คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : จุดเริ่มมาจากไหนกันนะ
ฉัตรชอบนิสัยเกดอยู่อย่างหนึ่งคือ เธอมักจะเป็นผู้ฟังที่ดีไม่ว่าเรื่องที่ใครมาเล่าจะสนุก น่าเบื่อ หรือผิดธรรมชาติมากแค่ไหนก็ตาม ปฏิกิริยาที่เธอมีต่อเรื่องนั้น ๆ แทบจะเรียกได้ว่าเท่ากันหมด นั่นคือ ร่าเริง อยากรู้อยากเห็น ให้ข้อมูลเสริมเรื่องนั้นเท่าที่ทำได้ และเธอสามารถรับเรื่องของทุกคนได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ ดังนั้นการที่มาบ้านของเกดในยามวิกาลเช่นนี้จึงไม่ได้ทำให้ฉัตรกับทันรู้สึกตะขิดตะขวงใจเท่าไหร่ อย่างน้อยก็มั่นใจว่าเรื่องที่เล่าให้ฟังจะไม่สูญเปล่า
ทั้งสองต่างเล่าเรื่องราวออกมาแบบไม่เว้นช่วงหายใจ เรื่องเด็กหญิงในความฝัน เรื่องพู่กันกับผู้สูญหายในอุบัติเหตุรถตู้ เรื่องที่ทันลืมเหตุการณ์ที่เคยไปเที่ยวบ้านเกิด รวมทั้งเรื่องแม่ที่ทันและฉัตรเห็นตรงกันว่ายังมีชีวิตอยู่แน่นอน ฉัตรหยิบพู่กันขึ้นมาวางบนโต๊ะกินข้าว โดยมีพวกเขานั่งล้อมรอบจ้องดู เกดมีทีท่าดีใจที่สุดที่เคยเป็นมา เพราะนอกจากเรื่องเหลือเชื่อที่พวกฉัตรเล่าให้ฟังไปตรงกับข้อสงสัยแล้ว ยังได้พู่กันพิศวงมาไว้ในมืออีกด้วย
“เรื่องแม่ของเธอ ฉันขอโทษด้วยที่ต้องบอกว่า ฉันจำได้ว่าแม่ของเธอเสียไปตั้งแต่ก่อนเธอเขาโรงเรียนมัธยมอีกเช่นเดียวกับที่พ่อเธอบอก” เกดเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบฟังมาพักหนึ่ง ทำให้ฉัตรกับทันเริ่มตีหน้าเศร้า เธอจึงรีบพูดต่อ “แต่ฉันก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องที่เธอเล่ามันจะไม่จริง ตอนนี้โลกมันแปลกขึ้นเรื่อยๆแล้ว”
เกดลุกขึ้นไปหยิบกองกระดาษมากมายมาวางกองบนโต๊ะแล้วพูดต่อ “นี่เป็นเหตุการณ์ประหลาดมากมายที่เกิดขึ้นในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา มีผู้สูญหายตามประเทศต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพู่กันหลายล้านคนแล้ว”
“จริงหรือเนี่ย” ทันใจเต้นแรง รื้อกองกระดาษซึ่งเป็นเศษหนังสือพิมพ์ หรือที่เกดปรินต์ออกมาจากอินเตอร์เนทขึ้นมาดู แล้วพูดขึ้น “สงสัยพระเจ้าจะลงโทษมนุษย์แล้วมั้ง แต่ก็ดีเหมือนกันเนอะ ถ้าโลกจะแตกจริง พวกเราก็ไม่ต้องเรียนแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า แหะๆ....”
ทันขำแปบหนึ่งก็ค่อย
ๆ เงียบไปเนื่องจากบรรยากาศอึกทึมเหมือนเดิม มุขที่ปล่อยไปไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น จึงพูดเข้าเรื่องต่อ “เอ่อ
คนหายไปเยอะขนาดนี้ ทำไมพวกนักวิทยาศาสตร์หรือนักวิเคราะห์ดูไม่ค่อยตื่นตกใจกันเลย”
“จากบันทึกเหตุการณ์ของคนที่หายไป
บางคนก็ถือพู่กันไว้เฉย ๆ ก็หาย บางคนวาดรูปแปลก ๆ แล้วก็เดินหายเข้าไปนรูปนั่น
เธอว่าสิ่งเหล่านั้นนักวิทยาศาตร์กล้ายอมรับไหมล่ะ
และเมื่อไม่มีคนที่หาเหตุผลเรื่องพวกนี้ได้ก็มีพวกตั้งลัทธิบ้าบอเพิ่มขึ้นอีก
รวมถึงมีคดีฆาตกรรมแช่งชิงพู่กันด้วย” เกดบอกค่อย
ๆหยิบพู่กันบนโต๊ะทำท่าทางประกอบ
“เธอจะบอกฉันว่า...” ฉัตรพูด
“แม่เธอ อาจหายไปพร้อมกับพู่กันก็ได้”
เกดต่อประโยคของฉัตรต่อจนจบ
“แล้วทำไมฉันถึงจำเรื่องที่แม่ไม่มีชีวิตอยู่ไม่ได้ ทันก็ด้วย” ฉัตรเริ่มงุนงงมากขึ้น
“ฉันเคยฟังดร.ท่านหนึ่งพูด มนุษย์เราเมื่อเห็นอะไรแล้วหรือรับรู้ ไม่มีทางที่จำไม่ได้หรอก มันจะถูกเก็บไว้ในส่วนที่เรียกว่าจิตใต้สำนึก”
“จิตใต้สำนึกงั้นเหรอ” ทันย้ำคำ เพราะดูจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่
“ใช่ คนเราเก็บอะไรไว้ในส่วนความจำหลักของสมองทีเดียวทั้งหมดเพื่อนำออกไปใช้ได้ในทันทีน่ะ ทำไม่ได้หรอก ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ละก็ คงจะเป็นบ้ากันแน่ จึงมีส่วนของจิตใต้สำนึกเพื่อซึมซับทุกเรื่องราวเก็บไว้ ดังนั้นไม่มีเรื่องไหนที่เราพบเจอแล้วจะลืมได้”
“เธอจะบอกว่า
ฉันเคยทำอะไรเมื่อสองปีที่แล้ว วันนี้ เวลานี้ ก็จำได้อย่างนั้นเหรอ” ทันถาม
“ถูกต้องแล้ว” เกดขานรับ
“เคยมีคนทดลองให้ฝรั่งคนหนึ่งซึ่งไม่รู้เรื่องหรือเกี่ยวข้องอะไรเลยเกี่ยวกับ
เผ่าโบราณเผ่าหนึ่งในจีน หลังจากสะกดจิตแล้ว เขาบอกได้ว่าชาติก่อนเขาเป็นใคร
และลองพูดภาษาของเผ่านั้นให้ฟังทั้ง ๆ ที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลย”
“หมายความว่า...” ฉัตรเอ่ยขึ้น
“เราต้องไปหาจิตแพทย์ที่รู้เรื่องการสะกดจิต” เกดจบประโยคให้ฉัตรอีกครั้ง “เผื่อจะรู้อะไรเกี่ยวกับแม่ของนาย แล้วก็พู่กันนี้”
ฉัตรยิ้มแหย ๆ หันมามองหน้าทันซึ่งก็จ้องตอบอยู่ ไม่ใช่ว่าทั้งสองไม่เห็นด้วย แต่เป็นเพราะจำคำพูดของฉัตรที่เคยบอกตัวเองว่าคงจะต้องไปหาจิตแพทย์เมื่อไม่นานมานี้ได้ แล้วดันต้องไปจริง ๆ เสียด้วย ทำเอาทันยิ้ม
“เอาน่า
ยังไงนายก็ไม่ได้บ้าสักหน่อย อย่างน้อยตอนนี้ก็มีคนบ้ากว่านายอีกนะ”
ทันบอก หันไปมองเกดซึ่งเธอพอเข้าใจว่าทันหมายถึง
ตัวเธอนั่นเอง
................................................................
“เอาล่ะ ขอให้เธอนอนในถ้าที่สบาย ไม่ต้องเกร็งนะ” เสียงทุ่มต่ำของชายวัยกลางคนบอกกับฉัตรซึ่งบัดนี้ได้นอนอยู่บนเตียงคนไข้ โดยมีเพื่อน ๆ อีกสองคนยืนอยู่ข้างกาย ใจเขาเต้นไม่เป็นส่ำจนราวกับมันจะหลุดออกมานอกร่างกายเสียให้ได้ จึงพยายามข่มให้ใจเย็นลง
ทันดูฉัตรอย่างเป็นกังวล
เดิมทีเขาไม่ใช่คนที่จะมาเชื่อเรื่องอะไรพวกนี้อยู่แล้ว
แต่ก็ไม่เคยค้านในสิ่งที่เพื่อนอยากจะทำ
ทันเลือกที่จะเดินไปด้วยจนถึงที่สุดมากกว่า ครั้งนี้ก็เช่นกัน
“หมอขอให้เธอหลับตาลง ทำจิตให้ว่าง จากนั้นหมอจะนับถอยหลังจากสิบ ให้เธอจินตนาการถึงช่วงวัยสิบขวบนั้นว่าเธอไปทำอะไรมาบ้าง ทันทีที่นับถึงหนึ่ง เธอจะไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้อีก” หมอพูดต่อ คำพูดของหมอทำให้ทันอมยิ้ม ถ้าเป็นเขาคงจะสะกดจิตไม่ลงแน่ คนนอนอยู่ทั้งคนจะให้คิดว่าไม่มีตัวตนได้อย่างไร แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นสายตาของเกดห้ามปรามไว้
ฉัตรพยักหน้า ถึงหมอไม่บอกยังไงก็ต้องพยายามนึกเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนสิบขวบให้ได้อยู่แล้ว สภาพอยู่ในลักษณะกึ่งหลับกึ่งตื่น ได้ยินเสียงหมอพูดแว่ว ๆ อะไรบางอย่าง และแล้วหมอก็เริ่มนับถอยหลัง เป็รการนับถอยหลังที่ช้าแสนช้าในความรู้สึกของเขา เหมือนกับเวลามันค่อย ๆ หยุดนิ่งลงทีละนิด ๆ ฉัตรคอยฟังเสียงหมอสั่งการว่าจะให้ทำอะไรต่อไปอีกแต่ก็เงียบ เงียบเสียจนราวกับไม่มีใครอยู่รอบข้าง หรือว่าการสะกดจิตจะเป็นแบบนี้ ปล่อยให้คนนอนหลับนึกเรื่องที่ผ่านมาโดยไม่ต้องมีคนถามอะไร สักพักร่างกายก็สัมผัสได้ถึงกระแสลมเย็น ๆ ผ่านหน้าจนรู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่ในโรงพยาบาลที่คับแคบอีกต่อไป ทำให้ฉัตรค่อย ๆ ลืมตาขึ้น จริงอย่างที่คิด เขาไม่ได้อยู่ในโรงพยาบาลเสียแล้ว รอบข้างเปลี่ยนเป็นทุ่งหญ้าสีรุ้งไกลสุดลูกหูลูกตา และเห็นบ้านหลังหนึ่งห่างออกไปข้างหน้าประมาณหนึ่งร้อยเมตร บ้านที่คุ้นตา นั่นเป็นบ้านหลังเก่าที่เคยอยู่จริง ๆ สมัยอายุสิบขวบ ฉัตรไม่รอช้ารีบวิ่งตรงไปที่บ้านหลังนั้นทันที
สิ่งของทุกอย่างยังคงวางอยู่ที่เดิม และล้วนแต่เป็นของที่เคยเห็นในกล่องเก็บของที่ห้องของพ่อทั้งสิ้นฉัตรเดินเข้าไปในห้องรับแขก เอื้อมมือไปหยิบรีโมทเปิดทีวี โดยไม่รู้เหมือนกันว่าหวังที่จะเห็นอะไรในจอนั่น บางทีอาจจะอยากให้ทีวีคุยกับเขาตามลำพังอีกก็เป็นได้ หากนี่เป็นความฝันมันก็ช่างเหมือนจริงยิ่งนัก ฉัตรสัมผัสได้ถึงสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบข้างกาย บางทีเด็กหญิงที่รับรู้ได้ในฝันนั่นอาจมีตัวตนอยู่จริง ความคิดนี้นำพาให้ร่างมาหยุดอยู่ตรงหน้าห้องนอนของเขา ฉัตรค่อย ๆ บิดกลอนอย่างช้าๆ หวังว่าจะมีลมวูบใหญ่พัดตัวเข้าไปอย่างที่เคยเป็น แต่ก็ไม่มี แรงดันจากมือทำให้ประตูเปิดอ้าเห็นสภาพห้องภายใน และเขาก็พบร่างเด็กหญิงผมยาวคนนั้นนอนหลับอยู่บนเตียง ซึ่งบัดนี้ได้โตเป็นสาวแล้ว
“พลอย” ฉัตรรำพึงกับตัวเองเบาๆ ถึงแม้รูปร่างอาจเปลี่ยนไปบ้างแต่ก็จำหน้าตาได้เป็นอย่างดี
ฉัตรกลั้นหายใจเดินเข้าไปหาอย่างเงียบๆ
จับข้อแขนเช็คชีพจรซึ่งยังคงเต้นอยู่ อันที่จริงถึงชีพจรไม่เต้นแล้วเธอจะฟื้นขึ้นมาก็ไม่น่าแปลกใจอะไร
ในเมื่อสถานที่แปลกประหลาดแห่งนี้มันไม่ควรจะมีอยู่เสียตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ เอาล่ะ
นี่เป็นโอกาสเดียวที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และจะให้พลาดโอกาสนี้ไปไม่ได้
“พลอย” ฉัตรเรียกพร้อมกับเขย่าตัวพลอย แต่ก็ไม่เป็นผล เธอยังคงนอนแน่นิ่งอยู่เช่นเดิม เขาจึงเขย่าตัวแรงขึ้นอีก
“พลอย”
“พลอย”
......ฉัตร ตื่นสิ ฉัตรตื่นเร็วเข้า....
“เสียงของพวกทัน” ฉัตรรู้ตัวว่าเวลาน้อยลงทุกทีแล้ว เขาต้องรีบปลุกพลอยตื่นก่อนที่เขาจะตื่นขึ้น
“พลอย ตื่นสิ ฉันอยากรู้อะไรก็ได้จากเธอ เธอเป็นใครกันแน่”
..... ฉัตร ถ้าหมอนับหนึ่งถึงสามเธอจะตื่นขึ้น ......
“พลอย!!”
ทันใดนั้นร่างที่แน่นิ่งก็ขยับตัวขึ้น เธอค่อย ๆ ลืมตาสบมาฉัตรที่มองอยู่
….1…
“เธอเป็นใครกันแน่ เกิดอะไรขึ้นตอนฉันอายุสิบขวบ” ฉัตรถามอย่างรวดเร็ว
………2……..
“โลกของเธอกำลังจะหายไป เธอต้องเอาพู่กันเหล่านี้ไป แล้วกลับมาหาฉันที่นี่อีกครั้ง ตรงห้องขาวโพลนแบ่งแยกนั่น เธอต้องเข้าไปให้ได้อย่าลังเลใจเด็ดขาด” พลอยบอกพร้อมกับยื่นพู่กันเล็ก ๆ จำนวนสิบอันให้
“หมายความว่ายังไง ฉันไม่เข้าใจ”
………….3………….
ยังไม่ทันที่ฉัตรจะได้คำตอบอะไร ร่างก็สะดุ้งตื่นอย่างรวดเร็วโดยมีเกดคอยประคองไว้อยู่ เขาพบว่าตัวเองไม่ได้นอนอยู่บนเตียงอีกแล้ว กลับไปซุกอยู่ข้างมุมห้อง เหงื่อโชกตัว ทันกับหมอยังคงมองเขาด้วยสีหน้าตกใจ ฉัตรยกมือขึ้นมาดูก็พบว่าตัวเองกำพู่กันสิบอันไว้แน่นในมือ
“เป็นไงบ้าง ได้ผลเป็นไงบ้าง ฉันรู้เรื่องอะไรไหม” ฉัตรถาม
“โว้โฮ่ ได้ผลเกินคาดเลยแหละฉัตร” ทันพูดแกมหยอกแกมจริง พลางชี้ให้ดูสภาพห้องที่ตอนนี้เกะกะระเนระนาดเต็มไปหมด ห้องถูกแต่งเติมบิดเบี้ยวเพี้ยนไปจากความจริงมาก มีรอยหนามยื่นออกมาจากฝาผนังราวกับสีโดนอะไรปัดออกมา เตียงนอนถูกตัดออกเป็นสองท่อน
“ฝีมือนายล้วน ๆ
เลยล่ะ บางทีอาจจะไม่ใช่ตัวนายด้วยซ้ำ” ทันพูดต่อ
“หมายความว่ายังไง” ฉัตรถามอย่างงุนงง
“หลังจากนับถึงหนึ่ง เธอก็พยายามที่จะนึกถึงเรื่องในอดีต แล้วก็เล่าถึงเรื่องตอนเด็ก เรื่องที่เธอเคยเล่าให้เพื่อนของเธอฟังก่อนหน้า ตั้งแต่นัดกับทันเรื่องไปเที่ยวบ้าน จนไปถึงเจอเด็กหญิงสาวคนหนึ่ง เธอให้พู่กันมาและสอนวิธีใช้ให้ และหลังจากนั้น....” หมอตอบก่อนจะหยุดชะงักไป
“หลังจากนั้นทำไม” ฉันยิ่งเค้นมากขึ้น หลังจากเห็นสภาพห้องที่เกิดจากน้ำมือตัวเอง
“หลังจากนั้น
เธอก็บอกว่าไม่มีความทรงจำต่อจากนั้นอีก มันเหมือนถูกลบออกไป แล้วเธอก็เหมือนกลายเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ใช่เธอ
พยายามที่จะฆ่าตัวเองตาย พอพวกฉันเข้าไปห้ามก็ใช้พู่กันวาดอะไรแปลก ๆ ทำร้ายเรา แล้วสภาพห้องก็เปลี่ยนไป”
เกดเสริมต่อ
“โลกกำลังจะหายไปอย่างนั้นหรือ” ฉัตรเอ่ยขึ้นเบา ๆ
“หา ว่าไงวะ” ทันถาม
“ช่วงที่ฉันหลับ ฉันได้เจอพลอย เธอบอกว่าโลกกำลังจะหายไป พร้อมกับให้ของสิ่งนี้มา” ฉัตรพูด ชูพู่กันที่อยู่ในกำมือ
เกดสังเกตสีหน้าหมอซึ่งจ้องพู่กันตาไม่กระพริบ จึงรีบป้องมือฉัตรให้เอาพู่กันหลบไป พลางกระซิบบอก “ในเวลานี้ ฉันว่าเธออย่าเอาพู่กันเดินเพ่นพ่านให้ใครเห็นที่ไหนดีกว่า”
ฉัตรกับทันพยักหน้ารับ ก่อนที่จะซุกพู่กันลงไปในเป้ที่เขาติดมา และรีบจ่ายเงินให้กับหมอ “ไปกันเถอะ”
“เดี๋ยวก่อน” เสียงหนึ่งเรียกขึ้นก่อนที่พวกเขาจะก้าวออกไปจากห้อง เสียงของหมอจิตแพทย์ที่ทักด้วยน้ำเสียงสั่นครือ “พู่กันนั่น.... ขอให้ฉันอันนึงได้ไหม”
นั่นไม่ใช่น้ำเสียงธรรมดาอย่างที่ได้ยินก่อนหน้าอีกแล้ว
แต่เป็นเสียงข่มขู่เพื่อให้ได้ของสิ่งที่หมายปอง ในมือหมอกำปากกาแน่น แววตาของเขาดูราวกับไม่ใช่มนุษย์อีกแล้ว
“ไปกันเถอะ!!” ทันรีบฉุดทั้งสองคนวิ่งที่ออกไปจากห้องของหมอโดยเร็ว
“จับเด็กเวรนั่นไว้ มันยังไม่ยอมจ่ายเงิน
“บ้าจริง โกหกนี่หว่า” ทันบ่น ก่อนที่จะกระโดดหลบชายคนหนึ่งที่กระโจนเข้ามาหมายจะจับตัวเขา ทำให้ชายคนนั้นเสียหลักลง ฉัตรก็กระโดดเหยียบซ้ำทันทีก่อนที่จะวิ่งหนีออกไปด้านนอกได้สำเร็จ
พวกเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นกลุ่มคนมายมากเดินไปตามถนนใหญ่ด้านหน้าของตึกคลีนิคจิตแพทย์
ปิดกั้นเส้นทางการจราจรจนหมด เสียงรถบีบแตรอื้ออึงแต่ก็ไม่มีใครสนใจต่างยังคงเดินมุ่งหน้าไปที่ใดสักแห่งโดยมีตำรวจหลายร้อยนายยืนคุมอยู่ห่าง
ๆ ในมือถือวิทยุรอคำสั่ง
“นี่มันอะไรกัน” ฉัตรพูด ขณะเกาะกลุ่มวิ่งฝ่าฝูงคนหนีหมอโรคจิตนั่นที่กำลังตามอยู่ ทั้งสามซ่อกแซ่กไปตามช่องระหว่างคน อึดใจต่อมาก็ไปโผล่ฝั่งตรงข้ามของคลินิคปล่อยให้หมอหันซ้ายหันขวามองหาพวกเขา
“พี่ ๆ นี่มันเกิดอะไรขึ้น คนเหล่านี้กำลังเดินไปไหนกัน” ทันสะกิดคนหนึ่งในขบวน
“เรากำลังมุ่งหน้าตรงไปยังอนุสาวรีย์ อวยพรขอความเมตตาจากตัวแทนพระเจ้าให้ประทานพู่กันมาให้เราอีก
“ตัวแทนพระเจ้าอย่างนั้นเหรอ” ทันร้องออกมา ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง ลำพังแค่เหตุกาณ์ที่เขาเจอก็ดูเกินจริงไปสำหรับเขาแล้ว นี่โลกเป็นบ้าอะไรกันแน่ถึงได้เกิดเหตุอัศจรรย์ในเวลาอันรวดเร็วอย่างนี้ ดูท่ามนุษย์เราจะทำลายสิ่งแวดล้อมมากเกินไปจนเกิดวิกฤตกระทันหันแน่ ๆ ทันให้เหตุผลกับตัวเอง
“ใครกันที่เป็นตัวแทนพระเจ้า” ฉัตรถาม
“ฉันก็ไม่เคยเห็นหน้า เพียงแต่มีข่าวลือแว่วมาว่ามีคนได้รับพู่กันจากเขาในประเทศต่าง ๆ บนอินเตอร์เนทก็เท่านั้น และมีข่าวว่าเขากำลังจะมาในสองสามวันนี้” ชายแปลกหน้าตอบ “ฉันต้องไปล่ะ”
“ฉันว่าพวกเราก็ควรรีบไปจากที่นี่กันดีกว่า” ฉัตรบอก ทุกคนเห็นด้วย เตรียมเดินเลี่ยงเข้าไปตามตรอกข้างตึก
“หยุดนะ เด็กเวรนั่นมีพู่กันเป็นกำมือ
มันจะฮุบเอาไว้คนเดียว ไปจับมาเร็ว!!” เสียงหมอโรคจิตตะโกนมาแต่ไกลข้ามผ่านฝูงคนที่กำลังเดินตัดผ่านถนนทำให้ทุกคนหันมาดู
“เวรเอ้ย” ฉัตรสบถ กอดเป้ไว้แน่น ขณะที่สายตานับร้อยจ้องมองเขา เกดเกาะฉัตรไว้ด้วยเนื้อตัวสั่นเทา
“มีพู่กันเยอะอย่างนั้นเหรอไอ้น้อง คิดจะฮุบเอาไว้คนเดียวหรือไง” ชายคนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้น เหมือนจุดชนวนให้คนอื่น ๆ โห่ร้องตามมา
“ไม่ต้องยืนแล้ว” ทันพูดเบา ๆ ข้างๆ ฉัตร “หนีเร็ว!!”
ทั้งสามออกตัววิ่งเข้าไปในตรอกอย่างรวดเร็ว
เส้นทางเหล่านี้ทันช่ำชองเป็นอย่างดี เพราะเป็นทางไปที่ทำงานแม่ของเขา
พวกเขาวิ่งหลบซ้ายขวาไปตามซอย ถีบถังขยะข้างทางกันคนที่ตามมา ตรงไปตามช่องกระโดดปีนข้ามกำแพงเพื่อที่จะทะลุออกไปหลังตัวตึกหวังจะต่อรถตรงซอยแคบด้านหลังหนี แต่เหล่าฝูงคนก็ยังตามไปอย่างไม่ลดละ ต่างเริ่มแยกกันล้อมตึกไว้ ทำให้ทันต้องหาทางใหม่อีกครั้ง
เขาวิ่งวนกลับมาทางช่องเดิมเพื่อจะปีนข้ามกำแพงกลับไปแต่ก็เจอคนปีนเข้ามาดักเอาไว้เสียแล้ว
จึงตัดสินใจวิ่งไปแยกด้านซ้ายใกล้ตัวเขา แต่นั่นก็เป็นทางตัน
“ทัน ฉันวิ่งไม่ไหวแล้ว” เกดร้อง
“บ้าชะมัด” ทันเอ่ย
“เธอหนีไปก่อนเถอะไม่ต้องห่วงฉัน” เกดบอกต่อพลางหอบ
“ฉันไม่มีทางทำอย่างนั้นหรอกน่า” ทันตอบกลับ ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ก็รู้ดีใช่ว่าจะหนีง่าย ๆ
“เกด บอกวิธีใช้พู่กันซิ” ฉัตรถาม
“วิธีใช้งั้นเหรอ”
“ใช่ วีธีที่ฉันบอกตอนหลับน่ะ”
นี่คงเป็นวิธีสุดท้าย
วิธีที่เดิมพันเอามาก ๆ เพราะก่อนหน้านี้ฉัตรได้ลองวาดอะไรหลาย ๆ อย่างแต่ก็ไม่เห็นจะมีอะไรพิเศษขึ้นมา
นอกจากลำแสงสีเหลืองที่ปรากฎอยู่กลางอากาศ
“เธอบอกว่า ให้นึกถึงสิ่งที่อยากได้ด้วยใจ” เกดพูด
“ฮะ ฮะ งั้นเหรอ ทำไมพูดง่ายอย่างนั้นล่ะ” ฉัตรบอกกลับเสียงแห้ง ๆ
“แต่นายเป็นคนบอกเองนะเฟ้ย”
ทันย้ำ
จริงอย่างที่ทันพูด เขาเป็นคนบอกเอง ว่าแต่ตอนนี้เขาอยากได้อะไรล่ะ อะไรที่มันวาดง่าย ๆ ขณะนี้กลุ่มคนเจอพวกเขาแล้ว และค่อย ๆเดินเข้ามาใกล้ทุก ๆ
“ฉันรู้ล่ะ”
ว่าแล้วฉัตรก็วาดพู่กันขึ้นกลางอากาศ มันช่างเป็นเรื่องงี่เง่าจริง ๆ ที่ทำในสิ่งที่เหลือเชื่อและพวกเขาก็ไม่เคยลองใช้มันสักครั้ง
ถ้าไม่ติดขึ้นมานั่นหมายถึงความเป็นตายทีเดียว เขาค่อย ๆ
ร่างภาพออกมาเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีวงกลมอยู่ตรงกลาง พลันนั้น ภาพประตูสีน้ำตาลก็ปรากฎขึ้นตรงกลางระหว่างพวกเขาทั้งสามและกลุ่มคนที่กำลังเดินเข้ามา
นั่นทำให้พวกคนเหล่านั้นชะงัก
“ทำไมนายไม่วาดบนกำแพงข้างหลังเราวะ” ทันเอ่ยอย่างหงุดหงิด “ถ้าเปิดไปแล้วมันเป็นประตูธรรมดาก็ไปเจ๊อะกับไอ้พวกนั้นน่ะสิ”
“เออ จริงว่ะ ไม่ทันแล้ว รีบไปกันเถอะ” ฉัตรบอก เกดเห็นดีด้วยเสียยิ่งกว่าด้วย ไม่มีอะไรที่ใจของทั้งสามจะตรงกันมากกว่านี้อีกแล้ว
ฉัตรเปิดประตูและวิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็วโดยมีเพื่อนตามหลังมาติด
ๆ ทันก่อนที่พวกคนเหล่านั้นจะมาถึงได้ในเสี้ยววินาที ช่วงเสี้ยววินาทีนั้นที่ทำให้ฉัตรคิดในใจว่าจะไม่ไปหาหมอโรคจิตอีกแล้ว
ความคิดเห็น