คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : การตัดสินใจของแต่ละคน
“ว้าย ตายแล้ว”
เสียงแม่ของเกดอุทาน เมื่อรายงานข่าวทางทีวีประกาศถึงเหตุการณ์ที่น่าสะพรีงกลัวที่สุด แรงดันจากภายนอกโลกได้บีบอัดจนเกิดชั้นบรรยากาศเบาบางตามจุดต่างๆ ทั่วโลก มีการชั้นประชุมใหญ่ทางนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลกเพื่อหาสาเหตุว่าเป็นเพราะฝีมือมนุษย์เราหรือภาวะเปลี่ยนแปลงกระทันหันภายในอวกาศและหาทางแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วน หากแรงดันยังคงกดมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกไม่เกินหนึ่งเดือนนี้ ชั้นบรรยากาศจะเกิดช่องโหว่และรังสีมากมายก็จะรั่วไหลเข้าสู่โลก ภาพตัดฉายถึงกลุ่มคนที่ก่อมอบโทษมนุษย์ด้วยกันที่ไม่เคยคิดจะแก้ไขปัญหาสภาพแวดล้อมโลกอย่างจริงจัง ผลสุดท้ายภัยก็วกกลับมาหาตัวเอง ขณะที่สาวกที่เชื่อเรื่องพระผู้เป็นเจ้าก็ยังคงเดินทางไปรวมตัวกันที่อนุสาวรีย์เพื่อรอคอยความหวังสุดท้าย การได้รับพู่กัน
เกดยังนึกภาพไม่ออกเลยว่าหากเกิดช่องโหว่ขึ้น อวกาศอันดำมืดที่รั่วไหลเข้ามาจะเป็นเช่นไร แค่คิดก็ใจหายวาบ เธอหันซ้ายขวามองดูรอบบ้านที่ถูกจัดเก็บข้าวของใส่กล่องเป็นจำนวนมากก่อนที่จะมีการประกาศเคอร์ฟิวเสียด้วยซ้ำ พ่อกับแม่รอเธอกลับมาเพียงคนเดียวเพื่อที่จะย้ายไปอยู่บ้านยายที่ต่างจังหวัด
“เราจะออกเดินทางพรุ่งนี้เช้า” แม่บอกพร้อมกับเข้าไปกอดเกดเอาไว้แน่น เกดเอาหน้าซุกที่อกแม่กอดตอบกลับ ขณะที่พ่อก็เดินเข้ามาโอบกอดทั้งสองทับอีก ตัวแม่สั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่มีใครนึกว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น เหตุการณ์ประหลาดมากมายจนยากจะเชื่อว่าเรากำลังยืนอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง หลังจากหนึ่งเดือนนี้ไปโดยประมาณ โลกจะเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิมอีก
“เกดดีใจที่เกิดมาเป็นลูกพ่อกับแม่นะ” เธอพูดตะกุกตะกัก น้ำตาคลอเบ้า แม้บ้านจะไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่นับแต่ที่เธอเกิดมาไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาทั้งสองจะทำหน้าที่พ่อแม่ขาดตกบกพร่อง พ่อเกดเป็นข้าราชการประจำที่ทำงานและกลับบ้านตรงเวลา มักคอยเตือนเธอให้ดูแลตัวเองอยู่ทุกวี่วันจนบางครั้งน่ารำคาญ แม่เลือกที่จะออกจากงานประจำเพื่อที่จะมาเป็นแม่บ้านแม่เรือนคอยเลี้ยงดูและให้คำปรึกษาเป็นอย่างดี ครั้งหนึ่งในระหว่างกินข้าว เกดเคยถามถึงเรื่องหางานใหม่ของแม่ เพราะเห็นว่าตัวเองโตพอที่จะอยู่คนเดียว ช่วยงานบ้านได้ แต่พ่อบอกว่าแม่เป็นอย่างนี้แหละดีแล้ว ครอบครัวอบอุ่นดี ซึ่งแม่เองก็เห็นด้วย
เกดมีพู่กันอยู่ในมือแต่ก็ไม่รู้วิธีที่จะใช้มัน มีวิธีการที่คนโพสมากมายในอินเตอร์เนท แต่จะให้แน่ใจอย่างไรว่าวิธีไหนเป็นวิธีใช้ที่ถูกต้อง คำพูดของฉัตรตอนนี้เป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือที่สุด คือคิดถึงสิ่งที่ต้องการ แต่ในเมื่อเธอกับครอบครัวต้องการที่จะหนีไปให้พ้นจากโลก อะไรคือสถานที่ ๆ ต้องการไปมากที่สุด วาดประตูแบบฉัตรก็ไม่รู้ว่าเมื่อเปิดออกไปแล้วจะไปโผล่ที่ไหน งั้นวาดยานอวกาศอย่างนั้นเหรอ หรือวาดโลกใหม่ไปเลยล่ะ ไม่มีใครรู้.... เกดละจากอกพ่อกับแม่ก่อนจะพูดขึ้น
“หนูมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง” เกดบอก แล้วก็ล้วงเอาพู่กันออกมาจากกระโปรง
...............................................................
ฝนเริ่มตกหนักจนทันต้องออกแรงวิ่งสุดกำลัง กว่าจะถึงบ้านตัวของเขาก็เปียกโชกแล้ว
“กลับมาแล้วครับ” ทันเอ่ย เขาถอดเสื้อบิดน้ำออก เอามือปัดผมเสยขึ้นชะเง้อมองเข้าไปในบ้าน สักพักแม่ก็เดินออกมาพร้อมกับผ้าเช็ดตัวผืนหนึ่ง
“ไปไหนมาละเนี่ย
นี่เย็นแล้วนะ พ่อรอกินข้าวอยู่แน่ะ” แม่ถาม ส่งผ้าเช็ดตัวให้
“อ๋อ ไปทำธุระกับเพื่อนนิดหน่อย” ทันตอบ พลางโชว์พู่กัน “ผมได้พู่กันมาด้วยนะฮะ”
แม่ยิ้ม ๆ แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร ซึ่งทันก็ไม่แปลกใจเพราะครอบครัวของเขามองเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องไร้สาระ หากเขาไม่ได้เจอกับตัวก็คงคิดเช่นนั้น
ทันเดินผ่านโต๊ะกินข้าวด้วยเนื้อตัวมอมแมม
เห็นพ่อนั่งอ่านหนังสือพิมพ์รออยู่ที่โต๊ะ ส่วน
ที น้องชายวัยสิบขวบของเขานั่งเอาช้อนเขี่ยข้าวเล่นในจาน
เมื่อเห็นพี่ชายตัวเองก็ดีใจรีบวิ่งเอารางวัลคิดเลขเร็วมาให้ดู จ้อไม่หยุดแม้ทันจะวิ่งขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อในห้องจนกระทั่งลงมา
“ข้างนอกมันอันตรายนะ จะออกไปวิ่งเพ่นพ่านไม่ได้แล้ว” พ่อบอกตั้งแต่ก้นทันยังไม่แตะเก้าอี้
“คะ ครับ” ทันรับ “แต่ไอ้ฉัตรมันชวนไปทำธุระ”
“ถึงลูกจะรู้จักกันมานานก็ไม่เห็นจำเป็นต้องรับปากเพื่อนเสมอไปนะ หากเรื่องนั้นไม่ได้สำคัญจริง ๆ” พ่อบอกต่อ
“สำคัญสิฮะ” ทันตอบกลับทันควัน
พ่อวางหนังสือพิมพ์ลงข้าง ๆ หันมามองหน้าลูกชายตัวเอง นิสัยทนายจากตัวเขาทำให้สอดส่องสายตามองบุคลิกของทันอย่างละเอียดถี่ถ้วนซึ่งเขามีท่าทีแน่วแน่มากในตอนนี้ ส่วนน้องชายก็ทำหน้าเคร่งเครียดมองพ่อพยายามบอกว่าเรื่องของทันนั้นมันสำคัญ แม้จะยังไม่ได้ฟังก็ตาม
“พ่อกำลังจับผิดผมอย่างนั้นเหรอ” ทันถาม พยายามทำตัวผ่อนคลาย ขณะที่แม่ตักข้าวเสร็จก็มานั่งข้าง ๆ ทัน
“ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่มานั่งจับผิดลูกหรอกนะ” แม่ตอบ “ที่พ่อเขาถามก็เพราะความเป็นห่วง”
ทันไม่พูดอะไร ก้มหน้าก้มตากินข้าว ทำไมกันนะ เมื่อมาเจอหน้าพ่อทีไรไม่เคยมีครั้งไหนที่จะได้คุยกันดี ๆ เขามักจะหลุดปากด้วยคำพูดชวนหาเรื่องเสมอ ทั้งที่วันนี้เขาอยากจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นมากมายเหลือเกินแต่เริ่มต้นก็ไม่สวยซะแล้ว
“ลูกมีเรื่องจะคุยกับพ่อไม่ใช่เหรอ ทัน” แม่เอ่ยขึ้น ทำเอาเขาแทบจะสำลักข้าว มีน่ะมันมีแต่ไม่ใช่ตอนนี้ ทันนึกในใจ เขาเคยบ่น ๆ กับแม่มาหลายครั้งแล้วว่าอยากจะคุยกับพ่อแต่ไม่กล้า
“ไม่มีนี่ฮะ” ทันบอก ยกแก้วน้ำมาดื่มล้างคอ
“งั้นเหรอ” พ่อพูด วางช้อนยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มเช่นกัน ก่อนพูดต่อ “ถ้าอย่างงั้น พ่อก็มีเรื่องจะบอก เราจะไปเที่ยวกันพรุ่งนี้ ดีไหม”
ทันได้ยินดังนั้นก็แปลกใจ เพราะเขาแทบไม่ค่อยได้ไปเที่ยวไหนกับพ่อ ส่วนใหญ่ไปกับแม่และน้องชายเสียมากกว่า ทันหันไปมองหน้าแม่ซึ่งยิ้มให้ ดูเหมือนแม่คงไปคุยอะไรกับพ่อเป็นแน่
“พรุ่งนี้วันจันทร์นะฮะ ผมต้องไปเรียนนี่นา” ทันบอก
“หยุดไปสักวันจะเป็นไรไป ไหน ๆ โลกมันก็จะแตกแล้วนี่” พ่อตอบอย่างยิ้ม ๆ นั่นทำให้ใจทันโล่งมากขึ้นเป็นกอง การได้เห็นพ่อเชื่อเรื่องอะไรสักเรื่องที่ดูไม่น่าจะเป็นไปได้อาจเป็นความสุขอย่างหนึ่งสำหรับเขา
“เอ่อ ... คือ เอ่อ ที่จริงผมที่เรื่องหนึ่งจะเล่าให้ฟัง”
“มีอะไรก็ว่ามา” พ่อบอก
“แม้มันจะดูไม่จริงอย่างนั้นหรือฮะ” ทันถาม
“พ่อสอนลูกมาจนถึงป่านนี้แล้ว สิ่งที่ลูกพูดมาพ่อเชื่อว่ามันเป็นความจริงทั้งนั้นแหละ” พ่อตอบ
คำพูดของพ่อเพียงประโยคเดียวราวกับปลดพันธนาการตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา บางทีการที่เขาจำเรื่องบ้านเกิดของฉัตรไม่ได้อาจเป็นเพราะเขายึดติดกับความจริงเกินไป อะไรบางอย่างที่ทำให้สิ่งเหล่านั้นลืมเลือน หรือมีอะไรบางอย่างที่เขาไม่อยากจะจำ
“เรื่องที่พวกผมไปเจอกันวันนี้น่ะครับ”
ทันบอก พร้อมกับล้วงพู่กันออกมาจากกางเกง และเริ่มเล่าไปอย่างละเอียด
.........................................................
ถึงฉัตรจะไม่ค่อยได้มาโรงพยาบาลบ่อยนักแต่ก็รู้สึกได้ว่าวันนี้ดูวุ่นวายกว่าปกติ ผู้คนที่รู้จักฉัตรซึ่งเป็นลูกพ่อต่างรีบเดินกันไปมา ไม่แม้จะเหล่มองเขาที่เนื้อตัวเปียกปอน เขาเดินขึ้นไปที่ห้องพักแพทย์ก็ไม่พบพ่อ มันน่าหงุดหงิดที่พ่อมีมือถือแต่เวลาโทรไปไม่เคยรับสาย เขาจึงล้วงพู่กันออกจากกระเป๋าไปวางสอดไว้ใต้ลิ้นชักที่พ่อเปิดประจำ อย่างน้อยเขาก็น่าจะบอกพ่อให้รู้ ฉัตรจัดเสื้อผ้าเล็กน้อยแล้วเดินเข้าไปหานางพยาบาลคนหนึ่งตรงแผนกจ่ายยา
“พี่เอ พ่ออยู่ที่ไหน ทราบรึเปล่าฮะ” ฉัตรถามนางพยาบาลซึ่งเป็นเพื่อนพ่อ เธอกำลังสาละวนกับการรับใบสั่งยาหมอ
“อ้าวฉัตร ว่าไง พ่อเหรอ รู้สึกเขาจะมีผ่าตัดคนไข้ที่ได้รับอุบัติเหตุรถตู้น่ะ แต่ตอนนี้คงเสร็จแล้วมั้ง บางทีอาจจะอยู่ที่ห้องผู้ป่วยก็ได้” นางพยาบาลตอบ มือไม้หยิบจับของไปพร้อม ๆ กัน “แย่จริง ๆเพราะคนที่เดินขบวนกันนี่แหละ งานมันถึงได้ยุ่งขนาดนี้ พี่เองก็อยากจะกลับไปที่บ้านบ้าง”
“อ่า ผ่าตัดไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ คนไข้คนนั้นน่ะ” ฉัตรถามต่อ แต่เธอก็ก้มหน้าก้มตาทำงานจนไม่ทันได้ยินเสียงที่ฉัตรพูดอีก เขาเลยไม่ได้ถามต่อและเดินไปขึ้นตรงไปที่ห้องคนไข้
ฉัตรค่อย ๆ เปิดประตูเข้าไปในห้อง พ่อไม่อยู่แล้ว เหลือเพียงคนไข้ที่นอนสภาพไร้สติ มีสายต่อตามตัวเต็มไปหมด ท่อออกซิเจนครอบปากอยู่มีเสียงเสียงช่วยหายใจดังเป็นจังหวะ โลกกำลังจะแตกแต่ผู้คนก็เลือกที่จะดิ้นรนเอาชีวิตรอดจนวินาทีสุดท้าย ชายคนนี้ก็กำลังต่อสู้อย่างหนักเช่นกัน เขาจะรู้ไหมว่าเมื่อตื่นขึ้นมาโลกก็จะไม่เหมือนเดิมอีก ถ้าหากเขารู้ บางทีอาจจะเลือกที่จะจบชีวิตตัวเองมากกว่า ฉัตรเดินเข้าไปใกล้อีกหน่อยจนจับขอบเตียงผู้ป่วยได้
“สวัสดีครับ” ฉัตรเอ่ยขึ้นกับผู้ป่วยที่นอนนิ่ง “คุณรู้อะไรเกี่ยวกับพู่กันบ้างครับ”
ไม่มีเสียงตอบกลับ ซึ่งก็ดี เขาอยากจะระบายอะไรสักอย่างโดยไม่ต้องการให้ใครมาให้คำปรึกษา ฉัตรถอยตัวไปนั่งเก้าอี้ข้างเตียงผู้ป่วย
“ผมไม่ได้มาหาคุณหรอกครับ ไม่ได้อยากมาถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณ เพื่อนผมอีกคนน่าจะอยากเจอคุณจนตัวสั่นแต่ก็ยังไม่มีโอกาส” ฉัตรพูดพลางเอนตัวเหยียดขาตรง “ที่จริงวันนี้ผมมาหาพ่อ แพทย์ที่ดูแลการผ่าตัดคุณน่ะฮะ”
เสียงฟ้าผ่าทำให้ฉัตรสะดุ้งจนหยุดชะงักไปเล็กน้อย
“คุณจะหายแน่นอนครับ วางใจได้ พ่อของผมเป็นแพทย์ที่มุ่งมั่นใส่ใจกับงานคนหนึ่งทีเดียว เขามักจะทำงานหามรุ่งหามค่ำจนกลับบ้านดึกดื่นประจำ” ฉัตรบอกต่อ “คุณอาจจะเห็นหน้าพ่อมากกว่าผมอีก”
กึก กึก... เสียงบิดกลอนประจำทำให้ฉัตรลุกไปมองต้นเสียงนั่น ในใจหวังว่าใครที่เข้ามาคนนั้นจะเป็นพ่อ
เมื่อประตูเปิด กลับเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ สูงระดับเอวของฉัตร เนื้อตัวเปียกโชก และตาแดงก่ำราวกับร้องไห้มาตลอดวัน
“น้องมาทำอะไรที่นี่” ฉัตรถาม
“พี่น่ะแหละมาทำอะไรในห้องของพ่อหนู” เด็กน้อยสวนกลับ
“พ่อ... ” ฉัตรอึ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยิน เขาคาดไม่ถึงว่าเด็กหญิงตัวเล็ก
ๆ คนนี้มาหาพ่อตามลำพัง ผู้ใหญ่ที่คอยดูแลหายไปไหน
ทำไมถึงได้ปล่อยให้เนื้อตัวมอมแมมอย่างนี้
“แล้วคนอื่นล่ะ แม่หนูอยู่ไหน” ฉัตรถามต่อ
เด็กน้อยค่อย ๆ ปิดประตู เดินเข้ามาจับมือข้าง ๆ พ่อของเขา “หนูไม่มีแม่หรอกค่ะ”
ฉัตรรู้สึกผิดที่ถามอะไรที่ไม่ควรอย่างนั้น
แต่ก็ทำให้เขาได้รู้ว่าคนไข้กำลังต่อสู้กับความเจ็บป่วยสุดชีวิตเพื่อใครอยู่ “เอ่อ
พี่ขอโทษ” ความหมายของคำขอโทษนี้แทนถึงเด็กและพ่อของเขาที่นอนนิ่งอยู่
เพราะคิดไม่ดีในตอนแรก
เด็กหญิงส่ายหน้าบอกไม่เป็นไร หันไปมองหน้าพ่อ “พ่อจะต้องไม่เป็นอะไรนะ”
อย่างน้อยก็รู้ชื่อเด็กคนนี้ ฉัตรคิด และเดินเข้าไปหาใกล้ๆ “ไม่เป็นไรหรอก พ่อพี่เป็นแพทย์ประจำตัวพ่อแก้ว ยังไงก็ต้องหายแน่ ๆ”
เธอเอาหน้าซบกับมือพ่อแล้วก็เริ่มร้องไห้ “เป็นความคิดของหนูเอง ถ้าหากหนูไม่ร้องที่จะเอาของที่ลืมไว้ที่โรงแรมตอนไปเที่ยวกัน อุบัติเหตุก็คงจะไม่เกิดขึ้น พ่อก็คงจะไม่เป็นอย่างนี้”
“มันไม่ใช่ความผิดใครหรอก”
นี่คงเป็นคำพูดที่ดีที่สุดที่เขาคิดได้แล้ว คงไม่ได้ช่วยมากเท่าไหร่
เป็นเขากคงจะรู้สึกผิดเช่นกันหากเหตุการณ์เกิดขึ้นเพราะตัวเราเอง
“มีคนบอกว่าโลกกำลังจะแตกแล้ว หนูยังไม่อยากให้พ่อตาย” จากนั้นเธอก็รีบออกไปที่หน้าประตูห้อง
“เดี๋ยวน้องจะไปไหน” ฉัตรพูดรั้งเอาไว้ การจะปล่อยเด็กวัยป.3 ไปเดินเพ่นพ่านคนเดียวมันไม่ใช่เรื่องสมควร ยิ่งสถานการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างนี้แล้วด้วย บางทีเขาน่าจะฝากให้พี่พยาบาลสักคนคอยดูแล และติดต่อญาติมารับช่วงไป
“หนูจะไปเดินขบวนอย่างที่เขาทำกัน เผื่อว่าจะได้พู่กันมาให้พ่อ” เด็กหญิงตอบ
“เดินขบวน ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าจะได้น่ะเหรอ” ฉัตรถาม
“ใช่แล้ว” แก้วตอบ
“พ่อแก้ว คงจะเป็นพ่อที่ดีมากสินะ” ฉัตรเอ่ยถามเสียงเบา ๆ แก้วพยักหน้ารับ บางทีอาจจะมีคนที่ต้องการพู่กันนี้มากกว่าเขาก็ได้ ยังเหลือเวลาพอที่จะหาทางเข้าไปในสถานที่ที่เขาเจอพลอยในฝันแห่งนั้นและกลับมาพร้อมกับพู่กันเพิ่ม
ฉัตรล้วงพู่กันออกจากเป้ พู่กันอันสุดท้ายที่เขามีอยู่ ยื่นส่งให้แก้ว
“เอ้า พี่ให้” ฉัตรบอก
“แล้วของพี่ล่ะ” แก้วถามอย่างเป็นห่วง
“รับไปเถอะ พี่ยังมีอีกหลายอัน”
“ขอบคุณมากค่ะ”
แก้วตอบมีท่าทางดีใจเป็นที่สุด
ฉัตรยิ้มรับอย่างฝืน
ๆ ไม่ใช่เพราะห่วงว่าอาจจะไม่มีพู่กันสำหรับตัวเอง
แต่เพราะว่าเด็กน้อยคนนั้นยังไม่รู้ว่าพู่กันหนึ่งอันมันใช้ได้กับคนเดียวเท่านั้น
และอีกไม่นานใครสักคนสองพ่อลูกนั่นก็จะต้องพบกับความเจ็บปวดอีกครั้ง
ฉัตรโบกมือลาเด็กน้อยก่อนที่จะเดินออกจากห้องและกลับบ้านไป
ความคิดเห็น