NC

คำเตือนเนื้อหานิยาย

นิยายเรื่องนี้อาจมีเนื้อหาหรือการใช้ภาษา
ที่ไม่เหมาะสม เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน
กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหานิยาย

อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ภาวินทร์ภคนางค์

    ลำดับตอนที่ #7 : จอมใจจอมทมิฬ :: บทที่ 3 (1)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 52.22K
      247
      12 เม.ย. 64


    [R e - u p]

    e-book >> https://goo.gl/K5N86N

    หรือ get it now ค่ะ

      

    บทที่ 3

    “ร้านนี้บรรยากาศดี อาหารก็อร่อย ผมพาลูกค้ามารายไหนรายนั้นเป็นต้องกลับมาซ้ำครับ รับรองว่าคุณวินทร์จะต้องติดใจ”

    สุพจน์นายหน้าที่ดินวัยกลางคนรูปร่างท้วมกล่าวขึ้นขณะเดินนำภาวินทร์และลูกน้องจากลานจอดรถใต้ร่มไม้ไปยังร้านอาหารเรือนวรินทร์ หลังจากเสร็จธุระเรื่องที่ดินเขาก็ชวนภาวินทร์มากินข้าวที่นี่ต่อ เนื่องจากอยากตอบแทนที่เดินทางมาถึงเชียงใหม่ด้วยตัวเอง ทั้งที่เป็นถึงผู้บริหารระดับสูงที่ดูเหมือนว่างานจะยุ่งมากแต่ก็ยังมา และที่เลือก ‘เรือนวรินทร์’ ก็เพราะอยากสร้างความประทับใจให้ เผื่อจะมีโอกาสกลับมาเป็นคู่ค้ากันอีกครั้ง

    “ร้านสวย แถมบรรยากาศดีอย่างที่คุณพจน์ว่าจริงๆ ครับ”

    ภาวินทร์ว่าไปตามจริง ความจริงแล้วเขาเกือบจะปฏิเสธคำชวนของสุพจน์ แต่ไม่ได้ไปไหนต่อจึงตอบตกลง เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเสียน้ำใจ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีร้านอาหารที่มีดูมีเสน่ห์เฉพาะตัว ชื่อแสนไพเราะและบรรยากาศร่มรื่นแบบนี้ซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ด้วย

    “หนูนางค์เจ้าของร้านเป็นคนหัวสมัยใหม่ครับ เห็นร้านสวยๆ แบบนี้ แต่ก่อนเป็นแค่บ้านไม้ธรรมดาๆ เองนะครับ”

    ชื่อคุ้นหูที่หลุดออกมาจากปากสุพจน์ทำให้ภาวินทร์นิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะคิดว่าคงเป็นแค่คนชื่อเหมือนเท่านั้น คนชื่อนางค์บนโลกนี้อาจมีเป็นร้อยๆ คน ไม่น่าจะใช่นางค์ที่เป็นอดีตภรรยาของตัวเองหรอก…

    “เชิญด้านในเลยครับ” 

    เปิดประตูแล้วผายมือเชื้อเชิญให้ภาวินทร์และลูกน้องเข้าไปก่อน คู่ค้ารุ่นลูกจึงค้อมศีรษะให้เล็กน้อยแทนคำขอบคุณแล้วเดินเข้าไปด้านในร้านที่บรรยากาศแตกต่างจากข้างนอกพอสมควร ยังดีที่วันนี้เป็นวันธรรมดาและเลยเที่ยงมาแล้วลูกค้าเลยไม่ค่อยเยอะเท่าไรนัก ไม่อย่างนั้นคงได้รอนาน

    “สวัสดีจ้ะ เชิญด้านในเลยจ้า” พนักงานวัยใสของร้านในชุดไทยล้านนาเดินเข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้มพร้อมไหว้อย่างนอบน้อม ก่อนจะมองเข้าไปด้านในเพื่อหาโต๊ะว่างให้ลูกค้า

    “ลูกค้าสามท่านนะจ๊ะ เชิญที่โต๊ะเจ็ดเลยจ้ะ” เมื่อลูกค้าที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดีที่เดินมาด้านหลังพยักหน้ารับ จึงผายมือและเดินนำไปยังโต๊ะว่างที่อยู่ติดกับหน้าต่าง ก่อนจะไปหยิบเมนูอาหารแล้วกลับมาที่โต๊ะอีกครั้ง

    ภาวินทร์มองสำรวจบรรยากาศภายในร้านด้วยแววตาชื่นชม การตกแต่งด้วยสไตล์วินเทจแต่มีความทันสมัย เน้นสีฟ้าขาวทำให้รู้สึกอบอุ่นและสบายตา แถมยังมีที่นั่งในสวนสไตล์อังกฤษอันร่มรื่นเหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจไปในตัว สงสัยเขาต้องปักหมุดเอาไว้ หากมาเชียงใหม่คราวหน้าจะได้พาคุณรัมภาและคุณรวิตาแวะมาเยือนสักครั้ง เพราะเป็นร้านที่เหมาะแก่การพาครอบครัวมาไม่น้อย แค่มองด้วยตาก็รู้ว่าเจ้าของร้านต้องรักและตั้งใจทำร้านนี้มากๆ ขนาดเขามาครั้งแรกยังรู้สึกประทับใจอย่างบอกไม่ถูก คล้ายถูกดึงดูดด้วยเสน่ห์เฉพาะตัวอย่างไรอย่างนั้น

    “วันนี้ไม่ได้ไปโรงเรียนเหรอมะเฟือง” สุพจน์ถามขึ้นหลังจากทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ มองเด็กหญิงนิรมล หลานสาวของแม่ครัวประจำร้านซึ่งรู้จักกันดีด้วยแววตาเอ็นดู ปกติจะเห็นมาช่วยงานที่ร้านเฉพาะวันหยุด

    “ไม่ได้ไปจ้ะตา วันนี้โรงเรียนหยุด มะเฟืองเลยมาช่วยแม่ที่ร้านจ้ะ” เด็กหญิงตอบฉะฉานแล้วยิ้ม ก่อนจะวางสมุดรายการอาหารสีฟ้าอ่อนลงบนโต๊ะให้ลูกค้า

    “เมนูจ้ะ เดี๋ยวมะเฟืองมารับออร์เดอร์นะจ๊ะ” เอ่ยก่อนล่าถอยออกมาเพื่อไปบริการลูกค้าโต๊ะอื่นต่อ เนื่องจากผ่านช่วงเที่ยงไปพนักงานในร้านจะผลัดกันไปพัก มะเฟืองพักไปก่อนหน้านั้นแล้วจึงมารับช่วงต่อ

    “ยังเด็กอยู่เลย แต่ขยันน่าดูเลยนะครับ” เห็นแล้วภาวินทร์ก็อดชมไม่ได้ เด็กผู้หญิงคนนั้นน่าจะอยู่แค่ชั้นมัธยมต้นด้วยซ้ำกระมัง แต่กลับต้อนรับและดูแลลูกค้าในร้านได้คล่องแคล่ว

    “แม่กับยายแล้วก็น้าเขาสอนมาดีครับ วันหยุดก็มาช่วยทำงานตลอด ไม่เคยเกเรเลย” เพราะเห็นมาตั้งแต่เล็กเลยรู้ว่าเด็กหญิงนิรมลนั้นเป็นเด็กดีมากเพียงใด

    “เชิญสั่งได้ตามสบายเลยนะครับคุณวินทร์คุณคม อาหารที่นี่อร่อยทุกอย่างครับ”

    สุพจน์กล้ารับประกันเพราะเป็นร้านอาหารประจำของครอบครัว ตอนนี้แทบจะผูกปิ่นโตกันอยู่แล้ว ตั้งแต่รู้ว่าหลานสาวของพัชรีจะมาเปิดร้านอาหาร โดยที่มีอีกฝ่ายและลูกสาวเป็นแม่ครัวประจำร้าน เขากับภรรยานั้นแสนยินดีและแวะมาอุดหนุนตลอดแม้คนจะแน่นร้านแทบทุกวัน เนื่องจากติดใจในฝีมือการทำอาหารของพัชรี อีกทั้งเวลามีงานบุญงานบวชในชุมชนก็มักมีคนมาไหว้วานให้ไปช่วยทำอาหารให้ตลอด

    “เห็นทีต้องให้คุณพจน์ช่วยจัดการแล้วละครับ สั่งเลยครับ ผมกินได้ทุกอย่าง” ภาวินทร์มอบหน้าที่ให้กับคนพามา คมกริชที่นั่งอยู่ด้านข้างผู้เป็นนายก็พยักหน้ารับเช่นกัน

    “ได้ครับ เดี๋ยวผมจัดการให้เอง”

    ชายวัยกลางคนไม่ขัดข้องเลยแม้แต่น้อย จัดการสั่งอาหารให้เสร็จสรรพ ก่อนจะพูดคุยกันในเรื่องทั่วไประหว่างรออาหารมาเสิร์ฟ ดื่มด่ำกับบรรยากาศอันแสนสงบและผ่อนคลาย เพราะช่วงบ่ายลูกค้าไม่แน่นร้านเหมือนช่วงเที่ยงเลยทำให้ค่อนข้างเงียบและเป็นส่วนตัวมากทีเดียว

     

    **********

     

    เมี้ยววว เมี้ยววว

    เสียงร้องของลูกแมวทำให้ภคนางค์ที่กำลังจะพาลูกสาวเดินออกไปที่ร้านชะงักแล้วมองไปยังทิศทางของเสียงเพื่อหาตัวลูกแมวน้อยแสนน่ารัก

    “หืม เสียงเหมียวๆ นี่นา” 

    ก้มลงกระซิบเสียงนุ่มกับลูกสาวที่พยายามมองหาต้นตอของเสียงลูกแมวน้อย คงจะจำเสียงได้เพราะเห็นแทบทุกวัน อีกทั้งยายจ๋ายังเคยพาไปหาถึงบ้าน แต่ลูกสาวเธอดันไม่ดูอย่างเดียว ใช้มือป้อมๆ คว้าเหมียวน้อยจะเอาเข้าปากซะงั้น เห็นอะไรก็คิดว่าเป็นของกินเสียหมด

    “นั่นไง เห็นเหมียวๆ ไหมลูก เหมียวๆ เหมียวๆ”

    ภคนางค์ชี้ไปยังลูกแมวลายสลิดวัยกำลังซนสามตัวของคนข้างบ้านที่ชอบออกมาไต่กำแพงและหยอกล้อกัน ป้าบ้านข้างๆ เลี้ยงแมวด้วยระบบเปิดไว้หลายตัว พวกมันน่ารักและเชื่องทุกตัว แอบมีข้ามมาบ้านเธอบ้างแต่ไม่เคยมาสร้างความเดือดร้อนให้ แค่มานอนหน้าบ้านก็กลับไป  

    “แอ๊!” น้องพลินทร์ใช้ดวงตากลมโตมองตามแม่ก่อนส่งเสียงกรี๊ดแล้วยิ้มร่า ปรบมือชอบใจใหญ่

    “ดูซิ เหมียวน้อยไต่กำแพงเก่งจังเลย เห็นไหมจ๊ะ

    หญิงสาวชวนลูกพูดคุยแล้วพาเข้าไปดูใกล้ๆ อีกนิด น้องพลินทร์มักให้ความสนใจกับสัตว์แทบทุกชนิด โดยเฉพาะแมวของคนข้างบ้าน เวลาเห็นจะตื่นเต้นเป็นพิเศษ เพราะตอนเช้ายายจะชอบพาออกมาเดินเล่นหน้าบ้าน พาดูนก ดูแมว แถมไม่ได้มีความกลัวเลยสักนิด อยากจะเข้าไปหาใกล้ๆ เสียมากกว่า

    “มะ มา!”

    “เหมียวๆๆ เหมียวๆ มาหาพี่พลินทร์หน่อยเร็ว”

    ลูกแมวตัวน้อยได้ยินเสียงเรียกก็ไต่กำแพงเข้ามาใกล้ด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ ทำให้เด็กน้อยแก้มกลมที่มองไม่วางตานั้นยิ้มแป้นพร้อมทั้งยกมือขึ้นชี้ตามด้วยความไร้เดียงสา

    “เหมียวๆ มาหาพี่พลินทร์หน่อย”

    “อู...อู้” หนูน้อยห่อปากตาโตด้วยความตื่นเต้น

    “เหมียวมาหาลูกแล้วเห็นไหมจ๊ะ เรียกน้องเร็ว เมี้ยวๆๆ

    ภคนางค์คลี่ยิ้มอ่อนหวานในยามมองน้องพลินทร์ให้ความสนใจกับสิ่งตรงหน้า การได้ออกมานอกบ้านมีอะไรแปลกใหม่ให้ลูกได้เรียนรู้เสมอ ซึ่งเธอก็ไม่เคยปิดกั้น ให้เวลาและใจเย็น ปล่อยให้พลินทร์ค่อยๆ ได้เรียนรู้ไปตามวัย เพราะคุณแม่มือใหม่อย่างเธอไม่เคยมีประสบการณ์เลี้ยงลูกมาก่อนก็ศึกษาจากป้า หนังสือบ้าง อินเทอร์เน็ตบ้างแล้วนำมาปรับใช้เอา โชคดีที่เด็กหญิงภควรินทร์เป็นเด็กเลี้ยงง่ายด้วยจึงไม่เหนื่อยเท่าไรนัก จะมาเหนื่อยก็ช่วงที่เริ่มนั่งและคลานได้นี่ละ อีกหน่อยถ้าเดินได้คงปวดหัวน่าดูเลย คอกกั้นจะเอาเด็กดื้อของเธออยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้

    “ไม่ได้จ้ะ เข้าไปใกล้ๆ ไม่ได้ เดี๋ยวน้องตกใจนะจ๊ะ” 

    อธิบายเสียงนุ่มเมื่อลูกโน้มตัวและยื่นมือออกไปข้างหน้าหมายจะให้แม่พาเข้าไปใกล้ๆ มองมือน้อยๆ ที่ขย้ำๆ แทนการกวักเพื่อเรียกแมวเหมียวแล้วได้แต่ยิ้มอย่างเอ็นดู แต่ลูกแมวขี้ตกใจง่ายเลยรีบไต่ลงกำแพงเข้าบ้านไป

    “แอะ!” ประท้วงพร้อมยืดตัวขึ้นมองหาเมื่อเหมียวๆ หายไปแล้ว นิ้วเล็กแสนน่ารักนั้นก็ชี้ไปตรงหน้า ปากจิ้มลิ้มก็บ่นพึมพำราวกับจะฟ้องแม่ว่าลูกแมวปีนลงไปตรงนั้นแล้ว

    “เหมียวกลับบ้านแล้ว ไปหายายจ๋ากันดีกว่าเนอะ”

    ภคนางค์หอมแก้มนุ่มๆ แล้วอุ้มลูกเดินออกจากบริเวณที่ยืนอยู่ไปยังประตูไม้สีเข้มซึ่งเป็นทางเข้าหลังร้าน ‘เรือนวรินทร์’ โดยสองฝั่งของประตูคือต้นดอกแก้วที่ถูกตัดแต่งให้เป็นแนวยาว ทึบและสูงพอสมควร ใช้เป็นกำแพงกั้นพื้นที่ระหว่างร้านอาหารกับบ้านซึ่งอยู่ด้านหลังเพื่อความเป็นส่วนตัว ร้านอาหารเรือนวรินทร์เป็นร้านที่ภคนางค์ตั้งใจทำขึ้นมาซึ่งเปิดมาได้ปีกว่าๆ แล้ว

    หลังจากที่ตัดสินใจแล้วว่าจะใช้ชีวิตอยู่ที่เชียงใหม่ หญิงสาวจึงอยากทำธุรกิจเป็นของตัวเอง เห็นว่าป้าและพี่สาวอย่างนิชดามีฝีมือทำกับข้าวจึงชวนเปิดร้านอาหาร โดยมีความคิดว่าจะปรับปรุงพื้นที่ส่วนหน้าซึ่งเป็นบ้านเก่าของตายายทำเป็นร้านอาหาร คราแรกป้าคัดค้านเนื่องจากทำเลไม่ดี อยู่ในหมู่บ้านแถมเป็นแค่ทางผ่านไปยังจุดท่องเที่ยว กลัวว่าจะไปไม่รอด ภคนางค์จึงขอให้พี่สาวช่วยเกลี้ยกล่อม ขอให้พี่เขยที่ทำงานด้านครีเอทีฟช่วยโน้มน้าวอีกแรง เพราะเธอเชื่อว่าถ้าทำร้านให้มีจุดขาย ยังไงลูกค้าก็ต้องมาหาอย่างแน่นอน จนในที่สุดป้าก็ยอมใจอ่อนให้ทำ

    บ้านสองชั้นกึ่งไม้กึ่งปูนขนาดใหญ่ของตายายที่ไม่มีใครอาศัยอยู่แล้วแต่ยังคงสภาพดีและแข็งแรงเพราะได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี จึงเริ่มถูกรีโนเวทและต่อเติมไปพร้อมกับการสร้างบ้านหลังเล็กที่เธออาศัยอยู่กับลูกในปัจจุบัน โดยภคนางค์ใช้เงินส่วนตัวทำทั้งหมด ซึ่งเงินจำนวนนั้นบางส่วนได้มาจากการหย่ากับอดีตสามี ที่ครอบครัวของเขาให้ถึงเก้าหลัก แต่เธอรับมาเพียงแค่แปดหลักต้นๆ

    จนในที่สุดบ้านก็สร้างเสร็จตอนเธอตั้งครรภ์ได้เกือบสามเดือน ส่วนบ้านของตายายที่ถูกรีโนเวทและต่อเติมจนกลายเป็นบ้านสไตล์วินเทจสีขาวก็เสร็จในอีกสองเดือนถัดมา ชั้นล่างที่เคยเป็นผนังปูนถูกปรับให้มีความโปร่งโล่งด้วยหน้าต่างสูงจากเพดานจดพื้น เพื่อรับแสง รับลม และชมบรรยากาศโดยรอบอันแสนร่มรื่นจากสวนสไตล์อิงลิชคอทเทจ ภายในถูกตกแต่งด้วยสไตล์วินเทจเน้นสีฟ้าขาวดูอบอุ่น ภายนอกมีโซนนั่งท่ามกลางธรรมชาติ

    ในตอนนั้นภคนางค์เพิ่งทราบว่าลูกในท้องเป็นผู้หญิง จึงนำชื่อที่ตั้งให้ลูกว่า ‘ภควรินทร์’ มาเป็นส่วนหนึ่งของร้าน ‘เรือนวรินทร์’ และถึงแม้บรรยากาศทั้งภายในและภายนอกร้านจะมีความทันสมัย แต่เรือนวรินทร์ขายเพียงแค่อาหารล้านนาและอาหารไทยเท่านั้น และร้านอาหารเรือนวรินทร์นั้นถือว่าเป็นธุรกิจครอบครัวโดยแท้ ป้าและพี่สาวเป็นแม่ครัวกับคนดูแลร้าน พี่เขยทำเรื่องการโปรโมตผ่านสื่อรูปแบบต่างๆ เพื่อให้ร้านเป็นที่รู้จัก ส่วนเธอดูแลเรื่องบัญชี พนักงานในร้านก็เป็นญาติๆ และคนละแวกนี้ทั้งนั้น

    จากตอนแรกที่มีลูกค้าวันละไม่กี่โต๊ะ ตอนนี้เรือนวรินทร์มีลูกค้าแวะเวียนมาอุดหนุนแทบไม่ขาดสาย ภคนางค์ถือว่านี่คือความสำเร็จที่คนในครอบครัวช่วยกันสร้างขึ้นมา แน่นอนว่ามันไม่ใช่ความสำเร็จแบบก้าวกระโดด แต่เป็นการก้าวไปทีละขั้นอย่างสม่ำเสมอเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ก่อนไปถึงจุดมุ่งหมายอันสูงสุด เมื่อถึงจุดนั้นแล้วจะมีจุดยืนที่มั่นคง เหมือนกับที่ใครคนหนึ่งเคยสอนเธอมาตลอดว่าความพยายามจะประสบผลสำเร็จช้าหรือเร็วอยู่ที่ตัวเราไม่ใช่คนอื่น เพราะสู้กับใครก็ไม่เท่าสู้กับความพยายามและความเพียรของตัวเอง...



    +++++

    มีความคิดเห็นยังไง ฝากคอมเม้นให้กำลังใจด้วยนะคะ

    ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ / อิงธารา

    e-book >> https://goo.gl/K5N86N

    หรือ get it now ค่ะ

     

     

    ฝากกดไลค์เพจเพื่อติดตามข่าวสารการอัพนิยายด้วยค่ะ


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×