอันดับแปด แต่คะแนนที่สู้กับไป๋หลานของนางได้มากกว่าอีกฝ่ายเกือบสิบคะแนน นับว่าเป็นกลุ่มเดียวที่ติดหนึ่งในสิบทั้งกลุ่ม ทำให้ทั้งสี่คนเป็นที่จับตามองจากผู้คนรอบข้างมาก โดยเฉพาะซูหนี่ว์ นอกจากจะงามปานล่มเมืองแล้วความสามารถนางยังเป็นที่เรื่องลืออีกด้วยที่จัดการคนที่มีปราณขั้นเดียวกันในสามกระบวนท่า
เมื่อดูรายชื่อเสร็จทั้งสี่คนก็ตรงกลับที่พักทันทีเพราะต้องการที่จะพักผ่อน ซูหนี่ว์เองเมื่อมาถึงที่พักนางจึงนำเหมยอัปสรออกมาห้าดอก นำมาใส่ขวดโหลแล้วห่ออย่างดี เพราะแนบจดหมายให้พี่ใหญ่ว่า นำออกประมูล ก่อนจะเรียกอิงอิง ให้นำมันไปให้พี่ใหญ่อีกครั้ง
จากนั้นจึงเอาเหมยอัปสรออกมาอีกดอก แล้วนำมันมุ่งตรงไปหา เฉินคุนกับอันฉีที่นั่งจิบชากันอยู่ที่ศาลาด้านนอกที่ซูหนี่ว์เพิ่งสร้างขึ้น มือบางส่งมอบเหมยอัปสรที่อยู่ในโถงแก้วใส่ไปให้อันฉี ขนาดดอกเพียงครึ่งฝ่ามือตัวดอกสีชมพูเข้ม ทั้งยังส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกมา
“ทานเข้าไปแล้วเดินลมปราณช่วย มันจะช่วยขับสิ่งสกปรกภายในร่างกายเจ้าออกมา”
อันฉี และเฉินคุนจ้องมองไปที่ดอกเหมยอัปสรตรงหน้า มือเล็กที่ถืออยู่ถึงกับสั่นเล็กน้อย เพราะนางถึงสมุนไพรขั้นสูงอยู่เป็นธรรมดาที่จะอดตื่นเต้นไม่ได้ เพราะปกติยามที่ป่วยไข้หากไม่เป็นอันใดมากบิดายังซื้อเพียงสมุนไพรหรือยาระดับกลางให้เท่านั้น
“ขอบใจเจ้ามาก เพิ่งคุยกันเมื่อเช้าเย็นเจ้าก็หามาให้ได้แล้วหรือ” อันฉีเอ่ยเสียงสั่น
“เพียงส่งจดหมายไป ทางหอก็ส่งมาให้ข้าเลย”
“คุยอันใดกันอยู่ ดูหน้าเจ้าสิเฉินคุนเหตุใดชอบทำหน้าตาประหลาดนัก” จินเฟิ่งที่เดินตามมาทีหลังเอ่ยทัก ใบหน้าหวานส่ายหน้าเล็กน้อยอย่างเอือมระอา
“ก็ข้าตื่นเต้นกับเหมยอัปสร” เฉินคุนเอ่ยพลางรินชาให้จินเฟิ่งที่มานั่งร่วมโต๊ะด้วย
พอได้ยินว่าเหมยอัปสร จินเฟิ่งก็หันมาให้ความสนใจด้วยอีกคน ดวงตาเรียวฉายแววตื่นเต้นเล็กน้อย เมื่อจ้องมองสมุนไพรระดับสูงที่อยู่ในมือของอันฉี แม้ตัวเขาจะเคยเห็นสมุนไพรระดับสูงมาหลายชนิดแต่เหมยอัปสรนับเป็นสมุนไพรหายากชนิดหนึ่งจึงให้ความสนใจเป็นธรรมดา
“คนสวยของข้าสนใจสักดอกไหม” เฉินคุนเอ่ยแซว จินเฟิ่งจึงถอนสายตาจากดอกเหมยอัปสรหันมามองสหายตัวเองที่เอ่ยล้อเลียน
“แล้วสหายอยากกินน้ำแข็งสักถ้วยไหม” จินเฟิ่งเอ่ยเสียงเย็น จอกชาที่วางอยู่ตรงหน้าเฉินคุนก็กลายเป็นน้ำแข็งทันทีด้วยฝีมือของจินเฟิ่ง
“อากาศหนาวอยู่แล้วข้าขอจิบชาร้อนๆ เหมือนเดิมดีกว่านะ”
เฉินคุนตอบกลับคนตรงหน้า ทั้งยังส่งยิ้มหวานละมุนไปให้หวังประจบเอาใจ ทุกครั้งที่เขาล้อเลียน จินเฟิ่งมักจะตอบกลับด้วยการแช่แข็งเขาเสมอ แต่เจ้าตัวก็ไม่เคยเข็ด ยังคงตั้งมั่นที่จะเอ่ยชมเพื่อนของตนทุกครั้งที่มีโอกาส
“แกล้งผู้อื่นไปเถอะ อย่าลืมจ่ายเงินข้ามาด้วย” ซูหนี่ว์เอ่ยท้วง ใบหน้างามยกยิ้มน้อยๆ แววตาเจ้าเล่ห์ก็เริ่มทำงานอีกครั้ง
“เท่าไหร่หรือ” เฉินคุนเอ่ยถามอย่างร้อนๆ หนาวๆ เริ่มจะไม่ไว้ใจสายตาของซูหนี่ว์ เพราะนางมองเขาด้วยสายตาแบบนี้ทีไร เขาแทบจะหมดตัวทุกที
“มันยังไม่ออกประมูล ราคาตอนนี้คือแปดหมื่นเหรียญทอง ถ้าเข้าประมูลคงจะแพงยิ่งกว่านี้ แต่เพราะข้ารู้จักกับคนของหอจึงได้ราคาพิเศษ ห้าหมื่นเหรียญทองเท่านั้น” ทันทีที่ซูหนี่ว์พูดจบเฉินคุนก็ตัวแข็งค้างไปแล้วสภาพราวกับโดนจินเฟิ่งแช่แข็งไม่มีผิด
“มีปัญญาจ่ายไหมพ่อคนหล่อ หึหึ” จินเฟิ่งเอ่ยพลางหัวเราะในลำคออย่างสมน้ำหน้า ที่ไม่สอบถามราคาให้ดีก่อนจะสั่งซื้อ
ส่วนอันฉีนั้นหอบเหมยอัปสรวิ่งหนีเข้าเรือนไปแล้วตั้งแต่ได้ยินว่าราคาแปดหมื่นเหรียญทอง
“ข้า...ผ่อนได้หรือไม่” เฉินคุนตอบเสียงอ่อนๆ ราวกับวิญญาณหลุดออกไปแล้ว
“งั้นข้าส่งจดหมายไปเรียกเก็บกับเสนาบดีจ้าว ดีกว่า” ซูหนี่ว์เอ่ยพลางลุกขึ้นเดินตามอันฉีเข้าเรือนไป
“ไม่นะสหายยยยยยย”
ยามเฉิน (7.00-9.00) ของเช้าวันต่อมา นักศึกษาทั้งสามชั้นปีมารวมตัวอยู่ที่ลานประลองใหญ่ เบื้องหน้ามีที่นั่งสำหรับเหล่าอาจารย์เรียงราย บุรุษผู้สวมหน้ากากให้กลิ่นอายลึกลับเดินตรงมาด้วยท่าทางองอาจ เดินตรงมาหยุดยืนหน้าที่นั่งของตน
เหล่าอาจารย์และศิษย์ทั้งหลายจึงลุกขึ้นยืนโค้งคำนับ “คารวะท่านเจ้าสำนัก” เสียงดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ฝ่ามือหนาโบกไปมาสองครั้ง ทั้งหมดจึงยืนตัวตรงตามปรกติ บุรุษร่างสูงจึงนั่งลงตรงที่นั่งสำหรับเจ้าสำนัก ใบหน้าที่เผยเพียงครึ่งล่างนั้นเรียบนิ่ง สายตาก็จับจ้องไปยังเหล่านักศึกษาทั้งหลายด้วยความพึงพอใจ
เพียงไม่นาน เจ้าหน้าที่ก็เอ่ยเรียกชื่อผู้เป็นตัวแทนในการประลองทั้งสามสิบคนให้ออกมายืนในสนาม พร้อมทั้งเอ่ยเรื่องการจัดอันดับใหม่อีกครั้งว่ามีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เพราะเป็นการประลองรวมกันระดับพลังอาจต่างกันมากเกินไป เพื่อความสนุกจึงมีรางวัลสำหรับผู้ชนะเพิ่มขึ้นอีก
สิบอันดับแรกจะได้รับสิทธิ์เข้าออกสำนักได้ทุกเวลา อันดับสิบเอ็ดถึงสามสิบเข้าออกได้อาทิตย์ละสองครั้ง ผู้ที่ไม่ติดอันดับเข้าออกได้เดือนละสองครั้ง ผู้ชนะห้าอันดับแรก จะได้รับคะแนนเพิ่มห้าสิบคะแนน ผู้ชนะอันดับหนึ่งจะได้ทำพันธสัญญากับอสรพิษระดับสูงของสำนัก การแข่งขันในรอบแรก จะจับคู่ภายในชั้นก่อน ผู้ชนะสิบห้าคนแรกจึงจะมาแข่งขันต่อเพื่อจัดอันดับ
เมื่อฟังของรางวัลจบเหล่านักศึกษาก็หันหน้าสนทนากันอย่างให้ความสนใจ
ซูหนี่ว์ได้ยินดังนั้นจึงคิดอย่างสับสน ในคราแรกนางหวังติดเพียงหนึ่งในสามสิบเพื่อที่จะได้เข้าออกสำนักอย่างสะดวก แต่ดันจำต้องแข่งให้ติดหนึ่งในสิบถึงจะได้เข้าออกได้สะดวก เอาชนะรุ่นเดียวกันได้ไม่นับว่าแปลก แต่เอาชนะศิษย์พี่ได้จะนับว่าแปลกหรือไม่ คิ้วบางขมวดตีกันยุ่งไปหมด ถ้าจะติดหนึ่งในสิบก็ต้องประลองชนะศิษย์พี่อย่างน้อยหนึ่งคน
“เจ้าเครียดหรือ” จินเฟิ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างเอ่ยถามเมื่อเห็นสหายขมวดคิ้วยุ่งจนพันกัน
“ข้ากำลังใช้ความคิดนิดหน่อย” ซูหนี่ว์เอ่ยตอบ
สายตาก็จับจ้องไปที่ศิษย์ปีสองแล้วจึงจับสัมผัสปราณว่าอยู่ขั้นใดบ้าง ปีสองมีหนึ่งคนขั้นเจ็ด ขั้นหกห้าคน ขั้นห้าสี่คน ส่วนปีสาม ขั้นสิบสองคนคือองค์รัชทายาทกับแม่ทัพฉิง ซูหนี่ว์พยักหน้าขึ้นลงเบาๆ เพราะเป็นบุคคลที่นางรู้จักพอสมควร ขั้นเก้าหนึ่งคน ขั้นแปดเจ็ดคน
ซูหนี่ว์จ้องมองไปที่บุคคลที่อยู่ขั้นเก้าอย่างคุ้นตา ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งใบหน้าแม้จะไม่เรียกว่าหล่อเหลาจนเป็นที่จับตามองแต่ก็ดูงดงามอยู่หลายส่วน แต่ใบหน้านั้นดูคุ้นตานางอย่างบอกไม่ถูก ทั้งๆ ที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนก็ตาม ซูหนี่ว์ถอนสายตาออกมาจากเขาอย่างช้าๆ ในหัวก็ยังคิดไม่ออกว่าเคยเจอเขามาก่อนหรือไม่
ลานประลองถูกแบ่งออกเป็นหกลานเล็กโดยมีเชือกกันแบ่งไว้ ขนาดเท่ากับลานประลองเล็ก การประลองจะเริ่มพร้อมกันชั้นปีละสองคู่เพื่อไม่ให้เสียเวลา จับคู่โดยการเรียงลำดับคะแนนที่ใกล้กันๆและใช้เวลาประลองเพียงสองเค่อเท่านั้นเพื่อตัดสินผลแพ้ชนะ แต่ละจุดของลานประลองจะมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงกางม่านพลังไว้ไม่ให้คนภายนอกได้รับผลกระทบไปด้วย
_________________________
Talk 1
อยากจะใส่มุกว่ารับบัตรเคดิตไหมแต่ลืมไปจีนโบราณฮ่าๆๆๆๆๆ
สวัสดีนักอ่านใหม่และนักอ่านเก่านะคะ ตอนนี้เข้าสู่สองพันคนเรียบร้อยแล้ว
แต่คอมเม้นยังห้าร้อยอยู่เลยดูสิมันน่าน้อยใจไหม ฮึฮึ
นี่ก็ตอนที่สามสิบเก้าเข้าไปแล้ว เรื่องมันน่าเศร้ากระซิกกระซิก
_________________________
นักเขียน: พี่เฟิ่งอี้ ท่านต้องช่วยจัดการเรื่องนี้ให้ข้านะ // ทำเสียงออดอ้อนแบบน้องซูหนี่ว์
เฟิ่งอี้: อย่ามัวแต่คร่ำครวญ รีบกลับไปทำงานได้แล้ว
นักเขียน: แม้แต่ท่านก็ไม่คิดจะโอ๋ข้าหน่อยหรือ
เฟิ่งอี้: เด็กๆ ลากนางออกไปให้พ้นสายตาข้า!
นักเขียน: ม่ายยยยย ใจร้ายยยยย ข้าจะหาสามีใหม่ให้น้องซื่อซื่อออออออ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เม้นนี้มีค่าสองพัน
ดังน้นมาอัพไวไวน้าา
สู้ๆๆ รออ่านอยู่นะ
ไม่งอนดิ
สนุกมากเลยยยย
รอตอนต่อไปอยู่น้าาาา สู้ๆนะคะไรท์