ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Volunteer กองกำลังรักษาดินแดนระหว่างมิติ

    ลำดับตอนที่ #2 : The Volunteer >> Chapter 1 >> ลางบอกเหตุ

    • อัปเดตล่าสุด 22 ต.ค. 55


                แพรพริมมาถึงที่ค่ายลูกเสือพร้อมกับเพื่อนๆอีกกว่า 200 ชีวิต ตั้งแต่สองวันที่แล้ว นักเรียนโรงเรียนอะพาไทต์ในวันนี้ยังคึกคักไม่ต่างจากเมื่อวาน หากแต่วันนี้เป็นวันเดินทางกลับ เหล่าอาจารย์ที่ควบคุมจึงไม่เข้มงวดกับการตื่นนอนของเหล่าคุณหนูๆมากนัก แพรพริมจึงได้โอกาสปลีกตัวมาหาที่สงบๆ เพื่อพักผ่อน

                ระยะทางห่างจากจุดตั้งแคมป์ราว 20 เมตร คือลำธารสีชาใสขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กที่เกิดจากน้ำบนเทือกเขาที่สูงขึ้นไปไหลมารวมกัน ตรงจุดที่เธอนั่งอยู่เป็นจุดต้นน้ำของลำธารนั้นเลยทีเดียว รอบๆรายล้อมไปด้วยโขดหินระเกะระกะ เหนือขั้นไปเป็นหน้าผาสูงชัดที่มีน้ำไหลหยดอยู่เป็นจังหวะ  หญิงสาวอดคิดไม่ได้ว่าหากสถานที่แห่งนี้จะเป็นอย่างไรในอีกสิบหรือยี่สิบปีข้างหน้า ความเจริญที่ผ่านมาจะทำให้สรวงสวรรค์แห่งนี้กลายเป็นสถานที่อย่างไรในอนาคต ขณะกำลังคิดอะไรเพลินๆ เสียงของไม้แห้งถูกเหยียบก็ดังมาจากเบื้องหลังเธอ  แพรพริมไม่แปลกใจนักว่าเป็นใคร เธอยังนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่จุดเดิม

                “มาอยู่ที่นี่เอง ปล่อยให้ฉันตามหาที่กระโจมอาหารตั้งนาน” ปินทิยาร้องทักเสียงใส ร่างเล็กๆพยายามจะไต่ขึ้นบนโขดหินที่เพื่อนของเธอนั่งหย่อนขาอยู่

                “อ๊ะ..ปิน ไม่ต้องขึ้นมาหรอก เดี๋ยวฉันก็ลงไปแล้ว” แพรพริมเตรียมจะลุกขึ้น แต่เด็กสาวข้างล่างโบกมือเป็นเชิงห้ามไว้ก่อน

                “ดะ..เดี๋ยว ฮึบ เฮ้อ..  ขึ้นได้สักที” ปินทิยาปัดมือที่มีรอยถลอกแรงๆ อย่างไม่รู้ตัว

                “อู๊ย! แสบจัง...”

                “โถ่..ปิน บอกแล้วเชียวว่าอย่าขึ้นมา เดี๋ยวฉันก็จะลงไป เห็นไหมได้แผลเลย”  แพรพริมวางสมุดวาดภาพที่อยู่ในมือไว้ข้างๆ พลางดึงมือแดงๆ ของเพื่อนสนิทคนเดียวของเธอมาดู

                “ฉันไม่เป็นไร แผลแค่นี้ทำอะไรฉันไม่ได้หรอกน่า  อีกอย่างฉันอยากขึ้นมาดูวิวข้างบนอยู่แล้ว” ปินทิยาพูดเสียงใสพร้อมกับแย้มยิ้ม แพรพริมจึงได้แต่ถอนหายใจปลงๆ

                “แกนั่นแหละ มาชมวิวทั้งทีไม่ยอมชวนฉันมาด้วย แต่ว่านะ ทางขึ้นชันเป็นบ้า แกขึ้นมาได้ยังไงเนี่ย” เสียงที่ตอนต้นติดจะคาดโทษนิดๆ ทำให้แพรพริมอดยิ้มมุมปากไม่ได้  ปินทิยาพอเห็นเพื่อนตัวดีของเธอยิ้มมุมปากแบบที่เคยเห็นบ่อยๆ  ก็นึกถึงเรื่องที่เธอเคยได้ยินเพื่อนบางคนแอบคุยกันว่า ยิ้มมุมปากของแพรพริมเหมือนโจทย์คณิตศาสตร์โอลิมปิก จะหวานก็ไม่ใช่ จะเยาะเย้ยก็ไม่เหมือน จะพอใจก็ไม่เชิง จะดูอย่างไรก็ดูไม่ออก  แต่สำหรับเธอ แพรพริมก็ยิ้มแบบแพรพริมนั่นแหละ แล้วแต่ว่าเจ้าตัวพอใจจะยิ้ม

                ทำไมแพมชอบยิ้มมุมปากอยู่เรื่อยเลย ทำไมไม่ยิ้มกว้างๆล่ะ?’ เธอจำได้ว่าเธอถามสาวผมสีประหลาดที่นั่งเรียนข้างเธอมาตลอดสองปีออกไปอย่างนั้น แล้วแพรพริมก็หันมาตอบเธอพร้อมกับรอยยิ้มมุมปากแบบที่เธอกำลังถาม

                ไม่มีเหตุผลหรอก คงเพราะฉันขี้เกียจยิ้มกว้างๆ ละมั้ง เมื่อยแก้มคำพูดที่ดูยังไงก็แสนจะไม่คิดนั้นดูเป็นคำพูดที่ไร้การกลั่นกรองที่สุดตั้งแต่ คุณหนูบนยอดหอคอยอย่างปินทิยาเคยได้ยินมา จนกระทั่งผ่านมาเป็นปีแล้ว เธอถึงยังได้คบกับเพื่อนสาวสุดประหลาดคนนี้ เพราะคำตอบนั้น

                “ก็ขึ้นมาแบบแกนั่นแหละ ไหนๆแกก็ขึ้นมาแล้วช่วยดูภาพนี้ให้หน่อย” ว่าแล้วหญิงสาวก็ส่งสมุดวาดภาพขนาดเหมาะมือไปให้เพื่อนตัวเล็กของเธอดู และเป็นไปตามที่คาด พอปินทิยาเห็นภาพบนกระดาษดวงตาของเธอก็เบิกกว้างอย่างตื่นเต้น

                “นี่มันภาพพระยาลอนี่” พระยาลอที่อีกปินทิยาพูดถึง คือ ไก่ป่าชนิดหนึ่ง ที่คนทั่วไปมักจะเรียกว่า ไก่ฟ้าพระยาลอนั่นเอง

                “อืม..เก่งสมเป็นลูกศาสตราจารย์อาทิตยานี่” แพรพริมอ้างถึงแม่ของอีกฝ่ายที่เป็นถึงผู้เชี่ยวชาญด้านระบบนิเวศวิทยาของประเทศไทย

                “ของมันแน่อยู่แล้ว แล้วนี่แกวาดมาได้ยังไง”

                “ฉันเห็นมันอยู่แถวๆนี้แหละ ขนมันสวยดีเลยลองร่างๆ ออกมา” แพรพริมตอบเรียบๆ นึกขำกับท่าทางของปินทิยาที่ดูตื่นเต้นกว่าเห็นยูเอฟโอซะอีก

                “ดีจริง! ป่าแถบนี้คงอุดมสมบูรณ์มาก เสียดายที่ฉันมาไม่ทัน ไม่อย่างอย่างนั้นคงได้ถ่ายรูปไปให้คุณแม่ดูสักสองสามรูป คุณแม่ต้องดีใจมากแน่ๆ” ปินทิยาชะงักเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ หันมามองแพรพริมขวับด้วยสายตาที่แพรพริมรู้ดีว่าเพื่อนเธอกำลังจะทำอะไร

                “ไหนๆ แกก็...ไม่ได้ชวนฉันออกมา ทำให้ฉันไม่ทันเห็นเจ้าไก่ป่าสุดสวยนั่นแล้วนะแพรพริม..” ปินทิยาทอดเสียงยาว “งั้น..แกก็ไถ่โทษโดยการยกรูปนี้ให้ฉันก็แล้วกันนะ”

                นั่นปะไร ผิดจากที่คิดซะเมื่อไหร่ยายคุณหนูจอมบลั๊ฟ!’ แพรพริมแอบหันไปกลอกตา

                “เอาก็เอาสิ ฉันเข้าใจว่าแกวาดไม่เป็น” เธอหันมาลอยหน้าลอยตาแขวะเพื่อน

                “ยัยแพม!” จะอย่างไรก็เป็นความจริง ปินทิยาเถียงเพื่อนเธอไม่ได้อยู่แล้ว  แต่ไหนแต่ไรแพรพริมวาดรูปสวยทุกรูป เธออดสงสัยไม่ได้ว่าเด็กสาวอายุ 14 ปี ที่วันๆเอาแต่นั่นอ่านหนังสือในห้องนี่เอาเวลาที่ไหนไปหัดวาดรูปได้สวยราวกับจิตรกรมืออาชีพ แต่จะว่าไปเพื่อนเธอก็เป็นคนประหลาดๆ อยู่แล้ว เธอขี้เกียจจะคิดให้ยุ่งยาก

                “เถียงไม่ออกล่ะสิ ฮ่าๆ หืม?” แพรพริมหันไม่มองอีกฝั่งของลำธารที่เป็นพุ่มไม้รก เธอขมวดคิ้วน้อยๆ

                “มีอะไรหรอแพม?” ปินหันไปมองด้วยแต่ไม่พบอะไรนอกจากต้นไม้ขนาดใหญ่ที่เกิดถี่ยิบจนแสงแทบจะลอดผ่านไม่ได้

                “เปล่า ฉันคงตาฝาดไปเอง” แพรพริมตอบไปอย่างนั้นทั้งที่รู้ว่า ตอนที่เธอกำลังหัวเราะอยู่นั้น เหนือแผ่นน้ำบริเวณใกล้ๆกับพุ่มไม้เกิดอะไรบางอย่าง อะไรบางอย่างที่คนทั่วไปมองไม่เห็น อะไรบางอย่างที่เธอคุ้นชิน แต่ไม่คุ้นเคย แสงสีขาวนั่นคืออะไร!?

                “กลับแคมป์เถอะ เดี๋ยวเกิดอาจารย์หาเราไม่เจอแล้วจะยุ่ง” เธอไต่ลงจากหินก้อนใหญ่อย่างคล่องแคล่ว พอเท้าถึงพื้นก็จะหันไปช่วยปินทิยา จังหวะที่เธอเงยหน้าขึ้น เธอจึงได้เห็นสัตว์ปีกชนิดหนึ่งกำลังจ้องมองเธออยู่ มันเกาะเงียบๆ อยู่กิ่งไม้เหนือหัวเธอขึ้นไป 5 เมตร สัตว์ปีกตัวนั้นมีสีขาวบริสุทธิ์ ชวนให้เธอนึกถึงหิมะที่เธอเคยเห็นในโทรทัศน์ รอบคอของมันเป็นสีเหลืองทองส่องแสงวิบวับ จนเธออดคิดไม่ได้ว่าเป็นทองจริงๆ จงอยปากของมันเป็นสีแดงสดเหมือนเลือด ลักษณะคล้ายๆ จงอยปากของนกแก้ว และบริเวณดวงตาของมัน มีขนตางอนๆสามเส้นยาวเลยไปข้างหลัง ปลายของขนตาเหมือนถูกประดับไว้ด้วยลูกปัดหลากสี  และสิ่งที่เด่นชัดที่สุด คือดวงตาสีเขียวใสราวกับเพอริดอทเม็ดงามที่กำลังจ้องมองเธออยู่เธออ่านความหมายในดวงตาของมันไม่ออก เธอรู้แต่ว่าคำจำกัดความของมันคือ สูงค่า และน่าเกรงขามแพรพริมชะงัก

                น่าเกรงขามหรือ? เธอกำลังคิดว่านกตัวหนึ่งน่าเกรงขามหรือ? นี่เธอต้องไม่ใช่แพรพริมพัตราแน่ๆแพรพริมแอบหัวเราะกับการที่เธอ กลัว เป็น

                “หัวเราะอะไรยายแพม” ปินทิยาหันมาถามเสียงดุ เพราะคิดว่าแพรพริมกำลังหัวเราะที่เธอลงมาจากหินก้อนนั้นด้วยท่าทางที่ทุเรศลูกตาสุดๆ

                “ก็แค่ยิ้ม..ไม่ได้รึไง” เพื่อนเธอย้อนเสียงเรียบ ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ปินทิยาคงคิดว่าแพรพริมใช้คำได้น่า...สุดๆ แต่เพราะเธอเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวในประเทศไทยของแพรพริม ปินทิยาจึงรู้ว่าเพื่อนของเธอกำลังย้อนเธอเล่นตามประสาคนดื้อเงียบ

                “ฮึ! แพรพริมนะแพรพริม..” ว่าแล้วปินทิยาก็เดินกระแทกส้นเท้าปึงปังกลับแคมป์ไป ไม่ทันได้เห็นรอยยิ้มของแพรพริมที่หุบลง หญิงสาวหันกลับขึ้นไปเพื่อจะมองนกแสนสวยเหนือหัวของเธออีกครั้ง ก่อนจะพบแต่ความว่างเปล่า ราวกับมันไม่เคยอยู่ตรงนั้นมาก่อน แพรพริมเบือนหน้ากลับช้าๆ ลางสังหรณ์แบบนี้...แบบที่เธอพยายามหนีให้ห่างจากมัน...มันกลับมาอีกแล้ว...

     

     

     

                นักเรียนทั้งชายและหญิงภายในบริเวณแค้มป์กำลังรับประทานอาหารกันอย่างคึกคัก ปินขอตัวไปเก็บของในเต็นท์ จึงเหลือแพรพริมเพียงคนเดียวที่นั่งดูกลุ่มเพื่อนของเธอกินข้าวกล่องพลางสนทนาพลางกันอย่างออกรส

                “ไม่กินด้วยกันหรือ แพม” ลูกหยี เจ้าแม่ข่าวสารประจำกลุ่มทักขึ้นเมื่อเห็นว่าเพื่อนสาวผู้แสนจะเก่งกาจในสายตาเพื่อนคนอื่นๆ นั่งมองพวกเธอกินข้าวเงียบๆ มาเกือบสิบนาที เรียกให้เพื่อนอีกสองคนเงยหน้าจากจานอาหารขึ้นมาด้วยอาการงง เพราะเพิ่งจะรู้ว่าแพรพริมอยู่ที่นี่

                “ฉันกินแล้ว พวกแกกินเถอะ”

                “อืม  เอ้อแน่ะ ฉันได้ยินข่าวว่าแกจะลงไปแข่งที่กรุงเทพฯ” ลูกหยีถาม ดวงตาประกายความอยากรู้

                “อืม” แพรพริมตอบกลับยิ้มๆ

                “แอ่งอะไออ่ะ?” เล็ก เพื่อนที่ชื่อไม่ค่อยเข้ากับรูปร่างเท่าไรถามขึ้นบ้างทั้งๆที่ปากยังเคี้ยวข้าวอยู่ตุ้ยๆ

                “มหกรรมแข่งขันทางวิชาการ ของเครือไดเอนกรุ๊ป” สิ้นเสียงราบเรียบของเจ้าตัว ทำให้เพื่อนสามคนของเธอก็พร้อมใจกันสำลักข้าวโดยไม่ได้นัดหมาย

                “แค่กๆ คะ..แค่ก.. นี่ฉันหูฝาดรึเปล่า แกพูดใหม่สิ” พิชาสาวห้าวประจำกลุ่มถาม

                “ก็..งานมหกรรมการแข่งขันทางวิชาการ ของบริษัทเครือไดเอนกรุ๊ป..” คนถูกขอให้พูดใหม่ยังงงๆ

                “เย้ย! ไดเอนกรุ๊ป ไอ้บริษัทยักษ์ปักหลั่นนั่นจริงๆด้วย” พิชาร้องเสียงหลง แต่พอเห็นหน้างงของเพื่อนสาวพอจะเข้าใจว่าเพื่อนที่เก่งไปซะทุกอย่างของเธอไม่เข้าใจในสิ่งที่ควรเข้าใจแต่พวกเธอดันเข้าใจ

                “ให้ตายสิ นี่แกไม่รู้จักไดเอนกรุ๊ปรึยังไง” พิชาถามไปอย่างนั้น คำตอบต่อมาทำเอาเธอแทบเอาหน้าผากเขกโต๊ะ นึกสงสัยขึ้นมาจริงๆว่าเพื่อนเธอพูดเป็นอยู่คำเดียว

                “อืม”

                “ยัยหลังเขา!!” แพรพริมขมวดคิ้ว นี่เธอตกข่าวขนาดนั้นเลยรึไง?’

                “ไม่ใช่ว่าไม่รู้จัก แต่ไม่เข้าใจว่าทำไม่พวกแกต้องตกใจขนาดนั้น ก็แค่การแข่งขันที่บริษัทใหญ่จัดขึ้นเองไม่ใช่หรือ?” แพรพริมถามหน้าซื่อ

                “ฉันจะบ้ากับแก เงินรางวัลไดเอนกรุ๊ปไม่ใช่น้อยๆ แถมปีนี้ยังได้ข่าวว่าเปลี่ยนวิธีการทดสอบ ไม่รู้ว่าการทดสอบจะโหดขนาดไหน แค่คิดฉันก็ บรื๋อ..” ลูกหยีทำท่าขนลุก

                “คงไม่ยากขนาดนั้นหรอกมั้ง?

                “คำว่ายากอาจจะน้อยไปด้วยซ้ำ” ลูกหยีพูดเสียงจริงจัง แพรพริมมองหน้าเพื่อนงงๆ

                ยากยิ่งกว่ายาก มันเป็นยังไงหว่า?’

                “...” ลูกหยีพอเห็นหน้าเพื่อนของตัวเองก็ถึงกับอับจนคำพูดไปสักพัก

                “เห็นแก่แก ฉันจะบอกให้ก็ได้ ...ไดเอนกรุ๊ปบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก สาขาใหญ่อยู่ที่เกาะไต้หวัน เป็นผู้นำอันดับหนึ่งด้านธุรกิจโทรคมนาคม และเทคโนโลยีล้ำสมัยต่างๆ..” ลูกหยีเริ่มเล่า แพรพริมพยักหน้าหงึกๆ ราวกับพอรู้มาบ้างแล้ว

                “ในทุกๆ 3 ปี บริษัทเครือได้เอนกรุ๊ปในแต่ละประเทศจะจัดงานแข่งขันทางวิชาการ ที่แกกำลังจะไปแข่งนี่... ตามกติกาการแข่งขันเดิม จะเปิดโอกาสให้เด็กช่วงอายุ 5-18 แข่งขันกันเป็นทีม แล้วแต่จะรวมกลุ่มกันเอง เขาไม่ค่อยกำหนดกติกาการเลือกกลุ่มหรอก เพราะมันไม่ค่อยจะมีผลต่อคะแนนเท่าไรนัก แต่ในปีนี้ไดเอนกรุ๊ปจะส่งหนังสือเชิญเป็นรายบุคคล” แพรพริมเบิกตากว้างขึ้นเพียงเล็กน้อย แล้วกลับมาเป็นปกติ แปลว่าเธอถูกเชิญงั้นหรือ? ทั้งๆที่เธอไม่ได้โดดเด่นอะไรเนี่ยนะ(?)

                “แล้วเขารับเด็กกี่คน?” แพรพริมรู้สึกว่าแต่ละประโยคที่ผ่านปากของตัวเองออกมามีแต่เครื่องหมายคำถามซะจริงๆ

                “เขารับไม่จำกัดหรอก  แค่ผ่านข้อสอบของพวกเขามาได้ก็มีสิทธิ์เข้า 5มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก แถมเงินรางวัลยังอื้อซ่า” ลูกหยียักไหล่ แน่นอนว่าเรื่องเงินไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับนักเรียนส่วนใหญ่ในโรงเรียนของเธอ แต่อะไรที่ทำให้คนอย่างสมัญญิกา รุจิราวิโรจน์ ทายาทคนเดียวของธุรกิจสิ่งตีพิมพ์รายใหญ่ของประเทศอยากผ่านรายการแข่งขันนี้ นั่นคือสิ่งที่แพรพริมคิดภายใต้ใบหน้าที่สงบเป็นปกติของเจ้าตัว

                “เมื่อครั้งที่แล้วผ่านกี่คน” คราวนี้เล็กเป็นคนถาม

                “แกเดาดูสิ ฮึๆ” เจ้าแม่ข่าวสารหัวเราะแบบมีเลศนัย พิชาถอนหายใจพรืด แน่นอนเธอรู้คำตอบอยู่แล้ว แค่อดสงสารเพื่อนไม่ได้ที่จะต้องรับรู้อะไรที่มันออกจะชวนให้หยุดหายใจ สำหรับคนที่ไม่เคยรู้มาก่อน

                “30…20…อืม 10 ยังไม่ถูกอีกหรอ อืม... 5 คน” เพื่อนของเธอยังทายต่อไป เมื่อแต่ละคำตอบถูกเฉลยด้วยการสั่นศีรษะของลูกหยี

                “ไม่ใช่ น้อยกว่านั้น” ลูกหยีบอก

                “เหวอ น้อยขนาดนั้นเชียว”

                “งั้น..3 คน ขาดตัว”

                “ไม่ใช่ ในประเทศเราผ่านแค่ 1 จากทั่วโลกแล้วผ่านเพียงแค่ 82 คนเท่านั้น”

                “ง่า..”

                “การทดสอบมีแค่นี้หรอ?” แพรพริมถามสบายๆ ดูเหมือนเธอไม่ได้ตื่นตกใจกับข้อมูลที่ได้รับเท่าเพื่อนอีกคน

                “ยัง.. ยังมีอีก เด็กที่ผ่านรอบแรกเข้าไปได้ ต้องได้รับการทดสอบอีกครั้ง แต่คราวนี้วัดทักษะทางร่างกาย” ลูกหยีหยุดพูดไปเฉยๆ เหมือนกำลังครุ่นคิด

                “อะไรหรอหยี”

                “เปล่า.. ฉันอดคิดถึงวิธีการทดสอบไม่ได้น่ะ”

                “เขาไม่แจ้งหรอ”

                “อืม  วิธีการทดสอบเป็นความลับ น่าแปลกที่ไม่มีข่าวรั่วหรือหลุดออกมาเลย...แม้กระทั่งตอนที่ทดสอบเสร็จแล้ว”

                “เป็นไปได้ยังไง แม้แต่แกก็ไม่รู้” แพรพริมเลิกคิ้วขึ้น  คิดว่านี่คงเป็นเหตุผลที่เพื่อนเธอให้ความสนใจการแข่งขันนี้เป็นพิเศษ

                “บริษัทฉันเคยพยายามหาข้อมูลแล้ว แต่ก็เหลว ไม่มีใครเปิดปากพูดถึงเรื่องนั้นเลย อย่างกับพวกเขาลืมมันไปเฉยๆ  ...ช่างมันเถอะ เดี๋ยวฉันคงจะได้รู้เอง ก็แกจะผ่านเข้ารอบอยู่แล้วนี่” ลูกหยีหันมายิ้มกับแพรพริมปัดเรื่องน่าปวดหัวออกจากสมอง

                “มั่นใจจริงแม่คุณ” เธอพูดยิ้มๆ

                “มีอีกเรื่องที่ฉันพนันได้ว่าแกยังไม่รู้” ลูกหยียิ้มแบบแปลกๆให้แพรพริม เธอเลิกคิ้วขึ้นแทนคำถาม

                “เจ้าภุมเรศ รัชชานินทร์ ประธานบริษัทไดเอนกรุ๊ป” สิ้นเสียงเท่านั้นเพื่อนสาวร่างอวบของเธอก็ร้องขึ้นราวกับโดนข้าวสารเสก เธอไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ก็คงดังน่าดู แต่ทำไมเธอไม่รู้จักล่ะ! ปกติเธอติดตามข่าวสารทุกวัน หุ้นจะตก ราคาทองคำจะขึ้น หรือแม้แต่น้ำมันจะหมด วันไหนเธอก็สามารถบอกได้  แต่นี่มันอะไรกัน ทำไมในสมองเธอไม่มีเรื่องแบบนี้อยู่เลย โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับไดเอนกรุ๊ป

                “ฉันจะไม่ถามแล้วนะว่าลุงคนที่แกพูดถึงเป็นใคร” เธอกำลังหงุดหงิด กับความไม่รู้ และถ้าหงุดหงิดเธอจะพูดมากเป็นพิเศษ

                “ว๊ายตาย! ยัยแพม แกเรียกว่าพ่อเทพบุตรของฉันเป็นลุงเรอะ!” แพรพริมทำปากยื่น เมื่อสาวอวบในกลุ่มโวยวายออกมา

                “ถ้าไม่ใช่ลุงแล้วจะเป็นใคร ก็ยัยหยีบอกว่าเป็นประธานบริษัทใหญ่อย่างไดเอนกรุ๊ป ก็ต้องแก่คราวพ่อแล้วดิ  จะให้ฉันคิดว่าเขาจะเอาเด็ก 15-16 มาเป็นผู้บริหารบริษัทรึไง”

                “...”

                “แกอย่าบอกนะว่า ใช่ ฮ่าๆ เฮ้อ...นี่มันไม่ใช่ในนิยายนะ” เธอทำหน้าอ่อนอกอ่อนใจ

                “...” เพื่อนของเธอเงียบ

                “...” แพรพริมเงียบไปด้วย ก่อนจะพึมพำออกมา

                “โอย..กรรม” เป็นอีกครั้งที่เธอพูดถูกโดยที่เธอไม่ได้ตั้งใจ  แต่ก็ไม่แปลกใจเท่ารู้ว่าเด็กอายุไล่เลี่ยกับเธอเป็นประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกขนาดนั้น  ย้อนมามองตัวเองแล้วอารมณ์หงุดหงิดยิ่งเพิ่มขึ้น  เรื่องแบบนี้ทำไมเธอไม่เคยระแคะระคายบ้าง  ราวกับ...ราวกับถูกจำกัดข้อมูลเกี่ยวกับคนๆนี้

                “สมพรปากจริง” เธอบ่น

                

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×