คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ซอยสวนมะพร้าว
ตอนที่ 1
‘ซอยสวนมะพร้าว’ คือ ชื่อซอยที่อยู่ติดริมถนนลาดยางที่ยังคงรักษาความเป็นธรรมชาติไว้อย่างดี มีบ้านเรือนตั้งอยู่ห่าง ๆ กันแบบวิถีชนบท ชาวบ้านละแวกนี้ส่วนมากทำอาชีพเกษตรกรรม ทำสวนมะพร้าวบ้าง สวนผลไม้บ้าง เมื่อมองออกไปรอบ ๆ ตัวก็จะเห็นแต่ต้นไม้ยืนต้นดูแน่นขนัดแต่มีระเบียบ
ซอยสวนมะพร้าวหรือที่ผู้คนมักเรียกติดปากกันว่าซอยต้นมะพร้าว สองข้างทางเดินที่โรยด้วยหินคลุกมีต้นมะพร้าวน้ำหอมปลูกเรียงรายเป็นระเบียบเรียบร้อยดูร่มรื่นและเกิดความเย็นใจแก่ผู้ที่ผ่านไปมา
เด็กสาววัยใกล้ยี่สิบในชุดเสื้อยืดกางเกงขายาวเก่าซีดถือตะกร้าหวายใบหนึ่งเดินเชื่องช้าคล้ายไม่อยากให้ถึงบ้านไวนัก เพราะอยากจะซึมซับบรรยากาศยามเย็นในฤดูร้อนนี้ให้สาสมกับที่รอคอย เวลาสายถึงบ่ายคือช่วงที่ร้อนระอุที่สุด แต่เวลาเย็นแบบนี้คือช่วงที่สุขที่สุดเช่นกัน
บ้านทรงไทยอายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบปี มองเห็นไกล ๆ ลิบ ๆ หลังต้นมะพร้าวที่บังตาไว้ไม่มิด และยังมีต้นไม้อื่น ๆ ที่อยู่สองข้างทางทั้งฝรั่ง ขนุน กล้วยสารพัดพันธุ์ที่ปลูกไว้แข่งกันออกเครือ มีปลีเล็ก ๆ ห้อยระโยงอยู่รอวันเก็บเกี่ยว เท้าในรองเท้าแตะแบบคีบยังคงทอดน่องไม่เร่งไม่รีบเพราะไม่มีเหตุให้ต้องรีบ เสียงลม และกลิ่นอายของบรรยากาศยามเย็นคือความสุขของเด็กสาว
แต่ ‘สีรุ้ง’ ต้องตื่นจากฝันชั่วคราว เมื่อร่าง ๆ หนึ่งโผล่ออกมาจากต้นมะพร้าวใหญ่และทำหน้าแลบลิ้นปลิ้นตาใส่หล่อน พร้อมกับเสียงคำรามที่ตั้งใจให้เด็กสาวร้องวี้ดว้ายแบบเช่นทุกครั้ง แต่คราวนี้สีรุ้งไม่ได้ตกใจเลย หล่อนยืนมองหน้าคนตัวสูงกว่าและแสร้งทำตาโตอ้าปากค้าง คนตัวโตกว่าจึงได้แต่ทำหน้าผิดหวังจนหล่อนอดขำไม่ได้
“ไม่ตกใจสักนิดเลยเหรอ คนอุตส่าห์ตั้งใจแกล้ง” ต้นกล้าว่าพลางเกาหัวตัวเองก่อนจะยิ้มขื่น ๆ
“ก็เปลี่ยนวิธีบ้างสิพี่กล้า อย่างปีนขึ้นไปบนยอดมะพร้าวแล้วแกล้งหล่นตุ้บลงมาที่หน้ารุ้งเนี่ย รับรองว่ารุ้งต้องตกใจแน่ ๆ เลยนะ” สีรุ้งว่าหน้าตาจริงจัง แหงนมองร่างของชายหนุ่มที่สูงกว่าหล่อนเกือบสิบเซ็น
ต้นกล้าอายุมากกว่าหล่อนหกปี ปีนี้เขาอายุยี่สิบห้าแล้วแต่ก็ชอบเล่นอะไรเป็นเด็กอยู่เรื่อย เขาแย่งตะกร้าหวายในมือหล่อนมาหิ้วเอง แล้วก็ก้าวขาให้ช้าลงเพื่อรอคนตัวเล็กกว่าให้เดินทันกัน
“วันนี้แม่พี่ทำขนมจีนแกงเขียวหวานล่ะ ฝากพี่มาชวนรุ้งไปกินด้วยกันที่บ้าน ไปด้วยกันนะ”
“หือ...พูดแล้วก็อยากกิน แต่สงสัยคงต้องปฏิเสธ” หล่อนตอบตามตรง มองต้นกล้าอย่างที่เคยมอง ทว่าแววตาชายหนุ่มกลับซ่อนความผิดหวังไว้ไม่มิดชิด หล่อนแกล้งศอกใส่แขนเขาเบา ๆ
“ทำหน้าอย่างกับจะตาย วันนี้รุ้งต้องทำกับข้าวเลี้ยงแขกที่มาพักนะพี่กล้า ฝากบอกป้าเนียมว่ารุ้งติดงานนะจ๊ะ” หล่อนทำหน้าขอลุแก่โทษ ต้นกล้ายังทำหน้าผิดหวัง เพราะหวังไว้เต็มเปี่ยมว่าเด็กสาวจะยอมไปกินข้าวบ้านเขาสักวันหนึ่ง
“งั้นวันอื่นนะ เสียดายจริง แขกที่ไหนมาพักอีกล่ะ” เขาว่าทำเสียงงุบงิบคล้ายไม่จริงจังนัก
“แขกมาจากกรุงเทพฯ”
“อีกแล้วเหรอ น่าเบื่อ” เขาพูดเสียงเบาที่ซ่อนความเบื่อไว้ไม่มิด สีรุ้งหัวเราะคิกคัก
“ไม่เห็นเบื่อเลย รุ้งได้ตังค์นะ ยายก็ชอบ พ่อก็ชอบออก มีแต่พี่กล้าคนเดียวแหละที่ไม่ชอบ รุ้งถามจริง ๆ เถอะ พี่กล้าชอบอะไรบ้างเนี่ย” หล่อนถามแล้วก็รอฟังคำตอบด้วยรอยยิ้ม ต้นกล้าก้มมองแล้วก็เขินซะเอง
ก็สีรุ้งน่ะสวยน่ารักออกปานนั้น หล่อนไม่รู้ตัวหรอกว่าเขาแอบมีใจให้หล่อนมาเนิ่นช้าแล้ว นานจนเขาเองยังนึกไม่ออกว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ตั้งแต่ยังเป็นเด็กหญิงสีรุ้งหรือเปล่า ที่เคยนั่งเรือไปโรงเรียนด้วยกันสมัยก่อนตอนนั้นหล่อนยังเรียนอยู่มัธยมต้น เขาจำได้ หล่อนตัวเล็กกระทัดรัด ไว้ผมบ๊อบยาวเลยติ่งหู แถมยังชอบหัวร่อต่อกระซิกกับเขาที่กำลังเรียนอยู่มัธยมปลายอย่างไม่เคอะเขินอีก
ความสุขของต้นกล้าหยุดลงเมื่อเดินมาถึงทางแยกที่เรียกว่าลำประโดงขวามือคือบ้านทรงไทยของหล่อน ส่วนซ้ายมือคือทางไปบ้านของเขา ไม่อยากส่งตะกร้าหวายให้หล่อนเลย นึกอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้ ความจริงเขาอยากหยุดวัยของหล่อนไว้ด้วยซ้ำ เขาไม่อยากให้สีรุ้งเรียนจบ เพราะเขากลัวว่าหล่อนจะเป็นแบบสาว ๆ คนอื่นที่นี่ ที่มักจะไปตามหางานกันในเมืองหลวงที่แสนจะแออัดคับแคบ หนำซ้ำยังใช้ชีวิตกันแบบแย่งกันอยู่แย่งกันกินอีก
“พี่กล้า คิดอะไรอยู่เหรอ? รุ้งถามว่า พรุ่งนี้จะมาบ้านรุ้งไหม เผื่อว่าแขกเขาอยากนั่งเรือชมคลอง” หล่อนพูดถึงกิจวัตรที่ต้องทำเป็นประจำเมื่อมีแขกมาพักที่โฮมสเตย์ทรงไทยของหล่อน และต้นกล้าก็มักมาหารายได้พิเศษโดยการรับจ้างพายเรือพานักท่องเที่ยวชมทิวทัศน์ริมคลองที่อยู่ติดกับบ้านทรงไทยหลังงามนั้น
ต้นกล้าพยักหน้าแต่ก็เก็บความเบื่อบนใบหน้าไว้ไม่มิด “ถ้ามารุ้งก็จะเห็นเองแหละ”
“แหม...พูดแบบกั๊ก ๆ แบบนี้มันน่าให้ตกงานซะให้เข็ด”
“คิดว่าพี่กลัวหรือไงล่ะ” เขามองหน้ารูปไข่ที่ล้อมไว้ด้วยผมยาวดำประบ่าของสีรุ้งอย่างเพลิดเพลิน สีรุ้งงามที่สุดในละแวกนี้ในสายตาของต้นกล้า แต่เขาไม่รู้ว่าเขาจะเป็นคนที่หล่อที่สุดในสายตาของสีรุ้งด้วยหรือเปล่า แต่ก็ช่างเถอะ แค่หล่อนมีไมตรีจิตกับเขาก็ดีเท่าไหร่แล้ว
“ก็แน่ละสิ พี่กล้าเคยกลัวอะไรที่ไหน ถ้าเกิดตกงานจริง ๆ ในกรุงเทพฯ เขาก็รอเรียกตัวพี่ให้ควั่กไป เห็นป้าเนียมยังบ่น ๆ ว่าโทร.มาตามกันจัง” หล่อนว่าค้อน ๆ อย่างหมั่นไส้ แต่ชายหนุ่มไม่ได้สนใจนัก
“ไม่ล่ะ พี่มีสวนมีที่มีทางเรื่องอะไรจะต้องไปควานหางานในเมืองหลวง พ่อแม่พี่ก็แก่ลงทุกวันพี่คงทิ้งไปไม่ได้อีก”
“เสียดายความรู้พี่กล้าเนอะ อุตส่าห์เรียนมาได้เกียรตินิยมมาประดับฝาบ้าน” หล่อนบ่นเสียงเศร้า
“ช่างเถอะ มันเป็นความภาคภูมิใจของพ่อแม่เขา” เขาส่งตะกร้าหวายให้หล่อนคืนทำหน้าเสียดาย “จะไปน่ะหรือ ไม่ไปกินขนมจีนแกงเขียวหวานจริง ๆ นะ”
“จ้ะ ไว้วันหลังเถอะนะ ฝากขอโทษป้าเนียมด้วย”
หล่อนกำลังจะร่ำลาก็พอดีกับเสียงย่าเล็กของหล่อนตะโกนเรียกให้ลั่นทุ่ง เพราะอยู่ในสวนที่เงียบสงบไม่ต้องแข่งกับเสียงรถราจึงได้ยินชัดเต็มสองหูเมื่อใครตะโกนเรียกกัน หรือบังเอิญว่าใครมีเรื่องทะเลาะกันก็จะได้ยินถึงกันหมด
“รุ้งไปก่อนนะพี่กล้า ย่าเล็กคงเห็นว่ายืนคุยนานแล้ว”
เขามองตามสีรุ้งที่เดินไปตามทางเดินโรยกรวดอย่างรีบร้อน รอจนหล่อนลับตาไปแล้ว แน่ใจว่าปลอดภัยแน่จึงหันหลังเดินกลับทางของตัวเองบ้าง
“มัวไปเดินกินลมอยู่ล่ะสิยัยหนู หายไปตั้งนานสองนาน ย่าจะวานให้ช่วยยกกับข้าวไปให้แขกหน่อย” หญิงสูงอายุวัยหกสิบพูดไม่มองหน้าเพราะกำลังใช้ทัพพีตักแกงในหม้อใบขนาดกลางใส่ชามใบใหญ่ หล่อนได้กลิ่นปลาทูหอมฉุย พร้อมกับน้ำพริกกะปิในถ้วย และผักต้มอีกหลายชนิด
“เดินเพลินเลยจ้ะย่า อากาศดี ยกไปหมดนี่เลยหรือจ๊ะ”
“อือ...นั่นแหละหมดเลย เขาร้องจะกินน้ำพริกกัน ย่าก็เลยตำเองไม่รู้จะถูกปากคนกรุงฯ รึเปล่า”
คนกรุงฯ ที่ย่าเล็กว่านั้น เพิ่งเดินทางมาถึงเมื่อสายนี้ สีรุ้งยังไม่ได้เห็นหน้าแขกกลุ่มนี้ รู้แต่มากันหลายคน แต่ก็ไม่คิดหรอกว่าแขกนั้นจะนั่งกันสลอนอยู่ที่ศาลาท่าน้ำ บ้างก็นอนแผ่อยู่ที่เสื่อเตยที่ปูไว้กับพื้นศาลา บ้างก็นั่งอยู่กับเก้าอี้โยก อ่านหนังสือบ้าง บางคนก็กำลังนอนจ้องหน้าจอเครื่องมือสื่อสารขนาดใหญ่ บางคนก็ขนาดเล็ก สีรุ้งถือถาดมาหยุดมองไม่เห็นว่าจะมีที่ว่างสำหรับวางสำรับก็รีรออยู่ชั่วครู่
“กับข้าวมาแล้ว กำลังหิวเลย” ใครคนหนึ่งร้องเรียก และคนที่เหลือก็เหมือนจะหันมาที่หล่อนราวกับนัดไว้ สีรุ้งยิ้มเขิน ๆ ไม่ใช่ครั้งแรกหรอก แขกชุดก่อน ๆ ที่เคยเข้ามาพักก็มักทำให้หล่อนเขินอยู่บ่อย ๆ
ชายสูงวัยคนหนึ่งเดินเข้ามารับสำรับ แล้วกุลีกุจอเคลียร์พื้นที่ ส่วนสาว ๆ อีกสองคนที่วัยน่าจะใกล้ ๆ กับหล่อนก็ลุกขึ้นมานั่งอย่างเกียจคร้านแต่ตาก็ยังจ้องเครื่องมือสื่อสารอยู่พร้อมกับใช้นิ้วเขี่ยไปเขี่ยมา หล่อนนึกหัวเราะอยู่ในใจก่อนจะคิดถึงต้นกล้าอย่างช่วยไม่ได้
‘อีกหน่อยจะเป็นง่อยกันไปหมด ไม่รู้จักเดินเหิน นั่งเขี่ยทั้งวี่ทั้งวัน สายตาสั้นกันพอดี’
“นี่หนู ขอบใจมากนะ มีอะไรอีกไหมจะได้ให้เด็ก ๆ ไปช่วยกัน”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณลุง ตามสบายนะคะ”
หล่อนรีบพูดอย่างเกรงใจแขก แล้วหันหลังเดินเข้าครัว ยังได้ยินเสียงบางคน บ่น ๆ เรื่องอาหารเหมือนกับว่ากินไม่เป็น หล่อนยิ้มนิด ๆ เดินไปที่ย่าใหญ่ที่กำลังยกโถข้าวส่งให้หล่อน
“เป็นไงแขกอยากได้อะไรเพิ่มรึเปล่า ย่าจะได้ไปทำเพิ่ม”
“ไม่ได้บอกจ้ะย่า รุ้งจะมาเอาข้าวสวยกับจานช้อน”
“อ้อ...นี่ยัยหนู อย่าลืมบอกเขาล่ะว่าที่นี่งดเหล้า” ย่าใหญ่หันมาเตือน และย่าเล็กก็รีบเสริมทันที
“ถ้าเขาเอามาจากบ้านเขาล่ะก็น่าจะปล่อย ๆ ไปนะ เดี๋ยวจะเสียลูกค้าเปล่า ๆ”
“ไม่ได้หรอกยัยเล็ก ผู้ใหญ่เขารณรงค์ให้เที่ยวแบบอนุรักษ์ เหล้ายานี่เลี่ยงได้ก็ไม่ควรมี ว่ามั้ยยัยหนู” ย่าใหญ่หาพวก และหล่อนก็พยักหน้าเห็นด้วยแบบไม่เกรงใจย่าเล็กเช่นกัน
“โบราณจริงจริ๊ง” ย่าเล็กบ่นขณะหยิบแก้วน้ำมาจัดใส่ถาด “เขาจะกินกันเท่าไหร่เชียว ไอ้ที่ว่าทะเลาะกันเพราะเหล้ามันก็มีแต่พวกไม่มีการศึกษา คนดี ๆ เขาไม่ทะเลาะกันให้เดือดร้อนหรอก”
“จะมีการศึกษาหรือไม่มีก็เห็นทะเลาะกันได้ตลอดนั่นแหละ กันไว้ก่อนน่ะดีแล้ว วัวหายแล้วล้อมคอกน่ะเห็นมานักต่อนัก”
สีรุ้งฟังย่าสองย่าเถียงกันก็เดินหนีอย่างอ่อนอกอ่อนใจ ยกโถข้าวสวยไปให้แขกแล้วก็กวาดตามองไปรอบ ๆ อย่างไม่ใส่ใจนัก ดูว่ามีสิ่งที่ย่าใหญ่ว่าอยู่ในวงรึเปล่า เมื่อไม่เห็นก็ค่อยกระถดตัวถอยออกมา ก็พอดีกับที่ใครคนหนึ่งเรียกหล่อนไว้
“นี่น้อง กลางคืนมีเรือดูหิ่งห้อยหรือเปล่า เรือใหญ่หรือเล็ก”
ชายหนุ่มที่ถามหน้าตาออกทันสมัยตัดผมตามแฟชั่น และมีลักษณะไม่ติดดินสักนิด หล่อนยิ้ม ๆ “หิ่งห้อยไม่มีนะคะ มีแต่พายเรือชมธรรมชาติ”
“อ้าว...หิ่งห้อยไม่มี แล้วจะดูอะไรล่ะ” ผู้หญิงคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นถาม
“นั่นสิ เซ็งเลย อย่างงี้ก็เบื่อแย่” เด็กสาวรุ่นอีกคนสำทับทั้งที่ตากับมือยังเขี่ยหน้าจอไม่หยุด
“งั้นไม่ไปนะคะ อิ๊งกลัวผี” เด็กสาวอีกคนว่าขำ ๆ
“ผีเผออะไรไร้สาระน่ะยัยอิ๊ง” ผู้สูงวัยต่อว่า ก่อนจะหันมายิ้มกับหล่อน “นั่งเรือชมธรรมชาติงั้นก็ต้องนั่งตอนกลางวันสิหนู” เขาถามหน้าตาจริงจัง
“ใช่ค่ะ พรุ่งนี้ก็น่าจะได้หนูจะหาเรือให้นะคะ ไม่ทราบว่ากี่คน”
เสียงสาว ๆ แข่งกันพูดจนฟังไม่ได้ศัพท์ หล่อนเหลือบมองคนนั้นคนนี้ก่อนจะไปสะดุดตากับชายหนุ่มที่ดูจะอาวุโสสุดรองจากคุณลุงคนนั้น เขานั่งฟังเฉยมานานแล้ว ก่อนจะหันมาพูดเสียงเข้มสาว ๆ เหล่านั้นจึงเงียบลงเพราะเหมือนกับจะเกรงใจชายคนนี้มากกว่าเพื่อน
“ใครจะไปก็บอกมา จะได้นับหัวแล้วบอกเจ้าของบ้านเขา เขาจะได้หาเรือไว้รอ” เขามองหน้าสีรุ้ง นัยน์ตาคมปลาบเหมือนจะบาดหัวใจคนได้ สีรุ้งรู้สึกหน้าตัวเองแดงระเรื่อและร้อนผะผ่าวแต่ก็ยังฝืนยิ้มให้เขา
“คุณครับ พรุ่งนี้เช้าพวกเราค่อยบอกอีกทีแล้วกัน”
“จะไปจริง ๆ หรือคะพี่เฟิร์ท เฟิร์นไม่ไปด้วยนะ ว่ายน้ำไม่แข็ง” แล้วหลังจากนั้นก็มีเสียงคนอื่น ๆ ตามหลังมาเป็นนกกระจอกแตกรัง หล่อนจำต้องบอกกับชายหนุ่มคนนั้นว่า
“งั้นพรุ่งนี้ รุ้งจะมาถามอีกทีนะคะ จะได้เตรียมชูชีพไว้ให้พอดีคน”
หล่อนเดินกลับเข้าครัวด้วยหัวใจเต้นแรง จะว่าตื่นเต้นก็ไม่เชิง แต่สายตาคมปลาบของผู้ชายที่ชื่อเฟิร์ท มันทำให้หล่อนตื่นเต้นชอบกลอยู่ ทั้งที่แขกที่มาพักที่บ้านสวนมะพร้าวนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นกรุ๊ปแรกหากแต่ก่อนหน้านี้ก็มีมาเรื่อย ๆ แม้ไม่ได้ถี่นัก แต่โฮมสเตย์สวนมะพร้าวของพ่อรวยนั้นขึ้นชื่อกว่าใครในย่านนี้ อาจเพราะบ้านอยู่ติดคลองที่มีน้ำใสสะอาด บรรยากาศร่มรื่นเงียบสงบ เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจ ที่สำคัญแขกที่มาพักจะต้องใช้ชีวิตติดดินเยี่ยงคนพื้นที่เดียวกัน
ต้นกล้าหงายหน้าหัวเราะร่วนเมื่อสีรุ้งเล่าให้เขาฟังถึงเรื่องแขกอยากจะชมหิ่งห้อย ท่าทีของต้นกล้าที่มีต่อแขกที่มาพักนั้น ส่วนมากเขาออกจะอคติมากกว่าจะเปิดใจยอมรับ แขกชั้นดีที่เขาเคยชื่นชมก็มีบ้าง เช่น มีอยู่กรุ๊ปหนึ่งที่มาศึกษาธรรมชาติ และวิถีชีวิตชาวชนบทอย่างแท้จริง มาใช้ชีวิตอยู่กับชาวสวนก็มี ต้องทำงานอย่างคนสวน และจะมานั่งเล่นนอนเล่นอย่างเดียวไม่ได้ แต่สำหรับแขกที่ทำตัวเย่อหยิ่งหรือทำตัวเป็นพวกผู้ดีตีนแดงต้นกล้านั้นเกลียดนัก
“เขาไม่รู้ว่าที่นี่ไม่มีหิ่งห้อย ถึงมีบ้างแต่ก็น้อย ถ้าพาไปเขาอาจจะผิดหวังได้”
“ถ้าอยากดูหิ่งห้อยเดี๋ยวพี่ทำให้ก็ได้นะ เอาไฟคริสมาสต์ไปติดไว้ที่ต้นไม้ดีไหม” เขาสัพยอก สีรุ้งตบแขนเขา
“พูดบ้า ๆ น่ะพี่กล้า ทำแบบนั้นมันดูถูกนักท่องเที่ยว เดี๋ยวนี้คนไม่ได้จะมาหลอกกันง่าย ๆ เครื่องมือสื่อสาร โซเชียลเน็ตเวิร์คก็มีเยอะแยะ ความลับน่ะเริ่มไม่มีในโลกอีกแล้ว”
“ก็จริง พี่ก็พูดเล่นไปงั้นล่ะ ไอ้เราก็นึกว่าเขาอยากจะนั่งเรือกินบรรยากาศยามค่ำ งั้นพี่กลับก่อนดีกว่า เออ...แกงเขียวหวานกับขนมจีนอยู่ในครัวพี่ฝากย่าใหญ่ไว้ให้ อุ่นมาจากบ้านแล้วล่ะอยากกินก็กินได้เลยนะ” เขาหันมามองใบหน้าหม่นของสีรุ้งท่ามกลางความมืด แล้วก็ต้องจำใจถอนดวงตาออกมาอย่างตัดใจ
“ขอบคุณนะพี่กล้า ไว้พรุ่งนี้เช้าก็อย่าลืมมาตามนัดล่ะ”
เขาพยักหน้า แล้วเดินออกจากบ้านไปอย่างเชื่องช้า สีรุ้งเดินไปเก็บภาชนะที่แขกวางเรียงไว้ที่ศาลาท่าน้ำเข้ามาจัดการขัดล้างในครัว ตอนที่ออกไปดูนั้นหล่อนแทบไม่เห็นใครที่นั่นแล้ว เขาคงจะขับรถออกไปเที่ยวข้างนอกกัน เพราะคนเมืองที่ไม่ค่อยชินกับบรรยากาศที่เงียบแบบชนบทก็มักจะทนอยู่ไม่ได้นานนัก หล่อนนึกถึงชายหนุ่มคนนั้นที่มีชื่อว่า ‘เฟิร์ท’ และคิดว่าพรุ่งนี้เช้าก็คงได้เจอเขาอีกหน หัวใจดวงน้อย ๆ เต้นแรงอย่างห้ามไม่อยู่ และเผลอทำจานหลุดมือกระทบกันเสียงดังสนั่นขณะที่ล้างเกือบเสร็จแล้ว
************************
****เอามาเรียกน้ำย่อยกันก่อน 1 ตอนนะคะ คิดเห็นประการใดบอกกันด้วยก็ดีค่ะ ไรท์เตอร์รออยู่แบบเหงา ๆ ค่ะ ^^ ****
ความคิดเห็น