ตอนที่ 31 : นางมาร บทที่ 30
บทที่ 30
ร่างบางระหงก้าวเดินออกไปอย่างมั่นคง ใบหน้างดงามนิ่งเรียบไม่แสดงท่าทีหวาดหวั่นใดๆ แม้ระหว่างทางเดิน นางจะได้ยินเสียงซุบซิบนินทาอยู่อย่างต่อเนื่อง
ซูหนี่ว์ออกมายืนหน้าหินศิลาท่ามกลางสายตาของคนนับร้อย ร่างบางยื่นมือทั้งสองข้างไปวางบนแท่นหิน รอเพียงชั่วครู่ระดับสีของแท่นหินก็ยังไม่ปรากฏสีสักระดับ จนซูหนี่ว์ขมวดคิ้วเสียงผู้คนรอบข้างก็เริ่มดังขึ้น จนซูหนี่ว์ต้องเอ่ยเรียกไป๋หู
'ไป๋หูมัวทำอะไรอยู่'
'สักครู่ขอรับ'
มันเอ่ยตอบ ก่อนแสงสีขาวเริ่มสว่างขึ้นที่แท่นหิน เริ่มสว่างระดับหนึ่ง ระดับสอง ไปจนระดับห้า และหยุดที่ระดับหก
'ไป๋หูข้าบอกระดับห้าไง!!'
ซูหนี่ว์ตวาดลั่นก่อนแสงสีขาวระดับหกจะดับลงมาหยุดที่ระดับห้า ทำให้ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ถึงกับงุนงงว่าเมื่อครู่แสงมันหยุดที่ระดับหกเพียงชั่วครู่ทำไมถึงลดระดับลงมาได้เล่า
“หลี่ ซูหนี่ว์มีพลังระดับห้า ผ่านเข้ารอบคัดเลือก” ผู้อาวุโสคนหนึ่งเอ่ยประกาศเสียงดังลั่น ซูหนี่ว์จึงยกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะก้าวเท้าลงมาจากแท่นหิน แต่ยังไม่ทันได้เดินกลับไปนั่งที่ก็มีเสียงหวานแหลมเอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน
“เรียนผู้อาวุโส นางต้องเล่นเล่ห์กลอันใดเป็นแน่เจ้าค่ะ เหตุใดข้าจึงสัมผัสพลังปราณจากตัวนางไม่ได้ แต่แท่นหินศิลากลับขึ้นสีถึงระดับห้า” หญิงสาวงามคนหนึ่งยืนขึ้นเอ่ยค้านทั้งยังทำหน้าไม่พอใจส่งมาให้ซูหนี่ว์จนนางได้แต่เลิกคิ้วขึ้นนิดๆ แม้ผู้พูดจะเป็นสาวงามคนหนึ่งแต่เมื่อเทียบกับซูหนี่ว์แล้วนางกลับดูงามแบบดาษดื่นยิ่งนัก ที่เอ่ยค้านสาเหตุคงมาจากความริษยา
“นั่นสิๆ” เมื่อมีคนนำจึงมีคนเอ่ยตาม ซึ่งผู้ที่เห็นด้วยส่วนมากกลับเป็นหญิงสาวด้วยกันทั้งสิ้น
“ผู้อาวุโสโปรดตรวจสอบด้วย!!”
“เอาละๆ เงียบ!!” หนึ่งในผู้อาวุโสเมื่อเห็นว่าเหล่านักศึกษาส่งเสียงดังมากเกินไปจึงเอ่ยออกมาเสียงดัง ทำให้เสียงผู้คัดค้านทั้งหลายเงียบลงไป
ทั้งหญิงสาวผู้นั้นที่ยืนอยู่ในกลุ่มนักศึกษาปีหนึ่งก็เงียบเสียงลงด้วยเช่นกันแต่ก็ยังแสดงท่าทางไม่ยินยอม
“หลี่ ซูหนี่ว์ หากเจ้าคดโกงมันจะมีผลไปถึงตระกูลของเจ้าด้วย ข้าจะตัดสิทธิ์การเข้าสมัครเรียนของตระกูลหลี่สามปี” ผู้อาวุโสคนที่เอ่ยดูแคลนนางให้ตอนแรกเอ่ยออกมาเสียงดังฉะฉานเพื่อให้ได้ยินกันทุกคน
“ข้ามีได้คดโกงอันใดเจ้าค่ะ” ซูหนี่ว์เอ่ยเสียงเรียบด้วยใบหน้าเหนื่อยหน่าย นางรำคาญกับอะไรแบบนี้เสียจริง
“โกหก!” หญิงคนเดิมกล่าวแทรกอย่างเสียมารยาท ซึ่งซูหนี่ว์หมายหัวผู้หญิงคนนี้ไว้ในใจอย่างเงียบๆ ซูหนี่ว์หันไปมองหญิงสาวคนนั้นด้วยแววตาคมกริบ
“หากข้าเล่นเล่ห์กลใส่หินศิลาได้ แล้วจะมีหินศิลาไว้วัดพลังปราณทำไม” นางเอ่ยเสียงเย็น ทำให้ผู้คนหันไปคุยกันอีกครั้งเพราะหินศิลาไม่เคยมีผู้ใดคดโกงได้
“แล้วเช่นนั้นทำไมจึงไม่มีใครจับพลังปราณของเจ้าได้” ผู้อาวุโสคนเดิมเอ่ยออกมาอีกครั้งด้วยความสงสัย
“เรียนผู้อาวุโส ตอนเด็กข้าประสบอุบัติเหตุจมน้ำเกือบเอาชีวิตไม่รอดพอฟื้นมาทำให้พลังปราณข้าแปรปรวนจึงดูเหมือนคนไม่มีพลังธาตุพวกท่านจึงจับสัมผัสพลังปราณจากตัวข้าไม่ได้” ซูหนี่ว์ เอ่ยเสียงเรียบด้วยใบหน้านิ่งๆ แววตามั่นคงนางเตรียมคำตอบนี้ไว้นานแล้วหากใครคิดตรวจสอบก็จะพบว่าตอนเด็กนางได้จมน้ำจริงๆ ทำให้เสียงผู้คนรอบข้างที่ครหานางเงียบลงไปในทันที บางคนก็กลายเป็นสงสารนางแต่บุคคลที่ยังริษยาก็ยังคงกัดไม่ปล่อย
“เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเจ้าเอ่ยความจริง” หญิงสาวคนเดิมเอ่ยยังไม่ไว้หน้า ซูหนี่ว์จึงยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย พร้อมทั้งหันไปโค้งคำนับผู้อาวุโสด้านข้าง
“เรียนผู้อาวุโสให้ข้าได้แสดงพลังธาตุให้ดูสักเล็กน้อยได้หรือไม่” ซูหนี่ว์หันไปเอ่ยถามด้วยความมีมารยาทผู้อาวุโสท่านนั้นไม่ได้เอ่ยตอบแต่กับพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตให้นางได้แสดงฝีมือออกมา
เมื่อเห็นว่าผู้อาวุโสพยักหน้าเปิดทางให้ ซูหนี่ว์ก็ไม่รอช้า มือบางกางแล้วจึงดึงอากาศรอบตัวมาสร้างพายุลูกเล็กๆ ในฝ่ามือน้อย นางไม่อยากใช้ลูกใหญ่มากเดี๋ยวจะวุ่นวายเสียเปล่าๆ
“ธาตุลมรึ!! ลูกแค่นั้นมีพลังปราณขั้นห้า จะเป็นไปได้หรือหึหึ” หญิงสาวคนเดิมยังเอ่ยคำดูแคลนซูหนี่ว์ไม่หยุด พลางกางฝ่ามือออกปรากฏลูกไฟขนาดใหญ่หนึ่งลูก
“ข้ามีพลังปราณขั้นสี่แต่ทำไมลูกไฟใหญ่กว่าเจ้าที่มีพลังงานขั้นห้ายิ่งนัก”
ซูหนี่ว์ได้ยินดังนั้นจึงปล่อยพายุลูกเล็กเข้าใส่ลูกไฟในมือหญิงสาว อีกมือก็แอบสะบัดเบาๆ ลูกไฟลูกใหญ่ก็หายไปทันที ประจวบเหมาะกับที่พายุลูกเล็กพุ่งเข้าใส่ลูกไฟลูกใหญ่พอดิบพอดีทำให้ผู้คนคิดว่านางใช้พายุลูกเล็กนั้นพัดไฟให้มอดดับลงได้ แต่ความจริงคือนางใช้ปราณควบคุมลูกไฟให้มันดับลงอย่างง่ายดาย นางควบคุมธรรมชาติและสิ่งของได้ทุกสิ่งกับลูกไฟลูกแค่นั้นทำไมจะควบคุมไม่ได้ยิ่งอีกฝ่ายมีพลังปราณแค่ขั้นสี่จะเอาอะไรมาสู้นางได้
“จะ..เจ้า!!” หญิงสาวคนนั้นตกใจดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นลูกไฟที่ตนภูมิใจนักหนาดับลงไปอย่างง่ายดาย
“มีคำถามอีกหรือไม่” ซูหนี่ว์เอ่ยถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ ไม่มีผู้ใดคัดค้านนางอีกทั้งยังมีเสียงตบมือแผ่วให้นางอีกด้วย
เมื่อไม่มีผู้ใดคัดค้านอีกนางจึงเดินกลับที่นั่งของตนแต่ที่ของนางต้องเดินเลยหญิงสาวคนนั้นไปอีกสองแถวระหว่างที่จะเดินผ่านซูหนี่ว์จึงหยุดเท้าแล้วหันไปมองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเรียบเฉย ทั้งยังยกยิ้มมุมปากอย่างผู้มีชัยก่อนจะเดินจากไปนั่งที่ตนเองหญิงสาวที่เห็นดังนั้นก็ได้แต่ทำหน้าบิดเบี้ยวอยากจะกรีดร้องแต่ก็ไม่อาจทำได้จึงได้แต่นั่งลงไปกับที่ด้วยความโมโหผู้คนรอบข้างจึงมองนางเป็นตัวตลกที่คิดจะหาเรื่องใครไม่ดูให้ดีเสียก่อน ผู้อื่นเพียงดูแคลนและนินทาแต่นางกับแกว่งเท้าหาเสี้ยน กระโดดลงไปหวังเล่นงานผู้อื่นให้อับอายกลายเป็นต้องมาเสียหน้าเอง
เมื่อซูหนี่ว์มานั่งที่อันฉีจึงยกยิ้มให้ พลายเอ่ยว่าสุดยอดมากก่อนจะเดินออกไปเพื่อวัดระดับพลัง ซูหนี่ว์นั่งลงอย่างใช้ความคิดว่าจะใช้พิษตัวไหนเล่นงานคุณหนูผู้นั้นดี ทำให้นางต้องยืนนานเสียเวลายิ่ง
การวัดระดับพลังปราณใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วยาม นักศึกษาใหม่หนึ่งร้อยคนถูกตัดออกไปถึงสามสิบคนจึงทำให้ผู้สมัครเหลือเพียงเจ็ดสิบคนเท่านั้น ทางสำนักศึกษาจะรับนักศึกษาใหม่เพียงสี่สิบคน
“การประเมินลำดับต่อไปจะไปจัดในสำนักศึกษาของให้ทุกคนขึ้นไปที่สำนักก่อนยามอู่(11.00-13.00) หากใครไปถึงช้าตัดสิทธิ์ นั่นรวมถึงปีสองและปีสามด้วย” หนึ่งในผู้อาวุโสเอ่ยจบทั้งหกคนก็เร้นกายหายไปทันที
ทำให้นักศึกษาทั้งหมดยืนขึ้นเพื่อรีบเดินทางขึ้นเขาไปที่สำนักหย่งฟู ตอนนี้ยามซื่อ (9.00-11.00) มีเวลาเดินทางขึ้นไปเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น
“ทำไมให้เวลาเดินทางนานจัง” ซูหนี่ว์หันไปถามเฉินคุนที่ยืนบิดตัวไปมาไล่ความเมื่อยอยู่ข้างๆ
“เจ้าไม่หาข้อมูลก่อนมาสมัครเลยหรือไงสหาย” เฉินคุนเอ่ยพร้อมกับเอาแขนไปพาดคอน้องสาวของตนไว้
“ไม่ได้หาหรอก ข้าขี้เกียจ” ซูหนี่ว์เอ่ยตอบอย่างเกียจคร้านดวงตากลมโตปรือปรอยลงนิดๆ บ่งบอกว่าเจ้าของร่างเริ่มจะง่วงและเบื่อนิดๆ เสียแล้วนางรู้เพียงว่าประลองให้ติดอันดับหนึ่งในยี่สิบก็จะสามารถออกมานอกสำนักได้เพียงเท่านั้น เวลาของนางหมดไปกับการฝึกปราณและปรุงยาเสียมากกว่า
“เราเดินไปคุยไปเถอะ หนทางยังอีกยาวไกล”
อันฉีเอ่ยบอกพร้อมกับสะบัดแขนพี่ชายตัวเองออกจากไหล่บางแล้วหันมาคล้องแขนซูหนี่ว์แทน ก่อนทั้งสามจะพากันใช้วิชาตัวเบา เดินทางไปสำนักหย่งฟู การเดินทางจากตัวเมืองต้องขึ้นเขาผ่านป่าระยะทางราวๆ ห้าลี้สำหรับซูหนี่ว์เดินทางด้วยความเร็วสูงสุดเพียงครึ่งก้านธูปก็ถึงแล้ว แต่นางมาพร้อมสหายการเดินทางจึงช้าลงเป็นเท่าตัว ทั้งสามคนเดินทางเข้ามาในป่าแล้ว ส่วนคนอื่นๆ ก็ต่างจับกลุ่มแยกย้ายกันไป
“ป่านี้มีสัตว์อสูรระดับกลางอาศัยอยู่มาก โดยปกติจะมีเส้นทางขึ้นลงไว้ให้สำหรับเหล่านักศึกษาและอาจารย์ แต่ว่านี่ก็ถึงเป็นการคัดเลือกนักศึกษาอีกทางถึงให้นักศึกษาทั้งหมดเดินทางผ่านป่าแห่งนี้ ใครโชคดีก็อาจจะถึงไว ใครโชคไม่ดีก็อาจจะเจอกับสัตว์อสูรได้” เฉินคุนเอ่ยบอก
“อีกอย่างนะอนุญาตให้เหล่านักศึกษาปีหนึ่งโจมตีกันเองด้วย เพื่อตัดคู่ต่อสู้ที่จะไปถึงสำนักศึกษา มีข้อห้ามเดียวคือห้ามเอาชีวิตกัน” อันฉีเอ่ยสมทบ ใบหน้างามผุดเหงื่อเล็กน้อย
“จริงรึ เช่นนั้นก็สนุกนะสิ หึหึ” ซูหนี่ว์เอ่ยพร้อมกับยกยิ้มมุมปากแววตาดูเจ้าเล่ห์ขึ้นอีกหลายส่วน
“เรารีบไปกันเถอะข้าได้ยินเสียงต่อสู้อยู่ไม่ห่างคาดว่าน่าจะมีคนเจอกับสัตว์อสูรแล้วก็เป็นได้”
เฉินคุนเอ่ยเสียงเรียบ เขายังไม่อยากเสียพลังปราณไปกับการต่อสู้กับสัตว์อสูร ขึ้นไปยังต้องมีบททดสอบอีกหนึ่งบท และไม่รู้ว่าจะเป็นบททดสอบแบบใดเพราะมันเปลี่ยนแบบทุกปีแต่ตอนนี้เก็บพลังไว้จะดีที่สุด
อันฉีกับซูหนี่ว์จึงพยักหน้าเห็นด้วย หญิงผู้นั้นไว้ค่อยจัดการทีหลังก็ยังไม่สาย ดีไม่ดีอาจจะเจอระหว่างทางก็เป็นไปได้ ทั้งสามคนจึงรีบมุ่งหน้าไปต่อโดยไม่หยุดพักระหว่างทางที่ผ่านเจอกลุ่มนักศึกษาบางกลุ่มกำลังต่อสู้กับสัตว์อสูรระดับกลางอยู่บ้างประปรายแต่ซูหนี่ว์ใช้พลังของตนครอบคลุมสหายทั้งสองเอาไว้ไม่ให้มีใครจับสัมผัสพลังปราณของทั้งสองได้ จึงทำให้ใช้วิชาตัวเบาผ่านคนพวกนั้นมาอย่างง่ายดาย เหล่าสัตว์อสูรก็ไม่โผล่มากวนใจสักตัวเพราะกลิ่นอายจอมอสูรในตัวซูหนี่ว์ที่ไป๋หูตั้งใจแผ่ออกมากดดันไม่ให้สัตว์อสูรอื่นเข้ามาใกล้
ใช้เวลาเดินทางเพียงครึ่งชั่วยาม ประตูขนาดใหญ่ของสำนักเปิดต้อนรับเหล่าศิษย์ผู้มาเยือนตั้งอยู่อีกหนึ่งลี้ข้างหน้าปรากฏแก่สายตาของคนทั้งสาม เฉินคุน อันฉี และซูหนี่ว์ กำลังจะก้าวไปต่อแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อมีร่างสาวงามสามนางปรากฏแก่สายตามายืนขวางทางไว้และหนึ่งในนั้นก็มีผู้ที่ซูหนี่ว์หมายหัวไว้ด้วย สภาพของทั้งสามคนดูมอมแมมเล็กน้อยต่างจากซูหนี่ว์และสหายที่มีเหงื่อซึมบ้างประปราย
“จะรีบไปไหนนางจิ้งจอก!!” เสียงแหลมเล็กดังขึ้นหน้าตาบิดเบี้ยวบ่งบอกถึงความโกรธเกรี้ยวของเจ้าตัวเป็นอย่างดี
“อันฉี เฉินคุน พวกนางเป็นใครหรือ” ซูหนี่ว์หันไปถามสหายหน้าตาใสซื่อไม่ได้สนใจสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยแต่อย่างใด
“ข้า ฉิง ไป๋หลาน หลานของแม่ทัพใหญ่รักษาดินแดน เจ้าบังอาจมากที่มาหักหน้าข้าต่อหน้าผู้คนมากมาย อย่าคิดฝันว่าเจ้าจะได้เข้าเรียนที่นี่!!”
เจ้าตัวเอ่ยตอบแทรกขึ้นมาอย่างไร้มารยาท ทำให้ซูหนี่ว์หันไปมองอย่างเสียไม่ได้ หลานของแม่ทัพใหญ่รักษาดินแดนหรือ แสดงว่าต้องเป็นญาติกับแม่ทัพฉิงด้วยแน่นอน คนสกุลนี้ไร้มารยาทกันเสียจริง ซูหนี่ว์คิดอย่างหัวเสียนางว่าจะปล่อยไปเสียหน่อยแต่ถ่อมาให้รังแกถึงที่แล้วจะไม่สนองให้หน่อยก็คงเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว
“ฉิง ไป๋หลาน เจ้าเป็นแค่บุตรสายรอง ซ้ำบิดาเจ้ายังเป็นเพียงพ่อค้า” อันฉีเอ่ยเสียงเย็นอย่างไม่ไว้หน้าอีกฝ่ายเพราะนางทนไป๋หลานมาตั้งแต่เอ่ยวาจารังแกสหายของตนต่อหน้าผู้คนแล้ว
Talk 1
วันนี้ยาวนิดหนึ่งนะคะ
ตอนที่ 29 ไรท์ย้อนกลับไปอ่านมาเพราะไรท์ลืมตัวตรวจคำผิดก่อนจะอัพ รีบมากเกินไป ปรากฏว่าคำผิดเยอะมากแถมมีช่วงประโยคหนึ่งเขียนไม่ครบด้วย ไรท์ทำการแก้แล้วนะคะ และเพิ่มเติมเนื้อหาไปนิดหน่อยนะ ใครสะดวกอ่านใหม่ก็อ่านได้เลยนะคะ
Talk 2
พรุ่งนี้ไรท์จะอัพปรกตินะคะ แต่หลังจากวันพรุ่งนี้ไรท์จะอัพวันเว้นวัน อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงการอัพไรท์จะมาแจ้งอีกทีนะคะ แต่ช่วงนี้ก็จะวันเว้นวันไปก่อน เพราะงานไรท์เริ่มจะเยอะแล้ว ถ้าออฟฟิตเปิดแบบจริงจังเมื่อไหร่ก็คงจะงานเยอะกว่านี้ แงงง
อยากแต่งให้จบไวๆ นะคะแต่สามสิบตอนแล้วน้องก็ยังไม่ได้แก้แค้นเลย ตั้งไว้ว่าจะไม่ให้เกินห้าสิบตอนแต่ก็คงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว น้องยังต้องไปป่วนสำนักอีกหลายตอนอิ้อิ้
Talk 3
สวัสดีนักอ่านใหม่นะคะใครที่อ่านรวดเดียวมาถึงตอนนี้ กลับไปเม้นให้ไรท์เดี๋ยวนี้เลยนะ
นี่คือการข่มขู่
Talk 4
จัดหน้าแบบนี้อ่านง่านขึ้นไหมคะ ไรท์ได้คอมเม้นว่า อ่านยากตาลาย
ตอนที่แล้วๆมาจะยังไม่แก้นะคะ ถ้ากลับไปแก้อาจจะทำให้เสียเวลาในการอัพ แต่ก็จะพยายามทยอยแก้ให้น้าา
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

น้องมาเจอคนอวดเบ่งซะแล้ว จัดไปเลยค่ะ
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 21 พฤษภาคม 2563 / 14:34
สู้ๆน้าา
ถ้าไป๋หูไม่ตุกติกตอนแรกคงวัดพลังได้อย่างราบรื่นแล้ว มีคนหมั่นไส้นางเอกเราเลยมีการประท้วงนิด ๆ ยายคุณหนูฉิงกัดไม่ปล่อยเดี๋ยวเจอพิษแน่ อิ อิ ขอบคุณค่ะไรท์
นั่นสิ รออ่านตอนน้องแก้แค้น
อ่านเพลินมากค่ะ
ชอบมาก
สู้ๆนะคะ
ปกติไม่ไช่นักอ่านสายเม้น
แต่เป็นสายเงา
แต่มาแสดงตัวตนเพราะกลัวไรท์จะแอบน้อยใจ แล้วหายไป
สู้ๆนะคะ
จะคอยติดตาม
รอออออ