ตอนที่ 32 : นางมาร บทที่ 31
บทที่ 31
“ฉิง ไป๋หลาน เจ้าเป็นแค่บุตรสายรอง ซ้ำบิดาเจ้ายังเป็นเพียงพ่อค้า” อันฉีเอ่ยเสียงเย็นอย่างไม่ไว้หน้าอีกฝ่ายเพราะนางทน ไป๋หลานมาตั้งแต่เอ่ยวาจารังแกสหายของตนตั้งแต่ช่วงเช้าแล้ว
“เจ้า!!”
ไป๋หลานที่ได้ยินดังนั้นหน้าตาก็ยิ่งบิดเบี้ยวขึ้นไปอีก สหายสองคนที่ยืนด้านข้างก็ได้แต่กำมือแน่นราวกับโดนดูถูกไปด้วย เพราะทั้งคู่นั้นมีบิดาเป็นพ่อค้าเช่นเดียวกัน บิดาของทั้งสามแม้จะเป็นพ่อค้าแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองไม่น้อย เป็นที่รู้จักดีในเมืองหนานเปียน ซูหนี่ว์ที่ได้ยินสหายเอ่ยดังนั้นจึงยกยิ้มมุมปากด้วยความพอใจ ทั้งยังก้าวเข้าเท้าเดินเข้าหาทั้งสามคนนั้นอย่างช้าๆ พลางแผ่พลังปราณเข้มข้น ออกมากดดันจนหญิงสาวทั้งสามตรงหน้าใช้พลังต้านไว้ไม่อยู่จนต้องคุกเข่าลงตามแรงกดดัน
“ที่แท้ก็เป็นเพียงหมาที่แอบอ้างบารมีเสือ หึ” ซูหนี่ว์หยุดยืนตรงหน้าทั้งสามพลางเอ่ยออกมาด้วยใบหน้านิ่งเรียบ
“จะ..เจ้า!!” ไป๋หลาน เอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก ภายในใจก็ยิ่งตื่นตระหนกไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะมีพลังปราณขนาดกดข่มตนและเพื่อนได้ถึงขนาดนี้
“ข้าไม่ชอบเรื่องวุ่นวาย นี่เป็นแค่การเตือนเท่านั้น หากเจ้ายังคิดหาเรื่องข้าอีก เจ้าจะได้รู้ว่าข้าสามารถทำอะไรได้บ้าง” เอ่ยจบซูหนี่ว์ก็ตวัดมือตบไปในอากาศอย่างรวดเร็ว
พรึ่บ!!
“กรี๊ดดดดด” เสียงกรีดร้องทั้งสามประสานเสียงกันอย่างน่าหนวกหู พร้อมกับร่างทั้งสามที่ปลิวกระเด็นไปกองอยู่ข้างทาง เมื่อไม่มีอะไรขวางทางเดินซูหนี่ว์จึงหันไปหาสหายทั้งสองที่กำลังยืนอ้าปากค้าง แล้วกวักมือเรียกให้เดินตามมา
“เจ้าทำได้อย่างไร” อันฉีเอ่ยถามอย่างสงสัย แต่เฉินคุนกลับยิ้มอย่างหวาดๆ นี่แค่ธรรมดานะน้องสาวสิ่งที่เขาเคยเห็นแล้วคงได้อึ้งยิ่งกว่านี้เป็นแน่
“พลังปราณ ผสานกันลมก็แค่นั้น”
ซูหนี่ว์เอ่ยพร้อมกับหันไปยิ้มให้กันอันฉีและหันไปยกคิ้วใส่เฉินคุน แล้วทั้งสามก็เดินเข้าไปในสำนักศึกษาที่มีผู้คนรออยู่บ้างประปราย กลุ่มนักศึกษาใหม่ซูหนี่ว์มาถึงเป็นอันดับที่ห้า นางเดินไปนั่งที่พร้อมกับสหายอย่างเรียบร้อยภายในใจก็ยกยิ้มอย่างสะใจที่ได้เอาคืนคนพวกนั้นไปเล็กๆ น้อยๆ ปานนี้ไป๋หลานคงจะนอนกรีดร้องที่ขยับไม่ได้อยู่เป็นแน่เพราะนางแอบซัดเข็มพิษใส่ขาของไป๋หลาน พิษอัมพาตตัวเดียวกับที่แม่ทัพฉิงเคยโดน แล้วนางก็ใช้พลังดึงเข็มกลับมาอย่างไม่ให้เหลือร่องรอยสาวมาถึงนางได้
“อันฉี แม่ทัพรักษาดินแดนคือใครหรือ” ซูหนี่ว์เอ่ยถามเพราะอยากรู้ข้อมูลเอาไว้
“แม่ทัพใหญ่ ฉิง ฟูเกอ บิดาของแม่ทัพฉิง จินไห่ แม่ทัพใหญ่ค่อยประจำการอยู่ที่นี่ ส่วนแม่ทัพฉิง เป็นแม่ทัพในหน่วยพยัคฆ์ดำ ประจำการอยู่เมืองหลวงและคอยออกทัพจับศึกกับพวกชนเผ่าเขตชายแดน” ซูหนี่ว์พยักหน้าอย่างรับรู้ พี่ชายนางเองก็เป็นรองแม่ทัพในหน่วยพยัคฆ์ แต่เขาเรียนจบแล้วเมื่อปีก่อน ตอนนี้แม่ทัพมาเรียนแสดงว่าพี่ใหญ่ก็ต้องรักษาการแทนอยู่ที่เมืองหลวงแน่ๆ
“อืม แล้วไป๋หลานกับสหายสองคนนั้นละ” นางเอ่ยถามต่อ ตามนิสัยเหล่าคุณหนูน่ารำคาญพวกนี้คงไม่จบเรื่องกับนางแค่นี้เป็นแน่
“ฉิง ไป๋หลาน เป็นบุตรสายรอง บิดานางเป็นน้องชายของแม่ทัพใหญ่ แต่บิดานางเอาดีทางด้านค้าขาย พวกเขาขายเครื่องประดับ พลอย หยก เป็นร้านที่ดังและมีชื่อเสียงมาก ส่วนคนที่ตัวเล็กที่สุด นางคือมู่ อิงฮวา อีกคน มู่เหว่ยจู ทั้งคู่เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน บิดาของทั้งคู่ค้าขายเสื้อผ้าอาภรณ์ มีหลายสาขาทั่วแคว้นนี้” อันฉีพอได้พูดก็พูดจ้อไม่หยุด ดวงตาเป็นประกายเมื่อได้เอ่ยถึงเรื่องผู้อื่น
“อืม ข้อมูลเจ้าเยอะเสียจริง ข้านึกว่าคุยกับสายข่าวอยู่” ซูหนี่ว์เอ่ยแซวยิ้มๆ ในความช่างจ้อของอีกฝ่าย
“เจ้ารู้ได้อย่างไรนั้นเป็นความลับของข้าเชียวนะ” อันฉีเบิกตากว้างพลางรีบปิดปากโดยไวเมื่อพูดเรื่องที่ไม่สมควรพูดออกมา ซูหนี่ว์ที่เห็นท่าทางแบบนั้นจึงรู้ได้ทันทีว่าสหายตนพูดเรื่องไม่ควรออกมาเสียแล้ว
“ข้าไม่รู้ ไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น ตกลงไหม” เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าเป็นกังวล ซูหนี่ว์จึงเอ่ยออกไปแบบนั้น ทำให้อันฉีสบายใจขึ้นเล็กๆ
“ไว้ข้าพร้อมแล้วข้าจะเล่าทุกอย่างให้เจ้าฟังแล้วกันนะสหาย” อันฉีเอ่ยบอก
ซูหนี่ว์จึงยิ้มรับแล้วต่างฝ่ายก็ต่างไม่ได้สนทนากันอีกเพราะว่าประตูสำนักกำลังจะปิดแล้ว และสาวคนสุดท้ายที่เดินเข้ามาก็คือ ไป๋หลาน อิงฮวา และเหว่ยจู โดยที่อิงฮวาและเหว่ยจูช่วยกันกึ่งประคองกึ่งลากสหายของตนที่เดินไม่ได้ เข้ามาในสำนักได้ทันเวลาพอดี ท่ามกลางสายตาสงสัยของทุกคนที่จับจ้องไปยังทั้งสามว่าเกิดอันใดขึ้น เหตุใดจึงมีสภาพแบบนั้น
“เอาล่ะ ข้าคืออาจารย์ใหญ่ของที่นี่มีนามว่าฮุ่ยหลง” ผู้อาวุโสผู้ที่เคยคุยกับซูหนี่ว์ด้วยท่าทางเป็นมิตรเอ่ยขึ้นเสียงดัง เสียงรอบข้างจึงเงียบกริบเพื่อรอฟังเหล่าอาจารย์เอ่ยต่อ
เหล่าผู้อาวุโสและเหล่าอาจารย์ทั้งหลายกว่ายี่สิบชีวิตยืนอยู่ตรงกลางลานกว้างล้อมรอบด้วยที่นั่งเป็นลำดับขั้นซึ่งมีเหล่านักศึกษาทั้งหลายนั่งอยู่ ด้านหลังของอาจารย์จะเป็นทางเดินไปสู่ตึกสูงใหญ่หลายตึกเรียงรายกันไป ซูหนี่ว์มองไปบริเวณรอบๆ ก่อนสายตาจะไปสะดุดอยู่ที่บุรุษร่างสูงสวมหน้ากากสีเงินปิดบังใบหน้าครึ่งบน กลิ่นอายเขาดูคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
“มีนักศึกษาใหม่ผ่านเข้ารอบมาถึงหกสิบคน แต่ทางสำนักศึกษาจะรับนักศึกษาใหม่เพียงสี่สิบคนเท่านั้นเพราะฉะนั้นจะต้องมีการคัดนักศึกษาออกอีกยี่สิบคน ส่วนเหล่านักศึกษาปีสองและปีสาม พวกเจ้าไปพักผ่อนได้หรือใครจะอยู่คอยเป็นกำลังใจให้เหล่าศิษย์น้องก็ได้” จบคำของอาจารย์ใหญ่ฮุ่ยหลง ก็มีบางคนที่เดินออกไปเพื่อพักผ่อน บางคนก็ยังคงนั่งดูความสนุกต่อ
“เราจะมีการวัดความแข็งแกร่งของพลังธาตุโดยการจับสัตว์อสูรประจำสำนัก ระดับต่ำมีค่าหนึ่งแต้ม ระดับกลางสิบแต้ม ระดับสูงยี่สิบแต้ม จับมันได้มากที่สุดก็จะเข้ารอบใครที่ทำได้น้อยสุดเป็นอันดับยี่สิบสุดท้ายก็จะตกรอบในทันที สามารถทำให้มันสลบได้กติกามีข้อเดียวห้ามฆ่าหากทำสัตว์อสูรของสำนักตายจะตัดสิทธิ์ทันที” ซูหนี่ว์เลิกคิ้วขึ้นด้วยความสนใจว่าสัตว์อสูรประจำสำนักจะเป็นตัวอะไร
“ตายแน่ๆ งานนี้ข้าจะรอดชีวิตหรือไม่” ในขณะที่ซูหนี่ว์ดูสนุกสนานแต่เฉินคุนกับอันฉีแล้วคนอื่นๆ ถึงกับหน้าซีดลงไปอย่างถนัดตา
“เหตุใดถึงหน้าซีดปานนั้นเล่าสหาย สัตว์อสูรประจำสำนักคือตัวอะไรหรือ” ซูหนี่ว์เอ่ยถามอย่างสนใจ
“อสรพิษ สัตว์อสูรประจำสำนักหย่งฟูคือ อสรพิษ ว่ากันว่าสำนักนี้เลี้ยงอสรพิษเป็นดงเลยทีเดียว มีตั้งแต่ระดับต่ำ กลางและสูง” เฉินคุนเป็นพูดตอบ ใบหน้าขาวใสก็ซีดลงไปถนัดตา
“ให้เวลาแค่หนึ่งก้านธูปเข้าไปทีละคนเท่านั้น สิบคนแรกตามข้ามา” อาจารย์ผู้หญิงอีกคนเอ่ย สิบคนแรกนั้นมีซูหนี่ว์ เฉินคุน และอันฉีรวมอยู่ด้วย ทั้งสามเลยต้องลุกขึ้นเดินไปอย่างเสียไม่ได้ ไม่มีเวลาให้พวกเขาตั้งตัวเลยสักนิด
“ก็แค่อสรพิษพวกเจ้าจะกลัวอะไรนักหนา” นางเอ่ยปลอบเมื่อเห็นใบหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของแต่ละคน
“นั่นแหละที่ข้ากลัว!!” อันฉีเอ่ยออกมาเสียงดัง พลางลูบแขนตัวเองไปมาอย่างขนลุก
“ถ้าไม่เห็นว่าเจ้าเป็นสหายข้าคงไม่ยื่นมือช่วยหรอกนะ รับนี้ไว้” ซูหนี่ว์แอบส่งขวดยาให้กับทั้งคู่อย่างเงียบๆ พลางแอบกระซิบเสียงเบา
“โปรดมันล้อมรอบตัวเจ้าสัตว์อสูรระดับกลางเมื่อได้กลิ่นมันจะเข้ามาสูดดมแล้วสลบไปครึ่งชั่วยาม”
“อย่าบอกนะว่า ขวดนี้คือผงอสูรนิทรา”
เฉินคุนกระซิบตอบกลับด้วยความตกใจ ผงนี้มีค่ามากปรุงขึ้นยากอีกด้วย มีไว้สำหรับเรียกสัตว์อสูรเพื่อให้ง่ายต่อการจับมัน ยานี้มีสามระดับ สำหรับสัตว์อสูรขั้นต่ำ ขั้นกลาง และขั้นสูง แม้ระดับต่ำยังหายากระดับกลางระดับสูงไม่ต้องพูดถึง แต่สหายของตนกับมีมันถึงสองขวดซ้ำยังใช้เรียกอสูรระดับกลางอีก
“ใช่แล้ว กฎมีเพียงข้อเดียวคือห้ามฆ่าเพราะฉะนั้นใช้ยาเรียกสัตว์อสูรก็ไม่นับว่าผิดกฎ แต่พวกเราก็ระวังหน่อยก็แล้วกันอสรพิษบางตัวมีพิษร้ายแรงระวังโดนพิษของพวกมันด้วย”
“ขอบใจเจ้ามากซูหนี่ว์” อันฉีพูดด้วยความจริงใจ นึกขอบคุณที่มีสหายที่ดีแบบนี้
“ไม่ต้องขอบใจข้าคิดเงิน” ซูหนี่ว์เอ่ยเย้าแหย่สหายจนสีหน้าของทั้งคู่ดีขึ้นเล็กน้อย
“ขี้งกเสียจริง” เฉินคุนบ่นอุบอิบเพราะเข้าเคยเสียเหรียญทองให้สหายผู้นี้ไปตั้งร้อยเหรียญแล้ว
“ตาข้าแล้วขอให้พวกเจ้าโชคดีไว้เจอกันด้านใน” นางหันไปบอกกับสหายเมื่ออาจารย์หญิงผู้นั้นเรียกชื่อนางแล้ว ซูหนี่ว์ยืนรออยู่ตรงทางเข้าหน้าประตูไม้บานใหญ่ ตรงหน้านางเป็นโดมกระจกขนาดใหญ่
“จับแล้วออกอีกทางจะมีคนคอยรอรับอยู่ หากแต่เจ้าโดนพิษให้กลืนยาเม็ดนี้ทันที ข้าของเตือนห้ามเดินเข้าไปในเขตสีแดงเด็ดขาดที่นั่นเป็นถิ่นของอสรพิษขั้นสูง”
“เจ้าค่ะ” ซูหนี่ว์รับถุงขนาดใหญ่สำหรับใส่อสรพิษกับขวดยามาถือไว้ในมือเมื่อนางเห็นสีของยา นางก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นยาถอนพิษระดับกลางเท่านั้น หากเจอกับอสรพิษระดับสูงก็คงไม่ช่วยอะไร
ซูหนี่ว์เข้าเดินเข้าไปด้านใน มีทางเดินตรงยาวจนสุดทางมีประตูอีกบาน ด้านข้างทั้งสองฝั่ง มีต้นไม้สูงใหญ่ขึ้นเต็มไปหมด มีทางเดินเล็กๆ แยกเป็นห้าทางในแต่ละฝั่ง ทางฝั่งซ้ายนางจับสัมผัสสัตว์อสูรระดับต่ำได้ ส่วนทางฝั่งขวาเป็นระดับกลาง และลึกไปทางฝั่งขวาเป็นระดับสูง แน่นอนนางต้องเดินไปทางฝั่งขวาอยู่แล้ว ซูหนี่ว์ก้าวเดินมาเรื่อยๆ ต้นไม้เริ่มรกทึบขึ้นแต่ก็ไม่ยักจะได้ยินเสียง หรือเห็นตัวอสรพิษสักตัว นางจึงเอ่ยถามไป๋หูด้วยความสงสัย
'พลังปราณของสัตว์อสูรแถวนี้แน่นหนามากแต่ทำไมไม่เห็นอสรพิษสักตัวเลยละไป๋หู'
'เงยหน้าขึ้นสินายหญิง'
__________________________________________
มาแล้ววววววว
ชินอ๋องขึ้นค่าตัวค่ะ ยังไม่มีเงินจ้าง ฮ่าๆๆๆๆ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ไม่โกงก็เหมือนโกงนั่นแหละ เล่นใช้ยาเรียกสัตว์ระดับกลางซะด้วยนะเนี่ย
ขอให้ ไม่ใช่ ของให้
คิดไว้ แล้วว่าชินอ๋องมารอน้องอยู่ที่สำนัก หนี่ว์เอ๋อคงจับอสรพิษขั้นสูงเพื่อทำคะแนนได้แน่ ลุ้นพระนางตอนหน้าคุยกัน ขอบคุณค่ะ
รู้สึกไม่อยากหยุดอ่านเลยอ่าาา
รอออออ