คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ 8
ในบรรยากาศสบายๆ ของร้านอาหารแถบชานเมืองที่ตกแต่งร้านแบบผสมผสานระหว่างความเป็นไทยและตะวันตกอย่างลงตัว แถมภายนอกยังมีการแต่งสวนหย่อมให้เป็นทุ่งดอกไม้เล็กๆ สร้างความสดชื่นผ่อนคลายแก่ลูกค้าที่แวะเวียนมาอุดหนุน บวกกับรสชาติอาหารที่กลมกล่อมถูกปากจึงทำให้ร้านอาหารแห่งนี้เป็นหนึ่งในร้านอาหารยอดนิยมของกลุ่มคนทุกเพศทุกวัย สายลมอ่อนๆ ของต้นฤดูหนาว พัดผ่านหน้าต่างของร้านเข้ามาภายในช่วยสร้างความผ่อนคลายในอีกรูปแบบหนึ่งสำหรับคนกรุง แต่ไม่ว่าดอกไม้ภายนอกร้านจะสวยงามอย่างไร ก็ไม่อาจเรียกความสนใจของผู้คน(โดยเฉพาะหนุ่มๆ) ได้ดีเท่าสาวสวยโฉบเฉี่ยวซึ่งควงคู่มากับใครอีกคนกำลังย่างกรายเข้ามาภายในร้าน
ภาพนางแบบสาวชื่อดังค่าตัวเฉียดแสนเดินควงมากับนักธุรกิจรูปหล่อ เก่ง และเฉียบขาดอย่างตริณ สร้างความสนใจแก่ผู้คนรอบข้างได้ไม่ยากเลยสักนิด สาวๆ หลายคนเริ่มหันหน้าเข้าหากันพูดคุยถึงหนุ่มหล่อที่เพิ่งเดินเข้ามา ส่วนหนุ่มภายในร้านมองภาพเบื้องหน้าด้วยสายตาที่บอกได้คำเดียวว่าอิจฉา ผู้ชายคนไหนก็ต้องอยากควงสาวสวยอย่างอนันดาทั้งนั้นแหละเพราะหล่อนทั้งดัง ทั้งรวย แถมใจถึงอีกต่างหาก
“ทำไมเราไม่ไปทานที่อื่นคะ กี้อยากนั่งในห้องแอร์เย็นๆ” หล่อนประท้วงตริณทันทีที่ทิ้งกายลงบนเก้าอี้
“แต่ที่นี่อาหารอร่อยนะ รับรองว่ากี้จะติดใจ” เขาบอกด้วยท่าทีสบายๆ แต่ความจริงแล้วเขาต้องเค้นสมองค่อนข้างเยอะที่จะทำอย่างไรให้หล่อนรู้สึกเบื่อหน่ายและขอตัวกลับไปพักที่คอนโด
“แต่ยังไงกี้ก็อยากนั่งในห้องแอร์อยู่ดีนั่นแหละค่ะ เราเข้าไปนั่งกินที่ร้านอื่นไม่ดีกว่าหรือคะ” หล่อนออกปากชวนเขา ถือเป็นการยืนยันเจตนารมณ์ของหล่อนและนั่นทำให้ตริณพอใจเพราะเขาวางแผนไว้หมดแล้ว
“ ไม่ได้หรอก ผมมีตรวจคลังสินค้าถ้าเข้าไปกินที่ร้านอื่นอาจไม่อร่อยก็ได้ แถมร้านโปรดของกี้ก็อยู่แสนไกล วันหลังแล้วกันดีมั้ย” เขาบอกพร้อมกับยิ้มน้อยๆ อย่างเอาใจ แต่ความจริงแล้วแสนจะดีใจแทบกระโดดหากทำได้
และแน่นอนว่าตริณรีบจัดบริการเสริมให้หล่อนด้วยการโทรตามวศินลูกน้องคนสนิทให้มาทำหน้าที่เป็นสารถีแทนเขาส่งหล่อนถึงคอนโดที่พัก อย่างปลอดภัย เขาช่างน่ารักเสียเหลือเกิน ในสายตาคนทั้งหลาย แต่ใครเลยจะรู้ว่านี่แหละวิธีสลัดความยุ่งยากวิธีหนึ่งของตริณ นุ่มนวลอ่อนโยน แต่คนที่ถูกจัดการไม่รู้ตัว จะรู้ตัวอีกทีก็โน่นแหละถูกเหวี่ยงกระเด็นไปไกลสุดกู่แล้ว ชายหนุ่มยังคงนั่งอ่านเอกสารในมืออยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิมหลังจากที่อนันดาเดินออกจากประตูร้านอาหารไปแล้ว เพราะยังต้องรอผู้จัดการคลังสินค้าและวัตถุดิบ
กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ที่คุ้นเคยสัมผัสเข้าสู่จมูกของชายหนุ่มผู้ซึ่งกำลังเคร่งเครียดกับเอกสารในมือ มันสามารถเรียกให้สายตาคู่คมให้ละจากเอกสารในมือได้ไม่ยาก ในใจของตริณภาวนาให้เธอที่ใช้น้ำหอมกลิ่นนี้ไม่ใช่พิมพ์ประภาแต่ถึงจะใช่ก็ขอให้มาคนเดียว แต่ความหวังของเขามันกลับไม่เป็นความจริงเพราะเจ้าของกลิ่นน้ำหอมนั่นคือพิมพ์ประภาที่กำลังเดินผ่านเขาไป โดยมีชายหนุ่มอีกคนเดินตามอยู่ด้านหลัง แค่มองก็รู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร
“พิมาน” ชายหนุ่มตัดสินใจเรียกเพื่อนสนิท เสียงแผ่ว หากแต่ผู้เป็นเจ้าของชื่อก็ยังได้ยิน
“อ้าว แกมาทำอะไรที่นี่น่ะ” พิมานหันมาทักทายเพื่อน ซึ่งนั่นก็สามารถทำให้พิมพ์ประภาหันมามองด้วยความสนใจ
“ฉันมีธุระน่ะ แล้วแกล่ะ มาทำอะไรที่นี่” เขาถามหากแต่สายตากลับมองไปยังหญิงสาวซึ่งเพิ่งเดินผ่านเขาไปเมื่อสักครู่ กลิ่นน้ำหอมของเธอยังคงติดจมูกเขา
และเหมือนพิมานจะรู้ว่าเพื่อนตัวดีไม่ได้สนใจเขาสักเท่าไหร่ แต่สนใจคนที่มาด้วยต่างหาก
“นายมีนัดสำคัญกับลูกค้ารึเปล่า”
“เปล่า ฉันนักคุยงานกับลูกน้องน่ะ นั่งด้วยกันสิ”
“แกกินข้าวรึยัง?” พิมานถามขึ้นขณะกำลังสั่งอาหาร
“สั่งเผื่อฉันด้วย” นี่คือคำตอบของตริณ แม้เขาจะรับประทานมื้อเที่ยงกับอนันดาคู่ขา ไปแล้วแต่ใช่ว่าเขาจะอิ่มจนพุงกางเสียเมื่อไหร่ ตรงกันข้ามเขากลับไม่รู้สึกอร่อยเลยด้วยซ้ำไป แต่ตอนนี้เขาเริ่มอยากกินข้าวเที่ยงขึ้นมาอีกรอบเพราะหน้าสวยๆ ของเธอซึ่งนั่งตรงกันข้ามกับเขานี่แหละ
“ตริณ มานั่งนี่ก่อนสิ” น้ำเสียงเรียบๆของคุณหญิงพวงผกาดังขึ้นเมื่อเห็นบุตรชายเดินเข้าบ้าน
“แม่มีอะไรหรือครับ” ชายหนุ่มทิ้งกายลงบนโซฟาแสนนุ่ม ใกล้ๆมารดา
“เมื่อสองวันก่อนไม่เห็นกลับบ้านไปไหนมาหรือ” คุณหญิงพวงผกาละสายตาออกจากนิตยสารเล่มโปรดหันมามองหน้าบุตรชายตัวดีที่ทำตัวล่องหน
“ไปนอนที่คอนโดครับ” เขาตอบหน้าตาเฉย แม้จะรู้สึกถึงคำถามที่พุ่งมาจากดวงตาของผู้เป็นแม่
คุณหญิงพวงผกาถึงกับเลิกคิ้วเป็นคำถาม ร้อยวันพันปีไม่เคยอยากอยู่คอนโดแล้วนึกอย่างไรกันถึงไปอยู่คอนโด แล้วซื้อไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมเธอจึงไม่รู้เรื่องเลย
“ผมแค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศดูน่ะครับแม่”
“อืม...ว่าแต่คืนนี้ไปเป็นเพื่อนแม่ที่งานเลี้ยงหน่อยนะ”
“แม่ครับ ผมไม่ค่อยชอบเลย” เขาบอกด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย
“แต่เราเป็นนักธุรกิจ นักธุรกิจต้องมีการพบปะสังสรรค์ ต้องเข้าสังคมเพื่อรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ไม่ใช่วันๆ มัวแต่หนีบสาวคนนั้นไปนั่น หนีบสาวคนนี้ไปนี่ มันไม่ค่อยสร้างสรรค์สักเท่าไหร่เลย” คุณหญิงพวงผกาต่อว่าบุตรชายตัวดีกรายๆ ถึงแม้จะเข้าใจถึงความเจ้าชู้ว่ามีอยู่ถ้วนทั่วทุกตัวตนของผู้ชาย แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เธอชื่นชอบสักเท่าไหร่ ก็ดูอย่างสามีเธอสิ กว่าจะจัดการอยู่หมัดเหนื่อยแทบแย่เหมือนกัน แล้วนี่มันยังถ่ายทอดทางพันธุกรรมมายังเจ้าตัวดีทั้งหลายของเธออีก แก้ไม่ตกจริงๆ
“ก็ได้ครับ” เขารับคำอย่างเสียไม่ได้ ทำไงได้ก็ตอนนี้มีเขาอยู่บ้านคนเดียว ทั้งพี่ชาย ทั้งน้องชายต่างหนีหน้าไปสู่ที่ๆ ตัวเองชอบกันหมด
“ดี อ้อแม่ลืมบอกไป ว่าจะบอกหลายหนแล้ว” คุณหญิงทำท่าอย่างคนที่เพิ่งนึกอะไรได้ แต่ความจริงแล้วเธอนั่งคิดอยู่นานทีเดียวว่าจะออกปากอย่างไร
“อะไรหรือครับ” คราวนี้เป็นชายหนุ่มเองที่ต้องเลิกคิ้วส่งคำถามไปยังมารดา
“เข้าเลขสามมากี่ปีแล้วล่ะ”
“หือ........แม่ว่าไงนะครับ”
“ไม่ต้องมาทำไขสือ อายุป่านนี้เมื่อไหร่จะมีเป็นตัวเป็นตน ควงคนนั้น ควงคนนี้ เมื่อไหร่จะมีตัวจริงซะที ฉันอยากอุ้มหลานจะแย่แล้ว” คุณหญิงเลือกที่จะพูดตรงๆ ไม่นิยมการอ้อมค้อมให้มากความ
“อืม...เล็งๆ อยู่เหมือนกันครับ แต่ไม่รู้ว่าแม่จะรับได้รึเปลา” เขาแกล้งหยอกมารดาเล่น นัยน์ตาวิบวับ
“ใคร ? อย่าบอกนะว่าแม่กี้อะไรนั่น นางแบบเปรี้ยวจี๊ดเข็ดฟันนั่นน่ะนะ แม่ขอแนะนำว่าเป็นคนอื่นดีกว่ามั้ย” คุณพวงผการีบออกปาก ไม่ใช่ว่ารังเกียจเดียดฉันท์อะไรกับชาติกำเนิดหรือฐานะของคนที่จะมาเป็นสะใภ้หรอก แต่แม่นางแบบสาวคนนั้นคงไม่เหมาะสักเท่าไหร่ ก็หล่อนเล่นควงผู้ชายไม่ซ้ำหน้า แล้วที่สำคัญ นอกจากบุตรชายของเขาแล้วหล่อนยังไปกิ๊กกั๊กกับชายหนุ่มคนอื่นอีก อย่างนี้ไม่ไหวหรอก
“ใครบอกแม่กัน?”
“แล้วแกมีใครที่ไหนอีกล่ะ”
“อืม...คนนี้เป็นด็อกเตอร์”เขาบอกยิ้มๆ เรียกความกระหายใคร่รู้จากมารดา
“หืมม์ ขนาดด็อกเตอร์ยังตกหลุมที่แกขุดอีกหรอ” คุณหญิงอดที่จะแปลกใจไม่ได้
“แม่จำแผลที่หัวผมได้มั้ยครับ”
“อืมจำได้ แล้วตกลงแกไปทำอะไรไว้ถึงมีคนให้รางวัล คงไม่ใช่ไปหิ้วสาวของคนอื่นมาหรอกนะถึงได้แผลเป็นของฝาก”
“นั่นน่ะ ฝีมือด็อกเตอร์ที่ผมบอกแม่ไง” เขาตอบ สีหน้าชายหนุ่มออกอาการหวั่นๆ เมื่อนึกถึงแจกันใบสวยที่ทำให้เขาถึงกับเลือดตกยางออก
“ใครกัน อยากเห็นหน้าจริง” คุณหญิงถามเสียงดัง เล่นเอาคนเป็นลูกตกใจคิดไปไกล
“แม่ แม่จะทำอะไรครับ” เขาถามอย่างตกใจ เกรงว่ามารดาเขาจะไปทำอะไรพิมพ์ประภาเข้า
“อยากเห็นหน้าจริง อย่างนี้สิเหมาะสมจะเป็นสะใภ้บ้านปรีดากุล” คุณหญิงพวงผกาพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ทำเอาคนเป็นเจ้าของเรื่องถึงกับหน้าเหวอไปเลยทีเดียว ก่อนจะหันมาทางบุตรชาย “เล่าทุกอย่างให้ฉันฟังอย่างละเอียด” เธอสั่งเสียงเข้ม เพราะคิดว่าการที่บุตรชายตัวดีถึงกับเลือดตกยางออกนั้นคงไม่มีสาเหตุมาจากเรื่องดีๆ อย่างแน่นอน
ตริณ จึงตกอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถปฏิเสธได้เพราะไม่อย่างนั้นแล้วเขาอาจจะไม่ต้องไปงานเลี้ยงแต่จะต้องนั่งฟังมารดาสวดสรรเสริญจนกว่าจะพูดความจริงจากมารดา เพราะใครๆก็รู้ว่าแม่เขาน่ะจับโกหกเก่งเป็นที่สุด ต่อให้โกหกหน้าตายอย่างไรก็ตาม ไม่เคยรอดสักราย จึงทำได้เพียงแค่เล่าทุกอย่างให้มารดาฟัง และตอบคำถามมากมายที่ประดังออกมาจากริมฝีปากกล้าของมารดา
“แม่หัวเราะอะไร ?” เขาถามอย่างแปลกใจ ที่เห็นมารดาหัวเราะเสียงดังลั่นบ้าน ราวกับดูหนังตลก อยู่หน้าจอทีวี
“ก็หัวเราะแกไง แล้วรู้ไหมว่าแกน่ะโชคดีแค่ไหนแล้วที่แค่หัวแตกถ้าผู้หญิงคนนั้นเป็นแม่นะ แกสูญพันธุ์ไปนานแล้ว” คุณหญิงพวงผกาบอกยิ้มๆ รู้สึกถูกใจกับเรื่องราวทั้งหลายที่รับรู้รับฟัง
“อะไรจะขนาดนั้นแม่ แม่จะโหดถึงขนาดนั้นเลยหรือ”
“ไปถามพ่อแกดูสิ” คำตอบสั้นๆ ที่ตริณต้องกลืนน้ำลายเพราะเขารู้ว่าตอนหนุ่มๆ พ่อเจ้าชู้อย่าบอกใคร แต่แม่ก็จัดการทุกอย่างได้อย่างสบายมือ
หวังว่าพิมพ์คงจะไม่เหมือนแม่เขานะ
“อ้าวจะไปไหนล่ะนั่นดึกแล้วนะตริณ”คุณหญิงพวงผกาถามขึ้นเมื่อเห็นบุตรชายตั้งท่าจะออกไปข้างนอกอีกครั้งทั้งๆ ที่เพิ่งกลับมาจากงานเลี้ยง
“ไปดูว่าที่ลูกสะใภ้แม่นั่นแหละ ไม่รู้ป่านนี้หลับคาโต๊ะทำงานอีกรึเปล่า” เขาบอกอย่างอารมณ์ดี จะไม่อารมณ์ดีได้อย่างไรในเมื่อมารดาเขาไฟเขียวตั้งแต่ยังไม่เห็นหน้าว่าที่ลูกสะใภ้ แถมยังมีทีท่าพอใจสุดๆ ที่ว่าที่ลูกสะใภ้สามารถทำให้เขาเลือดตกยางออกได้ ดูท่าแล้วเขาคงจะเป็นหมาหัวเน่าได้ง่ายๆ ถ้าพิมพ์ประภาเข้าไปอยู่ในบ้าน
“ตริณ”
“ครับ”
“อย่าลืมซื้ออะไรร้อนๆ ไปฝากเขาด้วยนะ ผู้หญิงน่ะไม่ว่าเก่งแค่ไหน ยังไงก็ต้องการให้คนที่ตัวเองรักใส่ใจ” คุณหญิงพวงผกาอดที่จะบอกเคล็ดลับเอาใจว่าที่ลูกสะใภ้ไม่ได้
กลิ่นหอมของโจ๊กยามดึกโชยเข้าสู่จมูกของคนที่นอนหลับฟุบอยู่กับโต๊ะทำงาน น้ำย่อยเริ่มทำงานทันทีที่จมูกสัมผัสกลิ่น เปลือกตาที่ปิดสนิทเริ่มขยับเปิดขึ้นเพราะความหิวเริ่มก่อตัว
“ตื่นแล้วหรือ มากินโจ๊กก่อนสิผมซื้อมาฝาก” ชายหนุ่มวางชามโจ๊กหอมกรุ่นไว้ตรงหน้าแทนที่แฟ้มเอกสารทั้งหลายบนโต๊ะ
หญิงสาวมองหน้าเขานิ่งๆ ไม่รู้จะพูดอะไรออกไป จะขอบคุณหรือจะไล่เขาออกไปจากห้องนี้ดี
“กินก่อนเถอะ ท้องคุณประท้วงแล้วนะ” เขาบอกยิ้มๆ เมื่อได้ยินเสียงร้องครวญครางดังมาจากระเพาะน้อยๆ ของเธอ
เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ไม่ผิด หล่อนหลับคาโต๊ะทำงานเหมือนเมื่อวันนั้น เขาเริ่มนึกสงสัยว่าตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาผู้หญิงตรงหน้าเขานอนหลับบนโต๊ะทำงานหรือบนเตียงนอนมากกว่ากัน แต่ดูแล้วจะเป็นอย่างแรกเสียมากกว่า แม่บอกเขาว่าหากเธอไม่รักเขาก็คงจะมีใครใหม่ไปนานแล้ว และคงไม่นั่งร้องไห้เมื่อรู้ว่าทำให้เขาเจ็บตัว คำบอกของแม่ทำให้เขาใจชื้นขึ้นมาอีกโขทีเดียว ภาพของหญิงสาวที่นอนหลับชนิดหมดสภาพด็อกเตอร์สาวที่แสนมาดมั่นที่ทุกคนมองเห็นในเวลาทำงาน ทำให้เขาต้องส่ายหน้าน้อยๆ กับการไม่รู้จักดูแลตัวเองเอาเสียเลยของเธอ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจจัดการเทโจ๊กที่เขาซื้อติดมือมาด้วยใส่ชามแล้วนำไปให้เธอ ไม่รู้หรอกว่าเธอจะกินหรือไม่ แต่อยากทำในสิ่งที่เขาไม่เคยทำให้เธอ จะว่าไปมันก็รู้สึกดีเหมือนกันนะ
“อร่อยมั้ย” เขาถามสั้นๆ น้ำเสียงอ่อนโยน เมื่อเห็นเธอวางช้อนลง บอกว่าอิ่มแล้ว
“ค่ะ”
“ดูแลตัวเองมั่งสิ อยู่คนเดียวเจ็บป่วยไปใครจะมาดูแล” เขาบอกขณะเอื้อมมือหยิบชามตรงหน้าจะนำไปล้าง หากแต่มือบางกลับดึงไว้
“เดี๋ยวฉันจัดการเองค่ะ” เธอบอกเขา มือบางยังรั้งชามใบนั้นไว้
“ผมจัดการเอง คุณน่าจะไปอาบน้ำได้แล้วนะ นี่มันจะดึกแล้ว” เขาบอกแล้วหันตัวกลับไปยังห้องครัวเพื่อจัดการกับชามในมือ ดวงตาคมปราบเพ่งมองชามในมือที่ตอนนี้ว่างเปล่า อย่างพอใจ หล่อนคงหิวไม่น้อย นึกดีใจอยู่เหมือนกันที่แม่บอกให้เขาซื้ออะไรมาฝากเธอ เพราะหากปล่อยให้เธอลงไปหาอะไรกินกลางดึกเช่นนี้ ก็ไม่แน่เหมือนกันว่าจะปลอดภัย
ทันทีที่ร่างบางก้าวเท้าออกจากประตูห้องน้ำร่างสูงของอีกคนก็เดินสวนเข้าไปในห้องน้ำทันทีเหมือนกัน ทำเอาคนเป็นเจ้าของห้องต้องขมวดคิ้วสงสัย 'เขาไม่ได้กลับไปแล้วหรือ' แต่คำตอบก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าหล่อนเมื่อเห็นว่ามีชุดนอนของเขาวางอยู่ที่ปลายเตียง แสดงว่าเขาเตรียมพร้อมที่จะมานอนค้างที่คอนโดแห่งนี้ พิมพ์ประภาไม่รู้จะดีใจหรือหงุดหงิดใจดี เพียงเวลานานชายหนุ่มก็เดินออกมาจากห้องน้ำหยิบชุดนอนของตัวเองจัดแจงสวมใส่โดยไม่สนสายตางุนงงของหญิงสาวที่มองมา ไม่ต้องรอให้เธอถามเขาก็ทิ้งตัวลงบนที่นอนทันที ไม่หันไปมองคนที่กำลังเป่าผมให้แห้งอยู่ เปลือกตาเขาทำหน้าที่ทันทีทันใดเมื่อศีรษะวางอยู่บนหมอนแสนนุ่ม ร่างบางถึงกับส่ายหน้าอย่างระอาใจ เธอไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี จะไล่ออกไปก็ใช่ที่เพราะเขาหลับไปเสียแล้ว จึงทำได้แค่ปล่อยไว้อย่างนั้น
ดวงไฟหัวเตียงซึ่งเป็นดวงไฟดวงสุดท้ายถูกดับลงเมื่อเจ้าของห้องกดสวิตซ์ปิด และเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็วเพราะอ่อนล้าจากงานที่ทำ
ดวงตาคมเข้มของใครบางคนเพ่งมองใบหน้ารูปไข่ที่หลับพริ้มอยู่ข้างๆ กาย เขาลุ้นอยู่ในใจตั้งนานว่าเธอจะปลุกเขาให้ตื่นและไล่ตะเพิดเขาออกไปหรือไม่ แต่ปรากฏว่าไม่ คงเป็นเพราะเธอเห็นว่าเขานอนหลับไปแล้วกระมัง อืม...แสดงว่ามุขนี้ได้ผล มือหนาเอื้อมกอดกระชับร่างบางไว้แน่นพลางคิดในใจ 'กอดตอนตื่นไม่ได้ ขอกอดตอนหลับอย่างนี้ก็ยังดี' ไม่กอดเปล่า จมูกโด่งคมยังทำหน้าที่สูดความหอมจากแก้มนวลของคนที่กำลังนอนหลับ ไม่รู้เขาทนได้อย่างไรกัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนล่ะก็รายไหนรายนั้น ไม่รอดหรอกรับรองไม่มีทางนอนกอดเฉยๆ แบบนี้หรอก ต่อให้หลับเขาก็จะปลุกแต่กับเธอคนนี้ถ้าจะพูดกับแบบตรงๆ ก็...ไม่กล้าปลุกขึ้นมาหรอก ถึงแม้จะไม่อยากยอมรับสักเท่าไหร่ว่าเขาค่อนข้างเกรงใจเธอตั้งแต่หัวแตกวันนั้น แต่ก็ต้องยอมรับทำไงได้ล่ะก็ในเมื่อ....มันเป็นเรื่องจริง
ความคิดเห็น