ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ใจเดียว (เปลี่ยนจากหนึ่งฤทัยค่ะ)

    ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ 7

    • อัปเดตล่าสุด 30 ม.ค. 53


    ติ๊ด  ติ๊ด ////

    เสียงโทรศัพท์ของชายหนุ่มดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เรียกเจ้าของให้ออกจากภวังค์เพื่อกดรับสาย  ทว่าชายหนุ่มกลับวางมันลงที่เดิมเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์โทรศัพท์ของใคร

    ติ๊ด  ติ๊ด ////

    เจ้าเครื่องมือสื่อสารราคาแพงยังคงทำหน้าที่ของมันได้อย่างเยี่ยมยอดเหมือนเดิม ชายหนุ่มตัดสินใจกดรับสายเพื่อตัดทิ้งความน่ารำคาญทั้งหลาย

    “ครับกี้”  

    “วันนี้ตริณว่างมั้ยคะ” ปลายสายถามเสียงหวาน

    “ไม่ว่างครับ วันนี้ผมมีงาน” ชายหนุ่มบอกปัดไปเพราะรู้ดีว่าเธอโทร.หาเขาด้วยเรื่องใด

    “แต่คุณไม่ได้มาหากี้ตั้งนานแล้วนะคะ กี้คิดถึงคุณนะคะ” ปลายสายยังคงออดอ้อน หวังให้เขาใจอ่อน เพื่อที่จะได้มาหาเธอ

    “แต่ผมไม่ว่างจริงๆ ครับ”  ชายหนุ่มยังคงยืนยันคำเดิมน้ำเสียงหนักแน่น แม้ว่าวันนี้เขาจะไม่มีนัดที่ไหนก็ตาม

    แต่...”

    “ไว้ผมว่างเมื่อไหร่ ผมจะไปหานะ” เขาวางสายโทรศัพท์ทันที ที่พูดสิ่งที่คิดออกไปจบ ไม่รอให้หล่อนได้พูดพล่ามต่อไปอีก

                    นี่คือนิสัยอย่างหนึ่งของตริณ สิ่งหนึ่งที่ชายหนุ่มไม่ชื่นชอบเอาเสียเลย คือการจุกจิกจู้จี้ และการพูดจาเซ้าซี้ ไม่รู้เรื่อง ของบรรดาผู้หญิงทั้งหลายที่มักจะมีอยู่ในตัวทุกคน  พลันในใจครุ่นคิดไปถึงผู้หญิงอีกคนที่ไม่เคยแม้แต่จะขัดใจเขา  พิมพ์ประภานั่นเอง หล่อนน่ารัก และตามใจเขาเสมอ ทุกครั้งที่หล่อนโทร.หาเขาและถ้าเขาบอกว่าติดประชุมหรือมีงาน เธอก็จะไม่โทร.มารบกวนอีก  ในเวลานั้นเขายังไม่เคยรู้ถึงข้อดีในเรื่องนี้เพราะยังไม่ได้ทำงานอย่างเต็มตัว แต่วันนี้เขารู้ซึ้งแล้วว่าการที่มีผู้หญิงที่ไม่จุกจิกหรือช่างเซ้าซี้ อยู่ข้างกาย เป็นเรื่องดีอย่างไร  แต่กว่าจะรู้ตัวเขาก็เผลอ ทิ้งทับทิมเม็ดงามไปแล้ว และแทบจะมองไม่เห็นทางด้วยซ้ำไป ที่จะทำให้เธอกลับมาเป็นของเขาอย่างเต็มใจ

                    รถสปอร์ตคันหรูเลี้ยวเข้ามาจอดเทียบรถยนต์ญี่ปุ่นสีขาวบนลานจอดรถกว้างของคอนโด  ร่างสูงก้าวลงจากรถด้วยท่าทีมั่นคง    ใบหน้านิ่งสงบเรียบเฉย ไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา แม้ว่าตอนนี้หัวใจของเขากำลังเต้นโครมครามจน เขาคิดว่าเสียงของมันคงดังออกมาข้างนอกแล้ว    เพียงเวลาไม่กี่นาทีต่อมา ร่างสูงก็มาหยุดอยู่ที่ประตูหน้าห้อง ๆ หนึ่ง  ก่อนจะหยิบลวดเสียบกระดาษที่พกติดตัวเสมอที่คิดจะมาที่นี่ออกมา จัดการไขประตูเข้าไป แม้จะรู้สึกหวาดเสียวอยู่บ้างก็ตาม   ใบหน้าหล่อเหลาหันมองซ้ายขวาเมื่อไม่พบสิ่งที่จะทำร้ายเขาลอยมา ก็รู้สึกวางใจขึ้น

                    ภาพหญิงสาวรูปร่างบอบบางนั่งหลับบนโต๊ะทำงาน ในห้องนอนของตัวเอง ทำให้ชายหนุ่มผู้มาเยือนต้องขมวดคิ้วจนมันแทบจะชนกัน  'เธอทำงานหนักขนาดนี้เลยหรือ' คำถามแรกเริ่มแล่นเข้าสู่สมองของเขา ก่อนจะยกข้อมือของตัวเองขึ้นเพื่อดูเวลา '01.00 น'. แล้วส่ายหน้าช้าๆ  รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเงียบขรึมนั้น  

                    มือเรียวบางยังคงจับปากกาไว้มั่น แม้ว่าเจ้าตัวจะหลับไปแล้วก็ตามที  แฟ้มเอกสารที่ยังเปิดค้างไว้ 2-3 แฟ้ม บ่งบอกให้รู้ว่าหญิงสาวเคร่งเครียดกับมันมานานขนาดไหน   มือหนาค่อยๆ ช้อนร่างบางขึ้นมาไว้แนบอกและอุ้มเธอไปวางไว้บนเตียงนอนกว้าง ที่หนานุ่มสบายกว่าโต๊ะทำงาน  ชายหนุ่มจัดการห่มผ้าห่มให้เธอและไม่ลืมปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้มีความเย็นกำลังดี เพราะไม่ต้องการเห็นเธอป่วย   ก่อนจะจัดการเก็บแฟ้มเอกสารที่ถูกเปิดทิ้งไว้ ให้เข้าที่ และเดินกลับมาที่เตียงนอน  ก้มจุมพิตหน้าผากมนอย่างนุ่มนวล และหันกายกลับออกไปจากห้องของเธออย่างเงียบๆ    ความรู้สึกบางอย่างก่อเกิดขึ้นในหัวใจ   แม้จะไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่สิ่งที่ตอบได้ในทันทีคือความสุข  ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ  ให้กับตัวเอง

                    แสงแดดอ่อนๆ ในยามเช้าสาดส่องผ่านกระจกหน้าต่างที่ไม่ได้มีม่านบดบังไว้ ปลุกคนที่นอนหลับพริ้มใต้ไออุ่นของผ้าห่มผืนหนา ให้ตื่นขึ้นเพื่อรับเช้าวันใหม่  หญิงสาวบิดตัวเองอย่างเกียจคร้าน  รู้สึกแปลกๆ  จึงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนตัวเองนั่งทำงานที่โต๊ะทำงานตัวนั้นนี่นา แล้วทำไมตัวเองถึงได้มานอนที่เตียงได้  อีกทั้งแฟ้มเอกสารทั้งหลายก็ปิดและวางเป็นระเบียบเรียบร้อย หญิงสาวเอียงคอมองขมวดคิ้วครุ่นคิด แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกเสียที แต่เมื่อไม่มีอะไรผิดปกติจึงตัดบทเอาว่าตัวเองคงจะละเมอ ทั้งที่ความจริงแล้วเธอไม่เคยละเมอแบบนี้เลยสักครั้ง

    “กุญแจห้องค่ะ”  พนักงานหน้าเคาท์เตอร์ส่งยิ้มหวานให้บุรุษหนุ่มเบื้องหน้าที่ติดต่อขอซื้อห้องพักที่ว่างอยู่

    “ขอบคุณครับ” ร่างหนารับกุญแจมาไว้ในมือ และเดินไปยังลิฟต์ เพื่อขึ้นไปยังห้องพักที่ตัวเองเพิ่งจะซื้อด้วยเงินสดเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา อย่างไม่รีบร้อนนัก

                    คอนโดแห่งนี้นับว่าตั้งอยู่ในพื้นที่ใจกลางเมือง  มีการแบ่งสัดส่วนอย่างชัดเจนตามความพอใจของลูกค้าที่ซื้อ และมีสนนราคาที่สามารถเลือกได้สองระดับ คือระดับหรูหรา ประเภทนักธุรกิจพันล้านหรือไฮโซ ซึ่งถือว่าแพงมาก  ส่วนอีกระดับคือสำหรับคนทำงาน แม้จะไม่กว้างขวางเท่าประเภทแรก แต่ก็ไม่ได้คับแคบ ส่วนราคานั้นแม้จะถูกกว่าแบบแรกแต่ก็แพงเอาการเช่นกัน คนที่จะอยู่ได้คงจะต้องเป็นพนักงานระดับบริหารเท่านั้นจึงจะสามารถซื้อคอนโดแห่งนี้ได้   สำหรับพิมพ์ประภาแล้วหล่อนคงเลือกที่นี่เพราะอยู่ใจกลางเมือง ใกล้ที่ทำงาน  มากกว่าที่จะอวดร่ำอวดรวยกับคนอื่นเพราะจากที่เขาเฝ้ามองเธอเห็นเพียงแค่สิ่งเดียวที่เธอทุ่มเทเวลาให้นั่นคืองาน  มันคงจะเป็นเพื่อนคลายเหงาของเธอกระมัง  

                    แม้จะยังรักชีวิตโสด รักที่จะสนุก ตามประสาหนุ่มโสดเจ้าเสน่ห์ แต่กาลเวลามักจะทำหน้าที่ย้ำเตือนให้ผู้คนได้ครุ่นคิดเรื่องสิ่งสำคัญในชีวิตเสมอ ตริณเองก็เช่นกัน ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาใช้ชีวิตโสดอย่างคุ้มค่า สนุกกับชีวิตโสดใช้สาวๆ ในสังกัดจนคุ้ม และสลัดเธอเหล่านั้นออกไปทันทีที่เขาเริ่มรู้สึกเบื่อหรือไม่มีอะไรตื่นเต้น   ตอนนี้เขาทำงานในระดับผู้บริหารของบริษัท เป็นที่รู้จักของผู้คน  'หากมีใครสักคนคอยดูแลเขาและเป็นคนที่เขาอยากดูแลก็คงจะดี' ชั่ววินาทีที่สมองของเขาคิดเช่นนี้  แต่ในที่สุดเขาก็สลัดมันทิ้งไป ก่อนจะก้มลงมองเครื่องมือสื่อสารในมือและตัดสินใจใช้มัน

    “มีอะไร ถึงโทรหาฉันได้”  เสียงปลายสายตามอย่างแปลกใจ ปกติแล้วตริณจะไม่โทรหาใครในตอนเช้าของวันหยุด

    “ไม่มีอะไรหรอก มาสังสรรค์กันสักหน่อยสิ ไม่ได้นั่งคุยกันนานเป็นเดือนแล้วพวก” เขาออกปากชวนเพื่อน

    “ได้ แต่ฉันไม่กินเหล้าแต่หัววันนะ ถ้านั่งคุยกันธรรมดาๆ พอได้”

    “อันนั้นฉันรู้น่า แล้วแกก็โทรบอกไอ้นาธาน กับไอ้พิสุทธิ์มันด้วยแล้วกัน”

    “จะนัดเจอกันที่ไหนว่ามา”

    “คอนโดฉัน ย่าน.......”

    “เออได้ อีกไม่เกินชั่วโมงเจอกัน”

                    เพียงเวลาไม่นานหลังจากนั้นชายหนุ่มทั้งสามคนก็ปรากฏตัวที่ลานจอดรถของคอนโด

    'คอนโดที่คุณพิมพ์อยู่นี่หว่า' นาธานครุ่นคิดสงสัย  ทว่าเขาไม่เคยรู้เลยว่าพิมพ์ประภาพักอยู่ห้องไหน หรือชั้นไหน

    'มันนึกยังไงของมันถึงได้ซื้อคอนโดใกล้บ้าน สงสัยเอาไว้กกอีหนูล่ะสิ' พิมานกระหยิ่มยิ้มกริ่มในความเจ้าชู้ของเพื่อน

    'มันจะทำอะไรของมันอีกวะเนี่ย  โอ๊ยปวดหัว' หมอพิสุทธิ์เริ่มปวดสมองตุ๊บๆ ขึ้นมาทันที เพราะรู้ว่าที่นี่คือคอนโดที่พิมพ์ประภาอยู่  แต่ที่ไม่รู้คือเจ้าเพื่อนตัวแสบมันกำลังคิดจะทำอะไรอยู่

                    เสียงกริ่งดังหน้าห้องทำให้ผู้เป็นเจ้าของห้องเปิดประตูออกมาต้อนรับแขกที่เขาเป็นคนโทร.ตามให้มาพบกัน

    “นึกยังไงเนี่ยถึงได้ซื้อคอนโดใกล้บ้านแบบนี้ไอ้ตริณ แล้วแกไปกินอะไรมาเมื่อก่อนไม่เคยเห็นแกมีความคิดอยากอยู่คอนโด” พิมานอดที่จะถามไม่ได้ เพราะเมื่อก่อนเขาเคยชวนเพื่อนคนนี้ซื้อคอนโดแต่มันบ่นไม่ชอบท่าเดียว บอกอยู่บ้านสบายกว่า

    “เปลี่ยนบรรยากาศดูบ้าง เผื่ออะไรๆ มันจะดีขึ้น”  เขาบอกยิ้มๆ

    “แล้วทำไมแกไม่ซื้อแบบหรูๆ ที่พวกไฮโซเขาอยู่กันล่ะ แต่...จะว่าไปที่นี่ก็โออยู่นะ” นาธานเดินสำรวจรอบๆห้อง ที่ตกแต่งไว้แล้วเรียบร้อย

    “ถามจริงเหอะแกคิดทำอะไรวะ” หมอพิสุทธิ์กระซิบถามเพื่อนเมื่อสบโอกาส

    “แกว่าไงล่ะ” ตริณเลิกคิ้วสูงถามกลับ คาดเดาความคิดเพื่อน

    “อย่าทำอะไรบ้าๆ ลงไปเชียว เพราะไม่ใช่แกคนเดียวที่จะลงนรก แต่ไอ้ธานมันจะทำให้ฉันไปหาแกที่นรกด้วย” หมอพิสุทธ์พูดเสียงเครียด

    “ฉันก็แค่อยากดูแลเขาบ้างก็เท่านั้น” ชายหนุ่มยักไหล่

    “ฉันแนะนำว่าแกไม่ควรพาสาวไหนมากกกอดที่นี่เพราะถ้าคุณพิมพ์เห็นเข้าแล้วเกิดอาการหมั่นไส้ลงมือล่ะก็ ทายได้เลยว่ากบาลแกแยกเป็นสองซีกแน่ ถ้าถึงคราวนั้นแกห้ามไปหาฉันนะเพราะฉันจะไม่ทำแผลให้แกอีก” พิสุทธิ์เตือนเพื่อนจากใจจริง เห็นบาดแผลเพื่อนคราวที่แล้วบอกตามตรงว่าสยองไม่หาย เห็นสวยๆ ตัวเล็กๆ ที่ไหนได้ดุกว่าเสืออีก

    “ไม่มีทางหรอก แกรู้มั้ยว่าฉันพบสิ่งใหม่ด้วยว่ะ” เขาบอกเพื่อนน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

    “อะไรวะ อย่าบอกนะว่าแกหันมาชอบผู้ชาย งั้นไปไกลๆก่อนที่ฉันจะถีบแก” หมอพิสุทธิ์หันมามองเพื่อนด้วยสายตาหวาดระแวง

    “ไอ้บ้า ฉันแค่จะบอกว่าฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตั้งแต่วันที่ฉันหัวแตกฉันไม่เคยนอนกับผู้หญิงคนไหนเลย”

    “น้ำหน้าอย่างแกเนี่ยนะ จะทนอดอยากได้ถึงเดือน” หมอพิสุทธิ์ไม่อยากจะเชื่อสักเท่าไหร่ เพราะประวัติอันโชกโชนเรื่องเสือผู้หญิงของตริณมันเป็นหลักฐานที่เขารู้อยู่แก่ใจ

    “ฉันก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน แต่เชื่อเหอะมันเป็นความจริง”

    “เฮ้ยซุบซิบอะไรกันวะ ไอ้หมอไอ้ตริณ ฉันหิวแล้วว่ะ ไปหากับอะไรอร่อยๆ มากินกันดีกว่า ใกล้จะเที่ยงแล้ว”  พิมานออกความเห็น ไหนๆ ก็ไม่มีอะไรทำแล้ว ก็หาอะไรอร่อยๆ มานั่งกินเพลินๆ ตอนดูหนังบนจอทีวีขนาดยักษ์เสียหน่อย

    “งั้นแกก็จัดการเลยแล้วกัน” นาธานตะโกนออกมาจากโซฟาหน้าจอทีวี

     

    “อ้าวคุณพิมพ์” พิมานเอ่ยทัก เมื่อพบหญิงสาวกำลังเปิดประตูห้องออกมาพอดี

    “คุณพิมานนั่นเอง  คุณอยู่ที่คอนโดนี้หรือคะ” แม้จะรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ได้อยู่ที่นี่มาก่อน แต่ก็เลือกที่จะถามแบบสบายๆ มากกว่าถามแบบอยากรู้อยากเห็น

    “ผมมาหาเพื่อนน่ะครับ ว่าแต่คุณพิมพ์อยู่ที่นี่หรือ” เขาชวนคุย

    “ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้าตอบพร้อมส่งยิ้มน้อยๆ ให้เขา

    “แล้วจะไปไหนหรือครับ”

    “ไปหาอะไรทานนิดหน่อยค่ะใกล้เที่ยงแล้ว” เธอยิ้มให้เขาน้อยๆ เช่นเดิม

    “ดีเลยครับ ผมก็กำลังจะออกไปหาอะไรมานั่งกินกันกับเพื่อนเหมือนกัน งั้นเราไปด้วยกันเลยนะครับจะได้ไม่เสียเวลา” พิมานออกปากชวน พยายามบังคับสายตาไม่ให้สำรวจเธอจนเสียมารยาท

    “จะดีหรือคะ รบกวนคุณพิมานเปล่าๆ มีเพื่อนรออยู่ไม่ใช่หรือคะ”

    “ดีสิครับไหนๆ ก็เจอกันแล้ว ยังไงรบกวนคุณพิมพ์แนะนำด้วยนะครับว่าแถวนี้อะไรอร่อยบ้าง” ชายหนุ่มยิ้มกว้างให้หญิงสาวร่างบางที่เดินเคียงข้างกันมา บอกตามตรงเขาชอบเวลาเธอแต่งตัวแบบนี้จัง กางเกงผ้าสามส่วนสีครีม กับเสื้อกล้ามลายกาตูนร์เล็กๆ มีเสื้อแจ็กเก็ตแขนยาวคลุมทับอีกชั้น แม้จะดูเรียบๆ แต่ดูดี และชวนมอง 

    “อย่างนั้นก็ได้ค่ะ” เธอยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร

                    พิมานมักหาเรื่องชวนหญิงสาวคุยนั่นคุยนี่ ตลอดเวลาที่นั่งรถไปซื้อของด้วยกัน  ลึกๆ แล้วเขาสนใจในตัวหญิงสาวไม่น้อย ถ้าไม่ติดว่าเพื่อนของเขาแสดงตัวจนออกนอกหน้าล่ะก็....  เขาจะจีบเธอมาเป็นแฟนให้จงได้ 

    “ให้ผมช่วยถือนะครับ” พิมานรีบดึงถุงจากมือหญิงสาวมาถือไว้เองทันที  อย่างสุภาพบุรุษ พิมพ์ประภาเพียงยิ้มๆ ให้เขาเท่านั้น ก่อนจะออกปากชวนชายหนุ่มไปหาซื้อผลไม้ในตลาดต่อ

     

    “ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์พาพิมพ์ไปซื้อของแถมยังช่วยถือให้อีก” เธอกล่าวขอบคุณเขาทันทีที่เดินมาถึงหน้าห้อง

    “ขอไม่รับได้มั้ยครับเพราะผมต่างหากที่ต้องขอบคุณคุณพิมพ์ อุตส่าห์แนะนำร้านอร่อยแล้วยังช่วยเลือกผลไม้ให้อีก ไว้คราวหน้าขอผมเลี้ยงข้าวตอบแทนนะครับ” พิมานออกปาก รู้สึกขัดเขินอยู่เหมือนกันที่หล่อนมาบอกขอบคุณเขา อ่อนหวาน นุ่มนวลอย่างนี้นี่เอง เจ้านาธานมันถึงหวงก้างซะขนาดนั้น

                    พิมานเปิดประตูเขาไปภายในห้องพักของตริณอย่างอารมณ์ ฮัมเพลงตลอดเวลา จัดการนำอาหารและผลไม้ทั้งหลายใส่จานตามลำพัง ไม่สนใจสายตาทั้งสามคู่ที่มองมาอย่างงุนงง ว่าเกิดอะไรขึ้นพิมานถึงอารมณ์ดีถึงปานนั้น

    “แกแอบเอายาอะไรให้มันกินก่อนมานี่รึเปล่าทำไมมันอารมณ์ดีขนาดนี้” ตริณกระซิบถามพิสุทธิ์เสียงเบา นาธานเองก็อยากรู้เงี่ยหูฟังตลอด

    “ไอ้บ้าไอ้พิมานมันไม่ได้ป่วยซะหน่อยทำไมจะต้องให้มันกินยาด้วยเล่า มันอาจจะไปเจอสาวแถวนี้แล้วจีบติดก็ได้ถึงได้อารมณ์อย่างคาดไม่ถึง” หมอพิสุทธิ์ยักไหล่

    “ไอ้มาน แกไปทำอะไรมาวะอารมณ์ดีกว่าปกติ” นาธานเป็นฝ่ายตะโกนถามขึ้นเพราะอยากรู้คำตอบ

    “ถ้าฉันเจอคุณพิมพ์ก่อนหน้านี้สักปีหรือสองปี ฉันแต่งงานไปแล้ว” เสียงตะโกนตอบกลับดังมาจากด้านในของห้องครัว

    “ฉันถามว่าแกเจออะไรมาถึงอารมณ์ดี  ไม่ใช่ถามเรื่องแกจะแต่งงานเมื่อไหร่” นาธานยังคงไม่เข้าใจ

    “ฉันอารมณ์ดีเพราะว่าฉันเจอคุณพิมพ์” พิมานลอยหน้าลอยตาตอบ พลางวางจานกับข้าวบนโต๊ะ และสาธายายต่อไปโดยไม่สนใจสายตาทั้งสามคู่ที่มองมา  “โชคดีเป็นบ้าเลยว่ะ ตอนออกไปจากห้องฉันเจอคุณพิมพ์ด้วย ก็เลยได้ออกไปซื้อของด้วยกัน แล้วของกินทั้งหลายบนโต๊ะนี้ก็เป็นคุณพิมพ์ที่แนะนำ บอกตามตรง ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งเห็นความน่ารัก อ่อนหวาน นี่ถ้าฉันเจอเขาเร็วกว่านี้หน่อย คงตัดสินใจจีบแล้วก็แต่งงานกับเขาไปแล้ว” พิมานบอกอย่างอารมณ์ดี

    “อะไรจะปานนั้นเพื่อน ปกติแกหวงความโสดดังชีวิตไม่ใช่หรือ” หมอพิสุทธิ์ถามขำๆ  แต่ในใจไม่ขำเลย

    “ก็ใช่ แต่ตั้งแต่เจอคุณพิมพ์บอกตามตรงไม่เสียดายชีวิตโสดเลยว่ะ อยากมีเมียเป็นตัวเป็นตน”  คำตอบของพิมานเล่นเอาคนฟังต่างอึ้งไปตามๆกัน  คนหนึ่งอึ้งอย่างคาดไม่ถึง  ส่วนอีกคนคือนาธานอึ้งและพยายามคิดหาหนทางขายขนมจีบพิมพ์ประภาก่อนที่เพื่อนตัวดีจะเปลี่ยนใจคาบไปรับประทาน ส่วนตริณ นั้นคงจะเรียกอึ้งไม่ได้เพราะเขาช็อกไปเรียบร้อยแล้ว  ไม่คิดว่าผู้หญิงที่เขาเคยทิ้งขว้างจะเป็นอัญมณีล้ำค่าที่ผู้ชายทุกคนล้วนอยากได้  แล้วอย่างนี้จะทำยังไงดี

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×