ตอนที่ 38 : นางมาร บททีื 37
บทที่ 37
ซูหนี่ว์ที่วิ่งออกมาอย่างรวดเร็วนางไม่ได้กระโดดกลับขึ้นไปบนยอดหน้าผาเพื่อกลับที่พักแต่นางวิ่งไต่ทางเดินเล็กๆ ไปอย่างไม่รู้ตัว วิ่งมาได้สักพักจึงยืนหอบน้อยๆ อย่างไม่รู้ตัวว่าตนวิ่งมาไกลขนาดไหน
“ฝึกกำลังคนของเราไปถึงไหนแล้ว”
เสียงเข้มดังแว่วมาจากด้านบนหัวของซูหนี่ว์ เพราะตอนนี้นางยืนอยู่ใต้หน้าผา ซูหนี่ว์จึงรีบเก็บเสียงของตนอย่างมิดชิด ร่างบางก็ขยับเข้าไปใกล้กับเสียงนั้นอีกหน่อย
นางมองกลับไปตามทางที่ตอนวิ่งมาอย่างไม่ได้สติพลางคิดในใจว่าดีนะที่ไม่ตกลงไปตาย ทางทั้งเล็กและแคบ ไม่รู้วิ่งมาได้อย่างไร
“ห้าพันคนพร้อมรบขอรับ อีกหนึ่งหมื่นคนกำลังอยู่ในช่วงฝึกฝน และอีกห้าพันคนแฝงตัวอยู่ตามชายแดน” เสียงที่เอ่ยตอบนั้นทำให้ซูหนี่ว์ ตั้งใจฟังเข้าไปอีก
“ดี เตรียมคนให้พร้อม”
“ขอรับ” เอ่ยรับคำจบทั้งคู่ก็แยกย้ายหายไปกับความมืด
ซูหนี่ว์ที่แอบฟังอยู่เมื่อจับสัมผัสว่าไม่มีผู้ใดอยู่แล้วนางก็ค่อยๆ ไต่หน้าผาขึ้นไปด้านบนที่มีชายสองคนคุยกันเมื่อครู่ พื้นที่ด้านบนเป็นหน้าผาลานกว้าง เป็นพื้นที่ของเหล่าศิษย์ปีสาม นางจึงได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจว่าผู้ใดซ่องสุมกำลังคนไว้ถึงสองหมื่นคน
ตอนนี้เหตุการณ์ทางชายแดนปกติ หรืออาจจะมีอะไรที่มันมากกว่านั้น เมื่อสงสัยซูหนี่ว์จึงต้องหาคำตอบเผื่อสิ่งนี้มันอาจจะมีประโยชน์กับนางในอนาคต
ซูหนี่ว์ เร่งตรงกลับไปที่เรือนตนเองทางเดิมที่มา พอถึงเรือนนางจึงลงมือเขียนจดหมายสองฉบับ
'ตรวจสอบการซ่องสุมกำลังคน ตามชายแดน ข้าต้องการเพียงรู้ข่าว หากอันตรายให้รีบถอย'
'สืบหาคน จิน หลันเหมย อายุราวๆ สี่สิบหนาว'
เรื่องแรกนางไม่ได้คาดหวังมากนักการจะสืบหาเรื่องเหล่านี้นับว่าไม่ง่ายทั้งยังอันตราย ส่วนเรื่องที่สองตอนแรกนางตั้งใจจะสืบหาเองแต่ว่าในเมื่อต้องเข้ามาเรียนถึงเก้าเดือนนางจึงคิดว่าให้คนของนางสืบหาไว้คงจะดีกว่า หลังจากนั้นซูหนี่ว์จึงม้วนกระดาษและเรียกนกอินทรีอีกตัวออกมาจากในมิติ แล้วเอาจดหมายผูกติดไว้
'อิงอิง ข้าฝากจดหมายไปให้พี่ใหญ่ที่หอบุปผาหน่อยนะ'
'เจ้าค่ะนายหญิง แล้วข้าจะรีบกลับมา'
รับคำจบนกอินทรีระดับสูงก็บินออกไปทางหน้าต่างทันที ตัวมันก็ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นจากเดิม แล้วจึงหายไปในความมืดในยามราตรี ซูหนี่ว์ที่เหนื่อยมาทั้งวันแล้ววันนี้นางเข้านอนดึกกว่าปกตินัก นางจึงกลับเข้าไปนอนในมิติ เพื่อที่จะได้นอนนานขึ้นหน่อย
ปั้ง!! ปั้ง!! ปั้ง!! ปั้ง!! ปั้ง!!
ลูกธนูทั้งห้าพุ่งตรงเข้ากลางเป้าอย่างแม่นยำ ซ้ำบางลูกยังยิงทะลุจนเป้าแตกเพราะหญิงสาวร่างบางผู้น้าวคันศร ยิงธนูใส่พลังปราณไปไม่น้อย หญิงสาวร่างบางเดินลงจากลานยิงธนูแล้วโค้งคำนับให้อาจารย์ผู้ฝึกสอน
“ทำดีมากซูหนี่ว์”
อาจารย์หนุ่มเอ่ยชมศิษย์ตรงหน้าที่มีการพัฒนาการในเรื่องของการยิงธนูดีมากแรกเริ่มนางยังไม่แม่นยำเท่านี้ วันนี้เป็นวันสอบคัดเลือก การต่อสู้โดยใช้อาวุธ เพื่อส่งรายชื่อศิษย์ปีหนึ่งเข้าชิงการต่อสู้จัดอันดับของสำนัก
ตอนนี้คะแนนซูหนี่ว์นำเพื่อนๆ ขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง การคัดเลือกเด็กจากสี่สิบคนเหลือสิบคนเพื่อส่งเข้าประลองกับระดับชั้นปีสองและปีสาม ฟังดูเหมือนการเอาศิษย์ทั้งสามปีมาประลองกันเองจะดูไม่ยุติธรรมเท่าไหร่ แต่ว่าทางสำนักก็ไม่ได้คาดหวังให้ศิษย์ปีหนึ่งเอาชนะปีสองและสามได้อยู่แล้ว เพียงจัดขึ้นเพื่อไม่ให้มีศิษย์ออกนอกสำนักเยอะขึ้นเหมือนปีก่อนๆ เท่านั้น เพียงติดหนึ่งในสามสิบก็จะได้ออกนอกสำนักอยู่แล้ว
การคัดเลือกศิษย์จำนวนสิบคนจะนับการประเมินเป็นคะแนน การต่อสู้ด้วยอาวุธ การต่อสู้ด้วยพลังธาตุ การต่อสู้ด้วยอาวุธในวันนี้ซูหนี่ว์ เป็นผู้ทำคะแนนได้ดีที่สุดของระดับชั้นศิษย์ปีหนึ่ง ส่วนวันพรุ่งนี้จะเป็นการต่อสู้ด้วยพลังธาตุโดยจะมีการจับคู่เอาผู้ชนะมันแข่งกันเรื่อยๆ และจะจัดอันดับศิษย์ปีหนึ่ง อันดับสิบอันดับแรกจะได้เป็นตัวแทนเข้าประลองกับศิษย์พี่ ดังนั้นหมายความว่าเพียงติดสิบอันดับแรกของชั้นก็จะได้มีสิทธิ์ออกนอกสำนักแล้ว
ซูหนี่ว์จึงตั้งใจเป็นพิเศษ เมื่อแสดงฝีมือของตนเองแล้วนางจึงเดินกลับมานั่งข้างๆ สหายทั้งคู่ที่กำลังรอเรียกชื่อเพื่อขึ้นไปแสดงฝีมือของตน
“ฉิง ไป๋หลาน”
รายชื่อต่อมาที่จะได้ขึ้นแสดง การใช้อาวุธ คือบุคคลที่ซูหนี่ว์แอบหมายหัวเอาไว้ในใจ หญิงสาวร่างบางเดินขึ้นไปกลางลานประลองด้วยความมั่นใจเต็มสิบส่วน ใบหน้างามเชิดขึ้นเล็กน้อยทั้งยังปรายตามองมาทางซูหนี่ว์ ดวงตาฉายแววท้าทายอีกฝ่ายอย่างชัดเจนเพราะนางเลือกอาวุธธนูเช่นเดียวกัน
มือบางจับคันธนูและขึ้นสายอย่างมั่นคงแลดูสง่างาม ก่อนจะเริ่มยิงห้าลูกติดกัน
ปั้ง!! ปั้ง!! ปั้ง!! ปั้ง!! ปั้ง!!
ลูกธนูทั้งห้าพุ่งตรงเข้ากลางเป้าเช่นเดียวกันแต่ลูกสุดท้ายกลับเบี้ยวออกไปเล็กน้อยทำให้คะแนน ไป๋หลานถูกหัก ใบหน้างามฉายแววไม่พอใจเล็กๆ ก่อนจะเดินปึงปังลงจากลานประลองแล้วกลับเข้าไปนั่งกับสหายเช่นเดิม
“ไม่เก่งแล้วยังอย่างจะท้าทายผู้อื่น เป็นข้าคงมุดดินหนีแล้วไม่มานั่งเชิดคออยู่แบบนี้หรอก” อันฉีพูดพลางหันไปหัวเราะคิกคักกับซูหนี่ว์ที่เห็นดีเห็นงามด้วย
ซูหนี่ว์ยกยิ้มกวนๆ กลับไปให้ฝ่ายตรงข้าม จริงๆ ลูกสุดท้ายก็ตรงเข้าเป้านั่นแหละ แต่ที่มันเบี้ยวออกไปก็เพราะฝีมือซูหนี่ว์ที่บังคับลูกศรให้เบี้ยวเล็กน้อย ช่วยไม่ได้ละนะอยากมาท้าทายก็จัดให้ ฉายาข้าไม่ได้ซื้อมานะขอบอก หึหึ ซูหนี่ว์คิดอย่างสะใจ วิถีนางมารอย่างนางโกงเล็กน้อยเพียงนี้ทำไมจะไม่กล้าทำ
การประเมินต่อสู้โดยใช้อาวุธผ่านพ้นไปด้วยดี โดยกลุ่มของซูหนี่ว์ได้คะแนนสูงที่สุดเช่นเดิม อันดับหนึ่งคือซูหนี่ว์ อันดับสอง จินเฟิ่ง อันดับสาม เฉินคุน อันดับสี่ อันฉี จากนั้นทั้งสี่ก็กลับมาที่เรือนตนอย่างอารมณ์ดี เมื่อรับประทานอาหารฝีมือ จินเฟิ่งเรียบร้อยแล้ว ทั้งสี่จึงแยกย้ายกันไปเข้าห้อง
ซูหนี่ว์รอจนถึงยามห้าย (21.00-23.00) แล้วจึงเปลี่ยนชุดมุ่งตรงไปที่ถ้ำเพื่อฝึกพลังปราณเช่นเดิม ใบหน้านวลแดงเล็กน้อยเพราะคิดถึงเมื่อวานก็หน้าแดงขึ้นมาเสียดื้อๆ ในใจก็เต้นราวกับจะระเบิดหวังว่าวันนี้ชินอ๋องจะไม่ขอรางวัลแบบเดิมอีก
ร่างบางเดินเข้ามาในถ้ำสายตาจึงสอดส่องไปหาชายหนุ่มร่างสูงเป็นอันดับแรก พอเห็นว่าเขานั่งรออยู่ที่ศาลา จึงเดินเข้าไปหาอย่างเคยชิน
“คารวะชินอ๋องเจ้าค่ะ” นางเดินเข้าไปทักทายเข้าอย่างปกติ
ในหัวก็รีบลบภาพเมื่อวานออกอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าจะแสดงสีหน้าแปลกประหลาดให้คนตรงหน้าได้เห็น ชินอ๋องไม่ได้เอ่ยอะไรเพียงยกยิ้มทักทายดังปกติ จากนั้นทั้งคู่ก็ต่างคนต่างนั่งสมาธิฝึกพลังปราณอย่างเงียบๆ
ครึ่งชั่วยามผ่านไปชินอ๋องก็ลืมตาขึ้นแล้วหันไปมองหญิงสาวด้านข้าง เขาสัมผัสได้ว่าพลังปราณนางแปรปรวนยิ่งนัก ราวกับจะเลื่อนขั้น เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นตามใบหน้าหวานๆ แผ่นหลังบางก็เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ พลังปราณที่แผ่ออกมาก็กดข่มทุกสิ่ง แต่ดีที่ไม่เป็นผลกับชายหนุ่มข้างกาย
ใบหน้างามขมวดคิ้วอย่างเจ็บปวดร่างกายราวกับจะฉีกออกเป็นชิ้นๆ การเลื่อนระดับคราวนี้ สร้างความเจ็บปวดยิ่งนักหากผ่านไปได้ก็จะเลื่อนขั้นได้ หยาง เทียนหลงที่เห็นใบหน้างามเจ็บปวดก็รู้ดีถึงความเจ็บนั้น เพราะผู้ที่ถือครองธาตุพิเศษหากจะเลื่อนขั้นในระดับเก้าเข้าสู่สิบจะต้องอดทนกับความทรมานนี้ ชินอ๋อง นั่งลงด้านหลังซูหนี่ว์ มือหนาก็แนบไปที่หลังนางเบาๆ พลางถ่ายธาตุแสงให้เพื่อช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดที่เกิดขึ้น
“เด็กดีอย่าหลุดจากสมาธิเด็ดขาด” เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยเตือน เมื่อสัมผัสได้ว่าพลังปราณนางไม่คงที่มากๆ
ชินอ๋องยังคงถ่ายธาตุแสงให้หญิงสาวตรงหน้าเรื่อยๆ ใบหน้างามก็มีสีหน้าดีขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งผ่านไปสองชั่วยาม
ปัง!
เสียงเลื่อนระดับดังขึ้นในใจ พลังปราณที่แผ่ออกมากดดันรอบด้านก็สลายหายไป ซูหนี่ว์ค่อยๆ ลืมตาช้าๆ ตัวนางรับรู้ได้ถึงขุมพลังที่มากขึ้นกว่าเดิมถึงสองเท่า ทั้งผิวพรรณก็ยังดูเปล่งปลั่งขึ้นกว่าเดิมนัก เพียงเลื่อนจากเก้ามาสิบยังรู้สึกดีขนาดนี้หากเลื่อนเข้าสู่เจ้าจอมยุทธได้จะขนาดไหน นางคิดอย่างดีใจ ก่อนจะหันไปมองชายหนุ่มที่นั่งซ้อนหลังเพื่อช่วยถ่ายธาตุแสงบรรเทาอากาศเจ็บให้นาง
“ขอบคุณท่านมาก หากไม่ได้ท่านช่วยไว้ข้าคงทรมานมากกว่านี้” ซูหนี่ว์เอ่ยขอบคุณพลางยกยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างจริงใจ
ชินอ๋องเพียงพยักหน้า แล้วจึงล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อให้หญิงสาวตรงหน้า หัวใจพยัคฆ์เริ่มเต้นแรงกว่าปกตินักรอยยิ้มของคนตรงหน้าดูสง่างามกว่าทุกที ไหนจะใบหน้านวลที่ดูเปล่งปลั่งงดงามขึ้นเป็นเท่าตัว
“เจ้าดูงามขึ้น ข้าหวง” เขาเอ่ยออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ใบหน้านิ่งเฉยของชินอ๋องเริ่มขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างไม่พอใจ ส่วนผู้ฟังตอนนี้ก็เริ่มสำรวจตนเองว่าจริงอย่างที่ชายหนุ่มตรงหน้าเอ่ยหรือไม่ เมื่อเห็นผิวพรรณตนเองที่เปล่งปลั่งขึ้น ใบหน้าที่สะท้อนกับพื้นน้ำตกก็ดูหวานน่ามองกว่าเดิม นางก็กุมขมับเล็กๆ งามขึ้นก็ดีอยู่หรอก แต่งามขึ้นภายในคืนเดี๋ยวจะไม่เป็นที่สงสัยหรอกหรือ!
“ข้าสวยขึ้นกว่าเดิมจริงๆ ด้วย ทำอย่างไรดีเจ้าคะ” เมื่อคิดเองไม่ออกจึงหันไปขอความเห็นจากคนด้านข้าง
“บอกคนอื่นไปว่าตนเองเลื่อนขั้น” ชินอ๋องเอ่ยเสียงเรียบ
“จะดีหรือ ข้ามาอยู่เพียงสามเดือนเลื่อนขึ้นมาหนึ่งขั้นจะไม่เร็วไปหรือเจ้าคะ” ซูหนี่ว์คิดอย่างกังวล นางไม่อยากเป็นจุดเด่นมากนัก เพราะตอนนี้ก็เด่นมากพออยู่แล้ว
“งั้นเจ้ารู้จักดอกเหมยอัปสรหรือไม่” ชินอ๋องนิ่งเงียบไปสักพักก็เอ่ยขึ้นเหมือนคิดอะไรได้
“เหมยอัปสร”
ซูหนี่ว์ทวนคำพลางนึกถึงสมุนไพรชนิดนี้ เพียงชั่วจิบชาดวงตากลมโตก็เบิกกว้าง เหมยอัปสร สมุนไพรระดับสูงสรรพคุณช่วยชำระสิ่งสกปรกจากร่างกาย เสริมความงามให้ผิวเปล่งปลั่งในชั่วข้ามคืน สมุนไพรที่มีราคาสูงและหายากพอสมควร แต่ในมิตินางจำได้ว่ามีอยู่ด้วยแน่นอน
“เจ้าใช้ข้ออ้างนั้นแทนได้ ส่วนเหตุผลที่เจ้ามีดอกนั้นในครอบครองตัวแสบอย่างเจ้าคงคิดเองได้” เขาเอ่ยพร้อมยกยิ้มเล็กๆ
“ขอบคุณเจ้าค่ะ นี่ก็ดึกมากแล้วข้าขอตัว” ซูหนี่ว์เอ่ยพลางยืนขึ้นเตรียมจะวิ่งหนีเพราะนางรู้ว่ายังไม่ได้ให้ค่าตอบแทนอีกฝ่าย แต่ก้าวขาได้เพียงก้าวเดียวร่างบางก็ถูกดึงไปกระแทกหน้าอกแกร่งของอีกฝ่าย แม้เพียงกระแทกสัมผัสเบาๆ แต่นางก็รับรู้ได้ว่าภายใต้อาภรณ์นี้หน้าอกของพระองค์น่าจะแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อเป็นแน่
“ลืมรางวัลของเปิ่นหวางหรือไม่” เขาถามไถ่พลางเลื่อนใบหน้าหล่อเหลาดังเทพเซียนเข้าใกล้อีกฝ่าย
____________________________
Talk 1
เฟิงเอ้อ:พี่รอง
เฟิงซาน: พี่สาม
เฟิงซื่อ: พี่สี่
เฟิงอู่: น้องห้า
บทสัมภาษณ์
เฟิงซื่อ: พี่รอง พี่สาม เหตุใดเราจึงไม่มีบทแบบพี่ใหญ่กับน้องห้าบ้าง
เฟิงเอ้อ: เรามันเพียงตัวประกอบไง น้องสี่ ไปตั้งใจทำงานได้แล้ว กองกำลังของน้องเล็กจะต้องแข็งแกร่งที่สุด
เฟิงซาน: ใครว่าละพี่รอง น้องสี่ เราทั้งสามคนค่าตัวแพงและหล่อเหล่าที่สุดต่างหาก นักเขียนไม่มีปัญญามาว่าจ้างเรา
เฟิงเอ้อ: อาจจะจริงดังเจ้าว่า น้องสาม
เฟิงซื่อ: เราลองลดค่าตัวดีหรือไม่
เฟิงซาน: ไม่ พวกเราหล่อเหลาปานนี้ต้องขึ้นค่าตัวสิจะลดได้อย่างไร
นักเขียน: ค่าตัวชินอ๋องก็แทบจะหมดตัวแล้วพวกเจ้ายังคิดจะขึ้นค่าตัวกันอีกหรือ! งั้นก็รอให้หมดหล่อไปเลยค่อยมามีบทอีก เชอะ! ผู้ที่ไม่คิดค่าตัวมีเยอะนะขอบอก!
เฟิงเอ้อ เฟิงซาน เฟิงซื่อ (สุมหัวกันซุบซิบ)
:เราจับนางไปทรมานสักคืนดีหรือไม่
ชิ้ง!! ส่งแววตาอาฆาตไปให้พร้อมยกยิ้มเหี้ยมเกรียม
นักเขียน: เอ่อ...ข้าไปดีกว่า กรี๊ดดดดดปล่อยน้าาาาาาาา
และนักเขียนก็ถูกลากตัวไปด้วยประการฉะนี้แล
#ทอล์กยาวกว่านิยายไปอีกจ้าาาาา
#ใครอ่านมาถึงนี้น่ารักที่สุดในสามโลก
ฮ่าๆๆๆๆ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ต้องจ่ายค่าตอบแทนทุกคืน 555
ไรท์ตัดฉับเดี๋ยวหนี่ว์เอ๋อแอบไปให้รางวัลกันสองคนพวกเราเลยไม่ได้เห็นเลย น้องเลื่อนระดับอีกแล้วเก่งจริง ดีนะที่ชินอ๋องอยู่ใกล้ช่วยได้มากเชียว คู่สร้างคู่สม พระเจ้าประทานมา ขอบคุณค่ะ
น้องเตรียมรบกับพี่เต้รึ อะไรจะเร็วปานนั้น