ตอนที่ 24 : นางมาร บทที่ 23
บทที่ 23
“ลูกไม่ได้เป็นอะไรเจ้าค่ะท่านพ่อ” ซูหนี่ว์เอ่ยพร้อมทั้งส่งยิ้มหวานไปเอาใจชายหนุ่มผู้เป็นพ่อตรงหน้าที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดจับตัวนางหมุนไปมาไม่หยุดหย่อน
“ไม่เป็นไรได้อย่างไรดูสิคอดูแดงถึงปานนี้” เสนาบดีหลี่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจที่มีคนทำให้ลูกสาวของตนต้องเจ็บตัว
“ลูกทายาแล้วเดี๋ยวรอยก็หายเจ้าค่ะ” ซูหนี่ว์ยังคงเอ่ยพร้อมทั้งรอยยิ้มเพราะนางไม่อยากให้ท่านพ่อเป็นกังวลเกินไป เพียงเป็นรอยเล็กน้อยนางไม่เจ็บแล้ว
กลับกันแม่ทัพผู้นั้นต่างหากที่จะลำบากแม้เขาจะขยับตัวได้ปกติแล้วเขาจะปวดคอตรงที่โดนเข็มพิษไปอีกหลายวันที่เดียว พิษของจอมมารหมื่นพิษจะธรรมดาได้อย่างไร
“คราวหลังหากไม่เห็นพ่อก็อย่าบุ่มบ่ามเข้าไปอีกละ บางครั้งพ่อก็ต้องประชุมลับกับเล่าขุนนาง ศัตรูที่หวังมาสืบความก็มีเยอะแยะมากมาย” เขาเอ่ยบอกด้วยความเป็นห่วง
“รับทราบเจ้าค่ะ!”
“ว่าแต่ว่าหาพ่อมีเรื่องอะไรหรือไม่”
“ลูกเพียงนำของขวัญมาให้เจ้าค่ะ นี่เป็นยาที่จะช่วยให้ท่านพ่อเลื่อนระดับได้ง่ายขึ้น ลูกเห็นท่านพ่อติดอยู่ที่ระดับเก้ามานานแล้วค่ะ” ซูหนี่ว์เอ่ยพร้อมทั้งยื่นขวดบรรจุยาเม็ดยาขาวใส มียาอยู่ในขวดเจ็ดเม็ด
เมื่อเสนาบดีหลี่รับขวดจากมือลูกสาวไปเขาก็เปิดจุกขวดออกพร้อมเทยาลงฝ่ามือหนึ่งเม็ด อี้หมิงเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเขาสัมผัสได้ว่าเม็ดยาที่อยู่ในมือนั้นมีความบริสุทธิ์ถึงสิบส่วน อีกทั้งระดับของยาอยู่ที่ระดับสิบ
“นี่..นี่เจ้าได้มาจากไหน” อี้หมิงถามด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เพราะความตื่นเต้น
เกิดมาจนอายุปานนี้แล้วเพิ่งจะเคยได้สัมผัสกับยาที่ทรงคุณค่าขนาดนี้ เพราะยาระดับสิบส่วนมากแล้วความบริสุทธิ์ของตัวยานั้นจะอยู่แค่ในระดับห้าเท่านั้น
“ลูกหลอมเองเจ้าค่ะใช้เวลาเจ็ดวันในการคิดค้นสูตรและใช้เวลาอีกเจ็ดวันในการหลอมตัวยานี้ขึ้น”
นางปรับเปลี่ยนสูตรยาจากยาเลื่อนระดับธรรมดาที่เหล่าขุนนางหรือเชื้อพระวงศ์ใช้กันมาใช้สมุนไพรขั้นสูงในมิติและใช้น้ำแร่ทิพย์กับน้ำแร่มรกต ช่วยเพิ่มความบริสุทธิ์เหล่านั้น
ยานี้จะช่วยเลื่อนหนึ่งระดับในทันทีแต่ผู้ใช้จำเป็นต้องนั่งสมาธิควบคุมลมปราณของตนให้ครบเจ็ดวันและต้องทานให้ครบเจ็ดเม็ด ยาที่มีค่ามหาศาลนี้หานำออกประมูลราคาคงได้ถึงหลักล้าน เพราะยาเลื่อนระดับทั่วไปอยู่ในระดับเจ็ดหรือแปดก็มีราคาถึงหนึ่งแสนเหรียญแล้ว และต้องใช้เป็นจำนวนมากเพื่อช่วยให้เลื่อนระดับง่ายขึ้น
เมื่อได้ฟังสิ่งที่บุตรีเอ่ยเขาก็ยิ่งตกใจเข้าไปอีก ดวงตาเบิกกว้างจ้องมองไปที่บุตรีอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่นางเอ่ยบอก พลางเอ่ยเสียงสั่นเครือ “จะ..เจ้าล้อพ่อเล่นแล้ว”
“เรื่องเช่นนี่ข้าไม่เอามาล้อเล่นหรอกเจ้าค่ะ” ซูหนี่ว์เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
“เรื่องยานี้มีผู้ใดรู้หรือไม่” อี้หมิงเอ่ยถามออกมาอีกประโยค หากบุตรีเขาเป็นผู้หลอมยานี้จริงๆ เช่นนั้นชีวิตนางก็เริ่มจะไม่ปลอดภัยเสียแล้วหากคนในยุทธภพรู้ว่ามียาเช่นนี้ ผู้คนต้องตามหาผู้คิดค้นและหลอมยานี้อย่างแน่นอน
“มีเพียงพี่ซื่อซื่อกับเงาทั้งห้าคนที่ท่านพ่อมอบให้ลูกเจ้าค่ะ” ซูหนี่ว์เอ่ยตอบเพราะนางให้ทั้งห้าคนทานยานี้ไปเพื่อเลื่อนขึ้นระดับเจ้าจอมยุทธ
ระดับสิบเข้าสู่ระดับเจ้าจอมยุทธนับว่ายากมากและต้องใช้ยาช่วยบำรุงลมปราณอย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะให้ง่ายต่อการเลื่อนระดับ ทำให้นางคิดค้นยาตัวนี้ขึ้นมาได้
“เจ้าอย่าได้เปิดเผยตัวตนเด็ดขาดเรื่องการหลอมยาตัวนี้ เข้าใจหรือไม่” เสนาบดีหลี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง พลางเก็บขวดยาเข้าแหวนมิติอย่างทะนุถนอม
“ลูกทราบดีถึงผลที่จะตามมาเจ้าค่ะ ลูกจะระวังตัว”
“อีกไม่กี่วันเจ้าก็เดินทางแล้ว ขาดเหลืออะไรก็ให้คนมาแจ้งเข้าใจหรือไม่” เข้าเอ่ยพลางลูบหัวทุยๆ ของบุตรสาวอย่างเอ็นดู
“รับทราบเจ้าค่ะ ลูกเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว” ซูหนี่ว์เอ่ยรับคำพลางพุ่งเข้ากอดท่านพ่ออยู่สักใหญ่ก่อนจะคลายอ้อมกอดและบอกเล่าถึงวิธีการใช้ตัวยาให้เขาทำตามอย่างเคร่งครัด
หลังจากอยู่คุยกับบุตรสาวถึงหนึ่งชั่วยามเขาจึงขอตัวกลับเรือนใหญ่เพราะออกมานานแล้ว ภายในใจที่กลัดกลุ้มเรื่องบุตรีคนนี้ก็คลายกังวลไปมากนักเพราะนางเก่งกาจขนาดนี้คงดูแลตัวเองได้ไม่โดนรังแกง่ายๆ ส่วนเรื่องในจวนที่นางไปรังแกผู้อื่นเขาก็จะปิดตาข้างหนึ่งไม่เอาเรื่องพวกนั้นมาใส่ใจอีกอย่างฮูหยินของตนก็ไม่ได้มาฟ้องร้องเอาความอันใดจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะปล่อยผ่าน
“พี่รอง ข้าอยากเปลี่ยนแผนการเดินทางสักเล็กน้อย” ซูหนี่ว์เอ่ยพูดพลางรินชายกขึ้นดื่ม เพียงไม่นานก็ปรากฏร่างคุ้นตาของพี่รองมานั่งอยู่ตรงข้าม
“เปลี่ยนแผนอันใดหรือน้องเล็ก”
“ไปแจ้งให้พวกเขาแบ่งเป็นสองกลุ่ม เดินทางล่วงหน้าไปก่อน ไปเจอกันที่ปลายทางที่หอบุปผา” ซูหนี่ว์เอ่ยสั่งพลางหมุนจอกน้ำชาเล่น เพราะมาคิดๆ ดูแล้วหากยกกันไปแบบนี้น่าจะเป็นที่สะดุดตาไม่น้อยและอาจจะทำให้การเดินทางล่าช้าไปด้วย หอบุปผาคือหอที่นางให้พี่ใหญ่ไปเป็นธุระจัดหาเตรียมการไว้ให้
“ได้พี่จะรีบไปแจ้งให้” เอ่ยจบคำร่างสูงโปร่งก็หายไปในทันที
หน้าจวนใหญ่ของเสนาบดีกรมกลาโหมเต็มไปด้วยผู้คนมุ่งดูขบวนรถม้าที่จะส่งคุณหนูสามไปเข้าเรียนที่สำนักศึกษาหย่งฟู
รถม้าขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กสมฐานะของคุณหนูสาม แต่ภายในนั้นกว้างขวางสะดวกสบายอย่างยิ่ง ผู้คุมกันจำนวนห้าคนขึ้นขี่ม้าพร้อมประจำตำแหน่งสองคนเป็นผู้บังคับรถม้า สองคนคุ้มกันด้านหลัง พี่ใหญ่และผู้คุมกันอีกหนึ่งคนคอยคุมกันอยู่ด้านหน้า เพียงไม่นานก็ปรากฏร่างของดรุณีน้อย ในชุดที่ขาวสะอาดเนื้อผ้าเรียบหรู ใบหน้าซีกล่างยังคงมีผ้าคาดปิดไว้ เดินออกมาพร้อมกับสาวใช้ของตน
“หนี่ว์เอ๋อร์รักษาตัวด้วยนะ” เสนาบดีหลี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่แววตานั้นอบอุ่นจนบุตรีตรงหน้าสัมผัสได้ ซูหนี่ว์อยากกระโดดกอดท่านพ่อของตนอีกครั้งแต่ก็ทำไม่ได้เพราะมีฮูหยินใหญ่ของจวนยืนประกอบอยู่
“เจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านก็รักษาสุขภาพด้วย” ซูหนี่ว์เอ่ยพร้อมกับคารวะท่านพ่อของตนอย่างอ่อนน้อม
“เดินทางปลอดภัยนะหนี่ว์เอ๋อร์ อย่าทำให้ชื่อเสียงของตระกูลต้องด่างพร้อยละ” ฮูหยินใหญ่เอ่ยตอบพลางเอื้อมมือไปจับบ่าของซูหนี่ว์ไว้แน่น ทำท่าทางห่วยใย แต่มือที่เริ่มบีบที่ไหล่นางกลับแรงขึ้นจนซูหนี่ว์จำต้องเกร็งพลังมาต้านแรงบีบไว้ แม้แต่หน้าจวนฮูหยินใหญ่ก็ยังคงแอบรังแกนางได้
“แม่ใหญ่ก็รักษาตัวด้วยเจ้าค่ะ” ซูหนี่ว์เอ่ยพร้อมกับดึงมือของฮูหยินใหญ่ออกจากบ่ามากุมไว้แสดงท่าทางห่วยใย ก่อนจะปล่อยมือนางหันไปคารวะแม่รองที่ยืนอยู่ไม่ห่างต่อ
“แม่รองดูแลสุขภาพด้วยนะเจ้าค่ะ”
“เดินทางปลอดภัยนะลูก ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนด้วย”
“เจ้าค่ะแม่รอง”
เมื่อเอ่ยคำล่ำลาแล้วนางจึงเดินขึ้นรถม้าไปท่ามกลางเสียงซุบซิบนินทาของชาวบ้านที่มุ่งดูอย่างอยากรู้อยากเห็น บ้างก็ว่านางหน้าตาขี้เหร่จึงต้องปิดบังใบหน้า บ้างก็ว่าจับพลังจากตัวนางไม่ได้แม้แต่น้อยนางจะมีปัญญาเข้าเรียนสำนักศึกษาหย่งฟูได้อย่างไร บ้างก็ดูแคลนนางว่าคงไม่สามารถผ่านการทดสอบแรกของสำนักได้หรอกเดี๋ยวนางก็ร้องไห้กลับมา
ทุกเสียงที่เอ่ยนินทานั้นเข้าหูเสนาบดีเจ้าของจวนทุกคำพูด เขาก็ปล่อยจิตสังหารออกไปโดยรอบจนบางคนถึงกับกระอักเลือด ชาวบ้านแถวนั้นจึงรีบสลายตัวจากไปอย่างรวดเร็ว ทุกการกระทำอยู่ในสายตาของซูหนี่ว์ทั้งหมดนางก็เหยียดยิ้มภายใต้ผ้าปิดหน้าผืนบ้าง ก่อนจะสั่งให้ออกเดินทางได้
เดินทางมาอย่างเบื่อหน่ายถึงสิบวันสิบคืน บ้างก็แวะพังโรงเตี๊ยม บ้างก็พักกันกลางป่าเขา ซูหนี่ว์ทั้งออกมาขี่ม้าเองทั้งนอนเล่นอยู่ในรถม้าก็ยังไม่มีท่าทีว่าใกล้จะถึงสักนิด นางถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะหยิบเอาตำราสมุนไพรในมิติขึ้นมาอ่านเล่นฆ่าเวลา จนเวลาของการเดินทางในวันที่สิบล่วงเข้ายามเซิน (15.00-17.00) รถม้าก็หยุดลงอย่างช้าๆ
“หยุดรถม้าทำไมหรือพี่ซื่อซื่อ” ซูหนี่ว์เอ่ยถาม มือบางและสายตาของนางก็ยังไม่ละจากหนังสือสมุนไพรตรงหน้า
“ประมาณสองลี้ข้างหน้ามีการปะทะกันอยู่เจ้าค่ะ” ซื่อซื่อเปิดหน้าต่างรถม้าพลางชะโงกหน้ามาบอกคุณหนูของตนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่
“ส่งคนไปดูเสียหน่อยเถอะ” ซูหนี่ว์เอ่ยบอกเสียงเรียบอย่างไม่ยี่หระกับเหตุการณ์ปะทะกันราวกับว่ามันคือเรื่องปกติ
“พี่ใหญ่กำลังไปดูแล้วเจ้าค่ะ” หนึ่งก้านธูปต่อมาก็ปรากฏร่างของพี่ใหญ่ลงจากม้า มายืนอยู่ข้างรถม้าเพื่อรายงานสถานการณ์
“น้องเล็ก ข้างหน้ามีการปะทะกันระหว่างกลุ่มโจรป่ากับขบวนรถม้า แต่โจรป่าดูมีฝีมือมาก ดูเหมือนจะเป็นนักฆ่าเสียมากกว่า” เขาเอ่ยรายงานด้วยสีหน้าเรียบเฉย ซูหนี่ว์ที่ได้ยินว่านักฆ่าแววตานางก็กระตุกขึ้นราวกับตื่นเต้น
“ไปยืดเส้นยืดสายกันหน่อยดีไหมพี่ใหญ่” ซูหนี่ว์เอ่ยพร้อมกับเหยียดยิ้ม มือบางโยนหนังสือสมุนไพรเข้าไปในมิติพลางหยิบเอาผ้าสีขาวมาคาดปิดหน้าครึ่งล่างไว้
“ก็ดีเหมือนกัน ขี่ม้าหลายวันเมื่อยเหลือเกิน” พี่ใหญ่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น พลางกระโดดขึ้นม้า นำขบวนรถม้าให้เดินหน้าต่อ
ตอนหน้ามีเลือดอาบแน่นอน
เอาใจช่วยนักฆ่าเหล่านั้นด้วยนะคะ ฮ่าๆๆๆ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เหล่าขุนนาง ไม่ใช่ เล่าขุนนาง....แวะพัก ไม่ใช่ แวะพัง
น้องกำลังเบื่อมีตัวแก้น่าเบื่อมาละสู้ๆๆจ้า
ยังมีผิดที่ตอนก่อนหน้าด้วยนะคะ
อ่านเพลินจริงๆ
รอครับสนุกมากกกก
ตัดแบบนี้ได้ยังไงค้่าาาาา