คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : เด็กหญิงที่มาพร้อมกับพู่กัน
ฉัตรมักจะนั่งมองดูชีวิตประจำวันของผู้คนที่เดินผ่านเขาไป อาจจะแปลกที่เด็กอายุ 10 ปีอย่างเขามาทำอะไรไม่ค่อยสมวัยแบบนี้ ใช่ว่าอยากเสียเมื่อไหร่ แต่เมื่อต้องนั่งรอพ่อซึ่งไม่เคยตรงต่อเวลามารับที่สถานีรถไฟอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การนั่งมองดูผู้คนรอบข้างและนึกอะไรตลก ๆ ก็ช่วยแก้เบื่อได้บ้าง อย่างป้าขายไข่ปิ้งที่มักวางหาบเล่ข้างสถานีรถไฟตรงหน้า แกเป็นคนอ้วน หากใครได้เฝ้าดูการขายไข่ของแกทุกวันอย่างเขา ก็จะรู้ว่าเพราะอะไรแกถึงอ้วนท้วนสมบูรณ์แบบนี้ ไข่ปิ้งครึ่งหนึ่งจากที่นำมาขายคงเข้าไปอยู่ในกระเพาะของแกอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเขาเห็นแกขายไปกินไปอย่างเอร็ดอร่อย และช่วงที่รถไฟเทียบชานชาลาก็จะได้เห็นภาพขบขันเล็กๆ จากการเดินเร่ขายไข่ ด้วยสะโพกที่กระเพื่อมเป็นลูกคลื่นดูแล้วขัดจังหวะการเคลื่อนไหวอยู่เป็นประจำ
ฉัตรไม่ได้ขึ้นรถไฟกลับบ้านบ่อยนัก เขาจะโดยสารรถไฟกลับบ้านไปพร้อมพ่อทุกช่วงปิดเทอม เนื่องจากบ้านเกิดของเขาอยู่ไกล ทำให้ชีวิตส่วนใหญ่หมดไปกับที่บ้านน้าในกรุงเทพ แต่ถึงจะกลับไม่บ่อย น้อยครั้งที่พ่อจะมาตรงเวลา พ่อมักจะมาพร้อมกับข้ออ้างที่ดูฟังไม่ขึ้นในสายตาของฉัตร ไม่ว่าเหตุผลนั้นจะจริงหรือไม่ก็ตาม ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิดใจ ฉัตรก้มลงมองนาฬิกาอีกเป็นครั้งที่ .... ไม่สิเขาเลิกนับไปนานแล้ว แต่อย่างน้อยภายใต้ความหงุดหงิดนั้นก็ยังมีเรื่องดี ๆ ให้คิดอยู่บ้าง นั่นคือ ทัน เพื่อนสนิท จะมาเที่ยวบ้านของเขาในช่วงปิดเทอมนี้ มันเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นไม่น้อย เพราะจะเป็นครั้งแรกที่มีเพื่อนมาเที่ยวบ้าน ฉัตรแทบจะอดใจรอให้ถึงวันนั้นไม่ได้เลยทีเดียว เขาจะได้พาเด็กกรุงเทพอย่างทันไปดูให้รู้ว่าบ้านที่ชนบทมันสนุกเพียงไร
ลมเริ่มพัดแรงขึ้น และเสียงฟ้าเริ่มร้อง ไม่นานนักสายฝนก็เริ่มโปรยปายลงมา ส่งผลให้ป้าขายไข่ปิ้งเริ่มออกวิ่งอีกครั้ง แกวิ่งผ่านหน้าตรงที่ฉัตรนั่งไปอย่างยากลำบาก ก่อนที่ร่างของพ่อจะค่อย ๆ ปรากฎขึ้นท่ามกลางสายฝน
“ว่าไงลูก รอนานไหม” เสียงพ่อตะโกนขณะวิ่งหนีฝนที่ไล่หลัง เข้ามาหาฉัตร ฉัตรเลือกที่จะส่ายหน้าบอกให้รู้ความหมาย แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ต้องได้ยินคำแก้ตัวของพ่ออยู่ดี
“วันนี้ เกิดอุบัติเหตุใหญ่ในกรุงเทพ คนบาดเจ็บถูกส่งมาที่โรงพยาบาลพ่อ ก็เลยต้องอยู่ช่วยงานเขาน่ะลูก” พ่อบอก
“ไปกันเถอะ พ่อ รถไฟเที่ยวต่อไปจะออกแล้ว” ฉัตรพูดตัดบท
พ่อได้แต่ยิ้มเฝื่อน ๆ พาฉัตรเดินไปซื้อตั๋วรถไฟ ตลอดการเดินทางเขาไม่ได้พูดอะไรกับพ่ออีกเลย แม้จะสังเกตได้ว่าพ่ออยากจะคุยกับเขาเพียงใด แต่ฉัตรก็เลี่ยงแกล้งทำเป็นหลับไป
เมื่อรถไฟเทียบชานชาลา พ่อและฉัตรก็ได้ขับรถต่อไปยังที่บ้าน ระหว่างทางพ่อก็พูดขึ้น
“วันนี้พ่อว่าจะไปรับแม่ และออกไปหาอะไรกินกันดีไหม”
ฉัตรหันไปมองพ่อ ดีใจขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ยังคงเก็บอาการไว้ “งั้นเหรอฮะ”
“ไม่แค่นั้น เดี๋ยวจะพาฉัตรไปซื้อเกมด้วย ฉลองวันเกิดของลูกที่จะมีอาทิตย์หน้าไง” พ่อพูดต่อ
ฉัตรเริ่มยิ้มออกมาให้พ่อเห็น เขาไม่ได้ดีใจที่พ่อจะซื้อเกมให้ แต่ดีใจที่อย่างน้อยพ่อก็ยังจำวันเกิดของเขาได้
“จริง ๆ นะ” ฉัตรย้ำคำ
“เอ้า จริงสิ” พ่อตอบ “เดี๋ยวกลับบ้านไปอาบน้ำ แล้วก็ไปรับแม่ที่โรงพยาบาลกัน”
ไม่นานนักรถก็มาจอดตรงหน้าบ้าน ฉัตรรีบกระโดดลงจากรถคว้ากุญแจไปเปิดกระตูบ้าน จัดแจงถอดเสื้อผ้าเตรียมอาบน้ำอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่จะคว้าประตูห้องน้ำปิด เสียงโทรศัพท์มือถือของพ่อก็ดังขึ้น
ฉัตรค่อยๆ ปิดประตูอย่างช้าๆ ราวกับว่าไม่อยากได้ยินอะไรที่พ่อพูดอีก แต่ดูเหมือนร่างกายไม่ยอมทำตาม หูยังคงแนบชิดติดกำแพงเพื่อฟังเสียงพ่อ มันไม่ช่วยให้ดีขึ้นเท่าไหร่ เสียงที่ได้ยินฟังไม่ได้ศัพท์แต่กระนั้นเขาก็ไม่อยากออกไปถามพ่อว่าคุยอะไรอยู่ เลยตัดสินใจรีบอาบน้ำให้เร็วที่สุด
สักพักฉัตรก็ได้ยินเสียงพ่อตะโกน
“ฉัตร พ่อไปทำธุระเดี๋ยวนะ เดี๋ยวพ่อมา พ่อเขียนโน๊ตวางเอาไว้ที่โต๊ะกินข้าวแล้ว”
เขาได้ยินดังนั้นก็รีบล้างคราบสบู่ออกทันที หวังจะรั้งตัวพ่อเอาไว้ให้ทัน ไม่เคยมีครั้งไหนที่พ่อพูดแบบนี้แล้วกลับมาก่อนเที่ยงคืนขึ้นเลย
แต่ก็สายไป เพราทันทีที่ออกจากห้องน้ำ ก็มีเสียงเครื่องรถสตาร์ทดังขึ้นแล้วขับบึ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้เขายืนมองรถที่ค่อย ๆ แล่นลับหายไป
ฉัตรเดินกลับเข้ามาในบ้าน ตรงไปที่โต๊ะกินข้าว หยิบโน๊ตที่พ่อเขียนเอาไว้ขึ้นมาดู
แม่ติดงานอยู่
พ่อออกไปช่วยแล้วเดี๋ยวจะรีบกลับมา ถ้าหิวก็อุ่นอาหารในตู้เย็นกินไปก่อนนะ
เขาอ่านโน๊ตซ้ำอีกรอบราวกับไม่แน่ใจว่าที่ตัวเองอ่านถูกต้องแล้ว
ฉัตรโยนกระดาษทิ้งพลางเดินไปเปิดทีวีที่ห้องรับแขก ล้มตัวนอนคว่ำลงกับโซฟาทั้งๆ ที่นุ่งผ้าเช็ดตัวอยู่
มือถือรีโมทเปลี่ยนช่องสลับไปมาอย่างรวดเร็ว ใช่แล้ว เขาไม่ได้เลือกที่จะดูทีวี ไม่นานนักก็เปลี่ยนอิริยาบถหงายตัวนอนนิ่งจ้องมองเพดานอยู่อย่างนั้นโดยไม่ไหวติงใดๆ
ปล่อยให้ทีวีจ้องมองพูดคุยไปตามลำพัง ท่ามกลางความเงียบสงัด ก็มีเสียงสะอื้นเล็ก ๆ
แทรกออกมา แล้วน้ำตาก็ค่อยๆ เอ่อล้นอาบในหน้ามน
ๆ ของฉัตร บ้านหลังนี้ดูใหญ่เกินไปสำหรับเด็กตัวเล็ก ๆ อย่างเขา
ถ้าเขาตัดสินใจที่จะนอนที่นี่ แบบนี้ ตรงนี้ แม่จะเข้ามาบ่นไหม พ่อจะมาอุ้มขึ้นเตียงนอนรึเปล่า
แต่จะสนใจไปทำไมล่ะ ในเมื่อเขาอยู่คนเดียวอีกแล้วในตอนนี้
ปึ้ง!!!
เสียงบางอย่างจากบนบ้านดังขึ้นเรียกสติของฉัตรกลับมาอีกครั้ง เขารีบปาดน้ำตา เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ อาจจะเป็นเสียงทีวีที่ทำให้หูแว่วไป หรืออาจจะเป็นเสียงที่ได้ยินจริง ๆ
ตึก... ตึก…
เขาได้ยินเสียงอีกครั้ง คราวนี้ลักษณะเหมือนใครเดินอยู่ อาจเป็นขโมย หรือไม่ก็.... ฉัตรส่ายหัวพยายามไม่นึกต่อ เพราะแค่ภาพผีจากในหนังก็แล่นผ่านหัวเข้ามานับร้อยตัวแล้ว สมองสั่งการให้ฉัตรรีบวิ่งไปหยิบมีดในครัว อย่างน้อยเขาควรมีอะไรเพื่อป้องกันตัวบ้าง ไม่ว่าต้นเสียงนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม ไม่มีเสียงอื่นใดหลังจากนี้ดังอีก เขาค่อย ๆ เดินขึ้นบันไดไปทีละขั้น จนกระทั่งร่างก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูห้องนอนของเขา
ฉัตรกำมีดแน่นขึ้นอีกก่อนจะเอื้อมมือไปจับกลอนประตู หากครั้งนี้เป็นอะไรไปพ่อกับแม่จะต้องเสียใจแน่ที่ห่วงงานมากกว่าตัวเขา น่าแปลกที่เขารู้สึกยินดีกับความคิดที่แล่นเข้ามาวูบหนึ่งนี้ ฉัตรเริ่มนับสามในใจเพื่อตั้งหลักเปิดประตู
“หนึ่ง... สอง... สะ”
ฟุ่บบบบ!!!!!
ยังไม่ทันนับถึงสาม ประตูก็ถูกดันเปิดพร้อมกับมีลมวูบใหญ่ดันตัวฉัตรเข้าไปจนกลิ้งไปบนพื้นอย่างไม่เป็นท่า ทำเอามีดที่ถืออยู่กระเด็นไถลหายไปกับความมืด ฉัตรรีบยันตัวเองให้อยู่ในท่าที่รับมือได้ เงยหน้าจ้องมองด้วยหัวใจที่เต้นรัว
สิ่งที่ปรากฎเป็น เด็กสาวผมยาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับฉัตร ผิวขาวนวลสวยยามต้องแสงจันทร์ที่สาดส่องผ่านเข้ามาตามช่องหน้าต่าง เธอยิ้มให้น้อย ๆ ดูเป็นมิตร แต่นั่นก็ไม่ทำให้ฉัตรเชื่อใจได้ เขายังคงยืนหลังติดกำแพงอยู่อีกฟาก
“ธะ เธอเป็นใคร เข้ามาได้ยังไงกัน หรือว่าเธอเป็น ผะ ผะ ....” ฉัตรพูดตะกุกตะกัก ไม่อาจเอ่ยคำสุดท้ายออกมาได้
สาวน้อยไม่ได้ตอบอะไร เธอค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้พร้อมกับยื่นอะไรบางอย่างให้
ฉัตรมองของที่อยู่ในมือเด็กหญิงด้วยความฉงน
“พู่กัน ?” เขาเอ่ย
ฉัตรรับของมาไว้ในมือ
มันเรืองแสงทันทีที่สัมผัสกับร่างกาย นั่นทำให้เขาตื่นกลัวนิด
ๆ แต่จะเป็นไรไป อย่างน้อยก็ไม่ต้องอยู่คนเดียวอีกแล้วในค่ำคืนนี้
ความคิดเห็น