ตอนที่ 15 : นางมาร บทที่ 14
บทที่ 14
“น้องเล็ก เจ้าได้ปิ่นนี้มายังไง” พี่ใหญ่ใช้วิชาตัวเบากระโดดเข้ามาขว้างนางไว้ พร้อมกับเอ่ยถามซูหนี่ว์ที่เดินตรวจตราความเรียบร้อยของค่ายตนอยู่
“ไปคุยที่ศาลาตรงโน้นดีกว่าเจ้าค่ะพี่ใหญ่” ซูหนี่ว์เอ่ยพร้อมทั้งเดินไปตรงศาลาริมน้ำที่นางสร้างขึ้นจากเถาวัลย์ เอาไว้เป็นที่นั่งเล่นพักผ่อน
“ตกลงว่าปิ่นอันนี้เป็นของใครเจ้าคะ แล้วข้าให้พี่รองเป็นคนไปสืบ ทำไมปิ่นนี้ไปอยู่กับพี่ใหญ่ได้เล่า” ซูหนี่ว์เอ่ยพร้อมขมวดคิ้ว อุตส่าห์จะไม่ให้พี่ใหญ่รู้เสียหน่อย
“เจ้ายังไม่ตอบคำถามข้าเลยหนี่ว์เอ๋อร์ อย่าให้พี่ต้องถามซ้ำ” พี่ใหญ่เอ่ยพร้อมทั้งขมวดคิ้วแน่น หากยังหลีกเลี่ยงที่จะไม่ตอบคำถามเห็นทีพี่ใหญ่คงจะเซ้าซี้นางไม่เลิกแน่นอน
“ดุจริงเชียว” ร่างบางเอ่ยพร้อมทั้งส่งรอยยิ้มอ้อนๆ ไปให้
“ตอบคำถามข้ามาน้องเล็ก” เขาเอ่ยพร้อมจ้องมองนางอย่างจับผิด
“มันวางอยู่บนเตียงข้า ข้าเห็นว่ามันไม่ใช่ของข้าเลยวานให้พี่รองพี่สืบหาเจ้าของดูให้เจ้าค่ะ”
“แน่ใจนะว่ามันไม่ใช่ของคนที่แอบเข้าห้องเจ้า”
“ท่านรู้เรื่องนี้ด้วยหรือ” ซูหนี่ว์เอ่ยด้วยน้ำเสียงตกใจนิดๆ
“ก็เจ้ารองกับเจ้าสามมาขอรับโทษจากข้าที่ดูแลเจ้าไม่ดีปล่อยให้มีคนแอบเข้าห้อง” นางพยักหน้าเข้าใจ พี่รองนะพี่รอง ข้าอุตส่าห์ไม่ฟ้องให้ท่านโดนทำโทษ ดันไปขอรับโทษเองเสียได้
“พี่ใหญ่ทำโทษอะไรพี่รองกับพี่สามเจ้าคะ” ซูหนี่ว์เอ่ย นางเป็นคนให้พี่รองกับพี่สามมาเป็นเงาให้แทนช่วงนี้
ส่วนพี่สี่กับพี่ห้าให้คุมคนในค่ายแทนค่อยสลับกัน ระหว่างที่รอฝึกเงารุ่นใหม่ให้นาง เพราะนางจะรับเงาที่เป็นระดับเจ้าจอมยุทธเท่านั้น พี่รองกับพี่สามจะมาเป็นเงาให้นางบ่อยที่สุดทำให้นางสนิทกับทั้งคู่มาก
“ให้ไปเล่นไล่จับกับไป๋ปิงและไป๋ซานที่ป่าหลังเขาด้านหลังค่ายสองชั่วยาม ระหว่างนี้เจ้าก็เล่นรออยู่ในค่ายไปก่อน อย่าเพิ่งไปซนที่ไหน” พี่ใหญ่พูดด้วยใบหน้านิ่งๆ แต่ซูหนี่ว์ถึงกลับส่ายหน้าระอาปนเห็นใจไปให้กับทั้งคู่ ไป๋ปิงและไป๋ซาน
เจ้าหมาน้อยนั่นดุแน่ไหนใครจะรู้ดีเท่าพี่ใหญ่ที่เลี้ยงมันมาเล่า ดีที่ไม่ส่งไป๋อวี้กับไป๋เสี่ยวไปเล่นด้วย ไม่เช่นนั้นพี่รองกับพี่สามไม่น่าจะรอดกลับมาแน่
“พูดถึงเรื่องปิ่นเถอะเจ้าค่ะ ตกลงใครเป็นเจ้าของ”
“ปิ่นนี้มันมีตรา พยัคฆ์ซ่อนอยู่ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งจวนชินอ๋อง หยางเทียนหลง”
“ชินอ๋องหยางเทียนหลงหรือเจ้าคะ” ซูหนี่ว์เอ่ยทวนคำพร้อมทั้งนึกไปถึงวันที่นางไปโรงประมูล อย่าบอกนะว่าผู้ที่บุกเข้าห้องข้าวันนั้นคือชินอ๋องรูปงามผู้นั้น ซูหนี่ว์คิดอย่างตื่นตระหนก
“น้องเล็ก..น้องเล็ก!!”
“ห้ะ..เจ้าคะ”
“ข้าพูดเสียยืดยาวเจ้าไม่ได้ฟังเลยหรือ”
“ข้ากำลังใช้ความคิดไปนิด แหะๆ พี่ใหญ่พูดใหม่ได้ไหมเจ้าคะ” นางเอ่ยพร้อมทั้งยกมือเกาหัวอย่างเก้อเขินที่เผลอใจลอยคิดถึงวันนั้นจนไม่ได้ฟังที่พี่ใหญ่เอ่ยกับตนเมื่อครู่
“ข้าคิดว่าเงาที่แอบมาซุ่มดูเจ้ากับจวนชินอ๋องอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกัน”
“ข้าก็กำลังคิดเช่นนั้นอยู่ แต่เรื่องชินอ๋องปล่อยผ่านไปก่อนข้าจะเป็นคนจัดการเขาเอง ข้ามีเรื่องจะรบกวนพี่ใหญ่กับพี่ซื่อซื่อ”
“เจ้าจะจัดการอย่างไรกับชินอ๋อง พระองค์เป็นเสือซ่อนเล็บนะ ที่ยังอยู่ในเมืองหลวงได้ทุกวันนี้ไม่รู้ว่าทรงมีข้อต่อรองอันใดกับฮ่องเต้”
“ไหนพี่ซื่อซื่อว่าพระองค์เป็นน้องชายที่ฮ่องเต้โปรดมากจึงไม่ถูกย้ายอย่างไรเล่า”
“นั่นเป็นเพียงข่าวที่ชาวบ้านชาวเมืองลือกันแต่เรื่องจริงเป็นอย่างไรก็สุดรู้”
“เอาเถอะ ข้าจะจัดการเองในเรื่องนี้ แต่เรื่องที่จะให้พี่ใหญ่จัดการคือข้าอย่างให้พี่ใหญ่ไปหาซื้อตึกแถวหรือร้านค้าก็ได้ ใกล้กับสำนักศึกษาที่ข้าจะไปเรียน ให้พี่ซื่อซื่อกับพี่ใหญ่ปลอมตัวเป็นสามีภรรยา เปิดร้านขายสมุนไพร ให้พี่ห้าและคนของเราที่ศึกษาเรื่องนี้ไปด้วยเปิดร้านให้ใหญ่เลื่องชื่อไปเลยนะเจ้าคะ ข้าจะตั้งสาขาใหญ่ไว้ที่นั่นเลย ข้าอยากได้ร้านสี่ถึงห้าชั้น ชั้นแรกขายสมุนไพรทั่วไป ชั้นสองขายสมุนไพรหายาก ชั้นสามทำเป็นโรงประมูลสมุนไพรและยา ชั้นสี่และชั้นห้าไว้พักผ่อน”
“อืมได้เดี๋ยวพี่จะไปจัดการให้คงจะไม่อยู่สักหลายวันนะ เพราะเรื่องที่เจ้าขอ มันใหญ่เสียเหลือเกิน”
“วานพี่ใหญ่ไปแจ้งพี่ซื่อด้วยนะเจ้าคะ”
“อืมได้ ส่วนเรื่องชินอ๋องเจ้าก็ระวังตัวด้วยถึงเจ้าจะเก่งแต่ชินอ๋องไม่ใช่คนที่เจ้าจะเข้าไปล้อเล่นด้วยได้” พี่ใหญ่เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเพราะกลัวเด็กสาวตรงหน้าจะเล่นอะไรซนๆ อีก
“เขามาล้อข้าเล่นก่อนนะพี่ใหญ่” ซูหนี่ว์บ่นอุบอิบอยู่ในลำคอจนฟังไม่ได้ความ
“เจ้าว่าอะไรนะ”
“เปล่าเจ้าค่ะ พี่ใหญ่เจอกันที่เรือนนะเจ้าคะ ฝากหิ้วพี่รองกับพี่สามกลับมาให้ด้วย ข้านึกได้ว่ามีธุระที่ไม่อันตรายต้องไปทำ ไม่ต้องใช้เงาเจ้าค่ะ ไปละ” เอ่ยจบซูหนี่ว์ก็คว้าเอาปิ่นหยกตรงหน้าพร้อมทั้งใช้วิชาตัวเบาหายตัวไปในทันทีไม่รอให้อีกฝ่ายได้พูดขัด
นางใช้วิชาตัวเบาออกมาถึงตลาดและเช่นเดิมนางปลอมตัวเป็นหนุ่มน้อย ทั้งยังมีผ้าปิดใบหน้าครึ่งล่าง ซูหนี่ว์เดินเข้ามานั่งในโรงเตี๊ยมล่อนภาที่เดิม เสี่ยวเอ้อคนเดิมที่เห็นนางมาก็ไม่รอช้ายกน้ำชาและขนมชุดเดิมมาให้นางทันที
“ไม่คิดว่าข้าจะเบื่อบ้างหรืออาเปา” นางเอ่ยเย้าแหย่เสี่ยวเอ้อร่างเล็กตรงหน้า
“นี้เป็นชุดชาที่คุณชายเคยสั่งไว้ทุกครั้งที่มานะขอรับ หากคุณชายเบื่อข้าน้อยจะรีบเปลี่ยนให้เดี๋ยวนี้ขอรับ”
“ข้าแค่ล้อเล่น เจ้ามีอะไรก็ไปทำเถอะ” ซูหนี่ว์เอ่ยพลางหยิบเงินให้เสี่ยวเอ้อคนนั้นไปสามเหรียญเงินพร้อมค่าน้ำชา
“ขอบคุณขอรับคุณชายน้อย” เสี่ยวเอ้อตัวน้อยรับเงินไปพร้อมกับยิ้มแก้มปริ คุณชายท่านนี้มาเมื่อไหร่เขาจะได้เงินเกินกว่าค่าน้ำเงินประมาณหนึ่งเหรียญเงิน ซึ่งมันเกือบจะเท่ากับค่าแรงในแต่ละวันของเขาทีเดียว
จิบชาไปได้สักพักก็มีเสียงโวยวายอยู่ด้านล่างดึงความสนใจของซูหนี่ว์ทันที มีงิ้วอะไรให้ชมอีกละวันนี้ ไม่รอช้าหญิงสามในคราบหนุ่มน้อยรีบเกาะหน้าต่างรอชมความสนุกทันที และเมื่อเห็นตราตรงรถม้านั้นดวงตากลมโตก็เบิกกว้างขึ้นอีก
“ไม่เสียงแรงที่มานั่งตรงนี้วันนี้ ตามหาตัวอยู่เชียวว่าที่สามี หึหึ”
ขบวนรถม้าติดตราพยัคฆ์ หยุดลงกะทันหันเมื่อมีร่างบอบบางของหญิงสาวล้มลงขว้างทางไว้พร้อมทั้งเสียงโวยวายของสาวใช้ทั้งสอง
“คุณหนูขออภัยเจ้าค่ะ บ่าวเดินไม่ระวัง”
“คุณหนูเจ็บมากไหมเจ้าคะ ลุกไหวไหมเจ้าคะ”
สาวใช้ทั้งสองส่งเสียงดังอย่างไร้มารยาท ทั้งพยายามจะช่วยพยุงคุณหนูของตนให้ลุกขึ้นแต่ก็ไม่ขยับตัวลุกได้เสียทีจนผู้คนเริ่มมามุงดูเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น และจะเกิดอะไรต่อไปในเมื่อขบวนรถม้าที่หยุดชะงักนั้นเป็นของชินอ๋อง เหตุการณ์สาวงามล้มขว้างทางรถม้านั้นแทบจะไปหนึ่งในงิ้วที่ชาวบ้านนั้นชอบเสียเหลือเกินยิ่งถ้าเป็นขบวนของเชื้อพระวงศ์ด้วยแล้วยิ่งเป็นที่จับตา
“เกิดอะไรขึ้น” น้ำเสียงทุ้มของบุรุษหนุ่มที่นั่งอยู่ภายในรถม้าเอ่ยขึ้นเมื่อรถม้าของตนหยุดชะงักมาสักพักและไม่มีท่าทีว่าจะเดินหน้าต่อ
“มีแม่นางน้อยล้มขว้างทางอยู่ขอรับ” องครักษ์รีบเอ่ยตอบเมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของเจ้านายก็รู้ได้ทันทีว่าชะตาตนนั้นขาดแน่ถ้ายังไม่รีบจัดการ
“แม่นางหากพยุงกันไม่ไหวเดี๋ยวข้าช่วย” องครักษ์คนเดิมเดินเข้าไปใกล้เพื่อเข้าไปเพื่อช่วยพยุงสาวงามให้พ้นทางรถม้าให้เร็วที่สุดแต่ยังไม่ทันถึงตัวสาวใช้ของหญิงคนนั้นก็ตวาดออกมาเสียก่อน
“หยุดนะเจ้าทหารชั้นต่ำ อย่ามาบังอาจแตะต้องคุณหนูของข้า” ทำให้องครักษ์ถึงขั้นนิ่งไปทันที เขาเป็นถึงหัวหน้าองครักษ์ในสังกัดชินอ๋อง สาวใช้ไม่รู้ความกล้าเอ่ยต่อว่าเขาเป็นทหารชั้นต่ำเชียวเรอะ หัวหน้าองครักษ์ถึงกับต้องกัดฟันข่มความโกรธไว้ในใจและคิดหาทางออกให้ไว้ที่สุด
“ไปเรียกเจ้านายเจ้าลงมารับผิดชอบคุณหนูของข้าสิ ยังมายืนหน้าโง่อยู่ได้” สาวใช้อีกคนเอ่ยคำจบชาวบ้านแถวนั้นถึงกับส่ายหัวในความปากพล่อยของนาง ที่พวกนางล้มไม่สังเกตหรือว่าเป็นขบวนรถม้าของผู้ใด
“เสี่ยวจิน เสี่ยวจาง พูดจาเสียมารยานักเป็นข้าที่ล้มลงมาขว้างทางเอง” คุณหนูนางนั้นเอ่ยขึ้นเมื่อได้ยินเสียงซุบซิบของเหล่าชาวบ้าน นางรู้ดีว่านี้เป็นรถม้าของใคร ตอนล้มก็ไม่ได้เตี๊ยมกับสาวใช้ นิสัยปากไวของสาวใช้จึงทำงานทันที ไม่ดูตาม้าตาเรือว่าเป็นขบวนของใคร
“หากคุณหนูลุกไหวรบกวนหลีกทางด้วย” หัวหน้าองครักษ์เอ่ยเสียงเย็น ด้วยใบหน้าเย็นชาข่มความโกรธไว้อย่างสุดกำลัง
“ข้า..ข้า” นางส่งเสียงเลิ่กลั่ก หวังจะให้คนที่นั่งในรถม้าออกมาแต่ถ่วงเวลาไว้ตั้งนานแล้วกลับยังไม่มีท่าทีว่าเขาจะก้าวออกมาเลย
หากยังนั่งอยู่แบบนี้คงไม่ดีแน่ น่าขายหน้าเสียจริง คิดได้ดังนั้นจึงส่งสายตาให้สาวใช้ทั้งสองรีบพยุงตัวขึ้นเพื่อรีบออกไปจากตรงนี้ เมื่อเหตุการณ์สงบแล้ว ทุกอย่างก็กลับเป็นปกติสาวร่างบางที่เกาะติดหน้าต่างถึงกับถอนให้ใจออกมาอย่างเสียดาย
“ว่าที่สามีข้า เย็นชาเสียจริง นึกว่าจะได้เห็นฉากบุรุษอุ้มหญิงงาม”
ซูหนี่ว์เอ่ยจบก็กระโจนตัวออกไปต่างหน้าต่างแอบตามรถม้าคันนั้นไปห่างๆ ทั้งยังคิดอะไรสนุกๆ อยู่ในหัว ในเมื่อมีหนุ่มงามมาอ่อยถึงที่ข้าจะมัวอ้อยอิ่งเสียเวลาไม่ได้ แก้แค้นสิบปีไม่สาย ก่อตั้งสำนักสิบปีไม่สาย แต่จีบผู้ชายสิบปีนี้สายแน่นอนข้าจะไม่ยอมเป็นสาวทื่อในชาตินี้แน่ๆ
...................................................................
เอาละน้องน้อยของเราจะเป็นจอมโจรเด็ดบุปผาบ้างแล้วนะเจ้าค่ะ อีพี่เทียนหลงแอบตามส่องน้องมาเป็นปีๆ ถึงตาน้องส่องคืนบ้างแล้ว แค้นก็ต้องแก้ ผู้ชายก็ต้องหา สำนักก็ต้องสร้าง ทำมันทุกอย่างพร้อมๆ กันไปเลยแล้วกัน ใครไม่กล่าวอีน้องกล่าว
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อยาก (ความต้องการ) ไม่ใช่ อย่าง
ลุยเลยจ้าหมดสมัยสาวในห้องหอแล้วชอบต้องฉุดเอ้ยต้องจีบ55555
เอ่อ บางทีนางเอกเราก็บ้าผู้ชายมากไปนะบางที ซ็อบๆลงหน่อยก็ดีนะ เสียชื่อหญิงงามหมด
ตามตัวเจ้าของปิ่นเจอแล้ว งานนี้ไม่ต้องล่านานเหยื่อยอมให้จับเองพีหลงจะรู้ไหมว่าใครตามมา อิ อิ
ชอบมากเลยค้าาา สู้ๆนะคะ
อ่านรวดเดียวยาวเลย สนุกมากค่ะ รอติดตามนะคะ