คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Chapter 7 รักไม่มีเหตุผล
Chapter 7
รักไม่มีเหตุผล
วันต่อมาเจ๊ยังคงเมินหน้าฉันเหมือนเดิม ไม่มีคำพูดใดๆทั้งสิ้นหลุดลอดออกมาจากริมฝีปากบางๆของเจ๊ เฮ้อ...ตั้งแต่ที่เจ๊รู้ความจริงนี่รู้สึกจะโทรมๆไปเหมือนกันนะ ฉันจะทำอะไรได้ล่ะ ทำได้แค่หน้าสลดๆนั่นแหละ แต่อย่างที่บอก...ดีที่ว่าเจ๊ยังทำกับข้าวเผื่อฉันบ้าง ไม่งั้นฉันต้องไส้แห้งอดตายแหงๆ T^T
“เฮ้อออออออออออออออ” ฉันถอนหายใจออกมาซะจนหลังคาโรงเรียนเริ่มสั่นคลอน
ยัยวุ้นที่นั่งเท้าคางอยู่ข้างๆฉันถึงกับหัวเราะขำๆกับอาการของฉัน
นี่แกไม่หนักใจเหมือนฉันบ้างเหรอไงฟะเนี่ย?
ไอ้เต้ก็อีกคน ทำไมพักนี้ฉันรู้สึกว่าไอ้เต้มันแปลกๆ เหมือนมีความลับอะไรสักอย่าง และด้วยความสงสัยก็โพล่งถามออกไปทันที
“ไอ้เต้!! หมู่นี้แกแปลกๆว่ะ มีอะไรรึเปล่าวะฮะ?”
“ฮะ? อะไรๆ ไม่มี ก็นั่งคิดหนักเรื่องเจ๊ไง” ไอ้เต้ทำหน้าตาเหรอหราอย่างมีพิรุธ อะไรของมันวะ -__-;;;
“งั้นก็แล้วไป...” ฉันก็ไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืดน่ะนะ ตอนนี้ไม่อยากหาเรื่องปวดหัวใส่ตัว เข็ด!
ฉันก็ลืมบอกไป ตั้งแต่เมื่อวานนายซิงเกิ้ลกับฮันนี่ก็ไม่ได้เข้ามายุ่งวุ่นวายกับพวกเราอีกเลย เจอหน้าก็แทบไม่ได้ทัก เอ๊ะ...ไม่สิ คนอื่นน่ะทัก...ยกเว้นฉัน
เจ๊ก็ยังมาโรงเรียนตามปกติ ถ้าไม่จำเป็นเจ๊ก็แทบจะไม่มาให้เห็นหน้าหรือพูดจาอะไรเลย เรียกว่าไม่มาให้เห็นหน้าเลยดีกว่า ไม่ใช่ไม่จำเป็น ไอ้สองตัวที่นั่งซังกะตายอยู่หน้าก็พลอยเป็นห่วงไปด้วย เมื่อเช้าพอเจ๊ตื่นนอนทำกับข้าวอะไรเสร็จก็บึ่งออกจากคอนโดทันที ฉันยังตื่นไม่ทันเจ๊แกด้วยซ้ำ =__=;;; ไม่รู้จะมาอยู่เป็นเพื่อนลุงยามหรือไงก็ไม่ทราบ
...รู้หรอกว่าพยายามจะหลบหน้า
“เมื่อไหร่เจ๊จะกลับมาสดใสร่าเริงเหมือนเดิมน้า” ยัยวุ้นเขี่ยผมตัวเองเล่นไปมา มือขวาก็นั่งเท้าคางกับโต๊ะ
“เต้ตอบให้มั้ยที่รัก...เมื่อเจ๊เขาพร้อมไง...” ไอ้เต้พูดออกมาเรียบๆ ทำให้ทุกคนเงียบไปอีกครั้ง
แล้วเมื่อไหร่ล่ะ...จะมีวันนั้นหรือเปล่า...?
วันเวลาไหลเวียนผ่านไปเรื่อยๆ เจ๊ยังคงโกรธพวกฉันอยู่ นี่มันก็ปาเข้าไปวันที่สี่แล้ว นายซิงเกิ้ลก็ไม่ได้คุยกันเลย พอฉันมานั่งไตร่ตรองอย่างที่ไอ้เต้พูด ก็คิดได้ว่าเขาไม่ส่วนผิดใดๆ มีแต่ฉันคนเดียวที่บ้าพาลไปโมโหใส่เขาเอง...รวมไปถึงแฟนของเขา เห็นทีคงจะถึงเวลาแล้วที่ฉันสมควรจะพูดคำว่าขอโทษล่ะนะ
เช้านี้ฉันต้องใจจะตื่นก่อนเจ๊ให้ได้ เพื่อที่จะดักรอเจ๊นั่นแหละ แล้วก็เป็นไปตามคาด...เจ๊แกตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่ง นี่ถ้าเจ๊นอนดึกจะได้นอนกันสักกี่ชั่วโมงเชียว
สีหน้าของเจ๊ดูซีดเผือด ถุงใต้ตาของเธอที่ถึงแม้จะถูกเติมแต่งด้วยเครื่องสำอางแต่ก็ไม่สามารถจะบดบังความช้ำของมันได้ ผมเผ้าถูกปล่อยยาวสยาย
ทำไมถึงไม่ดูแลตัวเองเลยนะ...
เมื่อเจ๊มองเห็นฉันที่ยืนพิงกำแพงห้องครัวก็ตกใจเล็กน้อย คิ้วของเธอขมวดขึ้นเล็กน้อยก่อนที่มันจะกลับไปอยู่ในสภาพเดิม แววตาของเธอฉายแววสงสัยอยู่สักพักก็แปรเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่าทันที
เธอเดินผ่านฉันเข้าไปในครัวโดยไม่เหลียวมองฉันสักนิด แถมยังทำเหมือนฉันเป็นอากาศธาตุอะไรอย่างนั้นแหละ การกระทำของเจ๊กระตุ้นให้ต่อมน้ำตาของฉันเริ่มทำงาน มันรื้นอยู่ที่ขอบตาฉันแล้วล่ะ แต่ฉันก็ยังอดทน...ฉันจะอ่อนแอไม่ได้
“จะ...เจ๊ไม่เป็นอะไรนะ ฉันขอ...เจ๊!!!”
ร่างของเจ๊ทรุดลงไปกับพื้น เปลือกตาปิดกันสนิท ตัวร้อนจี๋เหมือนจะเป็นไข้ ฉันรีบตรงเข้าไปพยุงร่างบางนั้นไปที่ห้องนอนก่อนที่จะไปหาผ้าเช็ดหน้ากับกะละมังใส่น้ำมาเช็ดตัวให้ที่ข้างๆเตียง
“ทำไมเจ๊ไม่ดูแลตัวเองเลย...ถ้าไม่เห็นแก่ตัวเองก็เห็นแก่ฉันบ้างเถอะนะ ฮือ...” เขื่อนแตกในที่สุด น้ำตาที่สกัดกลั้นมานานบัดนี้ได้พรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย
“ต่อไปนี้ฉันจะไม่ทำอะไรแผลงๆแบบนั้นแล้วนะ ถ้ามันทำให้เจ๊ไม่สบายใจฉันจะไม่ทำอีกแล้ว ฮือๆ”
“ฉันแค่อยากให้เจ๊สมหวัง ฉันอยากให้เจ๊มีความสุข แต่ที่ฉันทำมาทั้งหมดกลับกลายเป็นว่ามันเลวร้ายเหลือเกิน ฉันเสียใจ...ฉันเสียใจ”
ฉันนั่งพล่ามต่อไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็คิดได้ว่าต้องหาอะไรมาให้เจ๊กิน เพราะเดี๋ยวตื่นขึ้นมาแล้วไม่มีอะไรตกถึงท้องจะแย่ ฉันออกไปซื้อโจ๊กแถวๆคอนโดกลับมาสองถุงแล้วกลับมาดูแลเจ๊ต่อ ยังดีที่ไข้ก็ลดลงไปบ้างแล้ว ฉันหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาจากหน้าผากเจ๊มาชุบน้ำอีกครั้งแล้วนำมันไปวางลงที่เดิม
ฉันผล็อยหลับไปตั้งแต่ไม่รู้ แต่มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เจ๊ขยับตัวนี่แหละ ฉันรีบวิ่งไปรินน้ำมาให้เธอทันทีเพราะกลัวว่าจะคอแห้ง ก่อนที่จะตรงไปอุ่นโจ๊กที่ซื้อมาเมื่อเช้าที่ห้องครัว เธอเดินมามาหยุดอยู่ข้างๆฉันเพื่อที่จะดูว่าฉันทำอะไรอยู่ พอหันไปเจอเข้ากับแววตาของเธอก็ถึงกับยิ้มออกเลยทีเดียว มันช่างดูอ่อนโยน...ทำให้ฉันใจชื้นขึ้นมาบ้าง
“เจ๊ลุกขึ้นมาทำไม เดี๋ยวก็ล้มลงไปกองอีกหรอก นั่งรอที่โต๊ะก่อนนะ ฉันกำลังอุ่นโจ๊กให้อยู่” ฉันพาเจ๊ไปนั่งที่โต๊ะกินข้าว เจ๊หันมายิ้มให้ฉันอย่างอบอุ่น
พี่สาวที่แสนดีของฉันกลับมาแล้วงั้นเหรอ...?
ฉันจัดการยกชามที่ใส่โจ๊กมาวางไว้ตรงหน้าเจ๊เมื่ออุ่นเสร็จ แล้วเดินไปรินน้ำมาให้เจ๊อีกหนึ่งแก้ว ฉันนั่งมองเจ๊อย่างเพลิดเพลิน รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกที่เจ๊ไม่เมินใส่ฉันแล้ว
“ไม่หิวบ้างเหรอ มองอยู่ได้” เจ๊พูดยิ้มๆ
“หิวสิ ฉันแค่อยากดูให้มั่นใจน่ะว่าอย่างน้อยถ้าเจ๊อดข้าวมาก็มีอะไรตกถึงท้องแล้ว” ฉันยิ้มให้เจ๊ก่อนที่จะมาอุ่นของตัวเองกินบ้าง
“อย่างนี้เธอก็โดดเรียนน่ะสิ รู้นะว่าไม่ได้ตั้งใจจะดูแลฉันหรอก” เจ๊ว่าขำๆ แววตาขี้เล่นของเจ๊กำลังจดจ้องมาที่ฉัน
“ไม่ใช่นะ! ฉันตั้งใจจะดูแลเจ๊จริงๆ เลิกเรียนเดี๋ยวไอ้เต้กับวุ้นจะมาเยี่ยมนะ” ฉันรีบพูดอย่างหนักแน่นเพราะกลัวว่าพี่สาวของฉันจะคิดแบบนั้นจริงๆน่ะสิ
“จ้าๆ ทำเป็นซีเรียสไปได้ ทานก่อนเถอะ เดี๋ยวจะเย็นหมด”
เรานั่งกินข้าวกันไปเรื่อยๆจนหมด ฉันจึงไปเอายาลดไข้มาให้เจ๊กินก่อนที่เจ๊ก็ขอตัวไปนอนพักเอาแรง แต่ก่อนที่จะเดินไปฉันก็ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้
“เจ๊...ทำใจได้รึยังคะ?” ฉันถามเสียงแผ่ว ก้มหน้านิ่งอย่างรู้สึกผิด
“ซัมวัน...ของแบบนี้มันต้องใช้เวลานานเหมือนกันนะ ฝากชามด้วยนะ ไปนอนก่อนล่ะ” เจ๊ยิ้มเศร้าๆแล้วหันหลังเดินกลับไปที่ประตูห้องตัวเองตามเดิม เมื่อประตูปิดลงแล้วฉันถึงกับสลด ได้แค่นี้เจ๊ก็เก่งแล้วล่ะเนอะ...
ฉันเก็บจานชามไปล้างให้เรียบร้อยแล้วก็เดินเข้าห้องตัวเองไปเปิดคอมพ์ แต่ก็เข้าไปดูเจ๊เป็นระยะและคอยเปลี่ยนน้ำเปลี่ยนท่าเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ไข้ลดลง ที่เปิดคอมพ์ก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่ต่ออินเตอร์เน็ตเข้ามาเช็คเมล์เฉยๆ
เมื่อเช็คเมล์เสร็จฉันก็นั่งท่องโลกอินเตอร์เน็ตอยู่หลายชั่วโมง ออนเอ็มทิ้งไว้เหมือนกัน แต่เนื่องจากไปโรงเรียนกันหมดเลยไม่ค่อยมีคนออน ฉันเหลือบไปเห็นนาฬิกาตั้งโต๊ะข้างๆกองหนังสือเรียน (กองไว้เท่ๆ ไม่เคยคิดจะแตะหรอก) เข็มสั้นชี้เลขสาม เข็มยาวชี้เลขสิบสองบ่งบอกว่าเป็นเวลาเลิกเรียนแล้ว เดี๋ยวอีกสักพักก็คงจะมากันล่ะมั้ง...
ครึ่งชั่วโมงผ่านไปก็มีเสียงออดดังขึ้น สงสัยคงจะมากันแล้วล่ะสิ
ฉันเดินไปเปิดประตูอย่างดีใจ เมื่อเห็นหน้าวุ้นก็เผลอโผกอดมันทันที
“แก...เจ๊กลับมาแล้ว...กลับมาแล้ว” ฉันพูดเสียงสั่น น้ำตาเริ่มรื้นขึ้นมาอีกระลอก
“อะไร แกหมายความว่าอะไร...?” ยัยวุ้นยันไหล่ฉันออกมาเพื่อที่จะคุยกับฉันได้ถนัดขึ้น
“จะ...เจ๊ เจ๊พูดกับฉันแล้ว...เจ๊ไม่เมินใส่ฉันแล้ว” ฉันยิ้มทั้งน้ำตา
พับผ่าสิ!!! ทำไมต้องดีใจจนน้ำตาไหล O-^
“เอ่อ...ฉันวางของพวกนี้ไว้ที่ไหนได้บ้าง” เสียงทุ้มดังขึ้นด้านหลัง ฉันจำเสียงนั้นได้ดี...เสียงที่ฉันไม่ได้ฟังมาเกือบอาทิตย์
“นะ...นาย ละ...แล้วก็ฮันนี่...?” คิ้วของฉันขมวดเป็นปมเมื่อเห็นหน้าของสองคนนี้
“เอาไว้บนเคาท์เตอร์นั่นก่อนก็ได้มั้ง” ไอ้เต้โบ้ยหน้าไปทางโต๊ะที่ว่าก่อนจะเดินไปวางของพร้อมๆกับซิงเกิ้ล
...เขามาที่นี่ทำไมกัน...
“ฉันเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังหมดแล้ว...เว้นเสียแต่เรื่องของเจ๊น่ะ” โปเต้คงจะเห็นถึงความผิดสังเกตของฉันจึงเดินมากระซิบให้ฟัง
วุ้นเห็นอย่างนั้นจึงพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย
“เอ่อ...ไปนั่งที่โต๊ะก่อนสิ เดี๋ยวจะไปหาน้ำหาท่ามาให้” ฉันบอกกับทุกคนแล้วตรงไปปิดประตู
ยัยวุ้นเดินเข้ามาช่วยฉันในครัว เธอนำขนมที่ซื้อมาใส่จานก่อนที่จะเอาไปเสิร์ฟที่โต๊ะ ฉันยกถาดใส่น้ำตามไปติดๆ
“แล้วอาการพี่เธอเป็นยังไงบ้าง” ซิงเกิ้ลถามขึ้น
“ไข้ลดลงเยอะแล้ว นั่งเช็ดตัวให้ตั้งแต่เช้า เมื่อเที่ยงก็เพิ่งกินยาไปเอง แล้วซื้ออะไรมาเยอะแยะน่ะ” ฉันหันไปมองถุงต่างๆที่บัดนี้ถูกย้ายไปที่ครัวแล้ว...คงจะเป็นของกินล่ะสิ
“เอามาเยี่ยมพี่สาวน่ะค่ะ เล็กๆน้อยๆ ^^” หญิงสาวข้างๆซิงเกิ้ลยิ้มน้อยๆ
“ขอบคุณแทนพี่สาวฉันด้วยนะ” ฉันกล่าวขอบคุณอย่างเสียไม่ได้ รู้สึกผิดขึ้นมาบอกไม่ถูกกับเรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้น
“พวกเราตกลงกันว่าจะมาทานข้าวกันที่นี่เลยน่ะ ก็เลยซื้อกับข้าวมาเพียบเลย ส่วนฮันนี่กับซิงเกิ้ลก็ซื้อผลไม้มาฝากเจ๊ด้วย” หลังจากได้ยินที่ยัยวุ้นพูดฉันก็เงียบไปชั่วขณะเพราะนึกอะไรได้บางอย่าง
“พวกแกลืมไปแล้วเหรอว่าเจ๊รู้สึกยังไงน่ะ” ฉันพูดเสียงเบาหวิว พอนึกถึงสีหน้าของเจ๊...ฉันก็ไม่เป็นอันทำอะไรเลย ฉันมองไปทางประตูห้องของพี่สาวที่แสนดีอย่างเหม่อลอย
“แก...แก! ยัยซัมวัน!!!”
“ฮะ?! ตะโกนใส่หูฉันทำไมไอ้เต้” ตะโกนค่ะตะโกน!! มันตะโกนใส่หูฉัน -*-
“เป็นเจ้าบ้านน่ะ เทกับข้าวใส่จานสิ เดี๋ยวเจ๊ตื่นมาจะได้กินเลย” ไอ้เต้เห็นว่าฉันเป็นใช้หรือไงกัน ออกปากสั่งๆๆอย่างเดียว เฮอะ! ถ้าฉันไปบ้านแกเมื่อไหร่ฉันจะใช้แกให้ขาลากด้วยเหตุผลที่ว่าแกเป็นเจ้าบ้าน!!!
“เจ้าค่ะ ยัยวุ้น...มาช่วยฉันเซะ” ฉันว่าก่อนจะกระดิกนิ้วเรียกยัยวุ้นเหมือนหมา โฮ่ๆๆ แฟนแกต้องชดใช้แทน!
“เฮ้ๆ ทำไมต้องเอาที่รักฉันไปด้วยเล่า T^T” ไอ้เต้คัดค้านเสียงอ่อย ไอ้เต้ก็ยังเป็นไอ้เต้ล่ะว้า...
“ซัมวัน...ทำไม...” เจ๊เดินงัวเงียออกมาจากห้องตัวเองแต่ก็ต้องชะงักกึ่กเมื่อพบชายหญิงตรงหน้า
“เสียงดังจัง...” แววตาเย็นชาของเจ๊กลับมาอีกแล้ว
“แหะๆ พอรู้ว่าพี่สาวไม่สบายพวกเราก็เลยมาเยี่ยมน่ะค่ะ ฮันนี่ซื้อผลไม้มาเต็มเลย ^^ ขอโทษที่เสียงดังนะคะ” ฮันนี่ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วตรงไปพยุงพี่สาวฉันไปนั่งที่โต๊ะอีกคน
“จะ...จ้ะ ขอบใจทุกๆคนมากนะ” ถึงแม้ปากของเจ๊จะยิ้มก็ตาม แต่ฉันรู้...ว่าในใจไม่ได้ยิ้มแย้มเหมือนหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว
ตลอดอาหารมื้อเย็นเต็มไปด้วยความอึดอัด ฉัน ยุ้ยวุ้นและไอ้เต้ต่างก็รู้ถึงเหตุผลที่เป็นอย่างนั้น เจ๊นั่งกินข้าวเงียบๆ ใครถามอะไรก็เป็นพี่แคลชยิ้มเข้าไว้
“ฉันอิ่มแล้ว ขอตัวนะ...” เจ๊คงจะทนกับภาพตรงหน้าไม่ไหวเลนผลุนผลันลุกออกไปแบบนั้นทั้งๆที่เพิ่งจะกินไปไม่กี่คำ แค่นั้นมันจะไปพอยาไส้อะไรเนี่ย เฮ้อออ
“เดี๋ยว...! เจ๊ยังไม่ได้กินยาเลยนะ” ฉันลุกขึ้นเรียกเจ๊
และก็เหมือนเดิม...เธอไม่พูดอะไร มีแต่รอยยิ้มเศร้าๆที่แต่งแต้มอยู่บนใบหน้าซีดๆนั้น
“เข้าใจล่ะ งั้นเดี๋ยวฉันเอาเข้าไปให้ในห้องแล้วกัน ไปนอนเถอะ” ฉันยิ้มตอบกลับไป
ยี่สิบนาทีผ่านไปหลังจากที่ทุกคนทานมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อยก็ขอตัวแยกย้ายกันกลับบ้าน คงจะเห็นสีหน้าที่ไม่สู้ดีของเจ๊สักเท่าไหร่ล่ะมั้งเลยไม่อยากรบกวน ตอนแรกยัยวุ้นจะอยู่ช่วยฉันล้างจานเก็บข้าวเก็บของให้เรียบร้อยก่อนแต่ฉันก็ปฏิเสธไปเพราะเกรงว่ามันจะดึก
“ขอบคุณทุกคนมากนะสำหรับวันนี้ กลับบ้านกันดีๆล่ะ” ฉันยืนรอหน้าประตูจนแน่ใจว่ากลับกันหมดแล้วก็ปิดประตูพอดีกับที่มีมือๆหนึ่งยันไว้ก่อน
คิ้วของฉันขมวดเข้าหากันอย่างไม่ต้องสงสัย ฉันจึงเปิดประตูดูอีกครั้งเพื่อดูว่าใครมาเยือนแต่ก็ต้องตกใจอีกรอบที่คนๆนั้นเป็นนายซิงเกิ้ล
“ฉันขอคุยอะไรกับเธอหน่อย มีเวลาพอจะให้ฉันสักสองสามนาทีมั้ย” พูดอย่างกับพี่ฟิล์ม รัฐภูมิอย่างนั้นแหละ เหอะ...สองสามนาที
“เอาสิ จะเข้ามาก่อนมั้ย”
“ไม่ล่ะ ฉันแค่จะบอกว่าฉันรู้เรื่องทั้งหมดจากไอ้เต้แล้วนะ ทำไมเธอไม่บอกฉันล่ะ เพื่อนมีไว้ทำไม ทีฉันมีปัญหาฉันยังปรึกษาเธอเลย หรือเธอไม่เห็นฉันเป็นเพื่อน...?” เขาใช้มือทั้งสองจับที่ไหล่ฉันอย่างเค้นคำตอบ
“ฉันขอโทษ...ไม่ใช่ว่าฉันไม่เห็นนายเป็นเพื่อนหรอกนะ แต่ฉัน...ตอนนั้นฉันคิดอะไรไม่ออกนี่นา” ฉันก้มหน้าลงเพื่อที่จะกลบเกลื่อนความรู้สึกเสียฟอร์มที่จะต้องพูดขอโทษ
“งั้นสัญญาได้มั้ย สัญญากับฉันว่าต่อไปนี้ถ้าเธอมีเรื่องทุกข์ใจอะไรเธอจะมาพูดให้ฉันฟัง ให้ฉันรับรู้ อย่างน้อยๆเธอจะได้สบายใจว่ายังมีฉันอีกคนที่อยู่ข้างๆเธอ” เขาค่อยๆเชยคางฉันขึ้นอย่างเบามือ ส่งผลให้ฉันสบตาเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดวงตาสีน้ำตาลของเขาไม่ได้ฉายแววขี้เล่นอีกต่อไปแล้ว มีแต่ความมุ่งมั่นที่แฝงไปด้วยความอบอุ่นอย่างประหลาด
“ฉัน...ฉันสัญญา” บ้าจริง! ทำไมฉันต้องประหม่าด้วยนะ
“เยี่ยมมาก ต้องเป็นเด็กดีอย่างนี้สิ ^^” เขาพูดยิ้มๆพลางหยิกแก้มทั้งสองข้างของฉันเป็นการหยอกล้อ
ฉันรู้สึกว่าอุณหภูมิในร่างกายมันสูงขึ้นอย่างผิดปกติ มือทั้งสองข้างฉันก็ดูเกะกะไปซะหมด ทุกๆส่วนในร่างกายดูจะเกร็งไปหมด มันไม่เป็นธรรมชาติ...รวมไปถึงสิ่งที่เรียกว่าหัวใจ
“ฉันไปล่ะ แล้วคืนนี้คุยกันนะครับ...ซัมวัน” เขาขยี้ผมฉันไปมาจนพอใจแล้วจึงเดินกลับไปอย่างคนอื่นๆ
อาการแบบนี้มันหมายถึงอะไรนะ...?
ฉันนั่งรอโทรศัพท์เขาทั้งๆที่ไม่รู้ว่าเขาจะโทรมาหรือเปล่า ฉันไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ ฮะๆ...ฉันว่ามันคงจะเป็นความเคยชินล่ะเนอะ...ไม่มีทางที่มันจะเป็นเหตุผลอื่นไปได้
“เอ้อ! ตกใจมั้ยที่วันนั้นเห็นฉันในเครื่องแบบโรงเรียนเธอน่ะ”
ใช่ค่ะ...ตอนนี้ฉันกำลังคุยโทรศัพท์กับนายซิงเกิ้ลนั่นแหละค่ะ ในตอนแรกเขาแค่โทรมาบอกฉันว่าถึงบ้านแล้วอะไรทำนองนั้น แล้วก็คุยกันเรื่อยเปื่อยตามปกติ
“ทำไมจะไม่ตกใจล่ะ ไอ้ที่นับถอยหลังก็เรื่องนี้นี่เอง นึกว่ามีอะไรซะอีก” ตกใจมากด้วย...ไม่ใช่ฉันคนเดียว ล่อกันยกแก๊ง =__=;;; ใครที่รู้จักนายเขาก็ตกใจหมดนั่นล่ะ
“ฉันว่าแล้วว่ามันต้องเป็นแบบนั้น ฉันตั้งใจจะเซอร์ไพรส์เธอเลยน้า”
“นายย้ายโรงเรียนเพียงเพราะจะทำให้ฉันตกใจเล่นๆเนี่ยนะ ขออะไรที่มันมีเหตุผลกว่านี้ได้มั้ย” อย่าทำให้ฉันรู้สึกว่านายทำเพราะฉัน...ได้มั้ย
“แหะๆ ถ้าฉันบอกว่าแค่นั้นจริงๆล่ะ ก็ฉันเบื่อโรงเรียนเก่านี่ ครูก็แก่ ขี้บ่นก็เก่ง ไม่รู้...คิดออกแค่นี้”
“อะไรกัน อย่าทำเหมือนตัวเองเหลวไหลไม่สนใจเรียนอะไรแบบนั้นสิ มันไม่เข้าท่าเลยนะ” ฉันอดค้านไม่ได้ที่เขาเป็นคนคิดอะไรง่ายๆแบบนี้ แค่ ‘เบื่อ’ ก็ย้ายโรงเรียนน่ะเหรอ ฟังไม่ขึ้นเลย!
“ง่ะ เห็นอย่างนี้เกรดฉันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นน้า อย่าดุนักสิ” นายซิงเกิ้ลพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนเป็นเด็กๆ ปัญญาอ่อนสิ้นดี O-;;
“เท่าไหร่...ถ้าไม่ถึงสามฉันจะว่านายถึงเช้าเลยคอยดู”
“งะ...เง้อ เกือบสามงับ อย่าทำอะไรป๋มเลยน้า แม่ป๋มยังไม่ว่าอะไรเลย แงๆ” เอ๊ะ...นั่นสิ! ฉันจะแคร์ทำไมนะ ในเมื่อฉันก็เป็นแค่ที่ปรึกษา
“อืม...ไม่ว่าอะไรก็ได้ เปลี่ยนใจแล้ว แต่ว่านายย้ายโรงเรียนมากลางคันแบบนี้ถ้าเกรดนายแย่ลงล่ะน่าดู!” ฉันว่าเขาอย่างคาดโทษ เฮ้อ...ไร้สาระจริงๆตาคนนี้
“เธอก็ติวให้ฉันสิไม่เห็นยาก อย่าลืมว่าเธอก็มีส่วนให้ฉันย้ายโรงเรียนน้า แน่นอน...เธอก็มีส่วนผิด เธอต้องรับผิดชอบ ฮี่ๆ” เขาหัวเราะออกมาเพราะรู้ว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่า
‘เธอก็มีส่วนให้ฉันย้ายโรงเรียนน้า...’ ทำไมคำพูดทีเล่นทีจริงของเขาถึงทำให้ฉันใจสั่นได้นะ...ทำไมกัน
“เชอะ ฝากไว้ก่อนเถอะ” และเมื่อทำอะไรไม่ได้ก็ ‘เชอะ’ เข้าว่าค่ะ หุๆ ไม่ได้พูดให้ง้อนะ แต่มันติดปากน่ะ แหะๆ
“ฮิๆ เอ้อ! รู้มั้ยว่าวันนั้นฉันทั้งมีความสุขทั้งเสียใจทั้งโมโห โอย...ครบทุกรสชาติเลยล่ะ”
“เอ๋? ทำไมล่ะ”
“ก็ฉันมีความสุขที่ได้เห็นหน้าเธอตอนเอ๋อเหรอยังไงล่ะ ฮ่าๆ แบบสุดจะบรรยายเลย อยากจะถ่ายรูปไว้แบล็คเมล์เธอแล้วล่ะ แต่ก็คิดได้ว่าคนหล่อเขาไม่ใช้แกล้งคนด้วยวิธีนี้ ฉันเป็นคนดีใช่มั้ยล่า!~” น้ำเสียงของเขาฟังดูสะใจสุดๆไปเลย อะไรกัน T^T ก็ตอนนั้นมันทั้งอึ้ง ทั้งตกใจ ทั้ง...เยอะแยะไปหมด แง้ TOT
“เชอะๆๆๆๆๆ ทำกันได้ลงคอ แล้วที่ว่าเสียใจกับโมโหล่ะ”
“ก็ที่เธอพยายามหลบหน้าฉันกับฮันนี่น่ะสิ ตอนนั้นฉันนั่งคิดตั้งนานว่าทำไมเธอไม่คุยกับฉัน ส่วนที่โมโหก็เพราะว่าเธอไปตวาดฮันนี่น่ะสิ เขาเป็นคนอ่อนไหวง่ายนะ โดนใครดุเข้าหน่อยก็น้ำตาคลอแล้วล่ะ”
อ่อนไหวง่ายเหรอ...ฮะๆ ตรงข้ามกับฉันอย่างสิ้นเชิง ผู้ชายเขาชอบผู้หญิงอ่อนแอนี่นา ชาตินี้ฉันหาแฟนไม่ได้แหงเลย ฮือๆๆ TT^TT
“ระ...เหรอ ขอโทษ” อีกแล้วครับท่าน! วันนี้ฉันพูดไปกี่สิบรอบแล้วก็ไม่รู้ไอ้คำบ้าๆเนี่ย พับผ่าสิ!!
“ไม่ต้องขอโทษหรอกน่า พอฉันรู้ว่าเธอทะเลาะกับพี่สาวฉันก็พอจะเข้าใจว่าเธอเครียด ฉันก็เลยหายโกรธเธอเป็นปลิดทิ้งเลย!!” เขาพูดออกมาอย่างน่ารัก อ๋า...ฉันคิดอะไรเนี่ย T.T
“แฮะๆ แต่ฉันก็ไม่ควรไปพาลใส่คนอื่น...” นั่น...อารมณ์สำนึกผิดมันกลับมาอีกแล้ว ทำไมฉันถึงเป็นคนดีเยี่ยงนี้?!
“รู้อย่างนี้แล้วยังจะคุยกับชาวบ้านเขาอีกเหรอ ถ้ารู้ตัวก็ต้องคิดบ้างสิว่าเกิดพูดอะไรออกไปทั้งๆที่อารมณ์นายยังไม่คงที่อยู่แบบนี้มันจะเกิดอะไรขึ้น” เขาบีบเสียงพูดเพื่อล้อเลียนฉัน ให้ตาย...ทำไมถึงกวนอย่างนี้ T___T
“ฉันเกลียดตัวเองจัง!” ฉันบ่นอุบ
“แหะๆๆ ล้อเล่นน่า คิดมากๆ รู้แล้วใช่มั้ยล่าว่าโดนแบบนั้นจะรู้สึกยังไงน่ะ ตอนนั้นเธอใจร้ายมากเลยน้า” ถ้าตานี่อยู่ต่อหน้าฉันสงสัยคงมาเกาะแข้งเกาะขาเลียมือเลียไม้เป็นหมาน้อยแน่ๆเลย ทำไมพูดเสียงน่ารักแบบนี้ อ๊ายยยย >.,<
“ฉันผิดไปแล้วววววว ขอประธานอภัยโทษเพคะ!”
“ข้าไม่ยกโทษให้เจ้าหรอก เชอะ!!!” อ้าว!!! งอนเฉยเลย ฉันทำอารายผิดปายยยยย TOT
“อะไรกัน ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยน้า ฉันไม่ง้อจริงๆด้วยนะ ถ้าฉันยังไม่รู้เหตุผลที่นายงอนฉันน่ะ” มันต้องง้อแบบมีชั้นเชิงค่ะ หุๆ
“ไม่ง้อฉันจริงๆเหรอ?” เขาถามเสียงอ่อย ถ้าเป็นหมาก็คงจะครางหงิงๆไปด้วยล่ะมั้งเนี่ย
“ก็นายงอนฉันแบบไม่มีเหตุผลนี่นา ฉันไม่ง้อใครมั่วซั่วหรอกนะ” ฉันพูดออกไปตามที่ใจคิด
“แง้ ไม่ง้อก็ไม่ง้อ หายงอนเองก็ด้ะ! คำก็เหตุผล สองคำก็เหตุผล! เธอคิดว่าทุกอย่างมันจะมีเหตุผลเสมอไปน่ะเหรอ...?”
“ไม่รู้สิ แต่ที่แน่ๆนายหายงอนฉันแล้วนี่นา ^O^”
“ฉันจะบอกอะไรให้นะ...รัก...มันไม่มีเหตุผลหรอก” เขาพูดออกมาเสียงเรียบ มันเหมือนกับว่าสมองฉันหยุดทำงานไปชั่วขณะ รักไม่มีเหตุผลงั้นเหรอ...?
----- To be continued ----
อืม...จะว่าบอกรักก็ไม่ใช่นะ - -*
มันเป็นการชี้แจงว่ารักไม่มีเหตุผลแค่นั้นเองค่ะ...ก๊ากกก
ไม่พูดมาก ไปต่อกันอีกตอน >__<
$m[i]LeYz dEviL
ความคิดเห็น