ตอนที่ 34 : นางมาร บทที่ 33
บทที่ 33
“คุณชายรอง ฉิง จินเฟิ่ง เป็นน้องชายแท้ๆ ของแม่ทัพฉิง เพิ่งอายุสิบห้าหนาวจึงเข้าเรียนเป็นปีแรกเช่นพวกเรา” อันฉีเอ่ยออกมาอย่างลื่นไหล ไม่มีอะไรที่นางไม่รู้เสียจริง
“ยังมีคนสกุลฉิงอีกหรือไม่” ซูหนี่ว์เอ่ยถามอย่างเสียไม่ได้ เมื่อรู้ว่ามีสกุลฉิงโผล่มาอีกหนึ่งแล้ว
“เท่าที่ข้าสังเกตเห็นก็ไม่มีแล้วนะ” อันฉีตอบพลางหันซ้ายหันขวา
“ลำดับที่สามและที่สี่ มีคะแนนเท่ากันได้แก่ จ้าว เฉินคุน และ จ้าว อันฉี ได้ทั้งหมดสามสิบแต้ม” กล่าวจบทั้งคู่ก็ยืนขึ้นแสดงตัว พลางก้มหัวเล็กน้อยด้วยความดีใจ
“สี่อันดับแรก มารับชุดแล้วตาม เสี่ยวหยาง ผู้นี้ไป” เขาก็กล่าวพลางผายมือไปที่เจ้าหน้าที่ชายอีกคน ซึ่งเป็นคนเดียวกันกับที่ต่อว่าฉูจูที่เสียมารยาทใส่ซูหนี่ว์
ทั้งสี่คนก้าวเดินไปหาเขา สองคนดูท่าทางตื่นเต้น อีกสองคนดูนิ่งเฉย เมื่อเดินไปถึงซูหนี่ว์จึงรับชุดเครื่องแบบประจำสำนัก มีทั้งหมดหกชุดเป็นแบบเดียวกันทั้งหมดเลย อาภรณ์สีเนื้อดีสีดำปักลวดลายอสรพิษสีแดง
นางจ้องมองมันด้วยความพึงพอใจ ผิดกับสหายสาวที่อยู่ด้านข้าง นางไม่ค่อยชอบสีดำเสียเท่าไหร่ ไหนจะลายปักอสรพิษอีกแม้จะมีฝีเข็มงดงามแต่มันก็อดนึกถึงอสรพิษในเรือนกระจกเมื่อครู่ไม่ได้
นอกจากนี้ยังมีป้ายหยกประจำตัวให้คนละอัน ป้ายหยกแกะสลักลวดลายอสรพิษขนาดกะทัดรัดเหมาะมือมีพู่สีแดงห้อยยาว และสลักชื่อของแต่ละคนเอาไว้อย่างประณีต และทำงานกันได้อย่างรวดเร็ว เพราะรายชื่อผู้เข้ารอบเพิ่งจะรู้ผลประมาณหนึ่งชั่วยามเท่านั้น
เมื่อรับของเรียบร้อยทั้งสี่คนจึงเดินตามเสี่ยวหยาง บุรุษหนุ่มหน้าคมไปเรื่อยๆ เดินผ่านลานกว้างอีกสองแห่ง ล้อมรอบไปด้วยตึกสูงสี่ตึก
“ลานเมื่อครู่เป็นลานประลองใหญ่ ส่วนลานนี้เป็นลานประลองเล็ก หากพวกเจ้ามีเรื่องผิดใจกับใคร ให้เอ่ยคำว่าของท้าประลอง หากเขาตกลงก็ลากมาที่นี่ ทำการประลองให้รู้ผลแพ้ชนะ บาดเจ็บไม่นับ สลบปรับแพ้ ตายถูกไล่ออก ห้ามมีเรื่องใช้กำลังทะเลาะนอกลานประลอง ไล่ออกทั้งคู่” เสี่ยวหยางหยุดเพื่อเล่ากฎต่างๆ ให้ทั้งสี่คนฟัง แต่ละคนก็ฟังไปพยักหน้าไป
“ทั้งสี่ตึกนี้ใช้สำหรับเล่าเรียน ตึกนั่นคือตึกเป่ย ตั้งอยู่ทิศเป่ยเปียน* ตึกซี ตั้งอยู่ทางทิศซีเปียน ตึกตง ตั้งอยู่ทางทิศตงเปียน ตึกหนานตั้งอยู่ทางทิศหนานเปียน”
เขาพูดพร้อมกับชี้ไปที่ตึกทั้งสี่ที่ตั้งอยู่ล้อมรอบทั้งสี่ทิศ ก่อนจะเดินนำทั้งสี่คนไปทางแยกเล็กๆ เดินไปไม่นานก็เจอกับทางแยกอีกสี่ทาง มีป้ายชี้บอก เส้นทางแรกสำหรับนักศึกษาปีหนึ่ง ปีสอง และปีสาม ทางสุดท้ายเป็นของเหล่าอาจารย์และเจ้าหน้าที่ของสำนัก
เสี่ยวหยางเดินนำทั้งสี่ไปทางป้ายปีหนึ่ง ครู่ต่อมาก็ปรากฏ เรือนขนาดกลางตั้งอยู่เรียงราย ราวสิบเรือนแต่ละเรือนมีระยะห่างกันพอสมควร กันแยกกันด้วยต้นไม้สูง ราวกับแบ่งรั้วเรือนใครเรือนมัน
“เราจะแบ่งเป็นสิบกลุ่ม กลุ่มละสี่คน พวกเจ้าคือกลุ่มแรก มีสิทธิ์ได้เลือกเรือนก่อน” เขาเอ่ยต่อพลางผายมือให้ทั้งสี่คนได้เดินดู
“หมายความว่าเราจะต้องอยู่ด้วยกันหรือเจ้าคะ” อันฉีเอ่ยถาม
“ใช่ ทำความรู้จักกันไว้ให้ดี เจ้าจะต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน ทำกิจกรรมร่วมกัน เรียนกลุ่มเดียวกันตลอดทั้งปีนี้ ปีสองและปีสามถึงจะจับกลุ่มเองได้ เอาละเลือกเรือนเถอะ แต่ถ้าจะให้ข้าแนะนำ เรือนสุดท้ายตรงนู้น แม้จะไกลไปหน่อยแต่นับว่าเป็นเรือนที่ดีที่สุด อยู่ติดกับหน้าผา เป็นเรือนที่ใหญ่ที่สุดและบรรยากาศดีที่สุด ทั้งเนื้อที่รอบๆ เรือนยังกว้างขวางกว่าเรือนอื่นอีกด้วย เป็นเรือนที่กลุ่มแรกมักจะได้ครอบครอง”
“งั้นเราไปดูกันเถอะ” ซูหนี่ว์เอ่ยบอก
ทั้งห้าคนจึงใช้วิชาตัวเบาเพื่อจะได้ไม่เสียเวลา เรือนอยู่ท้ายอยู่ห่างกับทางเข้าถึงสองลี้ แต่ก็ไม่ได้มีปัญหากับผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหลายอยู่แล้ว
ภาพของเรือนที่ปรากฏแก่สายตาของคนทั้งสี่ทำให้เขาพยักหน้าตกลงกันเป็นเสียงเดียวว่าเลือกเรือนนี้ เรือนขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ มีต้นไม้ล้อมรอบเป็นรั้วขนาดสูง ดูเป็นส่วนตัว
มีหน้าผาอยู่ด้านหลังของเรือน พื้นที่ด้านหลังเรือนกว้างขวาง ภายในเรือนด้านหน้าจะเป็นห้องรับรอง ด้านซ้ายจะเป็นห้องครัว และโต๊ะสำหรับไว้รับประทานอาหาร มีอุปกรณ์ทุกอย่างครบครัน ด้านขวาจะเป็นเหมือนห้องหนังสือ มีโต๊ะสี่โต๊ะอยู่คนละมุม ทั้งยังมีชั้นหนังสือวางเรียงราย
ด้านหลังของเรือนจะเป็นห้องพักสี่ห้องเรียงติดกัน ทั้งสี่ห้องมีระเบียงไว้ชมความงามของหน้าผาที่มีหมอกปกคลุมเป็นสีขาว ห้องอาบน้ำมีสองห้องแยกห่างจากกัน ห้องหนึ่งอยู่ทางซ้ายสุดของเรือนพัก อีกห้องอยู่ทางขวาสุด ภายในมีบ่อน้ำขนาดใหญ่ไวตักเติมน้ำเพื่ออาบในอ่างไม้ แม้จะอยู่รวมกันชายหญิง แต่ก็แบ่งแยกไว้อย่างจัดเจน เมื่อชมความงามของเรือนเสร็จแล้ว ทั้งสี่คนก็เดินออกมาหาเสี่ยวหยางที่นั่งรออยู่ที่ห้องรับรอง
“ข้ามีนามว่าเสี่ยวหยาง จะเป็นที่ปรึกษาของพวกเจ้าทั้งสี่คนตลอดปีการศึกษานี้ หากมีปัญหาใดก็ให้มาปรึกษาข้า กฎของสำนักข้อสำคัญคือห้ามทะเลาะวิวาท ส่วนข้ออื่นๆ อยู่ในหนังสือในห้องหนังสือด้านขวา พวกเจ้าลองไปอ่านฆ่าเวลาดู และมีอีกเรื่องทุกสามเดือนจะมีการต่อรองเพื่อจัดอันดับ ปีนี้ปรับเปลี่ยนกติกาเล็กน้อย จะจัดอันดับสามสิบอันดับ โดยจะมีการประลองของแต่ละชั้นปี จัดสิบอันดับของแต่ละปี นำทั้งสามปีมาประลองกัน ผู้ที่ติดหนึ่งในสามสิบ จะมีสิทธิ์เข้าออกสำนักได้ตลอดเวลา หากไม่อยู่ในสามสิบอันดับจะเข้าออกต้องลงชื่อทุกครั้งและ ไม่เกินสองครั้งต่อเดือน ปกติเราจัดอันของแต่ละชั้นปีแต่ปีนี้เป็นปีแรกที่เราปรับเปลี่ยนกฎใหม่ เอาละพวกเจ้าก็ไปทำความรู้จักกันไป ข้ายังต้องไปตรวจดูปีสองและปีสามอีกสักเล็กน้อย เจอกันพรุ่งนี้ ขอตัว”
“ขอบคุณท่านที่ปรึกษา” ทั้งสี่เอ่ยคารวะ
เมื่อเขาเดินออกไปแล้วจึงหันไปมองหน้าของสหายร่วมห้องคน สามคนรู้จักกันดีอยู่แล้ว เหลืออีกหนึ่งคนผู้มาใหม่
“ข้าจ้าว เฉินคุน ส่วนนี้น้องสาวฝาแฝดของข้า จ้าว อันฉี ส่วนคนนั้น หลี่ ซูหนี่ว์” เฉินคุนหันไปเอ่ยแนะนำตัวกับสหายร่วมเรือนคนใหม่ อันฉีกับซูหนี่ว์ก้มหัวให้อีกฝ่ายเล็กน้อย
“ข้า ฉิง จินเฟิ่ง เรียกข้าว่าจินเฟิ่งก็ได้” เขาเอ่ยใบหน้าหวานละมุนยกยิ้มเล็กน้อย
ทำให้ทั้งสามที่เห็นรอยยิ้มของเขาถึงกับดวงตาพร่ามัว เห็นคนทั้งสามจ้องเขาไม่วางตาเขาจึงหุบยิ้มลงในทันที
“เอ่อ ขออภัย” ซูหนี่ว์เอ่ยอย่างแก้เขิน
“ไม่เป็นไรข้าเข้าใจ” เขาเอ่ยพลางพยักหน้าขึ้นลง
ไม่ว่าใครที่เห็นรอยยิ้มของเขาครั้งแรกก็มักจะพากันจ้องมองเช่นนี้จึงทำให้เขามักทำใบหน้าเฉยชาไม่ค่อยยิ้มแย้มสักเท่าไหร่ ใบหน้าเขางดงามเหมือนมารดา ต่างจากพี่ชายที่ได้ความหล่อเหลาจากบิดามาเต็มร้อย
“อยู่กับพวกเราเจ้าไม่ต้องอึดอัดหรอกนะ ยิ้มได้บ่อยๆ ให้พวกข้าชินกันไปเอง” อันฉีเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใส ที่กลุ่มนางมีคนรูปงามเป็นอาหารตา
จินเฟิ่งชายผู้มีใบหน้างดงามหวานหยดย้อย ซูหนี่ว์ดวงหน้าก็งดงามไม่แพ้กัน พี่ชายนางแม้จะมีคิ้วที่คมเข้มแต่หากดูรวมๆ ก็มีใบหน้าหวานนิดๆ ดูน่ารัก ส่วนอันฉีเองก็มีใบหน้าน่ารักราวกับตุ๊กตา นับว่าเป็นเรือนที่รวมคนงามมาอยู่ด้วยกันชัดๆ
“อืม” เอ่ยจบคำทั้งสี่ก็แยกย้ายไปห้องนอนของตนเอง
ห้องของจินเฟิ่งซ้ายสุด ถัดมาเป็นเฉินคุน อันฉี แล้วซูหนี่ว์อยู่ขวาสุด ซูหนี่ว์เดินมาทิ้งตัวนอนลงที่เตียงอย่างเหนื่อยอ่อน นางใช้พลังปราณไปพอสมควรกับการควบคุมสัตว์อสูรระดับสูง ซูหนี่ว์จึงเข้าไปทำสมาธิในมิติพร้อมทั้งดื่มน้ำแร่มรกตเพื่อฟื้นฟูพลังปราณ
คราวก่อนที่นางควบคุมมนุษย์แล้วกระอักเลือดเพราะว่านางเข้าแทรกแซงใส่ความคิดให้อีกฝ่ายพร้อมกันถึงสองคน การแทรกแซงความคิดต้องใช้พลังเป็นอย่างมากกว่าการควบคุมจิตใจนักหากอยากจะทำให้ได้นานและดีกว่านี้นางก็ต้องเลื่อนขึ้นขั้นสิบให้ได้
นางติดอยู่ขั้นเก้ามาหนึ่งปีเต็มแล้ว ทั้งบำรุงทั้งฝึกพลังก็ยังไม่เลื่อนอันดับเสียที สองเค่อต่อมาซูหนี่ว์จึงลืมตาขึ้นแล้วลุกขึ้นเพื่อไปห้องหนังสือเวลานี้ยามเซิน (15.00-17.00) นางกะว่าจะเข้าไปอ่านกฎต่างๆ ของสำนักเสียหน่อย ร่างบางเดินเข้ามาในห้องหนังสือ ที่มีบุรุษหนุ่มหน้าหวานนั่งอยู่ก่อนแล้ว นางก้มหัวทักทายอีกฝ่ายเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปนั่งโต๊ะแล้วยกหยิบกฎของสำนักขึ้นมาอ่านเงียบๆ
สำนักหยงฟู่ ไม่แบ่งแยกเพศชายหญิง ไม่แบ่งชนชั้น ทุกคนที่เข้าเรียนจะมีสิทธิ์เท่าเทียมกันทุกอย่าง ทั้งยังนับถือผู้ที่มีความสามารถ กฎข้อห้ามมีไม่มาก
หนึ่ง ห้ามทะเลาะวิวาทนอกเขตประลอง
สอง ห้ามคร่าชีวิตกัน
สาม ห้ามทำเรื่องเสื่อมเสียต่างๆภายในสำนัก
สี่ ห้ามดื่มสุราภายในสำนัก
ห้า ห้ามแย่งชิงผลงานของผู้อื่น
ห้าข้อสำคัญผู้ใดฝ่าฝืนไล่ออกทันที กฎสำนักยังมีอีกหลายข้อแต่บทลงโทษนั้นเพียงเล็กน้อยไม่ถึงกับไล่ออก ซูหนี่ว์พลิกอ่านไปเรื่อยๆ จนถึงบทเรียน จะเรียนทั้งหมดหกวัน เรียนร่วมกันสี่วัน วิชาที่ความรู้หนึ่งวัน วิชาสมุนไพรหนึ่งวัน วิชาต่อสู้ด้วยอาวุธสองวัน อีกสองวันแยกเรียนตามธาตุ ใครที่มีมากว่าหนึ่งธาตุก็จะต้องแบ่งวันเรียน และวันหยุดหนึ่งวัน
“ซูหนี่ว์ เจ้าทำอาหารเป็นหรือไม่ มีคนเอาวัตถุดิบอาหารมาส่งเขาแจ้งว่าพวกเราต้องทำอาหารทานกันเองในมื้อเย็น มื้อเช้าและกลางวันทานที่โรงอาหารของสำนัก”
อันฉีวิ่งพรวดพราดเข้ามาให้ห้องหนังสือแล้วเอ่ยตอบด้วยสีหน้าเป็นกังวลเพราะนางกับพี่ชายทำอาหารไม่เป็นคงได้แต่ฝากความหวังไว้ที่สหายสาวผู้นี้เสียแล้ว ซูหนี่ว์วางหนังสือลงบนโต๊ะพลางสบตากับอันฉีที่จ้องมองนางอย่างมีความหวัง
“ข้า...”
* ทิศเป่ยเปียน / ทิศเหนือ
** ทิศซีเปียน / ทิศตะวันตก
*** ทิศตงเปียน / ตะวันออก
**** ทิศหนานเปียน / ทิศใต้
น้องทำอาหารเป็นไหมให้ทาย????
รักทุกคนนนน
#นักอ่านผู้น่ารัก
#นักอ่านผู้เจิมเก่ง
#และสวัสดีนักอ่านใหม่ที่อ่านรวดเดียวมาถึงตอนนี้ใครยังไม่เคยคอมเม้นจัดการเดี๋ยวนี้เลยนะ
นักเขียนผู้นี้ต้องการกำลังใจรัวๆ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ขอ ไม่ใช่ ของ
ไม่แน่ๆ 55555
จะทำได้ไหมน้อออ
น้องหนีไปปปปปก่อนนน