ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Crystal Chronicle : Child of God

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1 บุตรแห่งพระเจ้า

    • อัปเดตล่าสุด 10 มี.ค. 49


    Crystal Chronicle : Child of God
    บทที่ 1 บุตรแห่งพระเจ้า


         เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้...มีจุดเริ่มต้นที่ เมืองคานาเลีย (Canalia) เมืองที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น "เมืองแห่งสายธารศักดิ์สิทธิ์" เนื่องจากมีแม่น้ำสามสายไหลผ่าน จนเมืองนี้ดูคล้ายเกาะที่ตั้งอยู่กลางน้ำ เป็นเมืองหลวงแห่งอาณาจักรคานาเลียน (Canalian)

         ณ ยามดึกสงัด ไร้ซึ่งเสียงลม ไร้ซึ่งเสียงของจักจั่นเรไร และไร้ซึ่งผู้คนสัญจรไปมา จะมีก็แต่เพียงทหารลาดตระเวน 3 นาย ที่สำรวจความเรียบร้อยภายในตัวเมืองเท่านั้น ดูเหมือนว่าตอนนี้พวกเขาจะนั่งพักเหนื่อยอยู่ที่ลานกว้างของเมือง ซึ่งเป็นจุดที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมกลางแจ้งต่างๆ ของเมืองนี้

         "คืนนี้เงียบชะมัดเลย เงียบมากๆ" ทหารนายหนึ่งพึมพำ

         "งั้นรึ" ทหารอีกนายหนึ่งพูดขึ้น "มันก็เงียบเช่นนี้ทุกคืนนั่นแหละ ข้าไม่เห็นว่ามันจะต่างจากคืนไหนๆ เลยนี่"

         "เฮ้ย! เจ้าลองสังเกตดีๆ สิ อย่างน้อยๆ มันก็น่าจะมีเสียงลม เสียงจักจั่นเรไรมั่งนี่ แต่นี่ เงียบสงัด คล้ายกับจะบอกอะไรเราซักอย่างหนึ่ง" ทหารคนแรกพูด

         "อือ ถูกของเจ้า มันก็แปลกน่ะนะ" ทหารอีกนายเห็นด้วยกับสิ่งที่ทหารคนแรกพูด

         หัวหน้าหน่วยลาดตระเวน ในชุดหัวหน้าทหารลาดตระเวนเก่าๆ ดูจากหน้าตาแล้วน่าจะอายุราวๆ วัยกลางคน นั่งสูบกล้องยาเส้นอยู่ เมื่อได้ยินลูกน้องของตนคุยกัน ก็หันมาคุยกับพวกเขา

         "ข้าว่า มันน่าจะสื่อความหมายอะไรซักอย่างแน่ๆ เอาล่ะ พวกเจ้า อย่ามัวแต่คุยกัน ออกสำรวจกันต่อได้แล้ว"

         "ครับ! ท่านเอรอส (Aros)" ลูกน้องทั้งสองขานรับ แล้วทั้งสามคนก็ออกลาดตระเวนต่อ
         ทหารทั้งสามนาย ลัดเลาะไปตามอาคารบ้านเรือน ตรอกซอยมากมายภายในเมือง รวมทั้งบริเวณรอบนอกกำแพงเมือง เป็นเวลากว่าชั่วโมงแล้ว ก็ยังไม่พบสิ่งใดที่ผิดปกติ

         "ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับท่าน ข้าว่าพวกเราไปพักกันได้แล้วล่ะ ใช่มั้ย" นายทหารคนหนึ่งพูด

         "พูดอะไรของเจ้าน่ะ!" เอรอสตวาดลูกน้องของเขา "เจ้าลืมไปแล้วรึว่าพวกเราต้องลาดตระเวนจนถึงรุ่งสาง จึงจะไปพักผ่อนได้ อย่าละเลยต่อหน้าที่สิ"

         "แต่มันไม่มีอะไรแล้วนี่ท่าน" ทหารอีกนายหนึ่งพูด

         "ไม่มีอะไรก็ใช่ว่าจะไม่มีอะไรอยู่ตลอดไม่ใช่รึ เอาน่า พวกเจ้าก็ทนๆ เอาหน่อย อีกไม่กี่ชั่วโมงเราก็จะได้กลับแล้ว" เอรอสตอบลูกน้องของเขาไป "เอาล่ะ พวกเจ้า ทำงานต่อได้แล้ว"

         "ค้าบ ท่าน" ทหารลูกน้องตอบด้วยเสียงเอื่อยๆ แล้วก็ออกลาดตระเวนต่อไป

         พวกเขาออกลาดตระเวนรอบๆ เมืองอีกรอบ จนกระทั่งพวกเขาย้อนกลับมาอยู่ที่ลานพิธีกรรมที่พวกเขานั่งพักอยู่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว สักพัก พวกเขาทั้งสามก็เห็นแสงสีส้มแดง สว่างวาบบนท้องฟ้า เหมือนจะเป็นแสงของดาวดวงหนึ่ง แต่ไม่ใช่

         "ท่านเอรอส นั่นดาวอะไรรึ" ทหารคนหนึ่งถาม เอรอสส่ายหน้า แล้วตอบไปว่า

         "ข้าก็ไม่รู้ แต่ข้าคิดว่านั่นคงไม่ใช่ดาวหรอก"

         ทันใดนั้น แสงนั้นก็พุ่งลงมา มุ่งสู่จุดกลางของลานพิธีกรรม ซึ่งเป็นพื้นหิน ถูกสลักเอาไว้เป็นลวดลายคล้ายกับวงกลมเวทย์ และขณะนั้น พวกเขาเองก็กำลังยืนอยู่ ณ จุดนั้นด้วย

         "พวกเรา หลบ!" เอรอสตะโกน แล้วทั้งสามก็ถอยหลังออกไปจากจุดกลางลานนั้น

         แสงสีส้มแดง ตกกระทบที่วงกลมเวทย์ แล้วส่องสว่างวาบอยู่ครู่หนึ่ง ก็จางไป

         เอรอสและลูกน้อง ตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมตั้งคำถามกับตัวเองว่า มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

         วงกลมเวทย์บนพื้น เริ่มเปล่งแสงสีแดงขึ้น และลมบริเวณนั้นก็พัดแรงขึ้นด้วย

         "เกิด...เกิดอะไรขึ้นน่ะ" ทหารคนหนึ่งร้อง

         เอรอสสังเกตเห็นว่าที่กลางวงเวทย์ มีเงาดำตะคุ่มๆ ก่อตัวขึ้น เป็นเงาคน เงานั้นค่อยๆ ชัดขึ้น ชัดขึ้นเรื่อยๆ จนปรากฏเป็นร่างของคน รูปร่างสูงใหญ่ ในชุดผ้าคลุมสีดำ ซึ่งปิดบังใบหน้าเอาไว้ ทุกคนชักดาบ และตั้งท่าพร้อมโจมตี

         "เจ้าเป็นใครกันน่ะ" เอรอสตะโกนถาม

         ร่างนั้นขยับตัวนิดๆ หัวเราะหึๆ

         "ข้า..." ร่างนั้นตอบ เสียงทุ้มและแหบแห้งคล้ายกับชายอายุมากแล้ว "ข้า...คือ...เซมุส นักบุญ...แห่งความมืด (Zemus, the Priest of Darkness) ข้า...ถูก...จองจำเอาไว้...ณ ที่แห่งนี้...มานาน...กว่า...500 ปีแล้ว"

         ทุกคนตกตะลึงกับสิ่งที่ร่างนั้นตอบ มือของพวกเขา กำดาบไว้แน่นกว่าเดิม

         "งี่เง่า!" เอรอสร้องออกมา "พวกเรา! จัดการมัน!"

         "ครับ!" ลูกน้องทั้งสองรับคำ แล้วทั้งสามคนก็พุ่งเข้าไปจู่โจมเซมุสอย่างรวดเร็ว แต่ว่า ก่อนที่พวกเขาจะถึงตัวของเซมุส กลับต้องกระเด็นออกมา เพราะถูกกำแพงสีดำ ซึ่งเซมุสสร้างขึ้น ผลักออกมา พวกเขาชะงักอยู่ครู่หนึ่ง

         "นี่มันอะไรกันน่ะ" ทหารคนหนึ่งร้อง

         "Shadow Wall...กำแพงเงา เวทมนตร์แห่งความมืด มันเป็นกำแพงที่สร้างขึ้นมาจากพลังงานเวทมนตร์ สามารถปกป้องผู้ที่อยู่ในขอบเขตของมันไมให้ถูกทำร้ายด้วยการโจมตีแบบประชิดตัว" เอรอสพูดเป็นเชิงอธิบาย

         "หึหึหึ เจ้าพวก...มนุษย์...หน้าโง่ ข้า...จะให้...พวกเจ้าลิ้มรส...ความเจ็บปวด ณ บัดนี้" เซมุสพูด หลังจากนั้นก็ยกมือทั้งสองขึ้นมา แล้วรวบรวมพลังเวทมนตร์จนกลายเป็นลูกบอลพลังงานสีดำ แล้วซัดมาใส่พวกของเอรอส ทำให้ทั้งสามคน ถูกแรงกระแทกจากลูกบอลนั้น กระเด็นออกไป ล้มลงนอนอยู่กับพื้น

         เอรอสพยายามฝืนตัวเอง ยืนขึ้นอีกครั้ง
        
         "บ้าชิบ!" เอรอสสบถ "เจ้าปีศาจ ยังไงข้าก็ไม่ยอมให้เจ้าทำอะไรโดยเด็ดขาด"

         ว่าแล้วเอรอสก็จับดาบไว้มั่น พุ่งเข้าไปจู่โจมเซมุสอีกครั้ง เขากระโดดขึ้นบนฟ้า เงื้อดาบเต็มที่

         "Charge!!!" เขาตะโกนออกมา ดาบของเขาเปล่งแสง แล้วเขาก็ซัดดาบลงที่เซมุสอย่างรุนแรง แต่เขาพลาด เซมุสหายตัว หลบการโจมตีของเขาได้

         "หนอย!" เอรอสคำราม

         เซมุสปรากฏตัวอีกครั้ง ที่ด้านหลังของเขา แล้วซัดลูกบอลพลังงานสีดำใส่เขาอย่างเต็มแรง

         "อั้ก!" เอรอสร้อง เลือดสดๆ พุ่งออกจากปากของเขา แล้วเขาก็ล้มลงไปนอนกับพื้น

         "ท่านเอรอส!" ลูกน้องของเขาตะโกน แล้วก็ลุกขึ้น จับดาบและพุ่งเข้าโจมตีเซมุสอีกครั้ง หวังที่จะช่วยเจ้านายของพวกเขา

         เซมุสหันกลับมาที่ทหารทั้งสองนาย

         "หึหึหึ" เซมุสหัวเราะเบาๆ พลางยกแขนขึ้น แล้วก็ท่องคาถา ทำให้เกิดวงกลมเวทย์ขึ้นบนพื้น และมีแขนสีดำขนาดใหญ่ 2 ข้าง ยื่นออกมาจากพื้น

         "พระเจ้า!" ทหารคนหนึ่งร้อง

         แขนคู่นั้น พุ่งเข้ามาหาพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง แล้วคว้าร่างของพวกเขา มาบีบจนสุดแรง!

         "อ๊าก!" ทหารคนหนึ่งร้องด้วยความเจ็บปวดอย่างที่สุด

         "ข้า...ข้า...หายใจ...ไม่ออกแล้ว..." ทหารอีกคนพูดเหมือนกับไม่มีพลัง น้ำเสียงของคนใกล้ตาย!

         เอรอสได้แต่มองภาพของลูกน้องตน ถูกแขนขนาดใหญ่ทั้งสองข้างทรมานอยู่ ด้วยความโกรธแค้น เขาพยายามฝืนตัวเอง ลุกขึ้นอีก แต่ไม่สำเร็จ ร่างกายของเขาบาดเจ็บเกินกว่าที่จะลุกขึ้นไหว

         ทหารทั้งสองนาย ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด เสียงของพวกเขาเบาลง เบาลงเรื่อยๆ พวกเขากำลังจะหยุดหายใจ!

         "หึหึหึหึ...ฮ่าฮ่าฮ่า!!! ตาย...ซะเถอะ" เซมุสหัวเราะร่าด้วยความสะใจ

         และแล้ว...ทหารผู้น่าสงสาร ก็หมดลมหายใจ แน่นิ่งคามือมารทั้งสองข้าง

         "ขอ...พลัง...ให้ข้า" เซมุสพูดด้วยเสียงแหบแห้ง แล้วเริ่มท่องคาถา 

         "Soul Drain!!!"

         ร่างอันไร้วิญญาณของพวกเขาทั้งสองเปล่งแสงสีแดง และกลายเป็นลำแสง พุ่งเข้าสู่ร่างของเซมุส มันคือพลังชีวิตของทหารทั้งสองนาย แล้วหลังจากนั้น แขนมารทั้งสองข้าง ก็ค่อยๆ หายลงไปในพื้นดิน ปล่อยร่างของสองทหารหล่นเผละลงมากองกับพื้น

          "ไม่!!!" เอรอสตะโกนออกมา เอากำปั้นทุบแผ่นดินด้วยความแค้น ขณะที่เห็นภาพของลูกน้องของเขา ถูกฆ่า และช่วงชิงพลังวิญญาณไป

          เซมุส ได้รับพลังกลับคืนมาอีกครั้ง มันยืดตัวขึ้น บิดขี้เกียจพักหนึ่ง

          "ฮ่าฮ่าฮ่า...ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!!! ในที่สุด พลังของข้า...พลังของข้าก็กลับคืนมาส่วนหนึ่งแล้ว" เซมุสพูด แล้วหันกลับมาหาเอรอส ซึ่งนอนอยู่กับพื้น แล้วพูดต่อไปว่า

          "ต่อไป...ข้าจะทำยังไงกับมนุษย์หน้าโง่ ที่คิดลองดีกับพลังอำนาจของข้าดีล่ะ ฮึ!"

          เอรอสพยายามตะเกือกตะกายหนี ทั้งๆ ที่ยังบาดเจ็บอยู่

          "คิดว่าจะหนีพ้นรึ!" เซมุสพูด แล้วเดินมาที่เขา แล้วเปลี่ยนแขนขวาของตนให้กลายเป็นกระบองหนามสีดำขนาดค่อนข้างใหญ่ แล้วเงื้อขึ้นจะทุบตีเอรอสให้สิ้นชีพ

         สีหน้าของเอรอสตื่นตระหนก พยายามดิ้นหนีจากการโจมตีครั้งนี้ แต่เห็นทีจะไม่ทันแล้ว!

         "พระเจ้า...ได้โปรด...ช่วยลูกด้วย" เอรอสพูดด้วยเสียงคล้ายกับคนที่ใกล้ตายเต็มที

         ดูเหมือนพระเจ้าจะเป็นใจกับเอรอส! ขณะที่กระบองนั้นจะฟาดลงที่ร่างของเขา เซมุสต้องผงะออกจากตัวเอรอสไป เพราะได้ยินเสียงเสียงหนึ่งที่ลอดผ่านอากาศมา

          มันเป็นเสียงร้องของทารกแรกเกิด ที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้เพียงไม่นาน!

         เซมุสชะงัก แขนขวาของมันกลับสู่ปกติ มันเอามือสองข้างขึ้นปิดหู กรีดร้อง ยืนดิ้นอย่างทุรนทุราย

         "เสียง...เสียงนั่น! อ๊าก!" เซมุสร้องโหยหวน "ข้า...ข้าเกลียดมัน! ช่วยหยุดมันที!" 

         ดูเหมือนว่าเสียงนั้นจะมีผลกระทบต่อเอรอสด้วย เขารู้สึกว่าเรี่ยวแรงของเขากลับคืนมาเล็กน้อย พอทำให้เขายืนขึ้นมาได้

         "ตอนนี้ล่ะ!" เอรอสพูด พลางฝืนตัวยืนขึ้น หยิบดาบขึ้นมาแล้วจับไว้มั่น เขารวมพลังไว้ที่ดาบอีกครั้ง แล้วซัดใส่ที่แขนของเซมุสอย่างเต็มแรง

         "อ๊ากกกกก!!!" เซมุสร้องลั่น ยกมือกุมไหล่ที่ชุ่มไปด้วยเลือดสีเขียว "บ้าที่สุด! แขน...แขนของข้า"

         เซมุสดิ้นทุรนทุรายอยู่สักพัก ก็ตั้งสติได้ แล้วท่องคาถาเปิดประตูมิติออกมา

         "นับว่าเป็นโชคดีของแก!!! เจ้ามนุษย์" เซมุสพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง "ฝากไว้ก่อนเถอะ ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่" 

          พอสิ้นเสียง เซมุสก็หายเข้าไปกับประตูมิติ ทุกอย่างกลับสู่สภาวะปกติ

         เอรอสทรุดลงกับพื้น ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่เสียงของทารกนั้น ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง เขากวาดสายตาไปรอบๆ บริเวณ ก็ต้องแปลกใจ กับสิ่งที่พบ

         เสียงนั้นดังมาจากแสงสีฟ้าอ่อน ที่ค่อยๆ ลอยลงมาสู่แท่นบูชา ซึ่งห่างออกไปจากเขาไม่กี่สิบก้าว

         "นั่นอะไรกันน่ะ" เอรอสพูดอย่างสงสัย ก่อนที่จะค่อยๆ ตะเกียกตะกายไปยังแท่นบูชาที่อยู่ตรงหน้า

         แสงนั้นค่อยๆ ลอยลงมา ลงมาอย่างช้าๆ สู่แท่นบูชา แล้วหายไป

         เอรอสไปถึงยังแท่นบูชา เขาต้องประหลาดใจ เพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ไม่ใช่แสงสีฟ้าอย่างที่เขาเห็นเมื่อกี้

         เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อ มีเพียงร่างของทารกน้อยเพศชาย ร่างกายเปลือยเปล่า ปราศจากผ้าห่อหุ้มกาย นอนอยู่บนแท่นบูชา ข้างๆ ตัวเขามีสร้อยเงิน มีอัญมณีสีน้ำเงินสดใสสลักเป็นรูปหยดน้ำห้อยอยู่

          "นี่มัน...ทารกนี่" เอรอสพูด ก่อนที่เขาจะฝืนตัวลุกขึ้น แล้วอุ้มเด็กคนนั้นขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน และเก็บสร้อยนั้นใส่กระเป๋าเสื้อ

          "เจ้าสินะที่ช่วยข้าไว้ ขอบใจเจ้ามากนะ เด็กน้อย" เอรอสพูดกับทารกนั้น ยิ้มให้อย่างเอ็นดู "เงียบเถอะนะ ไม่มีอะไรทำร้ายเจ้าได้แล้วล่ะ"

          เอรอสค่อยๆ นั่งลง พิงแท่นบูชา อุ้มเด็กน้อยนั้นไว้ และพูดปลอบประโลมอยู่สักพัก ทารกน้อยก็ผลอยหลับไปในอ้อมแขนของเขา

          สักพักหนึ่ง เขาก็พบว่า มีนักบวชชั้นสูงผู้หนึ่ง ในชุดสีขาวบริสุทธิ์ ถือไม้เท้าทองคำซึ่งปลายไม้เท้าเป็นรูปไม้กางเขนขนาดใหญ่ ดูท่าทางเขาจะอายุมากแล้วด้วย เดินเข้ามาทางเขาพร้อมกับนักบวชอีกสองคน และทหารแห่งคานาเลียจำนวนหนึ่ง

          เอรอสพยายามลุกขึ้น แต่นักบวชนั้นยกมือห้ามเขาเอาไว้ แล้วพูดกับเขา

          "เอรอส ข้ารู้ ว่าเจ้ากำลังบาดเจ็บมาก"
     
          แล้วเขาก็เริ่มยกไม้เท้าขึ้นตั้งตรงหน้า แล้วสวดคาถา

          "ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ขอจงทรงเมตตา ประทานพลังศักดิ์สิทธิ์เพื่อเยียวยารักษานักรบผู้บาดเจ็บนี้ ให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้งด้วยเถิด...Healing!!!"

          เกิดลำแสงสีเขียวอ่อน วนรอบๆ ร่างของเอรอส เขารู้สึกว่าอาการบาดเจ็บของเขาค่อยๆ หายไป

          เอรอสลุกขึ้นอีกครั้ง คำนับ แล้วกล่าวกับนักบวชเฒ่านั้น

          "ขอบคุณท่านมากครับ ท่านซีนัส อาร์คบิชอปแห่งคานาเลีย (Xenus, the Arch Bishop of Canalia)"

          นักบุญซีนัสพยักหน้า แล้วมองไปรอบๆ บริเวณ แล้วหันมาพูดกับเอรอส

         "ถ้าลางสังหรณ์ของข้าไม่ผิด ข้าคิดว่า คงถึงกำหนดที่เซมุส นักบุญแห่งความมืด จะหลุดพ้นจากพันธนาการแล้วสินะ"

          "ครับ ท่านซีนัส" เอรอสตอบ "ถ้าเช่นนั้น แสดงว่าตำนานที่เล่าขานกันมาเป็น 500 ปีก็เป็นจริงน่ะสิ"

          "ถูกต้อง" ซีนัสตอบ "ข้าทราบตั้งแต่ตอนที่เสียงลมหยุดพัด เสียงแมลงกลางคืนหยุดร้อง นั่นก็เป็นเพราะพลังเวทมนตร์ที่ตรึงเซมุสเอาไว้ถูกทำลายลง สัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลายต่างพากันหวาดกลัว จนไม่กล้าส่งเสียง"

           เอรอสขยับตัวนิดๆ แล้วพูดต่อไป

          "ข้าและลูกน้องของข้าทั้งสองนาย เป็นเวรลาดตระเวนในคืนนี้ พวกข้าเห็นแสงสีแดงสว่างวาบบนท้องฟ้า แล้วตกลงมาสู่กลางลานพิธีกรรม แล้ว เซมุส ก็ปรากฏกายขึ้น"

           "งั้นรึ" ซีนัสถาม

           "ครับ ท่าน" เอรอสพูด "ข้าและลูกน้องทั้งสองต่อสู้กับมัน จนลูกน้องของข้า ถึงแก่ชีวิตอย่างที่พวกท่านเห็น ข้าเองก็เกือบเอาชีวิตไม่รอดแล้วเหมือนกัน"

            เอรอสก้มลงมองทารกน้อยที่หลับอุตุอยู่ แล้วกล่าวต่อไป

           "แต่เพราะเสียงร้องของเด็กคนนี้ ช่วยชีวิตข้าไว้ เขาทำให้เซมุสอ่อนกำลังลง และทำให้ข้ามีพลังกลับคืนมาอีกครั้งด้วย ข้าเลยสามารถจู่โจมเซมุสจนบาดเจ็บสาหัสได้ แล้วเซมุสก็หนีไป"

            ทุกคนตะลึงในสิ่งที่เขาพูด ซีนัสเอามือขึ้นลูบเครายาวสีเงินของเขาแล้วจึงเอ่ยถามเอรอส

           "ถ้าอย่างนั้น เจ้าพบทารกนี่ที่ไหน"

           "บนแท่นบูชาครับ" เอรอสตอบ "เด็กคนนี้มากับแสงสีฟ้า ที่ลอยลงมาจากท้องฟ้าครับท่าน"

           ทุกคนในที่นั้นตกใจ แล้วก็พูดคุยซุบซิบกันใหญ่ จนซีนัสยกมือขึ้น สั่งให้พวกเขาเงียบ แล้วก็พูดขึ้นว่า

           "ถ้าอย่างนั้น...เอาล่ะ เอรอส เจ้าตามข้ามาที่วิหารเซนต์คานาเลีย เรามีเรื่องต้องประชุมกับสภานักบวชและนักปราชญ์แห่งอาณาจักรคานาเลียน"

           "ครับ ท่าน" เอรอสรับคำ

          "และอีกเรื่องหนึ่ง พวกเจ้าทุกคน นำร่างของทหารทั้งสองนายนี้ไปทำพิธีศพให้เรียบร้อยด้วย" ซีนัสหันมาพูดกับเหล่าทหาร

          "ครับ ท่าน!" ทหารรับคำ แล้วเดินเข้าไปแบกร่างอันไร้วิญญาณของสองทหาร แล้วทุกคนก็มุ่งหน้าไปสู่วิหารเซนต์คานาเลีย (St.Canalia's Temple) ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนเกาะกลางน้ำ ทางทิศเหนือของเมือง

    -+-+-+-+-+-

           ณ ยามรุ่งสาง ที่วิหารเซนต์คานาเลีย...

           นักบวชและนักปราชญ์จำนวนมากมายนั่งอยู่รอบโต๊ะไม้ใหญ่ ภายในห้องประชุมของวิหาร ซึ่งในนั้นมีเอรอสรวมอยู่ด้วย ส่วนทารกน้อย ก็นอนหลับอุตุในเปลที่ทางวิหารจัดหามาให้ มีแม่ชีสาวคนหนึ่งคอยดูแลอยู่

           "บัดนี้ เซมุส ได้หลุดจากพันธนาการตามคำทำนายแล้ว" ซีนัสประกาศในที่ประชุม

           "บ้านเมืองของเรา อาณาจักรของเรา และโลกแห่งไกอา (World of Gaia) ของเรากำลังตกอยู่ในอันตราย!" เสียงร้องของดิออร์ (Dior) นักบวชชั้นสูง รูปร่างท้วมคนหนึ่ง ซี่งนั่งอยู่ข้างๆ ซีนัส

           "ใจเย็นๆ ท่านนักบวชคนสนิทของข้า" ซีนัสพูด "ยังไงเราก็ควรหาวิธีป้องกันโดยเร็วที่สุด"

           ทุกคนในที่ประชุมพูดคุยกันเสียงดังจุ๊กจิ๊ก จนซีนัสต้องสั่งให้เงียบ

           "จากคำทำนาย ได้กล่าวเอาไว้ว่า นับจากวันที่ผู้กล้าในตำนาน ได้ผนึกเซมุสเอาไว้ โดยร่ายมนต์สะกดเอาไว้ว่า อีก 500 ปีต่อมา พันธนาการนี้จะหลุดไป แต่พวกเขาได้ขอต่อพระเจ้าเอาไว้ด้วยว่า เมื่อถึงเวลานั้น ขอพระเจ้าจงทรงเลือกสรรคนที่จะมาปราบเซมุส เพื่อปกป้องอาณาจักรของเราเอาไว้" นักปราชญ์หญิงผู้หนึ่ง ซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกับซีนัสกล่าวขึ้น พลางเอามือขยับแว่นตาของเธอให้เข้าที่

           "ใช่แล้วล่ะ ท่านนักปราชญ์" ซีนัสกล่าว "ท่านได้ยินสิ่งที่รีม สเตลล่า (Reme Stellar) นักปราชญ์หญิงกล่าวแล้วใช่หรือไม่ เซมุสได้ฟื้นขึ้นมาแล้ว ในขณะเดียวกัน พระเจ้าก็ทรงเลือกผู้ที่เหมาะสม ที่จะจัดการกับเซมุสได้แล้วเช่นกัน"

           ทุกคนในที่ประชุม หันซ้ายหันขวา แล้วดิออร์ก็หันกลับมาถาม

          "ใครรึ ท่าน"

          ซีนัสยิ้ม แล้วชี้ไปที่เปลที่ทารกน้อยนั้นนอนอยู่ ทุกคนหันไปมองตามด้วยสีหน้าสงสัย

          "เด็กนั่นรึ" รีม สเตลล่าหันมาถาม

          ซีนัสพยักหน้ารับแล้วกล่าวต่อไป

          "ใช่แล้วล่ะ จากหลักฐานต่างๆ ที่ข้าพบ ทำให้ข้าพอแน่ใจได้ว่า เด็กคนนี้ คือคนที่พระเจ้าเลือกเอาไว้แล้ว"

          "เอรอส" เขาพูดพลางหันมาที่เอรอส "เอาสร้อยที่ติดมากับเด็กผู้นี้มาให้ข้าดูทีสิ"

          เอรอสพยักหน้า แล้วนำสร้อยคอนั้นออกมาจากกระเป๋า ส่งไปให้ซีนัสดู

          ซีนัสส่องดูภายในอัญมณีสีฟ้าที่สร้อยนั้น ก็มองเห็นเป็นตัวอักษรอะไรสักอย่างที่เขาไม่รู้จัก ตัวอักษรนั้นเรียงต่อเป็นข้อความ วิ่งวนไปมาภายในผลึกสีน้ำเงินนั้น

          "ข้าว่า นี่น่าจะเป็น...อักขระรูน" ซีนัสกล่าว "ผู้ใดในที่นี้อ่านอักขระรูนได้บ้าง"

          ทุกคนหันซ้ายหันขวาอีกครั้ง เพื่อหาว่าใครสามารถอ่านอักขระรูนได้ จนกระทั่ง รีม ลุกขึ้น แล้วกล่าวว่า

          "ข้าสามารถอ่านมันได้ โปรดส่งมาให้ข้าลองดู"

          ซีนัสส่งสร้อยคอไปให้รีม รีมหยิบมันขึ้นมาส่องดู แล้วอ่านข้อความตามที่ปรากฏในนั้น ได้ใจความว่า...

          "ทูตสวรรค์ทรงโปรดเลือกเจ้าไว้ จงตั้งใจฟังคำที่กล่าวว่า เจ้าคือบุตรแห่งพระเจ้าที่ลงมา ปราบอสุราให้สิ้นสลายไป"

          ทุกคนในที่ประชุมต่างตะลึงกับข้อความที่ปรากฏ และดูเหมือนว่าจะเห็นพ้องต้องกันแล้วว่า เด็กผู้นี้ คือบุตรแห่งพระเจ้า ผู้ที่ถูกเลือก

          "เอาล่ะ ข้าคิดว่าทุกท่านคงจะประจักษ์แล้วนะว่า เด็กผู้นี้ คือบุตรแห่งพระเจ้า" ซีนัสกล่าวขึ้น "แต่ว่าเขายังเป็นแค่ทารกน้อย ต้องการผู้ที่จะดูแล ปกป้องเขา เพราะข้าเกรงว่า เซมุสจะย้อนกลับมาทำร้ายเขาอีก"

           ดิออร์ได้ยินดังนั้นจึงยกมือขึ้น แล้วกล่าวว่า

           "ทุกท่านที่เคารพ ข้าคิดว่า ตัวข้าเองน่าจะเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุด ที่จะเป็นผู้คุ้มครองบุตรแห่งพระเจ้า"

           ทุกคนมองหน้าดิออร์อย่างไม่ค่อยพอใจ และต่างแย่งกันยกมือ ขอเป็นผู้ปกครองทารกน้อย ยกเว้นแต่เอรอสคนเดียว ซีนัสเห็นดังนั้นจึงยกมือขึ้น สั่งให้ทุกคนเงียบ

           "เอาล่ะ ทุกท่าน ข้าเห็นว่าทุกท่านในที่นี้ ต่างก็อยากเป็นผู้ดูแลบุตรแห่งพระเจ้า ดังนั้น ข้าคิดว่า เราควรจะให้เด็ก เป็นผู้เลือกเองดีกว่าว่า ใคร...คือผู้ที่เหมาะสม" ซีนัสกล่าว "โรซาน่า (Rosana) อุ้มทารกน้อยผู้นั้นมาสิ"

            "เจ้าค่ะ" โรซาน่า แม่ชีสาว ขานรับ แล้วอุ้มทารกนั้นขึ้นมา ดูเหมือนเด็กน้อยนั้นจะเริ่มตื่นแล้ว และเริ่มร้องงอแงอีกครั้ง

            ดิออร์เห็นดังนั้นจึงกล่าวขึ้น

            "ท่านอาร์คบิชอป นี่ท่านคิดจะทำอะไร"

            "ข้าก็จะลองทดสอบดูไงว่า ใครที่เหมาะสมกับเขา" ซีนัสกล่าว "ให้ทุกท่าน ยืนขึ้น แล้วลองอุ้มทารกน้อยดูทีละคน"

            ทุกคนได้ยินดังนั้นจึงยืนขึ้น แล้วโรซาน่าก็นำทารกน้อยมาให้ทุกคนอุ้ม เริ่มจากดิออร์

           ดิออร์อุ้มเด็กคนนั้น ปรากฏว่า เด็กนั่นร้องงอแงเสียงดังลั่น ดิออร์พยายามปลอบ หยอกเย้ายังไงก็ไม่ยอมเงียบเสียง ซีนัสเห็นดังนั้นจึงกล่าวขึ้น

           "ท่านดิออร์ เห็นแล้วใช่ไหมว่าบุตรแห่งพระเจ้าไม่เลือกท่าน เชิญท่านต่อไป"

           ดิออร์ทำสีหน้าไม่พอใจ แล้วส่งบุตรแห่งพระเจ้าให้กรรมการท่านอื่นๆ อุ้มต่อไปเรื่อยๆ แต่ก็ปรากฏเหตุการณ์แบบเดียวกัน จนกระทั่งมาถึงมือของเอรอส

          ทุกคนต้องประหลาดใจ เมื่อเอรอสอุ้มทารกน้อยนั้นขึ้นมา ทารกน้อยกลับเงียบ หยุดร้อง แล้วก็เริ่มยิ้มน้อยๆ ให้กับเขา พวงแก้มทั้งสองของเด็กน้อยเปลี่ยนเป็นสีชมพูเรื่อๆ แล้วก็หัวเราะเบาๆ 

          เอรอสยิ้มให้กับเด็กน้อยคนนั้น และพูดปลอบประโลม ซีนัสเห็นดังนั้นจึงกล่าวขึ้น

          "ท่านทั้งหลาย เห็นแล้วใช่หรือไม่ว่า เราพบผู้ที่เหมาะสมที่จะเป็นผู้ดูแลบุตรแห่งพระเจ้าแล้ว"

          ทุกคนยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น ยกเว้นดิออร์ที่ยังคงแสดงสีหน้าไม่ค่อยพอใจ แต่ก็ต้องฝืนๆ ยิ้ม

          "เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้น ข้าก็ขอมอบให้ เอรอส แอสการ์ด้า (Aros Asgarda) นายทหารระดับ 7 เป็นผู้ดูแลบุตรแห่งพระเจ้า"ซีนัสกล่าว ทุกคนปรบมือให้กับเขา

          "ขอบคุณทุกท่านมาก ที่ไว้ใจข้า ยังไง ข้าก็จะทำให้ดีที่สุด" เอรอสกล่าวกับทุกคน

          ซีนัสพยักหน้าให้ แล้วกล่าวต่อไป

          "จริงสินะ ดูเหมือนว่าบุตรแห่งพระเจ้าของเราจะยังไม่มีชื่อ เอรอส ในฐานะที่ท่านเป็นผู้ดูแลเขา ทานก็เปรียบเสมือนพ่อของเขา ท่านคิดว่า ชื่อใด เหมาะสมกับเขาที่สุด"

          เอรอสนิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วเงยหน้าขึ้นมองเพดานของห้องประชุม ซึ่งเป็นกระจกใส มองเห็นท้องฟ้ายามรุ่งสางได้

          เขามองเห็นดาวไม่กี่ดวงบนท้องฟ้าขณะนั้น ซึ่งมีอยู่ดวงหนึ่ง ที่ส่องแสงสีฟ้ากระพริบอยู่ แล้วเขาก็หันกลับมายังที่ประชุม แล้วกล่าวขึ้นว่า

          "ข้านึกออกแล้ว ทุกท่าน ลองมองขึ้นไปบนฟ้าสิ"

           ทุกคนมองขึ้นไปบนฟ้า แล้วเอรอสก็กล่าวต่อไปว่า

           "เดือนนี้คือเดือนอควาเรียส (Aquarius) ช่วงรุ่งสางของเดือนนี้เราจะมองเห็นดาวฤกษ์ที่ชื่อว่า โอฟิอุส (Opheus) ส่องสว่างอยู่กลางท้องฟ้า ถ้าเช่นนั้น ข้าขอตั้งชื่อให้เด็กผู้นี้ว่า โอฟิอุส แอสการ์ด้า (Opheus Asgarda) ผู้เปรียบเสมือนแสงของดาวฤกษ์ ซึ่งส่องสว่าง เปรียบเสมือนแสงแห่งความหวังของพวกเราชาวคานาเลีย และอาณาจักรคานาเลียนทุกคน"

           ทุกคนเห็นด้วยกับคำกล่าวของเขา และปรบมือให้ แล้วซีนัสจึงกล่าวต่อ

          "เอาล่ะ ทุกท่าน บุตรแห่งพระเจ้าของเรา โอฟิอุส ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว ทุกท่านจงเชื่อว่า เขาผู้นี้ จะเป็นผู้กล้าในอนาคต ที่สามารถปราบเซมุสลงได้ และนำสันติสุขกลับมาสู่อาณาจักรของเรา เอาเป็นว่า ข้าขอปิดประชุมไว้เพียงเท่านี้ ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้น ข้าจะทูลให้พระราชาทรงทราบเอง"

           แล้วการประชุมก็เสร็จสิ้นลง ทุกคนแยกย้ายกันกลับ รวมทั้งเอรอส ซึ่งอุ้มทารกน้อย โอฟิอุส ที่กำลังหลับอุตุในอ้อมแขน เดินออกมาจากวิหาร กลับไปสู่บ้านของเขาที่อยู่ภายในเมือง

           หลังจากเหตุการณ์ในคืนนั้น เรื่องราวเกี่ยวกับการถือกำเนิดของบุตรแห่งพระเจ้าก็แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ชาวเมืองทั้งหลายต่างพากันฉลองให้แก่เขา... โอฟิอุส แอสการ์ด้า บุตรแห่งพระเจ้า

    จบตอนที่ 1...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×