ตอนที่ 21 : นางมาร บทที่ 20
บทที่ 20
“ก็ผู้อื่นมากลั่นแกล้งข้าก่อนนะ พี่ซื่อซื่ออย่าลืมสิ คุณหนูรองสั่งสาวใช้ลากข้าไปโบยเชียวนะ วันนั้นข้าจัดการแค่สาวใช้ ยังไม่ได้จัดการคนบงการเลย” ซูหนี่ว์พูดยาวเพราะกลัวโดนขัดแล้วซื่อซื่อจะมาว่านางไปรังแกคนโดยใช่เหตุอีก
“โถ่หนี่ว์เอ๋อร์แต่การไปวางยาพิษให้คุณหนูรองเป็นแบบนั้นรู้ไหมตอนนี้คนที่เรือนใหญ่วุ่นวายขนาดไหน ขนาดนายท่านยังต้องไปตามหมอหลวงให้มาช่วยดูอาการเลย”
“เดี๋ยวนางก็หายเองแหละน่าพี่ไม่ต้องกังวล” ซูหนี่ว์พูดทีเล่นทีจริงพลางนึกขำไปถึงพิษที่นางใช้
ในครั้งนี้เป็นพิษเปลี่ยนเสียง จากเสียงแหลมๆ ให้กลายเป็นเสียงทุ้มแต่หากเป็นคนเสียงทุ้มก็จะกลายเป็นเสียงแหลม ยิ่งเสียงแหลมมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งเสียงทุ้มมากเท่านั้นพิษนี้เหมาะกับพี่รองมากที่สุดแล้วชอบส่งเสียงแหลมน่าหนวกหูดีนัก
“หนี่ว์เอ๋อร์นะหนี่ว์เอ๋อร์ พี่ไม่รู้ด้วยแล้ว ไปตามดูงานเจ้าเสี่ยวเว่ยดีกว่า” ซื่อซื่อพูดอย่างอ่อนใจในความซนของนางพร้อมทั้งสะบัดหน้าเดินจากไป
เมื่อซื่อซื่อจากไปแล้วซูหนี่ว์ก็ไม่รอช้ารีบไปที่เรือนใหญ่เพื่อไปตามดูผลงานตัวเองอย่างรีบร้อน ร่างบางหายไปราวกับภูตผี นางปีนขึ้นไปแอบดูอยู่บนหลังคาเรือน มือเล็กๆ ที่ซุกซนก็แอบงัดเอากระเบื้องหลังคาออกมาหนึ่งแผ่นเพื่อให้ง่ายต่อการแอบฟังเสียงอันไพเราะของพี่รอง
“กรี๊ดดดดดด ทำไมเสียงข้าถึงเป็นแบบนี้ ท่านแม่ก็ดันมาป่วย ท่านพ่อก็หาหมอมารักษาข้าไม่ได้ กรี๊ดดดดดด” เสียงที่ หลี่ฟางซินเอ่ยออกมาแต่ละประโยคเหมือนบุรุษร่างยักษ์ก็ไม่ปาน
น้ำเสียงทุ้มห้าวหาญติดจะแหบห้าวนิดๆ เวลานางกรีดร้อง สาวใช้ข้างกายจะหัวเราะก็ไม่ได้จะร้องหายก็ไม่ออก หากเผลอหลุดขำไปละก็คงโดนเจ้านายที่อารมณ์ไม่ค่อยจะคงเส้นคงวาคนนี้ตบจนฟันกระเด็นเป็นแน่ ผิดกับร่างบางของซูหนี่ว์ที่แอบฟังอยู่นางเอามือปิดปากกลั้นเสียงหัวเราะจนน้ำตาเล็ดน้ำตาไหล กลิ้งไปมาอย่างไม่รักษากิริยาบนหลังคาเรือนใหญ่
“มีเรื่องสนุกอะไรหรือหนี่ว์เอ๋อร์”
“ทะ..ท่าน!!” เสียงนุ่มทุ้มคุ้นหูเอ่ยขึ้นที่ข้างหูของซูหนี่ว์ จนร่างที่กลิ้งไปมาของนางหยุดชะงักหันไปมองผู้มาใหม่ด้วยความตกใจ นัยน์ตากลมโตเบิกกว้างเมื่อเห็นคนตรงหน้า ชินอ๋อง!! มาได้อย่างไร มาตอนไหนทำไมข้าไม่รู้ตัว
“ตกลงว่าขำอะไรอยู่หรือ” ชินอ๋องเอ่อพร้อมกับยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ซูหนี่ว์จนปลายจมูกเกือบจะชนกันอยู่รอมร่อ ซูหนี่ว์จึงรีบพลิกไปอีกด้านด้วยความตกใจ จนเกือบตกหลังคา
“ปะ..ไปคุยกันที่เรือนข้าเถอะเดี๋ยวใครผ่านมาเห็นเข้า” เอ่ยจบคำร่างบางก็รีบกลับเรือนตัวเองอย่างเร็วยิ่งกว่าตอนขามาเสียอีก เมื่อเข้ามาถึงเรือนนางจึงเชิญชินอ๋องมานั่งในห้องรับรอง ซูหนี่ว์รินชาให้เขาด้วยท่วงท่าที่งดงามรักษามารยาทต่างกับเมื่อครู่ที่กลิ้งไปมาอยู่บนหลังคาเรือนผู้อื่น
“อืม ชาดี” ชินอ๋องยกชาขึ้นจิบด้วยท่วงท่าที่สบายตา ไม่รีบร้อน
“วันนี้เสด็จมาหาหม่อมฉันถึงหลังคาเรือน แฮ่ม! ถึงเรือนมีธุระอันใดหรือเพคะ”
“บอกให้ใช้คำสามัญ” เขาเอ่ยขึ้นพลางเลิกคิ้วสูง ใบหน้าหล่อเหลาแต้มยิ้มน้อยๆ
“เจ้าค่ะ มีธุระอันใดถึงถ่อ เอ่อ ถึงมาหาข้าที่เรือนเจ้าคะ”
“ข้าแวะมาจิบชา” ซูหนี่ว์คิ้วกระตุกหยิกๆ ทันทีที่ได้ยินคำตอบของคนตรงหน้า
เพ้ย!! ถึงท่านจะหล่อเหลาแต่เราเพิ่งจะมีเรื่องที่น่าขายหน้าต่อกันไปนะ ท่านจะมานั่งจิบชายิ้มระรื่นโปรยเสน่ห์ใส่ข้าแบบนี้ไม่ได้ ซูหนี่ว์คิดอย่างสับสนว่าควรจะจัดการปัญหาใหญ่ตรงหน้าอย่างไรดี เอาว่ะ! ในเมื่อเขาสามารถนั่งยิ้มหน้ามึนได้ข้าก็ทำได้!! เรื่องน่าขายหน้าวันนั้นหากเขาไม่พูดข้าก็จะไม่พูดถึงอีก
“หากท่านชอบข้ายินดีแบ่งให้ไปสักห่อนะเจ้าค่ะ” ซูหนี่ว์กัดฟันพูดนางพยายามหน้ามึนเหมือนท่านอ๋อง แต่พอเอาเข้าจริงภาพในวันนั้นยังวนเวียนอยู่ในหัวจนนางรู้สึกอายไปหมด
“ข้าชอบมาดื่มที่นี่กับเจ้ามากกว่า” ชินอ๋องยังคงพูดจารื่นหูส่งยิ้มหวานให้กับซูหนี่ว์ต่อจน นางถึงกับตาพร่าลายไปกับรอยยิ้มนั้น ทำไมข้าต้องแพ้ ทำไมข้าต้องแพ้ความงามของผู้อื่นอยู่ร่ำไปด้วยเล่า!!
“หนี่ว์เอ๋อร์ทำไมหน้าแดงปานนั้น เจ้าไม่สบายหรือ” ชินอ๋องเอ่ยถามด้วยความสงสัยพลางยกมือไปกุมข้างแก้มของเด็กน้อยตรงหน้า
เขาสัมผัสได้ถึงความนุ่มนิ่ม อะแฮ่ม! ความเห่อร้อนนิดๆ บนใบหน้านาง กิริยานั้นของเขายิ่งทำให้ใบหน้าของนางซับสีชมพูระเรื่อขึ้นไปอีก นางรีบสะบัดตัวออกห่างกระโดดไปไกลถึงมุมห้อง อันตรายยิ่ง!! อันตรายต่อหัวใจข้ายิ่ง!! ซูหนี่ว์ยกมือกุมหัวใจที่เต้นระรัวราวกับมีใครมากระหน่ำตีกลองอยู่ภายใน
“ข้าสบายดี หากท่านจิบชาเสร็จแล้วรบกวนกลับไปได้แล้วเจ้าค่ะ”
“อ๋อ ที่แท้หนี่ว์เอ๋อร์เขินนี้เอง หึหึ” เขาเอ่ยพลางยืนขึ้นเอามือไพล่หลังเดินก้าวเข้ามาใกล้ซูหนี่ว์อย่างช้าๆ
“ข้าเปล่าเขินท่านนะ” ซูหนี่ว์รีบเอ่ยปฏิเสธแต่หลักฐานที่แดงอยู่บนใบหน้านั้นกลับฟ้องออกมาหมดว่าข้ากำลังเขินท่าน
“งั้นไว้ข้ามาใหม่ มาหาเจ้าบ่อยๆ เจ้าจะได้เลิกเขินอายเปิ่นหวางเสียที”
“ท่านจะมาทำไมบ่อยๆ ข้าไม่ว่างต้อนรับท่านทุกวันหรอกนะ”
“มาเกี้ยวเจ้า” กล่าวจบชินอ๋องก็เดินออกจากห้องไปอย่างอารมณ์ดี
ทิ้งระเบิดมาใส่หัวซูหนี่ว์ลูกใหญ่ นางได้แต่ยืนค้างกับคำพูดนั้นถึงหนึ่งเค่อก่อนที่สติจะกลับเข้าร่าง อยากได้สามีรูปงาม ก็มีสามีมาส่งตรงถึงประตูเรือน มีอะไรให้ข้าตกใจยิ่งกว่าเรื่องนี้อีกหรือไม่!!
ซูหนี่ว์พยายามเลิกคิดฟุ้งซ่านเรื่องของชินอ๋อง หันกลับมาคิดเรื่องในจวนต่อ ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ในจวนนางก็จัดการไปแล้วพวกเรือนใหญ่คงไม่มาวุ่นวายกับนางไปสักพักแน่นอน นางจึงเดินไปที่ห้องหนังสือของตนต่อว่าจะอ่านหนังสือให้หายฟุ้งซ่านเพื่อเรียกสมาธิของตน
ปัญหาต่างๆ ที่วิ่งเข้ามาไม่หยุดหย่อนน่ารำคาญเสียจริงๆ ยังมีปัญหาอันใดให้ต้องจัดการอีกหรือไม่นะก่อนที่จะต้องเดินทางไปสำนักศึกษา คิดไม่ทันไรปัญหาก็พุ่งเข้ามาทางหน้าต่างร่างหญิงสาวคุ้นตาปรากฏแก่สายตาซูหนี่ว์มาพร้อมกับร่างของหนุ่มน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่ง
“ข้าน้อยชื่อเสี่ยวเว่ยขอรับนายหญิง อยู่หน่วยข่าวกรองเป็นผู้อาสาสืบข่าวให้นายหญิงของรับ”
“อืม พี่ซื่อซื่อไปพักเถอะ ข้าขอคุณกับเสี่ยวเว่ยสักครู่” ซูหนี่ว์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่แววตากลับกลอกไปมาด้วยความเหนื่อยหน่าย
“เจ้าค่ะ” ซื่อซื่อรับคำพร้อมทั้งส่งคืนป้ายหยกให้กับซูหนี่ว์แล้วเดินออกจากห้องหนังสือไป
“นั่งลงดื่มชาให้หายเหนื่อยก่อน”
“ขอบคุณขอรับ” ชายหนุ่มร่างเล็กรับน้ำชาจากซูหนี่ว์ไปดื่มอย่างกระหายและตื่นเต้นกับงานแรกของตน ที่มีพี่สาวคนสวยอย่างซื่อซื่อคอยสอนงานอย่างใกล้ชิด งานแรกนี้ถือว่าไม่ยากแต่ก็ไม่ง่ายหวังว่าข้อมูลที่ตนหามาได้จะเป็นที่น่าพึงพอใจต่อนายหญิงนะ เขาไม่อยากทำให้นายหญิงของตนผิดหวัง
“ได้เรื่องว่าอย่างไรบ้างละ” ผ่านไปเพียงครู่หนึ่ง ซูหนี่ว์ก็เอ่ยปากถาม
“ป้ายหยกนั่นเป็นขององค์รัชทายาทขอรับ”
“รัชทายาทรึ!” อย่าบอกนะว่าข้าช่วยลูกของไอ้ฮ่องเต้เลือดเย็นผู้นั้น! ซูหนี่ว์คิดอย่างอารมณ์เสีย ทั้งยังเผลอปล่อยจิตสังหารเข้มข้นออกมากดดันจนหนุ่มน้อยตรงหน้าถึงกับหน้าซีด
“นะ นายหญิง” เสียงเสี่ยวเว่ยเอ่ยออกมาอย่างสั่นกลัว จนซูหนี่ว์ถอนพลังปราณออกและหายใจเข้าออกอย่างสงบสติอารมณ์ที่กำลังขุ่นมัวของตนเอง
“ว่าต่อเจ้ารู้อะไรอีก”
“โรงประมูลชิวเทียนอยู่ภายใต้การปกครองขององค์รัชทายาทกับองค์ชายสี่ขอรับแต่ว่ายังมีผู้อยู่เบื้องหลังอีกคนหนึ่งไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดขอรับ ทั้งคู่มีฮองเฮาเป็นพระมารดา และยังมีข่าวอีกว่าเมื่อวันก่อน องค์รัชทายาท องค์ชายสี่ และแม่ทัพ ถูกนักฆ่าซุ่มโจมตีหลังจากเดินทางเข้าเมืองหลวงแต่ทั้งสามรอดมาได้ขอรับ” คงจะเป็นสามคนที่นางช่วยไว้ไม่ผิดแน่ นางคิดอย่างเหนื่อยหน่าย ช่วยใครไม่ช่วยดันไปช่วยลูกเสือลูกจระเข้
“ฮองเฮามีพระนามว่าอะไร” ซูหนี่ว์ถามต่ออย่างต้องการข้อมูล เพราะตลอดเวลานางเอาแต่ฝึกฝนวิชาไม่ได้หาข้อมูลของศัตรูเลยแม้แต่น้อยว่าเป็นอย่างไร คงถึงเวลาที่ต้องมีข้อมูลในหัวเพื่อวางแผนเสียแล้ว
“แซ่ เสวี่ย พระนาม ช่างหลิวขอรับ”
“อืมไปพักเถอะ” เสี่ยวเว่ยก้มหัวให้ซูหนี่ว์แล้วจึงรีบออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วไม่รู้ว่าเขาทำอันใดผิดนายหญิงถึงได้ดูอารมณ์ไม่ดีปานนั้น
หลันเหมย เจ้าไปมุดหัวอยู่ที่ใด หากเจ้าไม่ใช่ฮองเฮา หรือเจ้าจะเปลี่ยนชื่อกัน ถึงเวลาที่ข้าต้องออกสืบเรื่องพวกเจ้าได้แล้วสินะ ซูหนี่ว์คิดอย่างหมายมั่น แล้วจึงเขียนจดหมายทิ้งไว้บนโต๊ะบอกซื่อซื่อว่านางอาจกลับค่ำไม่ต้องรอ
แล้วนางจึงเปลี่ยนเป็นชุดบุรุษสีดำทะมัดทะแมงคาดผ้าปิดหน้าอย่างหนาแน่น แล้วร่างบางจึงกระโดดหายออกจากห้องไป นางมุ่งตรงไปทางโรงประมูลชิวเทียน มุ่งหน้าไปเบิกเงินที่นางไถ่มาจากทั้งสามคน
เมื่อได้เงินมาแล้วนางจึงมุ่งหน้าตรงไปทางวังหลวง ร่างบางใช้วิชาตัวเบาขั้นสูงสุดเห็นเป็นเพียงเงาผ่านแวบไปมาตลอดเส้นทาง เมื่อถึงข้างกำแพงวังอันใหญ่หลวงแล้วนางจึงค่อยๆ ลอบเข้าผ่านทหารรักษายามอย่างง่ายดาย แต่นางก็ยังต้องระวังตัวจากพวกองครักษ์เงาทั้งหลายอีกจำนวนมาก ซูหนี่ว์จับสัมผัสไปรอบๆ เมื่อพบว่ายังไม่มีผู้ใดอยู่ในบริเวณนี้ อยู่ระดับเจ้าจอมยุทธนางก็เบาใจไม่น้อยเพราะนางยังไม่อยากเสียเวลารับมือกับระดับเจ้าจอมยุทธตอนนี้ระดับนางยังนับว่าดึงมือเกินไปที่จะเจอกับระดับนี้
มาแล้วเจ้าค้าาาาา
อั่นแน่แอบยิ้มอยู่ละเส่อิ้อิ้
บางคำไรก็ให้ชินอ๋องแทนตัวเองว่าเปิ่นหวางนะคะ ไรท์ว่ามันน่ารักดี
ไม่ใช้อารมณ์แบบถือยศถือศักดิ์อะไรหรอกนะ
แต่งไปก็เขินไป ฮ่าๆๆๆ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ขอคุย....ตึงมือ
หนี่ว์เอ๋อร์ตั้งตัวไม่ทัน
คนที่หนี่ว์เอ๋อร์ช่วยนึกว่าเป็นท่านอ๋อง
ดันเป็นรัชทายาทลูกชายศัตรู
สนุกมากๆๆ ค่าาาา
โอ้ยขำอะไรท์ คิดได้ไงอะ จิ้นเสียงตามละแบบขำพรึดออกมาเลย555555
สนุกมากกก ต่อเลยได้ไหมแงงง