คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : บทที่ 13
ในขณะที่โต๊ะอาหารภายในบ้านของพิมานกำลังมีเรื่องเล่าสนุกครึกครื้น ตามประสาครอบครัวอันแสนอบอุ่นและคนที่ถูกบรรดาคนในบ้านยกเรื่องราวออกมาเผาจะเป็นพิมานเสียมากกว่าแต่ชายหนุ่มก็มิได้กรุ่นโกรธกลับเห็นเรื่องราวอันแสนวุ่นวายในอดีตเป็นเหมือนเรื่องขำขันในชีวิตมากกว่า หากแต่อีกฟากฝั่งหนึ่งของเมืองหลวงภายในคอนโดของพิมพ์ประภากลับคุกรุ่นด้วยอารมณ์โกรธของชายหนุ่มผู้ถือสิทธิในตัวหญิงสาว เครื่องมือสื่อสารที่ใช้เป็นประจำตอนนี้ถูกโยนทิ้งไว้บนเตียงเพราะอารมณ์ของผู้เป็นเจ้าของ เดิมทีชายหนุ่มตั้งใจที่จะชวนหญิงสาวออกไปดูหนังและรับประทานอาหารกลางวันกันที่ร้านอาหารข้างนอกเพราะเห็นว่าเธอมักจะทำงานหนักจนแทบจะไม่ได้ใส่ใจตัวเอง แต่เมื่อมาถึงคอนโดเขากลับไม่พบเธอ คิดในแง่ดีว่าเธออาจออกไปซื้อของหรือไปธุระอีกไม่นานก็คงกลับมา แต่ที่ไหนได้ เขานั่งรอเธอตั้งแต่ยังไม่เที่ยงวันจนตอนนี้เวลาผ่านไปจนจะสามทุ่มอยู่แล้วหล่อนก็ยังไม่กลับมา โทรหาก็ไม่รับสาย ความกรุ่นโกรธจึงเพิ่มขึ้นตามจำนวนเวลาที่เขาต้องนั่งรอ ร่างสูงยังคงกระสับกระส่ายอยู่อย่างนั้น ยิ่งนานอารมณ์หงุดหงิด ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทบทวี
“ขอบคุณนะคะสำหรับอาหารมื้อเย็น อร่อยมากเลยค่ะ” หญิงสาวกล่าวขอบคุณชายหนุ่มผู้ทำหน้าที่เป็นสารถีขับรถมาส่งเธอ แถมยังใจดีเดินมาส่งถึงหน้าห้องพักเพราะเกรงว่าจะไม่ปลอดภัยเนื่องจากเริ่มที่จะดึกแล้ว
“ถ้าอร่อยไปทานบ่อยๆ ก็ได้ครับ พ่อกับแม่ผมที่บ้านท่านก็บอกว่าให้ชวนคุณพิมพ์ไปกินข้าวด้วยกันที่บ้านอีก” พิมานบอกอย่างอารมณ์ดี ยิ้มแก้มแทบปริ
“แหมเกรงใจจังค่ะ” เธอยังคงยิ้มให้เขา
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ ผมต่างหากที่ต้องเกรงใจคุณพิมพ์ เพราะวันนี้ผมรบกวนคุณทั้งวันเลย” พิมานบอกเขินๆ เพราะอาศัยว่าวันนี้เป็นวันเกิดน้องสาวเป็นใบเบิกทางเพื่อทำคะแนน
“แต่ก็ชดเชยด้วยมื้อเย็นแสนอร่อย แถมคุณพ่อคุณแม่ของคุณพิมานก็ใจดีกับพิมพ์มากๆ เลย พิมพ์ซะอีกไม่มีอะไรไปฝากท่านเลย” เธอบอกเสียงใส นึกเกรงใจเขาอยู่เหมือนกัน
“เอาไว้ไปคราวหน้าผมจะบอกคุณพิมพ์ให้รู้ตัวก่อนดีไหมครับ แล้วค่อยแวะซื้อขนมไปฝากท่าน พ่อกับแม่ผมนะชอบขนมไทยเป็นที่หนึ่งเลย” ชายหนุ่มบอกยิ้มๆ นึกดีใจที่เธอไม่ได้คิดรังเกียจอะไรเขา แถมยังเข้ากับสมาชิกในครอบครัวได้ดี
“ค่ะ งั้นพิมพ์ขอตัวเข้าไปข้างในก่อนนะคะ นี่ดึกแล้ว ขอบคุณนะคะ” เธอบอกเขาพลางก้มลงหยิบกุญแจในกระเป๋าสะพาย
“ครับผมกลับก่อนนะครับ”
“ขับรถกลับดีๆ นะคะ” เธอบอกเขาส่งท้าย
“แน่นอนครับ ผมจะขับรถอย่างระวัง” ชายหนุ่มบอกพร้อมกับเดินออกไป
น้ำเสียงการสนทนาของคนสองคนที่หน้าประตูห้องทำให้คนข้างในยิ่งกรุ่นโกรธมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว ไม่รับโทรศัพท์เขาเพราะไปเริงร่ากับเพื่อนของเขาอย่างนั้นหรือ มันน่านัก คิดได้อย่างนั้นชายหนุ่มก็จัดการเปิดประตูออก พร้อมกับดึงร่างบางที่กำลังจะไขกุญแจห้องเข้ามาด้วยความแรงตามอารมณ์
“โอ๊ย!!!! “ หญิงสาวร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเพราะแขนของเธอถูกกระชากอย่างแรง แล้วเหวี่ยงเธอไปล้มที่โซฟา
“ทำไปต้องไปกับไอ้พิมาน ห๊า!!! แล้วไปไหนกันมาทั้งวัน ผมโทร.ไปทำไมไม่รับโทรศัพท์” ชายหนุ่มเริ่มใส่อารมณ์ทันที เพราะหากรอนานกว่านี้เขาคงเป็นบ้าแน่
“ไปกินข้าวบ้านคุณพิมานมา” เธอบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พยายามเก็บอารมณ์ตกใจไว้และปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติ
“แล้วทำไมไม่รับโทรศัพท์” เขายังถามเสียงเข้ม นัยน์ตาดุดัน
“ไม่ได้ยิน” เธอเริ่มที่จะตอบเขาห้วนๆ แม้จะเก็บอารมณ์ได้ดี แต่เธอก็ไม่ชอบที่จะให้ใครมาตะคอก หรือขู่เข็ญเธอ
“ทำไมต้องไปกับไอ้พิมานเพื่อนผม คิดอะไรอยู่” เขาเขย่าตัวหญิงสาวแรงๆ อย่างต้องการรู้ความจริง
“เค้ากับฉันคบกันแบบเป็นเพื่อน ฉันไม่คิดทำอะไรเลวอย่างที่คุณคิดหรอก”
“โดยไปกินข้าวที่บ้านกับมันนี่นะ และถ้าให้ผมเดาต่อวันนี้คงเป็นวันที่ทุกคนในบ้านไอ้พิมานมานั่งกินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตาใช่มั้ย” คบกันมาตั้งกี่ปีทำไมเขาจะไม่รู้จักนิสัยเพื่อนแต่ละคน
“ใช่ แต่มันก็ไม่เห็นจะมีอะไรแปลก ครอบครัวเดียวกันนั่งกินข้าวพร้อมกัน”
“ไม่รู้หรือว่านั่นเป็นการพาผู้หญิงที่ตัวเองคิดว่าจะจริงจังด้วยไปให้ครอบครัวดูตัว และให้ปรับตัวเข้ากับคนในบ้านโดยที่ไม่ให้คุณรู้ตัว” ชายหนุ่มพูดอย่างหัวเสีย อุตส่าห์ดีใจที่นาธานเริ่มจะถอดใจ ที่ไหนได้พิมานเปิดเกมรุกโดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งหลัก คราวนี้หนักหนาสาหัสกว่านาธานอีก ไหนจะนาธานที่แม้จะถอดใจ แต่มันก็ยังไม่วางมือง่ายๆ โธ่โว้ย แล้วจะทำยังดี ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด ยิ่งเห็นหน้าเธอเขายิ่งอารมณ์เสีย
“แล้วมันจะเป็นอะไรไปถ้าหากฉันจะเปลี่ยนสถานะของความคิดจากเพื่อนเป็นอย่างอื่น ถ้าเขาคิดที่จะจริงใจกับฉันอย่างที่คุณพูด” หญิงสาวถามกลับเสียงแข็ง
“จะเป็นอะไรหรือ พูดอย่างนี้เชียวหรือ ได้!! จะบอกให้ว่าเป็นอะไร” พูดจบก็จัดการฉุดกระชาก ลากถูหญิงสาวเข้าไปในห้องนอนทันที ไม่สนใจเสียงร้องคัดค้าน และการดิ้นรนให้ตัวเองหลุดพ้นจากเขาสักนิด
การบอกของเขาคือการทำให้เธอรู้ว่าเธอเป็นอะไรกับเขา เพื่อเป็นการย้ำเตือนให้หญิงสาวพึงรำลึกไว้เสมอว่าไม่ควรที่จะสนิทสนมกับผู้ชายคนอื่นนอกจากเขา ชายหนุ่มจัดการโยนเธอลงบนเตียงหนานุ่มภายในห้องนอนแล้วโถมกายตัวเองไปทับร่างบางไว้ด้วยความรวดเร็ว แต่มันไม่ง่ายเลย เพราะเธอเล่นกัดที่หัวไหล่เขาจนเขาต้องลุกขึ้นมาดูแผลของตัวเอง แต่นั่นก็แค่ชั่ววินาที เพราะเขาจะไม่รอให้เธอได้หนีเขา มือหนาจัดการรวบข้อมือบางทั้งสองเข้ามาไว้ด้วยกันและจัดการกับริมฝีปากของเธอเสีย แต่เธอเหมือนจะพยายามหาโอกาสกัดลิ้นเขาอยู่เรื่อย ชายหนุ่มจึงต้องใช้มืออีกข้างให้เป็นประโยชน์ อย่างไรเสียคนที่มีประสบการณ์มากกว่าอย่างเขาย่อมเป็นฝ่ายได้เปรียบ
นัยน์ตาคมเข้มจับจ้องอยู่ที่ร่างบางที่ตอนนี้กำลังนอนหลับเพราะความอ่อนเพลียจากบทรักที่เขาเป็นฝ่ายเรียกร้องครั้งแล้วครั้งเล่าจากเธอ ดูเหมือนชายหนุ่มจะตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้ว จึงลุกจากเตียงไปหยิบกระเป๋าเดินทางของเธอออกมาและจัดการหยิบเสื้อผ้าในตู้ใส่ลงในกระเป๋าพร้อมของใช้ส่วนตัวทุกอย่างไม่เว้นแม้แต่ชุดตัวน้อยของเธอที่เขาจัดการหยิบมันใส่ลงไปอย่างไม่เก้อกระดาก เมื่อแน่ใจว่าทุกอย่างครบถ้วนแล้ว จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหมายเลขที่เขาโทรออกบ่อยที่สุดเพื่อสั่งให้ลูกน้องคนสนิทจัดการจองตั๋วเครื่องบินให้เขาเพิ่มอีกหนึ่งที่ ก่อนจะกลับมาล้มตัวลงนอนที่เตียงเหมือนเดิมและไม่ลืมที่จะรั้งร่างบางเข้ามากอดไว้ยิ่งนานวันเขายิ่งหวงเธอ ยิ่งเห็นใครเข้ามาใกล้ เขายิ่งทุรนทุราย ช่างทรมานทั้งใจทั้งกายดีแท้ จะโทษใครได้นอกจากตัวเองที่ทิ้งทับทิมเนื้อดีราคาแพงอย่างเธออย่างไม่เห็นค่ากว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เกือบจะสายไปแล้ว หนทางที่จะทำให้เธอกลับมารู้สึกรักเขาเหมือนเดิมช่างยากเย็นเหลือแสนจริงๆ รอยช้ำที่ข้อมือและต้นแขนของคนนอนหลับทำให้คนที่เป็นต้นเหตุรู้สึกผิดหลังจากที่มองดูอยู่สักพักเขาก็ลุกเอื้อมมือไปยังลิ้นชักข้างเตียงนอนเพื่อหยิบยาออกมาทาให้เธออย่างเบามือ ไม่ต้องการให้เธอเจ็บมากไปกว่านี้ราวกับเป็นการขอโทษก็ไม่ปาน
ชายหนุ่มจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วจึงหันมาปลุกคนนอนหลับให้ลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง
“พิมพ์ พิมพ์ ตื่นเถอะ”
เงียบ
“พิมพ์ถ้าคุณไม่ลุกขึ้นมาผมจะปลุกแบบของผมนะ” ชายหนุ่มกระซิบที่หูแผ่วเบา เขารู้ว่าเธอตื่นแล้วแต่ไม่อยากลุกขึ้นมาเจอหน้าเขาต่างหาก
แค่ประโยคสั้นๆที่ออกมาจากปากคนตัวโต ทำให้คนที่แสร้งว่าตัวเองนอนหลับนั้นดีดตัวลุกขึ้นทันที ราวกับถูกเปิดด้วยสวิทซ์ยังไงยังงั้น และไม่รอช้าที่จะส่งสายตากัดจิกไปให้เขาอย่างไม่คิดจะปิดบัง พูดง่ายๆ คือตั้งใจจะให้เขารับรู้ว่าเธอไม่พอใจนั่นแหละ
“ไปอาบน้ำ ผมเตรียมชุดไว้ให้แล้วเดี๋ยวจะไม่ทันขึ้นเครื่อง” เขาบอกยิ้มๆ กับสายตางงงวยของเธอ
“ไม่ต้องมองอย่างนั้นหรอกพิมพ์ คุณต้องไปอังกฤษกับผม เราต้องเดินทางกันแล้วในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า” เขาบอกพร้อมกับยื่นเสื้อคลุมอาบน้ำให้เธอ
“ฉันไม่ไป คุณจะไปไหนก็ไปไม่ต้องมายุ่งกับฉัน” พิมพ์ประภาบอกเสียงเย็น
“หรืออยากให้ผมเป็นคนโทรศัพท์ไปลางานกับไอ้นาธานเพื่อนผมดี” บอกพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมากดเบอร์นาธาน
“คุณจะทำร้ายฉันไปถึงไหน” หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน ในใจตัดพ้อคนต่อหน้าที่เขาช่างใจร้ายเหลือเกิน
“คุณจะมองผมยังไงก็ได้ แต่รู้ไว้ซะว่าผมไม่ปล่อยคุณไปแน่” เขาบอกเสียงหนักแน่น
“คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดคำนี้ เพราะฉันไม่ได้เป็นอะไรกับคุณและจะไม่มีวันเป็น” หญิงสาวตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่นไม่แพ้กัน
“ยังต้องให้พูดถึงสิทธ์อีกหรือพิมพ์ หรือคุณต้องการให้ผมประกาศต่อหน้าทุกคนว่าคุณเป็นเมียผม แม้จะทางพฤตินัยก็เถอะ เอาอย่างนั้นก็ได้ผมไม่มีปัญหาหรอกดีเสียอีกจะได้ไม่ต้องเสียเวลาคิดหาทางหลีกเลี่ยงปัญหาหรืออธิบายกับไอ้นาธานไอ้พิมาน อยากให้ผมทำอย่างนั้นมั้ยพิมพ์”
“....” ไม่มีคำตอบออกมาจากริมฝีปากบางอิ่ม หากแต่มันกลับถูกขบเม้มจนแทบจะเชื่อมเป็นอันเดียวกันเพราะความเครียดเริ่มแล่นเข้าสู่สมองอีกครั้ง
“ในเมื่อไม่ต้องการให้ผมทำอย่างที่พูดมาก็เลิกดื้อกับผมได้แล้ว ทุกอย่างผมจะเป็นคนจัดการเอง ไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว” เขาออกคำสั่งกับเธอ
“ฉันต้องอยู่ที่นั่นกับคุณกี่วัน” หญิงสาวถามเสียงเย็น หลังจากที่เครื่องบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าได้สักระยะ
“หนึ่งสัปดาห์ ไม่เกินนั้น ผมไม่ทำให้คุณเสียงานหรอก ลางานแล้วเรียบร้อย” เขาบอก โดยไม่เงยหน้าขึ้นจากเอกสาร
“คุณโทรศัพท์ไปลางานให้ฉันอีกแล้วหรือ” เธออดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้ ไหนว่าจะไม่ทำให้เธอเดือดร้อนไง
“ส่งข้อความไปให้นาธานเรียบร้อยแล้ว ส่วนโทรศัพท์คุณผมลืมหยิบใส่กระเป๋ามาด้วย ถ้ามีความจำเป็นต้องใช้ ก็ใช้ของผมก็แล้วกัน” ชายหนุ่มบอกหน้าตาย ความจริงเขาไม่ได้ลืมหยิบมันมาหรอก แต่เขาหยิบมันออกจากกระเป๋าของหญิงสาวพร้อมกับยาคุมกำเนิดต่างหาก เพียงแต่ไม่ได้บอกอย่างหลังให้เธอรู้ด้วยเท่านั้น
“โทร.มามีอะไรมิทราบคะคุณหมอจู้จี้” นาราเป็นฝ่ายออกปากถามก่อน ทันทีที่กดรับสาย
“ผมจะถามว่าจะให้ผมติดต่อรับศพกลับบ้านวันไหนจะได้รีบดำเนินการก่อนศพเน่า”
“อื้อ..หือ..ปากหรือนั่น เมื่อไหร่หมอจะเลิกปากจัดซะที อย่างนี้นี่เองถึงยังหาแฟนไม่ได้” หญิงสาวอดที่จะต่อว่าด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้
“ก็รอคนใจดีเมตตาแบ่งปันความรักให้อยู่ไง”ชายหนุ่มผู้เป็นต้นสายออกปากแซวทีเล่นทีจริง เล่นเอาคนฟังถึงกับหน้าแดง
“หมอมาบอกนาราแล้วจะได้อะไรหมอต้องไปบอกคนที่หมอยากได้ความรักสิถึงจะถูก” หญิงสาวแสร้งทำเสียงงุนงง
“ก็...ผมอยากได้ความรู้สึกดีๆ จากคนที่กำลังคุยด้วยน่ะ เอาคำอวยพรก็ได้เอ้า เดี๋ยวอีกชั่วโมงต้องเข้าห้องผ่าตัดเคทนี้ยากสุดๆ ไปเลย”
“ไม่ได้เป็นอะไรกันซะหน่อย หมออย่ามั่วดิ” ตอนนี้ไม่ใช่แค่หน้าหรอกที่แดงแต่หูของเธอก็แดงด้วยมันแดงกว่าหน้าของเธอซะอีก
“เอาน่าๆ อวยพรให้ผมหน่อยก็แล้วกัน” ชายหนุ่มยังเซ้าซี้ไม่เลิก
“ก็ได้ๆ ให้หมอทำเสร็จแล้วกัน ไม่มีอะไรอย่างอื่นแล้วใช่ไหมจะได้วางสาย”
“ไม่มีแล้วล่ะ อ้อเดี๋ยว..อย่าลืมใส่เสื้อหนาๆ นะ ตอนนี้ที่นั่นหนาวมากไม่ใช่หรอ”
“ขอบคุณค่ะ ไอ้ที่เตือนเนี่ยคงไม่อยากทำเรื่องรับศพกลับบ้านล่ะสิ” หล่อนแซว
“ก็..ประมาณนั้น ไว้วันหลังผมจะโทรไปหาใหม่”
แม้จะกดวางสายไปแล้วแต่คนที่เป็นปลายทางอย่างนารายังอดที่จะยิ้มไม่ได้ ไม่น่าเชื่อว่าหมอจู้จี้ก็เป็นคนที่คุยด้วยแล้วรู้สึกอบอุ่นเหมือนกันนะเนี่ย ถึงจะปากคมเหมือนกรรไกรก็เถอะ ยิ่งคิดถึงบทสนทนาที่แสนจะกวนประสาทของเขาใครกันอยากจะเชื่อว่าผู้ชายคนนี้คือนายแพทย์ฝีมือดีที่ไม่ว่าโรงพยาบาลไหนก็อยากได้ตัวไปทำงานด้วย ยิ่งประวัติคร่าวๆ ของเขาที่ถามเอาจากคนรู้จักด้วยแล้วยิ่งไม่น่าเชื่อเข้าไปใหญ่ ถ้าไม่ติดว่าเห็นเขาปฏิบัติหน้าที่ในโรงพยาบาลวันนั้นเธอต้องคิดว่าเขาเป็นพวกชอบแอบอ้างแน่ๆ ก็ใครจะไปคิด เจ้าชู้ ที่หนึ่ง ช่างเลือกที่หนึ่ง จู้จี้ที่หนึ่ง เรื่องมากที่หนึ่ง ตบท้ายด้วยความปากจัดที่ไม่ว่าใครกันอยากจะวิ่งหนี แล้วอย่างนี้ใครจะเชื่อกันว่าผู้ชายคนนี้เป็นหมอ ขนาดเธอเองยังไม่อยากจะเชื่อเลย
อีกซีกโลกคนที่เป็นฝ่ายกดหมายเลขโทรศัพท์ไปหาหญิงสาวกำลังนั่งยิ้มอย่างอารมณ์ดีอย่างที่ไม่ค่อยมีใครในโรงพยาบาลได้เห็นสักเท่าไหร่ พักนี้เขาไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอะไร ตั้งแต่วันที่หญิงสาวเดินทางไปต่างประเทศเขาก็มักจะมองเจ้าโทรศัพท์ในมืออยู่บ่อยๆ นึกอยากให้สาวเจ้าโทรมาหา ถามอะไรก็ได้ แต่เจ้าหล่อนก็ยังไม่โทร.มาหาเขาเสียที นานวันเข้า ตัวเขาเองเริ่มหงุดหงิด นึกอยากลับฝีปากสักหน่อย วันนี้จึงได้ฤกษ์ ไม่น่าเชื่อเลยว่าการได้ต่อล้อต่อเถียงกับเจ้าของเสียงหวานผ่านทางเครื่องมือสื่อสารคู่ใจ มันจะทำให้เขาอารมณ์ดีได้ขนาดนี้ สงสัยต้องไปหาบททดสอบทำแล้วกระมัง ว่าเขาอยู่ในช่วงเวลาของการตกหลุมรักใครสักคนหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ คุยกับแม่สาวปากจัดคนนี้แล้วอารมณ์ดีอย่าบอกใคร
ความคิดเห็น