คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : กลับสู่บ้านเกิด
ตลอดช่วงเวลาพักกลางวันของฉัตรและทันจึงหมดไปกับการทำความสะอาดห้องน้ำเพื่อเป็นการลงโทษ
โดยมีเพื่อน ๆ ในห้องมาช่วยกันทำด้วย พวกเขาดูรอยเท้าที่แปะไว้ตรงกำแพงในตำแหน่งที่ไม่ควรจะอยู่มากมาย
ซึ่งเมื่อก่อนพวกเขาก็มักจะกระโดดวัดรอยเท้ากันเป็นประจำ บัดนี้ทั้งหมดก็เริ่มเข้าใจหัวอกของแม่บ้านทำความสะอาดขึ้นบ้างแล้ว
เวลาที่เหลือในตอนบ่ายค่อนข้างน่าเบื่อนัก ทำให้เด็กหลายคนแอบจำกลุ่มคุยเรื่องต่าง
ๆระหว่างอาจารย์สอนรวมถึงเรื่องประหลาดนั่นจนกระทั่งหมดเวลาเรียน
แยกย้ายกันกลับบ้าน
ถึงแม้ฉัตรจะยังคงเรียนที่กรุงเทพในระดับชั้นมัธยม แต่เขาก็ไม่ได้อยู่บ้านน้าอีกต่อไป เวลาหกปีที่ผ่านมามีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมาย และเมื่อปีกลายเรื่องใหญ่ก็เกิดขึ้น เมื่อพ่อกับแม่แยกทางกัน ดูเหมือนแม่จะเป็นฝ่ายทิ้งพ่อไป ฉัตรไม่ได้ถามเหตุผล เขารู้ว่าเป็นเพราะพ่อไม่ค่อยมีเวลาให้แม่ และก็รู้อีกเช่นกันว่าแม่ยังรักพ่ออยู่ แค่เพียงต้องการอยู่คนเดียวเพื่อใช้เวลาในการทบทวนอะไรบางอย่าง หรือนั่นอาจเป็นสิ่งที่แม่อยากให้พ่อทำก็เป็นได้ ด้วยเหตุนี้พ่อจึงซื้อบ้านใหม่ทำให้เขารู้สึกอยู่เป็นหลักเป็นแหล่งมากขึ้น และหวังว่าการเปลี่ยนแปลงของพ่อนั้นจะทำให้แม่กลับมาอีกครั้ง
และก็เป็นความโชคดีที่บ้านของฉัตรและทันอยู่ไม่ห่างกันมากนัก ทั้งสองจึงกลับบ้านด้วยกันเป็นส่วนใหญ่ และวันนี้ก็เช่นกัน
“เฮ้อ เมื่อยตัวชะมัด ดีดหนังยางมันผิดกฎตรงไหน” ทันเอ่ยขึ้นหลังจากเดินกันเงียบ ๆ มาอยู่พักหนึ่งแล้ว
“ก็สำหรับนายมันมีอะไรผิดกฎกับเขาบ้างล่ะ” ฉัตรย้อน
“เออ เงียบน่า แต่สบายหน่อยอย่างน้อยพรุ่งนี้ก็เป็นวันเสาร์ซะที” ทันพูดพร้อมกับบิดขี้เกียจ
ระหว่างทางทั้งสองก็คุยกันเรื่องนี้เป็นส่วนใหญ่ แม้ฉัตรจะตอบคำถามของทันอยู่เรื่อย ๆ แต่ในใจยังคงครุ่นคิดถึงเรื่องในฝันจนอดใจไม่ได้ เขาตัดสินใจถามทันขึ้น
“เห้ย ฉันถามนายจริง ๆ เถอะ ทัน นายไม่เคยไปเที่ยวบ้านเกิดฉันเลยเหรอ”
ทันทำสีหน้าแปลกใจ ตอบไปว่า “จะไปเคยได้ยังไงกัน นายนี่บ้ารึเปล่า บ้านนายไกลออกจะตายไป ว่าแต่นายเคยถามคำถามนี้มาก่อนแล้วนะ จำไม่ได้เหรอ”
“ฉันรู้ แต่ฉันรู้สึกว่านายมาบ้านจริง ๆ นี่”
ทันถอนหายใจพลางเอานิ้วจิ้มที่หน้าผากฉัตร “ฝันอีกละสิท่า เลิกคิดถึงฝันบ้า ๆ ของนายที่เป็นอยู่ทุกคืนได้แล้ว เดี๋ยวจะได้ไปหาจิตแพทย์ซะก่อน”
ฉัตรเห็นด้วย เขาอาจจะคิดมากเกินไปก็ได้ เพราะปกติก็ฝันทุกวันอยู่แล้ว จนบางครั้งเหมือนเสียจนแทบตื่นขึ้นมาไม่รู้ว่าอันไหนจริง
“นั่นสิ
ไปหาจิตแพทย์กันไหม” ฉัตรบอกหน้านิ่ง
“เอ่า
ขำตายล่ะ อย่ามาแกล้งอะไรงี่เง่าน่า” ทันตอบอย่างรู้ทัน
ฉัตรยิ้มหัวเราะเยาะก่อนที่จะถึงทางแยกพอดี ทั้งสองจึงแยกย้ายกันกลับบ้านของตน
ถึงแม้พรุ่งนี้จะเป็นวันเสาร์ก็คงจะไม่ต่างอะไรกับวันนี้มากนัก พ่อของฉัตรก็คงไปทำงานอีกเช่นเคย ขณะที่ฉัตรอาจจะนั่งดูทีวีอยู่บ้าน ตกบ่ายก็ไปเที่ยวบ้านเพื่อน และออกไปหาข้าวเย็นกินเอง แต่ดูเหมือนวันนี้จะโชคดีหน่อยที่พ่อได้ทำอาหารทิ้งเอาไว้ให้ รสชาติแย่กว่าที่แม่ทำหลายเท่านัก แต่เขาก็ดีใจที่พ่อปรับปรุงตัวขึ้นอีกนิด ฉัตรไม่ได้ติดใจที่พ่อไม่ค่อยมีเวลาให้เขานัก เพราะรู้ว่าพ่อทำงานเหนื่อยแค่ไหน เดือนหน้าก็จะถึงวันเกิดของพ่อแล้ว ของขวัญสักชิ้นจากเขาคงพอจะให้พ่อหายเหนื่อยได้บ้าง
ฉัตรล้มตัวลงนอนที่โซฟา เขาเชื่อสิ่งที่เพื่อนเตือนดังนั้นจึงไม่ได้นึกถึงเรื่องใดต่อ กลับค่อย ๆ ผ่อนคลายตัวเองให้อยู่ในท่าที่สบาย เสียงรอบข้างกายค่อย ๆ เงียบลงจนเหลือเพียงเงามืด พลันนั้นก็ได้ยินเสียงรถไฟแว่วมาถึงชานชาลา ภาพของรถไฟสายที่คุ้นเคยค่อย ๆ ปรากฎขึ้น ผู้คนต่างหลั่งไหลกันลงจากรถ ฉัตรกำลังรอใครบางคนอยู่ ผู้คนต่างเดินกันขวักไขว่จนเขาต้องยกร่างเล็ก ๆ คอยชะเง้อสอดส่อง และไม่นานนักทันก็โผล่ลงมา ท่าทางล่อกแลก ทันทีที่ทันเห็นเขาก็รีบวิ่งเข้ามาหาแสดงสีหน้าโล่งใจอย่างที่สุด
“เป็นไงล่ะ ในที่สุดฉันก็มาหาบ้านนายถูก” ทันกล่าวอย่างภูมิใจ
กริ๊งงงงงง.............
เสียงกริ่งโทรศัพท์บ้านดังขึ้นปลุกให้ฉัตรสะดุ้งก่อนที่จะเคลิ้มหลับไป เขารีบตรงไปรับโทรศัพท์ทันที
“ฮัลโหล สวัสดีครับ” ฉัตรขานรับสาย
“เอ้อ ฉัตรเหรอ รีบเปิดดูทีวีเดี๋ยวนี้เลย ช่องสามนะ” เกดรีบบอกอย่างร้อนรน
คงจะมีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นอีกแล้ว ฉัตรคิด แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร เพราะก็สนใจเช่นกัน จึงเดินรี่ไปเปิดทีวี ภาพฉายข่าวประหลาด หลังจากมีผู้ที่ถ่ายคลิบวีดีโอคนหายไปพร้อมกับพู่กันในไทยไปแล้วหนึ่งคน บัดนี้ได้เกิดขึ้นอีกหลายครั้งที่อเมริกาประเทศต่าง ๆ โดยมีผู้ประกาศข่าวชื่อดังสนทนาประเด็นนี้กันอย่างเผ็ดร้อน แต่ผลสุดท้ายก็หาข้อสรุปไม่ได้ หลายฝ่ายก็มองเป็นการตัดต่อโดยฝีมือคน ขณะที่อีกหลายฝ่ายมองว่าเป็นฝีมือจากพระเจ้า
“ฉันว่าจะตามเช็คหาพู่กันนั่นบ้างแล้วล่ะ” เกดบอก ซึ่งฉัตรก็เออออตามก่อนที่เธอจะวางสายไป
เนื่องจากออกแรงทำความสะอาดห้องน้ำมาอย่างหนัก ทำให้ฉัตรค่อนข้างเพลียเป็นพิเศษ เขาจึงอาบน้ำและขึ้นนอน ยังไม่ทันที่จะปิดตาลงก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูบ้าน เสียงกระแอมไอทำให้รู้ว่าเป็นพ่อนั่นเอง อาจจะเกินคาดเล็กน้อยที่พ่อกลับมาเร็วในวันนี้ ฉัตรเงี่ยหูฟังเสียงเดินและเสียงตะกุกตะกักพลางจินตนาการว่าขณะนี้พ่อกำลังทำอะไรอยู่ เสียงพ่อถอดร้องเท้า เปิดตู้เย็นคงหาน้ำดื่มหรือไม่ก็ของกินเล่น แล้วก็เงียบไป สักพักก็ได้ยินเสียงขึ้นบันได และชัดเจนขึ้นเมื่อพ่อค่อย ๆ เดินมาที่ประตูห้องของฉัตร เขาจึงรีบแกล้งทำเป็นหลับทันที
พ่อเปิดประตูห้องเบาๆ แง้มดูลูกชายตัวเองที่กำลังนอนคุดคู้อยู่บนเตียง ผ้าห่มกองจมอยู่แทบเท้า เขาจึงเลิกผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวฉัตร พลางเอามือลูบหัวเบาๆ
“พ่อขอโทษ”
เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เบาและแหบกร้านมาก กลิ่นแอลกอฮอล์คลุ้งจนฉัตรรู้สึกได้
ฉัตรไม่กล้าลืมตาขึ้น ไม่กล้าที่จะพูดบอกพ่อว่าเขาไม่เป็นไรหรอก
พ่อเป็นอย่างที่พ่อเป็นเถอะ อาจเป็นเพราะอีกใจหนึ่งคงต้องการให้พ่อใส่ใจเขามากขึ้นอีกนิด
และหากรีบปรับปรุงตัวแม่อาจจะกลับมาหาพ่อสักวันนึงก็เป็นได้
สุดท้ายจึงได้แต่นอนรอฟังเสียงพ่อเดินออกจากประตูไป
ตึงง โครมมมมม
“พ่อ!!” ฉัตรร้องเรียก รีบลุกขึ้นจากเตียงไปดูเสียงที่เกิดขึ้น เมื่อเขาเปิดประตูไปก็พบพ่อล้มฟุบสลบอยู่ที่หน้าห้องเสียแล้ว ฉัตรรีบแบกตัวพ่อขึ้นไปนอนบนเตียงทันที
“อืม.. ขอน้ำหน่อย” พ่อเอ่ยหลังจากสติเริ่มกลับคืนมา ยิ่งทำให้ฉัตรเข้าใจมากขึ้นหลังจากตั้งใจฟังเสียงของพ่อ ที่ล้มลงเมื่อครู่ไม่ได้มาจากของมึนเมา พ่ออาจจะดื่มเบียร์จากตู้เย็นก่อนขึ้นมาหาเขา หากแต่เป็นเพราะความเหนื่อยล้าของพ่อที่เจอมาทั้งวัน
“ไปเจออะไรมาล่ะ ถึงได้หมดสภาพอย่างนี้” ฉัตรถามขึ้นพร้อมกับส่งน้ำให้
“วันนี้เจอการผ่าตัดยาก ๆ เข้าน่ะ ผู้ป่วยเป็นผู้รอดชีวิตจากรถตู้ที่ถูกผ่าครึ่งในข่าวน่ะฉัตร ปาติหารย์ชัด ๆ”พ่อตอบ เขาดื่มน้ำอึกนึง
ฉัตรได้ยินดังนั้นก็ตื่นเต้น ถ้าหากเกดรู้เรื่องนี้เข้าคงจะอยู่ไม่สุกเป็นแน่ “จริงเหรอพ่อ เขาส่งไปที่โรงพยาบาลพ่องั้นเหรอ ใช่รถตู้ที่มีคนบาดเจ็บหนึ่ง เสียชีวิตสามใช่ไหม”
“อืม ใช่แล้ว แต่เป็นสี่คนนะ ไม่ใช่สาม” พ่อตอบ
“หา ว่าไงนะ ก็ในข่าวประกาศว่าสาม”
“นั่นเป็นเพราะเราหาศพไม่พบ แต่ผู้บาดเจ็บบอกเองว่าสี่ ถึงจะไม่ค่อยมีสติเท่าไหร่ ดูเหมือนแกจะละเมออะไรไม่รู้เกี่ยวกับพู่กัน และมีท่าทีตกใจกลัวมากด้วย”
“เป็นไปได้ยังไง พ่อจะบอกว่าผู้เสียชีวิตคนที่สี่หายสาบสูญไปเฉยๆ อย่างนั้นรึ” ฉัตรซักต่อเนื่อง
“ไม่รู้สิ
คงต้องรอทางตำรวจมาพิสูจน์ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
พ่อตอบพลางเอามือกุมหัว ทำให้ฉัตรเห็นว่าควรพักเรื่องเอาไว้ตรงนี้ก่อนดีกว่า
อย่างน้อยก็ได้รู้อะไรบางอย่าง พรุ่งนี้เขาน่าจะโทรไปบอกเกด
ความกระตือรื้อร้นของเธออาจจะทำให้ได้เรื่องอะไรก็ได้
“คืนนี้พ่อนอนที่เตียงฉัตรเนี่ยแหละ เดี๋ยวฉัตรไปนอนที่ห้องพ่อเอง” เขาบอก แต่ดูเหมือนพ่อจะหลับไปเรียบร้อย ฉัตรจึงปิดไฟและเดินออกไปจากห้องเงียบ ๆ
มาถึงตอนนี้กลายเป็นว่าเขานอนไม่หลับเสียแล้ว เตียงของพ่อเป็นเตียงที่ใช้สำหรับนอนสองคน จึงทำให้เขารู้สึกไม่ชินก็จริง แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลเดียวของการนอนไม่หลับ หากเป็นเพราะเรื่องที่พ่อเล่าให้ฟังมากกว่า ขณะนอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยถึงกิจกรรมในวันพรุ่งนี้ ก็เหลือบไปเห็นกล่องเก่า ๆใบหนึ่งบนตู้เสื้อผ้า คงจะเป็นของที่มาจากบ้านเก่า บางทีเขาอาจค่าเวลาด้วยการไประลึกความหลังเก่า ๆ จากสิ่งของเหล่านี้ได้ ว่าแล้วฉัตรจึงลุกขึ้นไปหยิบมาแกะดู
มีรถยนต์เด็กเล่นมากมาย ซึ่งดูจากสิ่งของแล้ว เขาน่าจะได้มันมาตอนอายุราว ๆ สามขวบ หากเขาขุดลงไปลึกอีกหน่อย อาจมีของเล่นสำหรับเด็กโตอีกนิด ว่าแต่ตอนนั้น ตอนอายุสิบขวบสุดท้ายพ่อได้ซื้อเกมให้รึเปล่านะ เขาจำไม่ได้เลย หากมันไม่ได้อยู่ในความทรงจำตอนนี้ บางทีเรื่องเหล่านั้นอาจไม่เคยเกิดขึ้น ของนับสิบ ๆ ชิ้นถูกหยิบออกมาตั้งเรียงรายไว้เต็มห้อง และในที่สุดก็เจอสิ่งที่ค้นหา เกมที่พ่อว่า เกมที่ตอนนั้นเขาอยากได้มาก น่าแปลกทั้ง ๆ ที่มันเป็นสิ่งสำคัญแต่พราะเหตุใดจึงจำเรื่องเหล่านั้นไม่ได้
ทันใดนั้นฉัตรก็ไปสะดุดตากล่องสลักมันวาวที่วางอยู่ข้าง ๆ เกมกด เขากลับคุ้นตาสิ่งนี้เป็นพิเศษ ภาพกล่องนี้เคยอยู่ในสมองทั้ง ๆ ที่มันไม่ควรจะอยู่ เขาไม่ลังเลใจที่จะหยิบขึ้นและเปิดดู
“พู่กัน” ฉัตรอุทาน
พู่กันปลายด้ามถูกสลักอย่างงดงามด้วยสีหลากสีคล้ายกับเด็กสลักไว้
มันไม่ต่างกับพู่กันที่เขาเห็นในฝันแม้แต่น้อย มันเรืองแสงสีเหลืองอ่อน ๆ
เมื่อร่างกายเขาสัมผัสมัน เขาค่อย ๆ ลองวาดกลางอากาศ
ลำแสงสีเหลืองทอดยาวเป็นลำตามเส้นที่ร่างและปรากฎอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานานก่อนที่จะจางหายไป
หัวใจของฉัตรพองโต เขาลบล้างกิจกรรมวันเสาร์ทั้งหมดที่คิดก่อนหน้า ไปสู่เป้าหมายใหม่ที่สนใจกว่า
............................................................
เช้าตรู่ เขาจัดแจงโทรไปหาทัน
“เออ มีอะไรวะ ถ้าปลุกด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องนะ ตายแน่ ไอ้ฉัตร” ทันลุกขึ้นมารับสายอย่างงัวเงีย
“ไปบ้านเกิดของฉันกัน”
ฉัตรบอก
“.....”
ปึง .... ทันวางสายโทรศัพท์แทบจะในทันที แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ฉัตรล้มเลิกความตั้งใจ เขารีบไปลากทันที่บ้านออกไปจนได้ ไม่นานนักทั้งสองคนก็อยู่บนรถไฟที่ตรงยาวไปสู่เมืองกาญจบุรี
“นึกยังไงถึงตัดสินใจมากระทันหันอย่างนี้วะ เมื่อคืนฉันยิ่งนอนดึกอยู่ด้วย” ทันบ่น
“ฉันสิยังไงไม่ได้นอนเลย” ฉัตรตอบ “ฉันเจอพู่กันเมื่อคืนนี้ พู่กันเหมือนกับที่เห็นในฝันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน”
“แล้วไงต่อ” ทันถาม เพราะข้อมูลแค่นี้ยังไม่เพียงพอกับการที่ต้องแหกขี้ตาตื่นไปด้วย
“ฉันเห็นนาย ในฝัน
ฉันมารับนายตรงที่สถานีรถไฟบ้านเกิดฉัน ฉันรู้สึกมั่นใจว่านายเคยมาบ้านฉันมาก่อน
ไม่สิ ไม่ใช่แค่ฝัน มันเหมือนอยู่ในความทรงจำของฉันเสียมากกว่า ฉันแปลกใจมากกว่าทำไมนายจำไม่ได้
ฉันอยากพาไปดูให้รู้ ให้แน่ใจอีกครั้ง ก่อนที่ฉันจะบอกอะไรบางอย่าง”
“ตอนเด็กฉันอาจโดนกระทบกระเทือนทางสมองล่ะมั้ง เหอะๆ จะบ้าเหรอ ถ้าฉันเคยไปก็ต้องจำได้สิ” ทันบอกทำสีหน้าเซ็งสุด ๆ
“เอาเถอะน่า
ไปถึงแล้วค่อยมาว่ากัน” ฉัตรตัดบท ขี้เกียจมานั่งฟังคำพูดจากวน
ๆ ของทันไปตลอดทาง
ทันก็ไม่อยากจะพูดอะไรต่อเท่าไหร่ ความง่วงทำให้ทั้งสองตัดสินใจงีบหลับ อย่างน้อยมันก็ช่วยให้รู้สึกว่าระยะเวลาในการเดินทางมันสั้นลงไปบ้าง
ในที่สุดรถไฟก็เทียบชานชาลา ป้ายบอกสถานีแสดงให้เห็นถึงที่หมายแล้ว ฉัตรและทันค่อยๆ เดินลงมาจากรถ เมื่อนอนหลับกันมาเต็มอิ่มแล้ว ทันจึงดูร่าเริงเป็นพิเศษ
“โอ้ โห ที่จริงมานี่ก็ดีเหมือนกันแฮะ ดีกว่ามานั่งเล่นเกมอยู่บ้าน” ทันเอ่ย
“นี่แหละบ้านเกิดฉัน เดินพ้นสถานีออกไปสักหนึ่งกิโล ก็จะถึงบ้านฉันแล้ว รีบๆ เดินกันดีกว่า แล้วบอกด้วยว่าคุ้นตารึเปล่า” ฉัตรบอก
“รู้แล้ว ๆ” ทันตอบ
พวกเขาค่อย ๆ เดินลัดเลาะตามป่าไม้ ชมทิวทัศน์ที่สวยงาม ทันอาจเคยไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติมามากมาย แต่ก็ไม่เคยเจอบรรยากาศชนบทอะไรแบบนี้ ต้นไม้สีสันแปลกประหลาดเผยให้เห็นความงามของมันตามขอบทาง ชาวบ้านส่วนใหญ่ใช้การเดินแทนรถยนต์ ต่างก็ทักกันไปมาอย่างสนิทสนม และยิ่งทันเดินลึกเข้าไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกคุ้นเคยมากขึ้นเรื่อยๆ ภาพสถานที่หลากหลายเริ่มแล่นผ่านเข้าในสมองของเขา ภาพโขดหินริมน้ำ ภาพทุ่งหญ้าสองสีตรงหน้า ซึ่งเป็นสีหญ้าแก่ตัดสลับกับสีหญ้าอ่อนดูนวลตา
“ฉัตร ฉันเริ่มจำได้แล้วว่ะ ฉันรู้สึกว่าเคยเห็นที่อะไรแบบนี้มาก่อน” ทันเอ่ยหลังเดินมากันเงียบ ๆ พักหนึ่ง
และยิ่งเดินต่อก็รู้สึกได้ว่า เขาเดินไปบ้านฉัตรได้เองโดยที่ไม่ต้องให้ฉัตรนำเสียด้วยซ้ำ
“ใช่แล้ว ฉันจำได้จริง ๆ จำได้จริง ๆ ไม่น่าเชื่อเลย” ทันร้องอย่างตื่นเต้น
และไม่นานนักฉัตรก็หยุดเดิน ทำให้ทันที่กำลังมองสองข้างทางเกือบจะเดินชน
“เป็นอะไร
หยุดเดินทำไมยังไม่ถึงไม่ใช่เหรอ” ทันถาม
“ฉันจำไม่ได้” ฉัตรบอก ด้วยร่างกายสั่นเทา “นี่เป็นบ้านเกิดของฉัน ทำไมฉันจำเส้นทางไปบ้านของฉันไม่ได้เลย ที่ตรงนู้นเคยเป็นบ้านของฉัน”
ฉัตรชี้ไปตรงที่หัวมุม ซึ่งตอนนี้มีแต่ทุ่งหญ้าเขียวสดขจี
“พูดบ้า ๆ
บ้านนายต้องเดินตรงออกไปอีกแล้วเลี้ยวขวาไม่ใช่เหรอ นั่นไง หลังนั้นไง”
ทันเอ่ย พร้อมกับชี้ไปที่บ้านสองชั้น
“ไม่ใช่ นั่นไม่ใช่บ้านฉัน บ้านฉันหายไปไหน” ฉัตรร้องตะโกน
ความคิดเห็น