คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : บทที่ 11
“ทำไมวันนี้ไอ้นทีถึงมาส่งคุณ รถคุณไปไหน” คำถามดังขึ้นทันทีที่หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของห้องเก้าเท้าเข้ามาภายใน หญิงสาวเลิกคิ้วมองเขาอย่างฉงน ไม่คิดว่าเขาจะมานั่งรอเธอเพื่อถามเรื่องพวกนี้
“ผมถามทำไมไอ้นทีถึงมาส่งคุณ” น้ำเสียงเริ่มเข้มขึ้น รู้สึกได้ถึงไอเย็นยะเยือก
“รถฉันเสีย” เธอตอบสั้นๆ เดินเลยผ่านไป วันนี้เธอเหนื่อยมามากแล้ว ไหนจะแม่คู่ขาของเขา ไหนจะงานที่ทำ แล้วยังต้องมานั่งรองรับอารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของเขาไม่ไหวหรอก
“ทำไมไม่โทรบอกผม ผมให้คนเอารถมาให้คุณใช้ก็ได้” แม้น้ำเสียงจะอ่อนโยนลง แต่อารมณ์ของคนพูดก็ยังคุกรุ่นอยู่ดี
“......” พิมพ์ประภาเลือกที่จะไม่ตอบ แต่เดินเข้าห้องนอนแล้วหยิบชุดคลุมเดินเข้าไปภายในห้องน้ำทันที ทิ้งให้อีกคนหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่คนเดียว
ชายหนุ่มจัดการโทร.สั่งให้คนในบ้านเอารถมาให้อีกคันหนึ่ง เพื่อให้พิมพ์ประภาใช้ระหว่างที่รถของเธอยังซ่อมไม่เสร็จ จะว่าไปเขาไม่เคยทำให้ใครขนาดนี้ ไม่เคยที่จะคอยดูแลเอาใจใส่ใครเหมือนเธอ แม้เธอจะไม่ออกปากปฏิเสธ แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าดีใจสักนิดกับการที่เขามาดูแลเธอ ให้ตายเถอะ เขาไม่เคยรู้เลยว่าหล่อนคิดยังไงกับเขา มือหนายกขึ้นขยี้ผมตัวเองอย่างต้องการระบายอารมณ์
“นี่กุญแจรถ ผมให้คุณใช้ระหว่างรอรถคุณซ่อมเสร็จ” เขาวางกุญแจรถลงตรงโต๊ะเครื่องแป้งตรงหน้าเธอ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่สองสามวันฉันนั่งแท็กซี่เอาเองได้ไม่ต้องรบกวนคุณหรอกค่ะ” เธอไม่เคยต้องการอะไรจากเขาเลยสักนิด
“คิดหรือว่านั่งแท็กซี่กลับทุกวันมันจะปลอดภัยกว่าการขับรถกลับเอง ยิ่งคุณทำงานจนมืดจนค่ำวันไหนเจอมิจฉาชีพจะทำยังไง ถึงเวลานั้นใครจะช่วยคุณ” เขายกเหตุผลขึ้นมาอ้าง ไม่ต้องการให้เธอปฏิเสธ
“ฉันคงไม่กลับค่ำหรอกค่ะ ระหว่างที่รอรถแค่สองสามวัน” เธอยังคงหาเหตุผลมาคัดค้านไม่ต้องการรับอะไรจากเขา ไม่อยากถูกคนอื่นๆ ตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงเห็นแก่เงิน
“แต่ผมไม่ให้คุณนั่งแท็กซี่ หรือต้องให้ผมขับรถไปรับไปส่งทุกเช้าจะได้รู้กันไปเลย”เขาเริ่มจับได้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของเธอ และไม่รอช้าที่จะใช้มันให้เป็นประโยชน์
“แล้วฉันจะรีบคืนให้คุณ” เธอบอกเขา พร้อมกับขมเม้มริมฝีปากตัวเองอย่างต้องการเก็บอารมณ์ แค่เขาโทรไปลางานให้เธอก็เป็นที่โจษจันของคนภายในบริษัทมากพอแล้ว นี่ยังจะต้องใช้รถเขาระหว่างที่รถของเธอยังซ่อมอยู่ด้วยแล้ว ไม่อยากจะคิดเลยจริงๆ ว่าจะต้องทำหน้ายังไง แต่มันก็ยังดีกว่าให้เขาขับรถไปรับไปส่งเธอทุกวันหลายเท่า เมื่อไหร่เขาจะเลิกยุ่งกับเธอเสียทีนะ
“อยู่กับผมยิ้มหวานๆ เหมือนที่ยิ้มให้คนอื่นบ้างได้มั้ย” ตริณถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเธอวางมือจากแฟ้มเอกสารตรงหน้า หลังจากเคร่งเครียดกับมันมากว่าชั่วโมง
“นทีไม่ใช่คนอื่น เขาเป็นเพื่อนผู้ชายที่ฉันสนิทมากที่สุด แล้วเขาก็จริงใจกับฉันไม่เคยทอดทิ้งฉัน เป็นคนแรกที่เข้ามาช่วยพยุงทุกครั้งที่ฉันล้ม” เธออดหมั่นไส้เขาไม่ได้ นี่เขายังไม่เลิกค่อนขอดเธอเรื่องนทีอีกหรือ น่ารำคาญจริง
“แต่เขาเป็นคนนอก” ชายหนุ่มยังคงอ้างสิทธิ ทนไม่ได้ที่เห็นเธอให้ความสำคัญกับผู้ชายคนอื่นมากกว่าเขา
“ไม่ใช่คนนอก คนแรกที่ฉันคิดจะคบหาเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ คือนที และตอนนี้ฉันกำลังคิดเรื่องนี้” เธอบอกเขาน้ำเสียงจริงจัง หากแต่ความรู้สึกทั้งหมดที่พูดออกไปไม่เป็นความจริงสักนิด เธอรักนทีอย่างพี่ชายและเพื่อนสนิท นทีเองก็รู้และพยายามทำใจเธอรู้เรื่องนี้ดี
“ไม่ได้ คุณจะคิดกับคนอื่นมากกว่าเพื่อนได้อย่างไรกัน คุณเป็นเมียผมนะ” รับไม่ได้จริงๆ เธอพูดออกมาได้อย่างไร
“เมื่อไหร่กัน เลิกเข้าข้างตัวเองคิดเองเข้าใจเองได้แล้วค่ะ ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว คุณควรที่จะปล่อยฉันไปได้แล้ว จำไม่ได้หรือว่าคุณเป็นคนทิ้งฉัน วันนี้กลับมาเพราะอยากลองเขาเก่า มันสายไปแล้วล่ะค่ะ ฉันไม่ใช่พิมพ์ประภาที่แสนจะหัวอ่อนของคุณแล้ว ฉันไม่ต้องการเจ็บปวดเจียนตายเหมือนเมื่อครั้งนั้น”
“ผมรู้ว่าตัวเองผิด แต่เราเริ่มต้นใหม่ได้ไม่ใช่หรือ ตอนนี้ผมเคลียร์ตัวเองเพื่อพิสูจน์ให้คุณเห็นแล้ว อย่าคิดถึงเรื่องเก่าๆได้มั้ย” เขายังคงอ้อนวอน ทั้งที่ตั้งใจจะบังคับเธอ ทำไมมันกลายเป็นแบบนี้ไปซะได้
“คุณโกหกชัดๆ ถ้าคุณเคลียร์ตัวเองแล้วจริงวันนี้คู่ขาคุณคงไม่มานั่งร้องไห้ร้องห่มอ้อนวอนจะเป็นจะตายขอคุณคืนหรอกค่ะ”
“ใคร?” ใครกันกล้าทำแบบนี้
“คุณคิดเอาเองก็แล้วกัน มีกี่คนก็คิดเอาเอง ว่าคู่ขาแต่ละคนของคุณนิสัยยังไง ฉันไม่อยากพูดถึงอีกแล้ว” บอกเสร็จก็ก้มหน้าอ่านเอกสารในแฟ้มต่อไปเป็นการตัดบทไม่ต้องการให้เขาวุ่นวายมากกว่านี้ แค่นี้เธอก็รำคาญมากแล้ว
“แล้วคุณบอกเธอว่ายังไง?” เขาอดที่จะอยากรู้คำตอบไม่ได้ว่าเธอให้คำตอบแก่หล่อนคนนั้นว่าอย่างไร
“ฉันให้เขามาถามคุณเอง เพราะตอนนี้ฉันไม่ได้ต้องการคุณแล้วทุกอย่างขึ้นอยู่กับคุณแล้วก็ผู้หญิงคนนั้น แล้วก็เลิกถามอะไรอีกเพราะฉันต้องทำงาน” เธออ่านเอกสารตรงหน้าต่อไม่ได้สนใจเลยว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าจะมีสีหน้าท่าทางอย่างไร
ใบหน้าหล่อเหลาบึ้งตึงขึ้นมาทันตาเห็นหลังจากได้ฟังคำตอบที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากบางอิ่มของเธอ ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่าเธอจะพูดอย่างนั้นออกไป นี่เขาไม่เป็นที่ต้องการของเธอจริงๆ หรือ ให้ตายเถอะผู้หญิงนับร้อยแทบจะทอดสะพานให้เขาใครๆ ก็อยากเป็นคุณผู้หญิงบ้านปรีดากุล แต่เธอนี่สิ...สุดจะบรรยาย เขาเชื่อแล้วที่ใครๆ ก็บอกว่าคนมีการศึกษาสูงมักไม่ค่อยพูดจาร้ายกาจ แต่ใครจะเชื่อไหมว่าถ้าเมื่อไหร่ที่คนจำพวกนี้พูดจาประเภทนี้มันช่างกรีดลึกความรู้สึกเสียนี่กระไร เธอเป็นคนที่สามแล้วนับรองลงมาจากนาธานและไอ้หมอพิสุทธิ์ แต่ละคนถือว่าปากคมยิ่งกว่ากรรไกรถ้าได้ใช้มัน แต่ไม่เป็นไรหรอก ในเมื่อผมตั้งใจไว้แล้วก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
“คุณไม่ต้องการผมก็ไม่เป็นไร แต่ผมต้องการคุณ” พูดเสร็จก็พาตัวเองออกไปจากตรงนั้นแล้วทิ้งตัวลงบนที่นอนพร้อมกับใช้รีโมทกดเปิดโทรทัศดูอย่างสบายใจ
สมองอันชาญฉลาดใกล้เคียงระดับอัจฉริยะของตริณเริ่มครุ่นคิดหาหนทาง(บังคับ)ทำให้เธอยอมตกลงที่จะแต่งงานกับเขา ต่อให้ไม่แต่งงานจดทะเบียนสมรสก็ยังดี เขาทนเห็นเธอไปไหนกับผู้ชายคนอื่นไม่ได้หรอกจะถือสิทธิว่าตัวเองเป็นสามีก็คงไม่ได้ในเมื่อไม่มีอะไรเป็นหลักฐาน แถมตัวเธอยังแทบจะถีบหัวเขาส่งอยู่ทุกวัน งานนี้เลยต้องคิดหนักเสียหน่อย เมื่อนึกได้ว่าพิมพ์ประภาพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่ให้คนอื่นรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอ เรื่องนี้น่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย แล้วมันจะเอามาใช้ทำอะไรได้บ้างนะ
“แม่ครับผมมีเรื่องจะปรึกษา แม่อย่าเพิ่ง'ชม'ผมนะ” ชายหนุ่มตัดสินใจต่อสายตรงถึงมารดาเมื่อนึกได้ว่าแม่คงจะให้อะไรดีๆ กับเขา
“ไม่มีปัญญาจะทำให้เขาตกลงแต่งงานด้วยความเต็มใจล่ะสิ สมน้ำหน้าทำกับเค้าไว้เยอะนี่ฉันล่ะเซ็งกับแกจริงๆ” คุณหญิงพวงผกาบ่นกระปอดกระแปดตบท้ายด้วยการ 'ชม' แบบที่รู้กันในครอบครัว เมื่อรับฟังเรื่องที่ต้องการจะปรึกษาจากปากบุตรชายผ่านโทรศัพท์ นานนับสิบนาที
“โธ่แม่ก็...ตกลงว่าผมต้องทำยังไงแม่ ถ้าแม่อยากได้ลูกสะใภ้สวยๆ ดีกรีด็อกเตอร์ก็ต้องให้คำแนะนำดีๆสิ อย่าเพิ่ง 'ชม' นักเลย ผมหูชาแย่แล้ว”
“ถ้าเขายังไม่อยากแต่ง แกก็ทำให้มันมีหลักฐานตามกฎหมายสิว่าแกกับเขาเป็นคนคนเดียวกัน แค่นี้คิดไม่ออกหรืออย่างไร โง่จริงไม่สมเป็นลูกฉันเลย” คนแนะนำที่แสนจะธรรมดาแต่ชายหนุ่มคิดไม่ออกส่งผ่านอุปกรณ์สื่อสารราคาหลักหมื่นมายังบุตรชายพร้อมตบท้ายด้วยคำชมที่คนฟังต้องหน้าหงิก
“แม่...แม่เป็นคุณหญิงนะ พูดแบบนี้ไม่เพราะเลย” เขาแซวแม่ขำๆ ไม่ได้โกรธเคืองอะไร ก็แม่เขาเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้วไม่ว่าเขาหรือใครในบ้านล้วนรู้กันดี และคนที่โดนชมมากที่สุดคงเป็นเขากับพี่ชายที่อยู่ต่างประเทศ
“เป็นคุณหญิงแล้วไงกัน ฉันด่าแกบ้างไม่ได้หรือไง น่าชื่นใจนักนี่พ่อลูกชายตัวดีทั้งหลายควงสาวไม่เลือกหน้า พอจะมีใครสักคนจริงๆ จังๆ ดันไม่มีปัญญาทำให้เขาตกลงปรงใจดีๆ ดูพี่แกสิดันไปเผด็จศึกเขาเข้า เขายอมแต่งงานด้วยแทนการลากเข้าคุกก็บุญเท่าไหร่แล้ว ส่วนแกนี่ร้ายแรงกว่าเยอะ ไม่รู้จะบรรยายยังไงดี อย่างนี้จะให้ฉันสรรเสริญพวกแกหรอ หรือว่าฉันจะยุว่าที่ลูกสะใภ้ให้ลุกขึ้นมาแพ่งกบาลแกอีกสักรอบดีมั้ย” คุณหญิงพวงผกาตอบกลับอย่างอดไม่ได้ ดูสิดู มีลูกกับเขามันก็ไม่ได้ดั่งใจสักคน จริงอยู่แต่ละคนทำงานเก่ง แต่เรื่องการพาสะใภ้เข้าบ้านเนี่ย สุดจะบรรยายจริงๆ
“โธ่แม่ก็....”
“ไม่ต้องมาโธ่...ไว้เรื่องแกจัดการเรียบร้อยแล้วฉันกะว่าจะบินไปจัดการไอ้เจ้าเต้น้องชายแกสักหน่อยนั่นก็ใช่ย่อย ถอดแบบกันมาหมดทั้งสามตัวเลย น่ารำคาญจริง” คุณหญิงพวงผกาบอกอย่างรำคาญ ไตรลูกชายคนโต แต่งงานเรียบร้อยไปแล้ว ส่วนคนกลางอย่างตริณ ก็กำลังทำให้เธอปวดหัวแกมระอา แต่ก็ลุ้นระทึกดีเหมือนกัน ส่วนเต้ ลูกชายคนเล็กที่ตอนนี้เรียนอยู่ต่างประเทศ เธอก็ได้ข่าวว่าควงผู้หญิงไม่เลือกหน้า ร้ายกาจพอๆ กับพี่ชายทั้งสองคน ยิ่งตอนนี้เห็นว่าควงลูกสาวเจ้าพ่อบ่อนกาสิโนอยู่ด้วย สวย เผ็ด ดุ ไม่แพ้พี่สะใภ้คนโต และว่าที่สะใภ้คนกลางเสียด้วย อยากรู้จริงว่าถ้าสามสาวนี้มารวมตัวกันอะไรจะเกิดขึ้น อยากเห็นทั้งสะใภ้และว่าที่สะใภ้จัดการพ่อลูกชายตัวดีเสียจริง คงสนุกพิลึก
แม่บอกเป็นนัยๆ ว่าให้จดทะเบียนสมรส ไอ้เขาไม่มีปัญหาหรอก แต่จะทำยังไงให้เธอยอมจดนี่สิปัญหา เฮ้อ..คิดไม่ออกจริงๆ แต่จะว่าไป ชื่อพิมพ์ประภา ปรีดากุล ก็เพราะดีเหมือนกันนะ เขายินดีและเต็มใจให้เธอใช้นามสกุลเขาเลยนะนี่ แต่เธอล่ะ จะเอาอะไรมาฟาดหัวเขาอีกมั้ยนอกจากแจกัน หากชวนเธอไปจดทะเบียนสมรส ยิ่งคิดยิ่งหวาดเสียว แม้แผลบนศีรษะจะหายไปนานแล้ว แต่มันก็ยังชวนหวาดหวั่นไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ
“มาขอพบคุณหมอพิสุทธิ์ค่ะ ไม่ทราบว่าอยู่มั้ยคะ” สาวสวยนามว่านารา เดินถือถุงขนมตรงมายังแผนกประชาสัมพันธ์แจ้งความประสงค์ของตัวเองด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“สักครู่นะคะ” เจ้าหน้าที่แผนกประชาสัมพันธ์จัดการต่อสายถึงนายแพทย์สุดหล่อของพวกเธอ ก่อนจะหันมาบอกสาวสวยที่แจ้งความประสงค์ว่าสามารถพบได้ที่ไหน
“สวัสดีค่ะคุณหมอจู้จี้ ฉันซื้อขนมมาฝากเป็นการขอบคุณค่ะ” นารายื่นขนมส่งให้นายแพทย์หนุ่มที่ตอนนี้ยังอยู่ในชุดกาว บอกว่ายังอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่
“ขอบคุณครับ ความจริงไม่ต้องซื้อมาฝากก็ได้แค่คำขอบคุณก็พอแล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ นาราแค่อยากขอบคุณจากใจจริงๆ” เธอบอกพร้อมกับยิ้มหวานให้เขา เล่นเอาคนเย็นชาอย่างหมอพิสุทธิ์หัวใจไหววูบ แปลกๆ
“อีกไม่กี่นาทีก็จะเที่ยงแล้ว ถ้าไม่รังเกียจอาหารธรรมดาของโรงพยาบาลไม่ทานข้าวด้วยกันก็ได้นะครับ” ชายหนุ่มบอกรู้สึกร้อนๆ ที่ใบหน้าแฮะ
“ไม่รังเกียจหรอกค่ะ ดีซะอีกจะได้ไม่ต้องหิ้วท้องไปกินข้างนอกกว่าจะขับรถไปถึง กระเพาะทะลุกันพอดี” เธอบอกเขาพลางลูบท้องตัวเองป้อยๆ เรียกร้อยยิ้มขำขันระคนเอ็นดูจากชายหนุ่มผู้ออกปากชวน
“ไม่ชอบกินขนมปังหรือครับ” ชายหนุ่มถามเพราะเห็นแม่สาวน้อยนั่งโซ้ยขนมหวานอย่างเอร็ดอร่อย
“กินจนหน้าจะเป็นขนมปังแล้วค่ะ กลับมาบ้านก็ต้องกินขนมไทยสิคะ อร่อยจะตาย” เธอบอกพลางตักขนมใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ ไม่ได้มีมาดว่าที่ด็อกเตอร์กับใครเขาเลย
“คุณจะเดินทางเมื่อไหร่” ชายหนุ่มถามขึ้น
“คืนนี้ ตอนสี่ทุ่ม” เธอบอกเขา ยังคงตั้งหน้าตั้งตากินขนมต่อไปไม่สนใจสายตาใคร่รู้จากเหล่าพยาบาลและเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลที่มองมายังเธอเป็นตาเดียวกัน ไม่ใช่ไม่สนใจ ไม่รู้เลยต่างหากว่าตัวเป็นเป็นที่สนใจ
“จะเดินทางแล้วทำไมไม่เห็นเตรียมตัวเลย ไม่กลัวลืมอะไรหรือ” เขาถามเพราะปกติคนที่จะเดินทางไปไหนไกลๆ จะแทบไม่ออกไปไหนเพราะต้องนั่งเช็คกระเป๋าชนิดที่เรียกได้ว่าเช็คแล้วเช็คอีกกันลืมกันพลาด
“ไม่เห็นต้องเตรียมตัวเลย เอกสารทำวิทยานิพนธ์อย่างเดียวเสื้อผ้านิดหน่อยก็ไปได้แล้วไม่เห็นต้องมีอะไรให้ยุ่งยาก” เธอบอกเขาเคยชินเสียแล้วกับการจัดกระเป๋าเดินทาง เพียงไม่กี่นาทีเธอก็จัดการเรียบร้อยชนิดที่ว่าไม่มีอะไรตกหล่นก็ว่าได้ ทำไงได้ก็เดินทางอย่างนี้มาตั้งสามสี่ปีแล้วนี่ เรื่องแค่นี้ธรรมดาสามัญ
“อ่ะผมให้ คุณคงไม่ได้เตรียมมันไปด้วยหรอกผมว่า” ชายหนุ่มบอกพร้อมส่งถุงกระดาษใบเล็กๆ ให้เธอ
“อะไรหรอ” เธอถาม รีบเปิดถุงดูด้วยความอยากรู้ “โห! หมอรู้ได้ไงง่ะ เนี่ยกำลังจะแวะซื้อขากลับพอดีเลย” เธอบอกพร้อมเงยหน้าจากถุงกระดาษ
“มันเป็นเรื่องธรรมดาน่ะ คนเราเวลาต้องเดินทางไกล นอกจากเสื้อผ้าของใช้แล้ว ยารักษาโรคเป็นอีกอย่างที่คนส่วนใหญ่จะพกไปไหนด้วยเสมอ ใช้ไม่ใช้อีกเรื่องหนึ่ง” เขาบอกยิ้มๆ
“อืม...ฉันต้องใช้ประจำแหละ โดยเฉพาะยาลดน้ำมูกเนี่ย เปลี่ยนอากาศทีไร น้ำมูกไหลเยิ้มน่าเกลียดทุกทีเลย” เธอบอกเขา พร้อมกับหยิบยานั่นนี่ขึ้นมาดู
“คุณเป็นภูมิแพ้หรือ” เขาเลิกคิ้วขึ้นสงสัย
“เปล่าหรอก ร่างกายปรับตัวไม่ทันมากกว่า”เธอบอกเขา
“จะกลับมาอีกเมื่อไหร่”
“เรียนจบนั่นแหละ คิดว่าไม่น่าจะเกินครึ่งปี อืม...ประมาณสามเดือน”
“ขอยืมโทรศัพท์หน่อยสิ” เขายื่นมือมาตรงหน้าเธอ แม้ว่าจะงงๆ อยู่บ้างแต่ก็ส่งโทรศัพท์ให้โดยไม่ได้คิดอะไร
ชายหนุ่มจัดการบันทึกหมายเลขโทรศัพท์ของตัวเองลงในโทรศัพท์ของหญิงสาว แล้วกดโทรออกเพื่อให้เบอร์โทรศัพท์ของเธอโชว์บนหน้าจอมือถือของเขา
“หมอจู้จี้ทำอะไรน่ะ” เธอเงยหน้าขึ้นจากถุงยาถามเขา
“ก็ใส่เบอร์โทรศัพท์ผมให้คุณไง เผื่อป่วยใกล้ตายเมื่อไหร่จะได้โทร.หาผมเผื่อช่วยได้” เขาบอกยิ้ม บอกไม่ถูกเหมือนกัน เพราะเธอน่ารักล่ะมั้งเขาถึงอยากได้เบอร์โทร.ของเธอ
“ช่วยแช่งให้ตายไวๆ หรอ ไม่มีทางหรอก ชิ!” เธอบอกพร้อมกับสะบัดหน้าไปทางอื่น คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามเห็นแล้วชวนหมั่นไส้เสียไม่มี
“ไม่ได้แช่งให้ตายไวๆ หรอก แต่จะช่วยติดต่อดำเนินการเรื่องรับศพกลับบ้านให้” เขาบอกยิ้มๆ ขำขันกับอาการหูแดงเพราะขุ่นเคืองของเธอ
“หมอจู้จี้ เคยมีคนบอกหมอไหม” เธอหันมาถามเขา นัยน์ตากลมโตเพ่งมองไม่ลดละ
“อะไรหรือ อ้อเรียกผมว่าหมอพิสุทธิ์นะ เรียกหมอจู้จี้น่ะไม่ค่อยแมนเท่าไหร่” เขาเลิกคิ้วถามพร้อมแนะนำให้เธอเปลี่ยนคำเรียกเขาใหม่
“เรียกอย่างนี้น่ะดีแล้ว ว่าแต่ว่านะปากหมอน่ะ ยังกะกรรไกรผ่าตัด เป็นหมอน่าจะสุภาพพูดจาน่ารักน่าฟังนะ” เธอบอกเขาตรงๆ หมั่นไส้จริงๆ หมออะไรปากจัดอย่าบอกใครเชียว
“ไม่ต้องให้ใครบอกหรอก เพราะผมเป็นหมอลับฝีปากให้คมเหมือนกรรไกรผ่าตัดเป็นเรื่องธรรมดา” เขานึกว่าเรื่องอะไรเสียอีก เรื่องนี้เขารู้ตัวเองอยู่แล้ว นี่ขนาดแค่เธอเจอเขายังว่าปากจัด นี่ถ้าเจอนาธาน เธอไม่วิ่งโร่เอาอีโต้ไปเฉาะปากมันเลยหรือ หมอนั่นปากคอเราะร้ายกว่าเขาหลายเท่านัก
“อ้อ....อย่างนี้นี่เองถึงหาแฟนไม่ได้” เธอพูดลอยๆ
“เดี๋ยวก็รู้” เขาบอกเธอ 'แล้วอย่าติดกับผมแล้วกัน' หมอพิสุทธิ์ต่อในใจยิ้มเจ้าเล่ห์ให้คนตรงหน้า
“อะไร ?” ชักไม่ค่อยน่าไว้วางใจ
“ไม่มีอะไรหรอก” ผมจะบอกได้ไง อย่างนี้ก็เสียแผนหมดกันพอดี หึ หึ
ความคิดเห็น