ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ใจเดียว (เปลี่ยนจากหนึ่งฤทัยค่ะ)

    ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ 9

    • อัปเดตล่าสุด 30 ม.ค. 53


                    เช็คธนาคารซึ่งถูกกรอกตัวเลขลงไปจำนวน 6 หลัก ถูกยื่นให้แก่คนตรงหน้าที่ยิ้มหวานให้ผู้เป็นเจ้าของเช็คด้วยเข้าใจว่าเขาให้เพราะเห็นว่าเธอบ่นร่ำๆ ว่าอยากจะได้กระเป๋าแบรนด์ดังราคาหลักแสน หากแต่ยิ้มหวานนั้นมีอันต้องอันตธานหายไปเมื่อได้ยินถ้อยคำจากริมฝีปากของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของเงิน

    “ผมต้องขอโทษกี้ด้วยนะ แต่ผมคงต้องขอหยุดความสัมพันธ์ของเราไว้เพียงเท่านี้” ตริณบอกหญิงสาวตรงหน้าด้วยน้ำเสียงราบเรียบ  ใช้เวลาไตร่ตรองและตัดสินใจนานพอสมควรที่จะทำอย่างนี้

    “ด้วยเงินจำนวนเจ็ดแสนที่คุณยื่นให้กี้หรือคะ” เธอถามเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อสักเท่าไหร่ เพราะที่ผ่านมาไม่มีวี่แววเลยสักน้อยที่เขาคิดจะหยุดความสัมพันธ์กับเธอ จนบางครั้งเธอเผลออดคิดไม่ได้ว่าเธออาจจะเป็นตัวจริงของเขา เป็นคุณนายบ้านปรีดากุล “เธอคนนั้นเป็นใครหรือคะ” อนันดาตัดสินใจที่จะถามออกไป เพราะมั่นใจว่าเขาจะต้องมีผู้หญิงคนใหม่ที่ถูกใจอย่างแน่นอน แต่จะเป็นคู่ควงของเขาได้นานเท่าเธอรึเปล่า เธอคงตอบไม่ได้

    “เป็นคนที่ผมคิดที่จะให้เข้าไปอยู่ในบ้านปรีดากุล” เขาตอบเธอด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเคย หากแต่แววตานั้นอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อคิดถึงผู้หญิงอีกคนที่ทำให้เขาตัดสินใจทำแบบนี้

    อนันดามองหน้าชายหนุ่มด้วยแววตาตกตะลึงอย่างไม่คาดคิด เพราะไม่เคยคิดว่าเขาจะจริงจังกับใคร และตลอดเวลาที่ผ่านมาในช่วงหลายเดือนตั้งแต่กลับจากต่างประเทศ ชายหนุ่มไม่เคยตกเป็นข่าวกับผู้หญิงคนไหนนอกจากเธอหรือเธอจะตกข่าวใหญ่ เป็นไปไม่ได้หรอก แต่ที่แน่ๆ เธอคงจะปล่อยเขาไปไม่ได้ง่ายๆ ก็ในเมื่อเขาคือคนที่เธอหมายตาไว้ตั้งแต่แรก สงสัยงานนี้คงต้องมีการลงไม้ลงมือเรียกน้ำย่อยเสียแล้ว  แน่ทุกอย่างก็ยังซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้างุนงง ไม่มีการแสดงออกซึ่งความรู้สึกให้คนตรงหน้าได้รับรู้ เพราะไม่ต้องการให้เขารู้ตัวนั่นเอง

    ร่างหนาทิ้งกายลงกับเก้าอี้ทำงานราคาหลักแสนที่แสนจะนุ่มนิ่มน่าสบาย ไม่ต่างจากใจของผู้เป็นเจ้าของในตอนนี้ ชายหนุ่มรู้สึกสบายใจขึ้นมาอย่างประหลาดคล้ายๆกับว่าตนเองได้ปลดแอกบางสิ่งบางอย่างออกไป  ถ้าจะพูดกันตรงๆ ก็เรียกว่ายกภูเขาออกจากอกนั่นแหละ เขาใช้เวลาคิดและตัดสินใจเรื่องนี้อยู่นาน คิดทบทวนจนกระทั่งแน่ใจแล้วว่าเขาไม่ได้ต้องการที่จะมีผู้หญิงล้อมรอบตัวเองเหมือนที่ผ่านๆมา และแน่ใจว่าเวลานี้เขาต้องการเพียงร่างบางของคนที่ลงไม้ลงมือจนกระทั่งเขาเลือดตกยางออกนั่นเท่านั้น  แต่ความรู้สึกนี้คืออะไรเขาตอบไม่ได้หรอก เพราะเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน จึงขอเรียกความรู้สึกนี้ด้วยภาษาที่ตัวเองเข้าใจคนเดียวว่า 'หมาหวงก้าง' ก็แล้วกัน เหมือนอย่างที่ไอ้หมอปากจัดมันเที่ยวด่าเขาเวลารับรู้เรื่องราว

     

    “ทำไมมาช้าจังพิสุทธิ์” เสียงทักทายดังขึ้นจากหนึ่งในสองคนที่มาถึงก่อน

    “ฉันเป็นหมอ จะให้มานั่งรออย่างพวกนายคงไม่ไหวหรอกมั้ง ชีวิตคนไข้มีค่ากว่าเหล้าในมือพวกนายนะ” พิสุทธิ์ต่อว่ากรายๆ เพราะวันนี้เขารู้สึกอารมณ์ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่

    “อะไรของมันวะมาถึงก็ใส่เป็นชุด แซวนิดแซวหน่อยก็ไม่ได้ เป็นอะไรของมัน” พิมานหันมาคุยกับนาธานที่พยักหน้าหงึกหงักเอออออย่างเห็นด้วย

    “แล้วนี่ตริณมันยังไม่มาอีกหรือ”พิสุทธิ์หันไปถามเพื่อน

    “โน่นไง พูดถึงก็มา อายุยืนจริงมันนี่” นาธานชี้นิ้วไปที่ตริณ ซึ่งกำลังเดินเข้ามาใบหน้ายิ้มแย้ม

                    เสียงเพลงภายในผับยังคงดังกระหึ่ม ผีเสื้อราตรีทั้งหลายเริ่มมากขึ้นตามเวลา ข้างกายของชายหนุ่มสองในสี่ตอนนี้มีสาวสวยสุดเซ็กซี่นั่งคลอเคลียไม่ห่าง ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะเป็นเรื่องปกติ แต่มันไม่ปกติก็ตรงที่ทุกครั้งจะเป็นสามในสี่ แต่ครั้งนี้เป็นสองในสี่ อีกสองหนุ่มจึงอดแปลกใจไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตริณ แต่ในเมื่อเวลานี้เป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนก็ไม่คิดที่จะถามให้มากความ ส่วนอีกหนึ่งที่น้อยครั้งจะมีสาวนั่งเคียงข้างกาย ก็คือพิสุทธิ์ ที่ช่างเลือกเสียเหลือเกิน จนเพื่อนๆ ต่างเห็นพ้องกันที่จะยกฉายาหล่อเทวดาให้เขา เพราะเรื่องมากสุดๆ ในการเลือกผู้หญิง แถมมันยังเฟ้นแล้วเฟ้นอีกชนิดที่ว่าไม่ใช่ของดีมันยอมอดเลยก็ว่าได้

    “กลับก่อนนะนาราพรุ่งนี้เรามีงาน”

    “อืม...OK เดี๋ยวเราก็จะกลับเหมือนกัน” นารายกมือบอกลาเพื่อน ก่อนจะหันกลับมาสนใจพั้นซ์ในมือต่อ เพราะอีกไม่กี่วันเธอจะต้องกลับไปต่างประเทศอีกแล้ว จึงอยากจะสนุกให้เต็มที่เสียหน่อย และเพียงเวลาไม่นานร่างบางก็ขยับโยกย้ายตามจังหวะเพลงอย่างสนุกสนาน ไม่สนใจว่าจะนั่งดื่มคนเดียว หรือว่าจะมีสายตาของหนุ่มๆ มองมา

                    'เอ๊ะนั่น! แม่สาวปากจัดนี่นา' สายตาคมกริบของพิสุทธิ์ที่มองกลุ่มผีเสื้อราตรีเพื่อควานหาสาวที่ถูกใจไปสะดุดเข้ากับแม่สาวปากจัดที่กำลังโยกย้ายร่างกายตามจังหวะเพลงอย่างสนุกสนาน  ดูเหมือนว่าหล่อนจะอยู่คนเดียวเสียด้วยสิ 'กล้าจริง' ริมฝีปากหยักยิ้มน้อยๆ คล้ายกับเจอของถูกใจ แต่รอยยิ้มนั้นก็ต้องหุบฉับพลันเมื่อมีชายคนหนึ่งเดินเข้าไปหาเธอทีท่าว่าต้องการสานสัมพันธ์ แต่เจ้าหล่อนก็ปฏิเสธอย่างชัดเจนอย่างที่เขานั่งอยู่ตรงนี้ยังดูออก

    “ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวสามีก็มาแล้ว” นาราหันไปบอกผู้ชายที่เข้ามาทำความรู้จักเธอ ทำเอาอีกฝ่ายหน้าเสียไปเลย

    “ให้ผมนั่งเป็นเพื่อนรอสามีคุณมั้ย” อีกฝ่ายยังมีความพยายาม

    เธอไม่ตอบอะไรเขาเพียงแต่ยิ้มๆ เท่านั้น และขยับโยกย้ายตัวเองไปตามจังหวะเพลงอย่างเมามันโดยไม่ทันได้สังเกตเลยว่าแก้วพั้นซ์สีสวยของเธอนั้น ตอนนี้ถูกเจอปนด้วยอะไรสักอย่างที่ผู้ชายที่อยู่ข้างๆ จัดการใส่มันลงไปตอนที่เธอเผลอ  ดวงตาคมกริบที่มองเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ทีแรกเริ่มสั่นไหว แต่ร่างกายยังคงนิ่ง นั่งดูเหตุการณ์ต่อไป ว่าเจ้าหล่อนจะรู้ตัวหรือไม่ แต่ที่ไหนได้แม่เจ้าประคุณไม่ได้เอะใจเอาเสียเลยซ้ำร้ายเจ้าหล่อนยังยกแก้วพั้นซ์ขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้วซะงั้น

    “จะไปไหนวะเพื่อน นั่งเงียบตั้งนาน” ตริณหันมาถามเมื่อเห็นว่าพิสุทธิ์กำลังลุกขึ้น

    “เดี๋ยวนายก็รู้เองแหละ” เขาหันมาตอบยิ้มๆ ก่อนจะเดินลงไปยังชั้นล่าง เรียกสายตาใคร่รู้ของผองเพื่อนได้อย่างดี ทำไงได้ใครๆ ก็อยากรู้ทั้งนั้นแหละว่าผู้หญิงที่มันจะควงแต่ละคืนจะเป็นใคร เริดขนาดไหน ครั้งนี้ก็เหมือนกัน

    “ที่รักคอยนานมั้ย” คำพูดหวานๆ ดังขึ้น ข้างๆ ร่างบางที่เริ่มรู้สึกร้อนรุ่ม แปลกๆ เธอหันมามองเขาและจำได้ว่านี่คือคุณหมอแสนจู้จี้

    “มาแล้วหรือคะที่รัก ฉันคอยตั้งนานแน่ะ” เธอบอกพร้อมกับเดินมาหอมแก้มเขา อย่างต้องการให้ผู้ชายอีกคนที่เข้ามาทำความรู้จักได้เห็น และมันก็ได้ผลเมื่ออีกฝ่ายมีสีหน้าท่าทางไม่พอใจ แต่ก็ต้องถอยออกไปเพราะเห็นแล้วว่าสายตาของชายหนุ่มผู้มาใหม่นั้นเอาเรื่องทีเดียว

    “คุณต้องรีบออกไปข้างนอกแล้ว” พิสุทธิ์บอกพลางดึงแขนของคนตัวเล็กๆ ให้เดินตามเขาออกไป หากแต่เจ้าหล่อนยังฝืนกายอยู่ที่เดิม “ไม่ต้องแลกใจหรอกว่าทำไมถึงรู้สึกร้อนอย่างนั้น ก็คุณถูกวางยา” เขาหันมาบอกอีกครั้ง ก่อนจะออกแรงดึงหล่อนเพิ่มขึ้นทำให้ร่างบางต้องก้าวเท้าตามเขาไป

    “โห! สวยใช้ได้เลยว่ะ ทำไมฉันไม่เห็นตั้งแต่แรกนะเสียดายชะมัด” พิมานเป็นคนออกปาก หลังจากที่ทั้งสามต่างเพ่งมองการกระทำของเพื่อนรักอยู่นาน

    “ดูมันสิ สงสัยคนนี้จะถูกใจอย่างจัง มันถึงได้รีบร้อนลากเจ้าหล่อนออกไปขนาดนั้น” ตริณร่วมด้วยช่วยกันวิจารณ์เพื่อนอีกคน

                    รถยนต์ยุโรปสีดำมันปราบแล่นบนท้องถนนด้วยความเร็วกว่าปกติที่เจ้าของเคยขับขี่ เพราะร่างบางที่เขาหอบหิ้วออกมาเริ่มจะมีปฏิกริยาที่ไม่น่าไว้วางใจตั้งแต่ก้าวเท้าออกจากประตูผับแล้ว และยิ่งตอนนี้มือไม้หล่อนเริ่มอยู่ไม่สุขแล้วด้วย ครั้นจะทิ้งไว้หน้าผับก็เป็นห่วงว่าจะถูกใครหิ้วไปเสีย แต่พอพาเธอมาด้วยก็กลับกลายเป็นการทรมานตัวเขาเสียเอง ตอนนี้เขาอยากจะตะโกนดังๆ ออกมาว่าหมอก็ทำผิดได้เหมือนกันนะ ไม่ใช่พระอิฐพระปูนเสียหน่อยจะได้ไม่รู้สึก เฮ้อ....

    “นี่คุณอยู่เฉยๆ สิ อย่าเอามือมาจับตัวผม” พิสุทธิ์บอกพลางใช้มืออีกข้างปัดมือของหญิงสาวที่เลื้อยบนตัวเขาเพราะฤทธิ์ยา พยายามตั้งสติเพ่งมองถนนข้างหน้า 'เดี๋ยวก็ถึงคอนโดแล้ว' พิสุทธิ์บอกตัวเองครั้งที่เท่าไหร่จำไม่ได้เหมือนกัน นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าคอนโดของเขามันช่างไกลเสียเหลือเกิน

    “โอ๊ย.....แม่คุณหมอก็มีความรู้สึกนะ” พิสุทธิ์พยายามสกัดกั้นจิตใจตัวเอง เพราะว่าเธอไม่รู้ตัว

    “ร้อนจังเลย ขอถอดเสื้อหน่อยนะ ร้อนมากๆ เลย” ไม่ทันขาดคำ เสื้อตัวสวยก็ถูกถอดออกคาตาชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้อง เล่นเอาสติสตังกระเจิงไปหมด 

    มือหนาถูกยกขึ้นมาลูบหน้าอยู่หลายครั้ง พร้อมกับขยี้ผมตัวเองอย่างหาทางออก เพราะความรุ่มร้อนในตัวเขาเริ่มก่อตัวขึ้นมาสักพักแล้ว จนในที่สุดชายหนุ่มก็ตัดสินใจพาเจ้าหล่อนเข้าไปไว้ในห้องน้ำก่อนที่จะมีเสื้อผ้าชิ้นอื่นๆหลุดออกมา เพราะถ้าไม่อย่างนั้นเขาจะ....... 

    ซ่า.............เสียงน้ำจากฝักบัวรดลงที่ร่างบาง ที่ตอนนี้ยังกระสับกระส่ายเพราะฤทธิ์ยา อย่างไม่รู้ตัว เดือดร้อนก็แต่คนที่ทำหน้าที่เปิดน้ำดับพิษความร้อนให้เธอนั่นแหละ ที่ทั้งทรมานร่างกายและความรู้สึก เกิดมาก็เพิ่งครั้งนี้ครั้งแรกนี่แหละที่ทรมานขนาดนี้ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น

    “ตริณ แกจะไปไหนวะอย่าบอกนะว่ากลับบ้านเลย หรือว่าไปหากี้วะ” พิมานออกปากแซวเพื่อนเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตริณมีสาวสวยในปกครองอยู่

    “ฉันเลิกกับกี้แล้วล่ะ” เขาบอกพร้อมกับยิ้มน้อยๆ แล้วพาตัวเองขึ้นไปนั่งบนรถคันโปรดก่อนจะขับออกไปอย่างไม่สนสายตาอยากรู้อยากเห็นของเพื่อนสักเท่าไหร่

                    ก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ ถูกหิ้วติดมือขึ้นมาบนคอนโดหวังจะนำมาฝากใครสักคนที่ตอนนี้คงนั่งเคร่งเครียดทำงานจนดึกดื่นหรือไม่อย่างนั้นก็คงจะนั่งหลับคาโต๊ะทำงานอย่างเคย

    “พิมพ์  พิมพ์ ตื่นเถอะ”มือหนาสัมผัสเบาๆ ที่ไหล่ของคนนอนหลับ หวังปลุกให้ตื่น แต่ก็ต้องเปลี่ยนมาช้อนตัวหญิงสาวขึ้นแล้วพาไปวางไว้บนที่นอน

                    อุณหภูมิร่างกายที่เพิ่มขึ้นของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มถึงกับส่ายหน้าอย่างระอาใจ เธอทำงานหนักจนไม่ดูแลตัวเอง หากเขาไม่มาหาเธอวันนี้ เธอคงจะแย่ ผ้าขนหนูผืนน้อยถูกชุบน้ำแล้วบิดพอหมาดๆ วางลงบนหน้าผากคนตัวเล็กกว่า ส่วนอีกผืนถูกใช้ทำหน้าที่เช็ดตัวให้เจ้าหล่อน จะว่าไปเขาไม่เคยเอาอกเอาใจหรือดูแลผู้หญิงคนไหนเป็นพิเศษขนาดนี้เลยเพิ่งจะมีก็เธอคนนี้นี่แหละที่เขาทำให้ทุกอย่าง

    “วันนี้คุณพิมพ์ไม่มาทำงานหรอกหรือ” นาธานถามเลขาหน้าห้องของตัวเองเมื่อรู้ว่าวันนี้พิมพ์ประภายังไม่ได้มาทำงาน

    “วันนี้คุณพิมพ์เธอขอลาค่ะ” เลขาสาวบอกเจ้านายด้วยน้ำเสียงปกติ แต่คิ้วยังขมวดมุ่น นึกแปลกใจอะไรบางอย่าง

    “ทำไมถึงต้องขมวดคิ้วอย่างนั้นล่ะ หรือคุณมีอะไรที่สงสัย” นาธานถามเพราะคิ้วเจ้าหล่อนชนกันแล้วชนกันอีก ถ้าเป็นรถมันคงเละไปนานแล้ว

    “ก็.......คนที่โทรมาลางานไม่ใช่คุณพิมพ์น่ะค่ะ แล้วก็...เป็นเสียงผู้ชายด้วย” เธอบอกพลางนิ่งคิด ไม่ทันได้สังเกตสีหน้าของเจ้านายหนุ่มที่นั่งฟังอยู่

                    ใครกัน ? เท่าที่รู้พิมพ์ประภายังไม่มีคนรักหรือคนที่กำลังคบหากันตอนนี้นี่นา แล้วใครกันล่ะที่โทรมาลางาน  ยิ่งคิดยิ่งสงสัย 

                    รถยุโรปคันหรูที่จอดเทียบอยู่กับรถญี่ปุ่นสีขาว ทำให้เจ้าของรถอีกคันต้องขมวดคิ้วอย่างฉงนสงสัย หล่อนจำได้ว่านี่เป็นรถของตริณ แต่ตริณขอเลิกกับเธอแล้วจึงนึกแปลกใจเหมือนกันว่าเขามาทำอะไรที่นี่ หรือว่าเขานึกอยากกลับมาสานสัมพันธ์กับเธอดังเดิม ใบหน้าสวยโฉบเฉี่ยวแย้มยิ้มอย่างอารมณ์ดีรีบก้าวเท้าเข้าไปยังภายใน หวังว่าจะได้เจอคนที่เธอหมายตาเอาไว้  แต่เปล่าเลย ห้องของเธอยังคงว่างเปล่าไม่มีร่องรอยของผู้มาเยือนแม้แต่น้อย แล้วเขามาหาใครกัน? อารมณ์โกรธเริ่มคุกรุ่นขึ้นมาทันที จะมีใหม่ทั้งทีหาให้ไกลกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือ นางแบบสาวกัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน นึกอยากจะรู้นักว่าคนที่กล้าถึงขนาดทำให้ตริณบอกยกเลิกความสัมพันธ์กับหล่อนคือใคร แต่ที่แน่ๆ หล่อนคงจะไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ตริณไปอย่างสบายๆ หรอก รู้ฤทธิ์หล่อนน้อยไปเสียแล้ว

    “กินข้าวหน่อยนะ จะได้กินยา” ตริณยกชามข้าวต้มมาวางไว้ตรงหน้าคนป่วย

    “ฉันไม่หิว” เธอบอกเขาสั้นๆ น้ำเสียงราบเรียบเย็นชาอย่างที่พูดคุยกับชายหนุ่มทุกครั้ง

    “จะกินดีๆ หรือจะให้ผมป้อน บอกไว้ก่อนว่าผมไม่ป้อนด้วยช้อนหรอก แต่ผมจะป้อนด้วยปาก” เขาบอกแกมขู่  พูดจบก็ตักข้าวต้มขึ้นมาเป่าให้หายร้อนก่อนจะป้อนให้คนป่วยที่นอนอยู่บนเตียง

    “อิ่มแล้วหรือ อีกสักคำน่าจะดีนะ” เขาบอกเมื่อเห็นว่าเธอกินข้าวได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากแต่เธอกลับส่ายหน้าปฏิเสธเป็นการยืนยันว่าเธออิ่มแล้วจริงๆ เขาจึงหันไปหยิบยามาส่งให้

                    หัวใจที่เคยแห้งแล้งและเหน็บหนาวเริ่มรู้สึกอบอุ่นขึ้นอีกครั้งเมื่อสัมผัสได้ถึงความห่วงใยจากคนตรงหน้า หญิงสาวนอนหลับตาคิดถึงเรื่องราวดีๆ ในชีวิตซึ่งเป็นช่วงเวลาเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ที่เธอเคยคบหากับเขา รอยยิ้มน้อยๆ ผุดขึ้นบนริมฝีปากบางอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมานานแสนนานนับจากวันที่หัวใจแตกสลาย แม้วันนี้เธอจะไม่รู้ว่าเขากลับมาหาเธอด้วยเหตุผลอะไร แต่สิ่งที่เขาทำให้เธอตอนนี้มันทำให้เธอมีความสุขได้อย่างประหลาด อาจเป็นเพราะเมื่อก่อนเธอเป็นฝ่ายดูแลเขา แต่ตอนนี้เขากลับเป็นฝ่ายดูแลและเอาใจใส่เธอต่างหาก จึงทำให้เธอรู้สึกดี แล้วจะให้โอกาสเขาอีกสักครั้งมั้ย ไม่ เธอยังไม่อยากเจ็บปวดเจียนตายเหมือนเมื่อครั้งนั้นอีก

                    ทันทีที่ร่างบางหลับไป โทรศัพท์มือถือเจ้ากรรมของหล่อนก็ดันดังขึ้นมาราวกับต้องการเรียกให้ผู้เป็นเจ้าของลุกขึ้นมารับสาย ตริณหยิบโทรศัพท์เจ้าปัญหาขึ้นมาเพื่อจะดูว่าใครกันที่โทรเข้ามาในเวลานี้ทั้งๆ ที่เขาจัดการโทรไปลางานให้เธอแล้วเรียบร้อย 'นาธาน' ชื่อที่ปรากฏอยู่บนจอมือถือทำให้ตริณตัดสินในกดปิดเสียงโทรศัพท์เสีย เพราะถ้าเขารับนาธานก็จะรู้ว่าผู้ชายที่อยู่กับพิมพ์ประภาคือเขา มันคงจะเสียใจ ถ้ากดปิดเครื่อง คนป่วยคงเล่นงานเขาหากเธอหายดีแล้ว ฉะนั้นปิดเสียงไว้น่าจะเป็นการดีที่สุด และจะดีมากๆ ถ้าโทรศัพท์เครื่องนี้มัน....ไปอยู่นอกห้องนอนซะ  เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงจัดการนำมันไปไว้ที่โต๊ะด้านนอกและกลับมาทิ้งตัวลงนอนกอดคนป่วยอย่างสบายใจ

                    นายแพทย์พิสุทธิ์ต้องลืมตาตื่นขึ้นเมื่อรู้สึกถึงอะไรบางอย่างมาวางไว้ที่หน้าอกเขา เมื่อหยัดกายลุกขึ้นก็ต้องถอนหายใจแรงๆ เพราะผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่นอนข้างๆ เขานั้นช่างไม่มีความเป็นผู้หญิงเอาเสียเลย ดูเจ้าหล่อนสิ ขาก็วางไว้บนเอวเขาแขนก็พาดไว้บนหน้าอกเขา แล้วดูเสื้อที่ใส่อยู่ตอนนี้สิ  พิสุทธิ์กรอกตาขึ้นฟ้าอยู่หลายครั้งอย่างต้องการระงับอารมณ์ที่เริ่มฟุ้งซ่านอีกรอบเพราะไอ้กระดุมเสื้อของเจ้าหล่อนมันไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง เนื้อหนังมังสาทั้งหลายจึงล่อแหลมชวนให้สายตาของเขาอยากรู้อยากเห็น โธ่! หมอไม่ใช่พระอิฐพระปูนนะ เห็นอย่างนี้ก็ทรมานเป็นเหมือนกันนะแม่คุณ

    “คุณ ๆ ตื่นได้แล้ว” พิสุทธิ์ตัดสินใจปลุกคนตัวเล็กที่นอนหลับน้ำลายเริ่มไหลย้อย

    “หืมม์...อย่าเพิ่งปลุกตอนนี้ได้มั้ยพี่ธี นาราอยากนอนอีกแป๊บนึงนะนะ” เธอบอกทั้งๆที่ยังไม่ลืมตา

    “ตื่นได้แล้วแม่คุณ ที่นี่ไม่ใช่บ้านคุณนะ แล้วผมก็ไม่ใช่สามีคุณด้วย” พิสุทธิ์ตัดสินใจตะโกนใส่หูคนนอนขี้เซา เพราะถ้าเจ้าหล่อนขึ้นนอนต่อไปและเขายังเห็นอะไรๆ อยู่อย่างนี้ล่ะก็.....เธอคงจะไม่รอดมือเขาแน่  ครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่เขานอนบนเตียงเดียวกับผู้หญิงแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่มันทรมานน่าดูเลยเชียวแหละ

    ได้ผลทันทีเมื่อร่างบางสะดุ้งลุกขึ้นพรวดด้วยความตกใจ ก่อนจะตาโตเท่าไข่ห่านเมื่อเห็นว่าผู้ชายตรงหล่อนเป็นคุณหมอจู้จี้ที่เป็นหมอเจ้าของไข้เพื่อนเธอเมื่อวานนี้  แล้วเธอมาอยู่กับหมอจู้จี้นี่ได้ยังไงหว่า ? ดวงตากลมโตกวาดมองรอบๆ ห้อง นี่มันไม่ใช่ห้องของเธอนี่นา ห้องใคร ? ที่ไหน? คำถามมากมายผุดขึ้นในสมองว่าที่ด็อกเตอร์สาว เธอหันไปสบตาชายหนุ่มพร้อมเครื่องหมายคำถาม แต่เขากลับพยายามหันหน้าไปทางอื่น ไม่ได้ๆ เธอจะต้องถามให้รู้เรื่อง เท้าน้อยๆ ของเธอก้าวไปหยุดอยู่ตรงหน้าหมอหนุ่มทันที

    “ที่นี่ที่ไหน แล้วคุณหมอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” เธอเงยหน้าถามเขา ต้องยอมรับว่าเวลายืนใกล้ๆ คุณหมอก็สูงเอาการเหมือนกัน

    “คอนโดผม” เขายืนนิ่งพยายามหันหน้าไปทางอื่น  นี่เจ้าหล่อนไม่รู้ตัวเลยรึยังไงกันว่ากระดุมเสื้อมันหลุดไปกี่เม็ดแล้ว

    “แล้ว...ฉันมาที่นี่ได้ยังไง?” เธอถามเสียงเข้มขึ้น “คุณหมอ ช่วยหันมาคุยกันดีๆ ได้มั้ย ฉันไม่กัดหมอหรอก” เธอท้าวสะเอวต่อว่า

    “คุณช่วยจัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อนสิ” เขาบอกน้ำเสียงแหบพร่า เล่นเอาคนฟังหน้าแดง ก้มลงดูตัวเอง

    “อ๊ายยยยยย ! ไอ้หมอบ้าคุณทำอะไรฉัน” มือบางรีบจัดการติดกระดุมเสื้อทันที และเพิ่งสังเกตเห็นว่ามันไม่ใช่เสื้อผ้าที่เธอใส่เมื่อคืน แต่มันเป็นเสื้อเชิร์ตแขนยาวของผู้ชาย

    “ถ้าผมจะทำนะคุณไม่มีแรงมาด่าผมอย่างนี้หรอก เมื่อคืนคุณโดนมอมยา จำไม่ได้หรือไงกัน ดีเท่าไหร่แล้วที่ผมช่วยไว้น่ะ” เขาบอกอย่างเหลืออด ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ  อุตส่าห์ช่วย ที่ไหนได้แม่เจ้าประคุณดันมาด่าเขาเสียนี่

    เมื่อฟังคำบอกเล่าของเขาใบหน้าเนียนสวยที่ว่าแดงอยู่แล้วยิ่งแดงเข้าไปอีก เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน เธอเป็นฝ่ายรุกเร้าเขาเท่าที่จำได้นะ

    “เอ่อ....” พูดไม่ออกแฮะ

    “ว่าไง นึกออกแล้วใช่มั้ย” หมอพิสุทธิ์ถามน้ำเสียงราบเรียบ ให้ตายสิ!กลิ่นน้ำหอมของหล่อนมันยังหลงเหลืออีกหรือนี่ เขาต้องทรมานจนกว่าคุณเธอจะได้เสื้อผ้าแล้วออกจากคอนโดเขาไปหรือนี่

    “ขอโทษคุณหมอด้วยค่ะ คือ...ฉันขอชุดคืนได้มั้ยคะ” เธอออกปากขอเสื้อผ้าคืนจากเขาเพราะต้องการไปจากที่นี่เร็วๆ ไม่อย่างนั้นคงต้องหาอะไรมาคลุมหัวก่อน อายจะแย่แล้ว

    “ชุดคุณเปียกสายๆ แหละคงได้คืน เพราะผมส่งซักไปแล้ว” เออ จ๋อยเป็นเหมือนกันแฮะ ชายหนุ่มคิดพลางเหลือบมองแก้มแดงๆ ของคนตัวเล็กที่ตอนนี้อยู่ในเสื้อเชิร์ตแขนยาวของเขา

    “เอ่อ...คุณหมอไม่ไปทำงานหรอวันนี้น่ะ” นาราหาเรื่องชวนคุยแก้เขินขณะนั่งรอเสื้อผ้าจากแม่บ้าน

    “ผมเข้าเวรตอนบ่าย” ชายหนุ่มบอกพรางยกกาแฟขึ้นจิบ “ว่าแต่คุณเถอะงานการลาแล้วรึยัง ถูกหักเงินเดือนขึ้นมาโทษผมไม่ได้นะ”

    “ฉันยังไม่ได้ทำงานหรอก อีกสองวันฉันก็จะกลับไปเรียนต่อแล้ว” เธอบอกเขา นัยน์ตากลมโตยังเพ่งมองรายการโทรทัศน์อย่างสนใจ โดยไม่รู้ว่าสายตาคมตวัดมองมาด้วยความสนใจ 'ไม่น่าจะใช่เด็กมหาวิทยาลัยนี่นา'

    “ยังเป็นนักศึกษาอยู่หรือ อยู่ที่ไหนล่ะผมจะไปส่ง เขาลองหยั่งเชิงดู

    “คุณไปส่งฉันไม่ถึงหรอก ฉันเรียนที่นิวยอร์ค อีกสองสามเดือนก็จะจบแล้ว”

    “หืมมม...”พิสุทธิ์เลิกคิ้วเป็นคำถาม

    “ฉันมาเก็บรายละเอียดเพิ่มเติมนิดหน่อย วิทยานิพนธ์จะได้สมบูรณ์” เธอบอกเขาสีหน้ายิ้มแย้มเมื่อนึกถึงวันที่เธอจะได้เป็นด็อกเตอร์สมใจ

    'ว่าที่ด็อกเตอร์นี่เอง'  หมอพิสุทธิ์พยักหน้ารับรู้ และยกกาแฟขึ้นจิบต่อไป แต่มันช่วยอะไรเขาไม่ได้เลยเพราะความง่วงมีอิทธิพลมากกว่าฤทธิ์กาแฟมากมายนัก เขาจังหันไปหาหญิงสาวที่นั่งอยู่บนโซฟาอีกตัวเพื่อจะขอตัวเข้าห้องนอน ตั้งใจว่าจะบอกเธอให้ปลุกเขาหากได้เสื้อผ้าแล้วจะได้ไปส่งบ้านแต่.....'หลับตั้งแต่เมื่อไหร่?'  เขาว่าเขาง่วงและกำลังจะนอน แต่เจ้าหล่อนเล่นหลับทั้งๆที่ยังนั่งอยู่บนโซฟา นี่นะหรอว่าที่ด็อกเตอร์ เด็กม.ปลายชัดๆ หมอพิสุทธิ์อดที่จะยิ้มขำๆ ไม่ได้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×