ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    What's Up

    ลำดับตอนที่ #9 : The Invasion : ไม่ใช่ครั้งแรก...สำหรับการมาเยือน

    • อัปเดตล่าสุด 6 ก.ย. 50





    ในขณะที่การพิสูจน์ว่า ในดาวดวงอื่นนอกจากดาวนพเคราะห์ที่เราอาศัยอยู่นี้ จะมีสิ่งมีชีวิตอื่นถือกำเนิดและดำรงชีวิตอยู่อีกหรือไม่ ยังไม่เป็นที่กระจ่างแจ้ง สัตว์ประเสริฐเพียงหนึ่งเดียวในเอกภพอย่าง มนุษย์ เกินกว่าครึ่งก็กำลังขยายอาณาจักรครอบครองประหัดประหารชีวิตผู้อื่นอยู่
           



           
           และครั้งนี้ ก็ไม่ได้เป็นปฐมบทแห่งการมาเยือนโลกของเหล่ามนุษย์ต่างดาว เพราะก่อนหน้าที่ภาพยนตร์แนวทริลเลอร์-ไซไฟ อย่าง The Invasion จะปรากฏสู่สายตาชาวโลก เราเคยได้รับการเยี่ยมเยียนจากสิ่งมีชีวิตนอกโลกมาแล้ว นับครั้งไม่ถ้วน
           
           ไล่เรียงตั้งแต่มนุษย์ต่างดาวที่น่ารักไร้เดียงสาใน E.T., มนุษย์ต่างดาวที่มาฝังตัวอยู่ในท้องคนทั้งหมู่บ้านอย่าง Village of the damned , มนุษย์ต่างดาวที่เปิดศึกทำสงครามกับชาวโลก(ซึ่งหมายถึงชาวอเมริกา)อย่างจริงจังใน ID 4 , มนุษย์ต่างดาวสุดโหดที่ไล่ฆ่ามนุษย์บนยานอวกาศอย่าง Alien, สิ่งมีชีวิตนอกโลกที่ส่งสัญญาณทักทายเพียงแผ่วเบาใน Contact
           
           การแฝงตัวอยู่ท่ามกลางหมู่มวลมนุษย์ใน Men in black, มนุษย์ต่างดาวบุกโลกที่มีดีเฉพาะในบทประพันธ์อย่าง Battlefield earth ,การกลับมาห้ำหั่นกับมนุษย์อย่างเอาเป็นเอาตายของสิ่งมีชีวิตนอกโลก อย่าง War of the world และการเข้ามาสู้รบปรบมือกันของชีวิตต่างดาวในรูปแบบเครื่องจักรกลที่แปลงร่างได้ ใน Transformers เป็นต้น
           
           นี่ยังไม่รวมซีรี่ย์ที่เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ FBI สองคน ที่วันๆ ง่วนอยู่กับการสืบสวน สอบสวน ตามล่ามนุษย์ต่างดาว อย่างต่อเนื่องและยาวนาน ใน The X-files


           
           จะเห็นว่า พล็อตมนุษย์ต่างดาวมาเยือนโลก (ไม่ว่าจะมาในรูปแบบของมิตรหรือศัตรู) ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นแต่อย่างใด หากทว่าผู้สร้างภาพยนตร์กับคนเขียนหนังสือกลุ่มหนึ่งก็หยิบยกประเด็นการไม่ได้อยู่ลำพังบนเอกภพมาสานต่อให้อยู่ในรูปของบทประพันธ์เสมอ
           
           เช่นเดียวกับ The Invasion ภาพยนตร์ทริลเลอร์-ไซไฟ ที่เดวิด แคจกานิชบรรจงแต่งเอาไว้ ซึ่งก็ได้ผู้กำกับมากฝีมือ อย่าง โอลิเวอร์ เฮริชบิเกล(Mein letzter Film, Downfall) มาช่วยทำให้ตัวหนังสือแปรสภาพเป็นเรื่องราวบนแผ่นฟิล์ม ในรูปของหนังเขย่าขวัญกลิ่นวิทยาศาสตร์ ที่พล็อตหลักไม่ได้มีอะไรแปลกและแตกต่าง
           
           เรื่องเริ่มขึ้น ในเช้าวันหนึ่งที่กระสวยอวกาศลึกลับตกลงบนวอชิงตัน ดี.ซี เมืองหลวงของประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้คนกลุ่มใหญ่แตกตื่นและให้ความสนใจเศษซากชิ้นส่วนเหล่านั้น และจากประกาศของนาซ่าที่ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปแตะต้องสัมผัสเศษชิ้นส่วนเหล่านั้น ก็ได้ก่อให้เกิดเสียงร่ำลือไปทั่วว่า ชิ้นส่วนของกระสวยที่มาจากนอกโลกเหล่านั้น เป็นที่มาของเชื้อโรคต่างๆ นานา แม้จะยังไม่เคยมีใครพิสูจน์และล่วงรู้ว่า "สิ่งที่มากับเศษชิ้นส่วนกระสวยอวกาศลำนั้น" แท้จริงแล้ว มันคืออะไร?
           
           กระทั่ง แครอล(นิโคล คิดแมน) จิตแพทย์หม้ายลูกหนึ่ง ผู้ซึ่งใช้ชีวิตเป็นสาวทำงานตามปกติวัตรในเมืองหลวงแห่งนี้มาโดยตลอด เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง ผู้คนรายรอบตัวเธอ เริ่มมีอาการและท่าทางแปลกๆ แครอลสัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาที่เกิดขึ้น ทั้งจากเรื่องเล่าของผู้ที่มาบำบัดกับเธอ เรื่อยลามมาถึงตัวคนไข้ พนักงานในคลีนิก คนใกล้ชิด จนถึงโอลี่(แจ๊คสัน บอนด์)ลูกชายวัยเจ็ดขวบของเธอ


           
           เมื่อ โอลี่จำต้องไปอยู่ภายใต้การดูแลของอดีตสามีอย่าง ทัคเกอร์(เจอเรมี นอร์ทแธม)ชั่วคราว ปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตของแครอลมิใช่เพียงความรู้สึกกังวลต่อการกลับมาของอดีตสามี หลังจากที่ห่างเหินไปร่วม 4 ปีเท่านั้น หากทว่า แครอลต้องตื่นมาพบความจริงที่ว่า บัดนี้อดีตสามีซึ่งมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าหน่วยควบคุมเชื้อโรคไม่ใช่อดีตสามีคนเก่าของเธออีกต่อไปแล้ว
           
           นับจากวันที่บางสิ่งรอบตัวของแครอลเริ่มแปลกไป ไม่กี่วันถัดมาหลายสิ่งในชีวิตของเธอก็ค่อยๆ เปลี่ยน ผู้คนจำนวนมากเริ่มมีพฤติกรรมแปลกๆ ที่ห่างไกลจากความเป็นมนุษย์ขึ้นทุกที ในวินาทีที่เธอพยายามแกะคลายเงื่อนปมความสงสัยอยู่นั้น เธอกับเพื่อนชายคนสนิทที่เธอไว้ใจที่สุด อย่าง เบน(แดเนียล เคร็ก) กับ ดร. กาลีโน่(เจฟฟรีย์ ไรท์) ผู้ช่วยของเขา ก็ต้องรีบเร่งแข่งกับเวลา ในการที่จะตามหาตัวโอลี่ ลูกชายซึ่งกุมความลับในการต่อสู้กับ "บางสิ่ง"ของแครอลให้ทัน ก่อนที่ตัวตนของเธอจะเปลี่ยนไปตลอดกาล


           
           จะว่าไปแล้ว ทั้งพล็อตหลักที่ว่าด้วยการมาเหยียบเยือนของมนุษย์ต่างดาว และพล็อตยิบย่อยต่างๆ ของ The Invasion นั้น แทบจะไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่สักเท่าไร เพราะถ้าพินิจเนื้อในที่แท้จริงแล้ว หนังเรื่องนี้คือการทำสงครามกับมนุษย์ต่างดาว โดยที่ไม่ได้เน้นการห้ำหั่นฆ่าฟันดั่งเช่นที่ ID4 หรือ War of the world ได้ทำไว้ หากแต่เป็นการต่อสู้จากข้างใน ด้วยการพยายามดันสิ่งแปลกปลอมและดึงรั้งตัวตนเดิม เอาไว้ให้มากที่สุด
           
           ลักษณะของการยึดโลก ครองสังคมของมนุษย์ต่างดาวที่ปรากฏใน The Invasion นี้ จะใกล้เคียงกับที่ Village of the damned (ภาพยนตร์โดย จอห์น คาเพนเตอร์) ได้เคยทำเอาไว้ เพียงแต่เพิ่มน้ำหนักในเรื่องของการยึดครองตัวตนและแพร่เชื้อในลักษณะของการติดต่อถ่ายทอดจากหนึ่งคนไปสู่หลายคนเข้ามานั่นเอง
           
           การเพิ่มมิติในเรื่องของการกลืนกินตัวตนของเจ้าเชื้อดังกล่าว ทำให้หนังมีความน่าสนใจ และนำไปต่อยอดเป็นลูกเล่นในรายละเอียดของบทได้ ไม่ว่าจะเป็นการที่แครอลต้องพยายาม(อย่างหนักหน่วง) ทำให้ตัวเองไม่หลับ และหนทางที่จำกัดจำเขี่ยในการตรวจสอบว่าร่างกายได้รับเจ้าเชื้อที่ว่านี้เข้าไปหรือไม่ รวมไปถึงการยื้อเวลา สำหรับผู้ที่บังเอิญได้รับเชื้อดังกล่าวเข้าไปอีกด้วย


           
           โดยรวมแล้ว ต้องบอกว่า The Invasion เป็นภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับการยึดครองโลกของมนุษย์ต่างดาว ที่คอหนังฮอลลีวูดส่วนใหญ่สามารถคาดเดาถึงฉากต่อๆ ไปได้สบายๆ ฉะนั้นสิ่งที่ดูเสมือนว่าน่าจะเป็นการหักมุมเซอร์ไพรซ์ของเรื่อง จึงมิใช่ความตื่นตาตื่นใจหรือเกินความคาดหมายของผู้ชมไปสักเท่าไร
           
           แต่ในส่วนของฉากทริลเลอร์นั้น หนังสามารถประดิษฐ์ออกมาได้ในระดับที่ดีมาก ทั้งในส่วนของการแสดงของนิโคล คิดแมน ภาพมุมกว้างชวนขนลุกที่เผยให้เห็นการเข้ามาคุกคามของสิ่งมีชีวิตนอกโลกทั้งๆ ที่อยู่ในร่างมนุษย์ รวมไปถึงดนตรีประกอบของ จอห์น ออตแมน ซึ่งสามารถกระชากอารมณ์ของผู้ชมได้ตลอด
           
           ในช่วงท้ายของเรื่อง อดีตมนุษย์ที่ถูกเชื้อร้ายจากนอกโลกเข้าครอบงำคนหนึ่ง ได้กล่าวเชื้อเชิญให้แครอลยอมศิโรราบต่อสงครามในครั้งนี้ คำกล่าวที่เขาพูดกับเธอด้วยสีหน้าสงบเย็นฟังดูเลื่อนลอย แต่กลับมีน้ำหนักชวนให้ขบคิด
           
           "ยอมรับเถอะ แครอล เข้ามาเป็นเหมือนอย่างพวกเรา แล้วคุณจะรู้สึกดี คุณจะไม่เจ็บ โลกที่พวกเราจะสร้างขึ้นมาใหม่นี้ จะไม่มีสงคราม ไม่มีคนจน ไม่มีการแบ่งแยก"


           
           ฟังแล้ว แครอลผู้หนักแน่น ก็เกือบจะถอดใจละทิ้งตัวตน เดินเข้าสู่โลกใบใหม่ที่บุคคลเบื้องหน้ากล่าวถึงอยู่รอมร่อ แต่เมื่อเธอรู้ความจริงที่ว่า มนุษย์ผู้มีภูมิคุ้มกัน ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนตัวตนไปเป็นเหมือนที่เชื้อนอกโรคเหล่านั้นต้องการ จะต้องถูกกำจัด เธอก็เปลี่ยนใจและตัดสินใจดิ้นรนต่อสู้กับคนค่อนเมืองซึ่งบัดนี้ไม่ใช่มนุษย์ของโลกใบนี้ต่อไป
           
           เพราะหนึ่งในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันในร่างกาย ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนไปเป็นอย่างที่พวกเชื้อร้ายต้องการนั้น คือ โอลิเวอร์ ลูกชายเพียงคนเดียวของเธอนั่นเอง
           
           หากพิจารณาเนื้อความในจดหมายเชิญไปสู่ชีวิตใหม่ของเชื้อจากนอกโลกเหล่านั้น โลกใบเก่า ที่พวกเขากำลังจะสร้าง ก็น่าจะเป็นโลกที่น่าอยู่กว่าปัจจุบัน เพราะหากสังคมมวลรวมปราศจากการฆ่าฟัน ไร้ซึ่งสงครามทุกประเภท และไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นวรรณะจริงๆ แล้วนั้น โลกใบเดิมที่เชื้อร้ายนอกโลกมุมุ่งจะล้างฟอกอยู่นี้ ก็น่าจะเป็นดาวดวงใหม่ที่สดใสกว่าเดิมแน่นอน


           
           ทว่า ท่ามกลางความโหดร้ายจากไฟสงคราม การเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตต่างๆ กับการประหารเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง การทำลายสิ่งแวดล้อม และการแบ่งแยกชนชั้นนั้น ยังปรากฏดวงไฟแห่งรักอบอุ่นของผู้เป็นแม่ ส่งประกายเรืองๆ อยู่ และเพราะดวงไฟที่ว่านี้เอง ที่ทำให้มนุษย์ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ยังคงแบกรับตำแหน่ง "สัตว์ประเสริฐหนึ่งเดียวในเอกภพ"บนคราบน้ำตาต่อไป






           ในวินาทีที่สงครามระหว่างชาติพันธ์ ระหว่างประเทศ ระหว่างสังคม และการทำลายบริบทแวดล้อมที่พ้นไปจากผิวหนังของตัวเองกำลังแผ่ขยายนั้น จะมีสักกี่ชีวิต ที่ยอมสละเวลา แหงนมองขึ้นไปบนจักรวาล แล้วตระหนักถึงความเป็นจริงว่า เทียบกับทุกสิ่งทุกอย่างบนนั้น เรามันก็แค่ฝุ่นผง
           
           จากตรรกะความเป็นจริงในเรื่องความเล็กจ้อย ทำให้ในบางครั้ง ก็อดคิดไม่ได้ว่า การมาเยือนโลกของมนุษย์ต่างดาวในภาพยนตร์ ซึ่งส่วนมากมักเกิดภาพของการสู้รบระหว่างสิ่งมีชีวิตต่างดวงดาวนั้น แท้จริงแล้ว มันหนักหนาสาหัส หรือเลวร้ายกว่าการที่สัตว์ประเสริฐ(ซึ่งเป็นคำที่เราอุปโลกน์เรียกตัวเองขึ้นมา) ทั้งหลาย กำลังทำร้ายทำลายดวงดาวที่เขาอาศัย ทำร้ายสัตว์ประเภทอื่นๆ และทำลายมนุษย์ด้วยกันเอง จริงหรือ?
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×