คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 (1) เด็กขี้อ้อน
e-book >> https://goo.gl/K5N86N
หรือ get it now ค่ะ
บทที่ 1
บ้านสไตล์คอทเคจคลาสสิกสุดน่ารักล้อมด้วยรั้วไม้สีขาว คือสถานที่พักพิงแสนอบอุ่นของภคนางค์และลูกสาว บ้านสีขาว หลังคาทรงปั้นหยามีจั่วมุขตรงกลาง มุงด้วยเมทัลชีทสีฟ้าอมเทา ประตูหน้าต่างถูกออกแบบให้เข้ากันอย่างลงตัว หน้าบ้านมีชานระเบียงเล็กๆ สำหรับพักผ่อน ด้านในถูกตกแต่งด้วยโทนอบอุ่น เฟอร์นิเจอร์ล้วนเป็นไม้สีขาวและปูพื้นปาเก้ขัดมัน มีเพียงสองห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัวและเน้นโถงกว้างเพื่อสมาชิกตัวน้อยโดยเฉพาะ
หลังจากที่ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะย้ายมาอยู่ที่เชียงใหม่บ้านเกิดของแม่อย่างถาวร บ้านหลังนี้จึงถูกสร้างขึ้นบนพื้นที่ใกล้ๆ กับบ้านของป้าพัชรี ภคนางค์สามารถปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิตที่แสนเรียบง่ายของคนที่นี่ได้อย่างรวดเร็ว หญิงสาวมีความสุขกับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ แม้ทุกอย่างรอบกายจะไม่เหมือนเดิม แม้จะต้องอยู่ห่างไกลกับเพื่อนสนิทที่เคยได้นัดเจอกันแทบทุกวันหยุด
แต่ความห่างไกลนั้นกลับทำให้หญิงสาวและเพื่อนๆ สนิทกันมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก จากที่แค่โทรศัพท์นัดก็ได้เจอกันอย่างง่ายดาย กลายเป็นว่าเพื่อนๆ ต้องรอให้มีวันหยุดหลายๆ วันติดกันแล้วบินมาหาเธอที่เชียงใหม่แทน เพราะหลังจากย้ายมาได้ไม่ทันไรภคนางค์ก็ท้อง จึงทำให้ไม่สะดวกเรื่องเดินทาง ทว่าทุกคนกลับเข้าใจและเต็มใจที่จะเดินทางมาหาเธอกับลูกที่นี่
ตอนนี้ภคนางค์มีความสุขและพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่มาก เพราะลูกทำให้ทุกวันของชีวิตมีความหมายมากขึ้น เด็กหญิงภควรินทร์คือความสุขที่แท้จริงในชีวิตของเธอ ลูกเข้ามาเติมเต็มในส่วนที่ขาดและเติมบางส่วนที่มีอยู่แล้วให้เพิ่มขึ้น จึงไม่จำเป็นที่จะต้องหาสิ่งใดมาเติมอีกแล้ว…
“อา!”
เสียงใสที่แผดร้องและมือน้อยๆ ทั้งสองที่ทุบโต๊ะตึงตังในยามที่แม่ป้อนข้าวไม่ทันใจนั้นทำให้ภคนางค์ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ แล้วรีบตักข้าวตุ๋นผสมเนื้อไก่ ตับ บร็อกโคลีใส่ปากจิ้มลิ้มที่อ้ารอรับ ช่วงนี้เริ่มรู้จักเคี้ยวแล้ว หญิงสาวจึงเปลี่ยนจากข้าวบดละเอียดมาเป็นบดหยาบๆ แทน ไม่ว่าแม่จะทำอะไรให้กิน ลูกหมูน้อยภควรินทร์ก็ดูจะเอ็นจอยอีทติ้งเหลือเกิน
“ใจเย็นๆ สิลูก ป้อนหาย ป้อนหายแบบนี้แม่ก็ตักไม่ทันสิจ๊ะ”
คุณแม่คนสวยบ่นลูกสาวที่กินเก่งเหลือเกินด้วยความมันเขี้ยว ป้อนแป๊บเดียวข้าวจะหมดถ้วยแล้ว เวลากินข้าวคือเวลาที่ยายหนูของเธอดี๊ด๊าเป็นพิเศษ แต่ถ้าป้อนไม่ทันใจก็มีโวยวายกันบ้าง นิสัยขี้โวยวายเอาแต่ใจตอนไม่ได้ดั่งใจแบบนี้ไม่ใช่มาจากเธออย่างแน่นอน ได้พ่อมาเต็มๆ เพราะแม่อย่างเธอนั้นเป็นคนใจเย็นประดุจสายน้ำด้วยซ้ำ
“มำๆ มำๆ” พอหมดแล้วก็ร้องขออีก ปากจิ้มลิ้มขยับเข้าไปงับช้อนเองเพราะไม่ทันใจ
การออกเสียงขอหม่ำๆ ที่ยังไม่ชัดของลูกทำให้ภคนางค์อดยิ้มไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าอนาคตน้องพลินทร์อาจจะพูดคำว่า ‘หม่ำๆ’ ได้ชัดก่อนเรียกแม่อย่างแน่นอน เพราะเรื่องกินเรื่องใหญ่เหลือเกิน
“อร่อยมากเลยเหรอจ๊ะคนดีของแม่”
เสียงหวานทอดถาม จึงได้รอยยิ้มร่าของเด็กน้อยหน้ามอมแมมไปด้วยข้าวกลับมา การที่เห็นลูกกินได้ทุกอย่างโดยไม่เลือก คนเป็นแม่ก็ชื่นใจ พลินทร์เป็นเด็กกินเก่ง กินง่ายและกินได้ทุกอย่าง ไม่ว่าแม่จะทำอะไรให้หนูน้อยก็ไม่เคยปฏิเสธ หม่ำๆ จนหมดชามทุกที แก้มถึงได้ย้วย พุงถึงได้กลมจนน่าฟัดแบบนี้ไงล่ะ แต่การที่ได้เห็นลูกกินอิ่มและยิ้มได้ คนเป็นแม่ก็แสนสุขใจแล้วละ
“อะ คำสุดท้ายแล้วจ้ะ อ้ำๆ เร็วคนเก่ง” ภคนางค์ป้อนข้าวคำสุดท้ายใส่ปากให้ลูกสาว น้องพลินทร์ก็รีบรับเข้าปากในทันทีแล้วเคี้ยวหมุบหมับอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนจะตามด้วยน้ำอีกนิดหน่อย
“เก่งจังเลยจ้ะ ไหนปรบมือให้ตัวเองหน่อยเร็ว”
หญิงสาววางถ้วยเล็กที่ว่างเปล่าลงข้างตัวแล้วระบายยิ้มขณะมองคนเก่งปรบมือแปะๆ ให้ตัวเอง ก่อนจะหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอารมณ์ดี เวลาได้รับคำชมเด็กน้อยจะชอบใจนัก ยิ้มร่าโชว์ฟันสองซี่ที่เพิ่งขึ้นในทันทีตามประสาเด็กอารมณ์ดี ที่ไม่ว่าถูกใครหยอกล้อก็ยิ้มก็หัวเราะให้ตลอด คนภายนอกแทบไม่เคยเห็นลูกสาวเธอร้องงอแง เพราะเด็กหญิงภควรินทร์จะร้องเฉพาะตอนหิวนมกับง่วงแล้วไม่ได้นอนเท่านั้น ขนาดตอนป่วยยังอารมณ์ดียังซนได้เหมือนเดิม
“ลูกสาวแม่อารมณ์ดีจังเลย”
“แอ้!”
ภคนางค์ยิ้มแล้วหยิบผ้ามาเช็ดปาก แก้ม และมือให้ลูก ก่อนจะถอดผ้ากันเปื้อนออกให้ พอแม่ลุกขึ้นยืน น้องพลินทร์ก็ยกแขน ดีดขาพร้อมทั้งโน้มตัวมาหาหมายจะให้แม่อุ้มลงจากเก้าอี้กินข้าว หญิงสาวแกล้งทำเป็นยืนนิ่ง เด็กน้อยเลยคว้าหมับเข้าที่เสื้อแล้วพยายามปีนขึ้นหา แถมยังส่งเสียงประท้วงอย่างเอาแต่ใจ คนเป็นแม่เลยต้องยอมแพ้ไม่อย่างนั้นคงดึงจนเสื้อแม่ย้วยหมดแน่ๆ พอสมใจแล้วก็กอดซบออดอ้อนไม่ยอมห่างจนภคนางค์ใจละลาย
“อ้อนเก่งจังเลยนะเราเนี่ย”
อดไม่ได้ที่จะหอมศีรษะของเด็กช่างอ้อนด้วยความมันเขี้ยว ดูเอาเถอะ เกาะแม่แจขนาดนี้จะไม่ให้รักไม่ให้หลงได้อย่างไรกัน แม้จะหนักที่ต้องอุ้มลูกไปด้วย ทำความสะอาดโต๊ะกินข้าวด้วยมือเพียงข้างเดียวภคนางค์ก็ยอม เพราะถ้าน้องพลินทร์อ้อนแบบนี้วางไม่ได้เลยละ ไม่งั้นจะโวยวายทันที แถมเดี๋ยวนี้ยังรู้จักงอนแม่เป็นซะด้วย
“เรียบร้อยแล้ว ไปอาบน้ำรอยายจ๋ากันดีกว่าเนอะ จะได้ตัวหอมๆ”
ภคนางค์นำชามข้าวมาแช่ไว้ในครัวรอล้าง ก่อนจะอุ้มลูกออกมาเพื่อพาไปอาบน้ำ เพราะถ้าเริ่มค่ำอากาศจะเย็น กลัวยายตัวเล็กจะไม่สบาย ตอนนี้เชียงใหม่เริ่มเข้าหน้าหนาวแล้ว อากาศจึงเย็นลงมากกว่าปกติ หลังจากปิดร้านแล้วป้าของเธอจะแวะมาหาหลานก่อนค่อยกลับไปที่บ้าน พอทำธุระส่วนตัวและกินข้าวเย็นเรียบร้อยแล้วก็จะกลับมานอนเป็นเพื่อนที่บ้านหลังนี้ ทำให้สองแม่ลูกรู้สึกอุ่นใจเสมอเพราะไม่ได้อยู่กันตามลำพัง
**********
หญิงสาวอุ้มลูกเดินเข้ามาในห้องนอน หยิบผ้าขนหนูเนื้อนุ่มมาพาดไว้บนบ่า เด็กน้อยชอบเล่นน้ำมากเป็นพิเศษเริ่มดีดแข้งดีดขาเมื่อรู้ว่าจะได้อาบน้ำ ทว่ายังไม่ทันที่ภคนางค์จะพาลูกเข้าห้องน้ำ ก็ถูกรั้งไว้ด้วยเสียงของเครื่องมือสื่อสาร จึงเปลี่ยนทิศทางไปยังเตียงนอนเพราะกลัวว่าคนโทร.มาจะมีธุระสำคัญ แม้จะเปลี่ยนเบอร์มือถือใหม่มาเกือบสองปีแล้วและมีไม่กี่คนที่รู้ก็ตาม
“เอ…ใครโทร.มานะ”
เสียงหวานบ่นพึมพำแล้วหยิบมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมาดู ขณะที่ลูกสาวตัวน้อยของเธอก็ดูตื่นเต้นเพราะเสียงที่ดังขึ้นไม่น้อย มือป้อมๆ ก็พยายามเอื้อมมาแย่งจากมือแม่ ชอบนักละสิ่งของแปลกใหม่ที่ไม่ใช่ของเล่นของตัวเอง
“น้าบุ้งโทร.มาหาพลินทร์นี่เอง”
ภคนางค์คลี่ยิ้มเมื่อเห็นว่าเป็นบุญญาดาที่วิดีโอคอลมาหา หญิงสาวทรุดกายลงนั่งบนเตียงแล้วกดรับ โดยยื่นมือถือออกห่างตัวพอสมควร เพราะลูกพยายามจะคว้าเอาเหลือเกิน
“ว่าไงแก เลิกงานแล้วละสิถึงโทร.มาได้”
“วันนี้ฉันไม่ได้เข้าออฟฟิศ ออกมาหาลูกค้าข้างนอกน่ะ เลยแวะกินข้าวแถวที่ทำงานนังออม นี่ก็รอมันออกมาอยู่”
“อ๋อ”
หญิงสาวพยักหน้ารับ ก่อนก้มมองลูกที่เริ่มนั่งอยู่นิ่งๆ เพราะได้ยินเสียงแม่และน้าคุยกัน พอบุญญาดาเอ่ยถึงอรอุมาก็ทำให้อดคิดถึงเรื่องเมื่อวันก่อนไม่ได้ หลังจากที่เธออ่านข้อความแล้วไม่ตอบ เพื่อนก็โทรศัพท์มาขอโทษยกใหญ่ ซึ่งภคนางค์ไม่ได้โกรธเลยสักนิด เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาที่ไม่ดีและอาจทำไปโดยไม่ทันคิด อีกทั้งหลังจากหย่ากันหญิงสาวก็ไม่ได้ทราบข่าวอดีตสามีเลย เรียกได้ว่าปิดกั้นตัวเองเพื่อไม่รับรู้เรื่องของเขาก็ไม่ผิดนัก อรอุมาคงแค่อยากส่งข่าวคราวของเขาให้เธอรับรู้ ซึ่งก็ดีแล้ว เพราะมันทำให้เธอตัดสินใจเรื่องลูกได้อย่างเด็ดขาดมากขึ้น
“ดูสิ พลินทร์มองน้าบุ้งตาแป๋วเลย ธุจ้าน้าบุ้งหรือยังจ๊ะ ไหนทำให้น้าบุ้งดูซิ ธุจ้ายังไงนะ” พอแม่บอกให้ธุจ้า แม่หนูก็ยกมือขึ้นประกบกันตามที่ยายจ๋าสอนแล้วฉีกยิ้มกว้างโชว์ฟันน้ำนมด้วยความไร้เดียงสา
“เก่งจังเลยน้องพลินทร์ของน้า คิดถึงน้าบุ้งไหมคะ”
บุญญาดาคุยหยอกล้อหลานสาวสุดที่รักที่นั่งตาแป๋วแหววอยู่บนตักแม่ ไม่ได้เห็นหน้าหลานตั้งสองวันคิดถึงจะแย่ ยิ่งได้เห็นแก้มป่องๆ ยิ่งอยากจะฟัดหลายๆ ฟอดให้หายมันเขี้ยว
“แอ้!”
หนูน้อยตอบรับคุณน้าคนสวยแล้วยิ้มแป้น นิ้วเล็กๆ ชี้ไปที่โทรศัพท์มือถือ ทั้งยังโน้มตัวไปข้างหน้าราวกับจะเข้าไปดูใกล้ๆ จนภคนางค์ต้องรั้งเอาไว้เพราะลูกยังเล็ก จึงไม่อยากให้อยู่ใกล้ๆ หน้าจอมือถือมากนัก
“คิดถึงเหรอลูก น้าบุ้งก็คิดถึงพลินทร์ที่สุดเลยน้า อยากกอดอยากฟัดหนูจังเลย”
ภคนางค์มองน้าหลานคุยกันแล้วได้แต่ยิ้มขัน พอบุญญาดาพูดมา ลูกสาวเธอก็อ้อแอ้ตอบรับราวกับรู้เรื่อง ทั้งยังคุยโม้ไม่หยุดจนน้ำลายยืด ชอบนักละเวลามีคนคุยด้วยเนี่ย
“แล้วตอนนี้ที่ร้านเป็นยังไงบ้างนางค์ คนเยอะเหมือนเดิมละสิ”
พอได้คุยกับหลานให้หายคิดถึง หญิงสาวก็ถามถึงกิจการร้านอาหารล้านนาของเพื่อนที่ตอนนี้กำลังเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยว
“ไม่เยอะเท่าแต่ก่อน แต่ก็ยังวุ่นเหมือนเดิมแหละ”
“ดีแล้ว ฉันนี่คิดถึงกับข้าวฝีมือป้าแกสุดๆ เลยรู้ไหม ถ้ากรุงเทพฯ กับเชียงใหม่อยู่ใกล้กันจะไปบ่อยๆ เลย เนอะพลินทร์เนอะ”
ท้ายประโยคนั้นบุญญาดาคุยกับหลานที่ขยับปากขึ้นลงเหมือนอยากจะพูดด้วย ช่วงนี้น้องพลินทร์คุยอ้อแอ้เก่ง บางทีก็ส่งเสียงกรี๊ดเวลาชอบใจ น่ารักน่าเอ็นดูเป็นที่สุดเลยหลานสาวเธอ เห็นแล้วก็อยากจะมีเป็นของตัวเองบ้าง แต่คนของใจไม่ยอมมาขอเสียที
“อุ้ย คุยกับหลานเหรอ เขยิบไปให้ฉันคุยด้วยสิ”
คนมาใหม่เห็นเพื่อนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่กับหน้าจอมือถือก็กระวีกระวาดเข้ามานั่งข้างๆ แล้วโบกมือทักทายหลานสาวสุดที่รัก
“จ๊ะเอ๋ ๆ พลินทร์คนสวยของน้า คิดถึงจังเลยลูก”
บุญญาดากลอกตาใส่คนที่คุยเสียงสองกับหลานด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะนั่งมองเด็กน้อยอารมณ์ดีที่พยายามจะคุยด้วยความเอ็นดู โม้เก่งแบบนี้อีกหน่อยถ้าพูดเป็นคำได้คงคุยไม่หยุดแน่ๆ น่ารักน่าเอ็นดูขนาดนี้จะไม่ให้พวกเธอหลงได้อย่างไร
“แอ้…แอ้”
เสียงตอบรับและความน่ารักน่าชังของแม่หนูทำเอาคุณน้าคนสวยทั้งสองต่างพากันยิ้มจนแก้มปริ ใจละลายกันถ้วนหน้า นี่ก็ร่ำร่ำอยากจะไปหาที่เชียงใหม่กันใจจะขาด แต่งานก็รัดตัวกันทุกคน มิหนำซ้ำกว่าจะรวมตัวกันได้อีกก็ไม่ใช่ง่ายๆ เลย
“โม้เก่งจังเลย คุยกับน้ารู้เรื่องด้วยเหรอลูก”
ภคนางค์เอ่ยด้วยความเอ็นดูเมื่อเห็นลูกส่งเสียงอ้อแอ้ไม่หยุดอย่างอารมณ์ดี พลินทร์เป็นเด็กเข้ากับคนง่าย ไม่กลัวคนแปลกหน้า ใครเข้ามาคุยมาหยอกล้อก็ยิ้มก็หัวเราะ โดยเฉพาะกับบรรดาเพื่อนสนิทของเธอที่ขยันโทร.มาหาเพราะกลัวหลานจะลืมหน้า จนตอนนี้เริ่มคุ้นเคยกันมากขึ้นแล้ว
“เพิ่งเห็นว่าหลานใส่ชุดที่ฉันซื้อให้ด้วย ใส่พอดีเลยนะนางค์ นึกว่าจะใหญ่ไปซะอีก”
อรอุมามองชุดบอดี้สูทสีเหลืองอ่อนลายดอกไม้แสนน่ารักบนตัวหลาน เธอจำได้ว่าเพิ่งส่งไปให้พร้อมกับชุดสวยอีกหลายๆ ชุดเมื่อเดือนก่อน ตั้งแต่ภคนางค์คลอดน้องพลินทร์ เวลาเดินผ่านแผนกเสื้อผ้าเด็กทีไรเป็นต้องแวะ รู้สึกคันไม้คันมืออยากจะซื้อ อยากให้หลานใส่ชุดสวยๆ ทุกวันนี้แทบจะวนเวียนอยู่กับแผนกเด็กมากกว่าเครื่องสำอางและเสื้อผ้าของตัวเองแล้ว
“ช่วงนี้พลินทร์โตเร็ว เพิ่งใส่ไปได้แค่สองครั้งเอง อีกหน่อยคงคับแล้วละ หลานพวกแกกินเก่งมาก นี่เพิ่งกินข้าวหมดชามไป”
สองคุณน้าหัวเราะขันเมื่อเด็กน้อยแก้มป่องที่โดนแม่นินทายิ้มร่า ขณะมือเล็กก็ยังไม่ละความพยายามที่จะคว้าโทรศัพท์จากแม่อยู่ดี
“เดี๋ยวน้าออมซื้อชุดสวยส่งไปให้พลินทร์ใหม่ เอาไหมลูก เอาชุดสวยๆ ไหมคะ” ถามเสียงอ่อนพลางพยักหน้าหยอกล้อไปด้วยเพื่ออยากเห็นรอยยิ้มหวานๆ ของหลานให้ชื่นใจ
“แอ๊!”
“เอาเหรอคะ ชอบชุดสวยๆ เหรอ” คนชอบเปย์หลานยิ้มชอบใจ น้องพลินทร์ช่างเป็นเด็กอารมณ์ดีและยิ้มง่ายเหลือเกิน
“อื้อ…” คนตัวเล็กตอบรับราวกับรู้ความ พร้อมทำหน้าพริ้มยิ้มหวาน
“เอาสิบชุดเลยเนอะลูก น้าออมรวย เปย์ได้ไม่อั้น” บุญญาดาว่าด้วยความหมั่นไส้ แม้ตัวเองจะชอบซื้อเสื้อผ้าให้หลาน แต่ก็ไม่บ่อยและไม่หนักเท่าอรอุมา เพราะรายนี้น่ะหลงหลานหนักมากจริงๆ
“ไม่ต้องซื้อให้ก็ได้นะออม ฉันเกรงใจ”
คุณแม่น้องพลินทร์แสนเกรงใจที่น้าๆ ซื้อเสื้อผ้าส่งมาให้บ่อยๆ จนเธอแทบไม่ได้ซื้อให้ลูกเอง ต้องทยอยเอาของที่เพื่อนซื้อให้ออกมาให้ลูกใส่ก่อนจะโตไปกว่านี้แล้วใส่ไม่ได้
“นี่คุณแม่ เงียบไปเลย หลานฉัน ฉันจะเปย์”
“ซื้อให้บ่อยๆ ฉันก็เกรงใจนี่นา”
“หยุดเลย! เกรงใจอะไรกัน ฉันน่ะเปย์ได้ยันค่าเทอมหลานนู่นละ”
สาวสวยสุดเปรี้ยวและที่สำคัญยัง ‘โสด’ จีบปากจีบคอพูดพลางยกมือห้าม เพราะเต็มใจที่จะซื้อให้ จนภคนางค์ได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ เพราะห้ามไปก็เท่านั้นจริงๆ ขณะที่บุญญาดานั้นย่นจมูกใส่ด้วยความหมั่นไส้แล้วหมั่นไส้อีก ก่อนจะมีสีหน้าตกใจเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นใครบางคนที่อยู่อีกมุมของร้านอาหาร จึงรีบสะกิดเพื่อนแล้วพยักพเยิดไปยังมุมนั้น อรอุมามองตามแล้วทำตาโต ก่อนจะหันมาสบตากับเพื่อนด้วยท่าทีเลิ่กลั่ก ทำปากพะงาบๆ คล้ายจะพูดออกมาทว่าบุญญาดากลับจับแขนเอาไว้ พร้อมปรามทางสายตาว่าอย่าพูดอะไรออกมาเด็ดขาด
“พวกแก ไว้ค่อยคุยกันใหม่นะ ฉันพายายหนูไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวค่ำแล้วอากาศจะเย็น แถมเริ่มไม่อยู่นิ่งแล้วเนี่ย”
ภคนางค์ไม่ทันได้สังเกตเห็นท่าทีแปลกๆ ของเพื่อน เพราะวุ่นอยู่กับการจับลูกที่เลิกสนใจน้าๆ แล้วปีนลงจากตักแม่ไปคลานบนเตียงแทน หญิงสาวสลับจากกล้องหน้าเป็นกล้องหลังเพื่อให้อรอุมาและบุญญาดาเห็นความแสบของหลานที่กำลังจะพยายามคลานไปเอาตุ๊กตาหัวเตียงให้ได้
อรอุมาและบุญญาดาสะดุ้งน้อยๆ แต่ยังมีท่าทีปกติ พร้อมทั้งยิ้มกลบเกลื่อน
“โอเคๆ ไว้ค่อยคุยกันใหม่ พลินทร์จ๋า หันมาบ๊ายบายน้าก่อนเร็ว”
คุณน้าคนสวยเรียกความสนใจจากหลานที่ส่งเสียงประท้วงเพราะโดนแม่จับขาอวบๆ ไว้เลยทำให้คลานไปไหนไม่ได้
“มาบ๊ายบายน้าออมกับน้าบุ้งก่อนเร็วคนเก่ง เดี๋ยวแม่พาไปอาบน้ำแล้ว” หญิงสาวหันหน้าจอไปหาลูกที่เริ่มซนจนเอาไม่อยู่ ในยามที่แผลงฤทธิ์อย่างเอาแต่ใจแบบนี้ก็น่ามันเขี้ยวไม่น้อยเลยละ
“บ๊ายบายๆ บ๊ายบายน้าหน่อยเร็วคนสวย”
อรอุมาโบกไม้โบกมือเมื่อหลานหันมามองตามเสียง ทว่ายายตัวน้อยไม่ยอมบ๊ายบาย หากแต่พยายามดึงโทรศัพท์จากมือแม่แทน ความวุ่นวายระหว่างสองแม่ลูกจึงเกิดขึ้น
“แค่นี้ก่อนนะพวกแก” ภคนางค์ส่งเสียงบอกเพื่อนขณะยื้อแย่งมือถือจากมือน้อยๆ อันเหนียวหนึบของลูก ไม่พอยังจะพยายามเอาเข้าปากอีกต่างหาก
“พลินทร์ แม่ขอ อันนี้มันกินไม่ได้นะลูก”
บุญญาดาหัวเราะขันให้กับคนที่กำลังรบอยู่กับลูก ก่อนจะเป็นฝ่ายวางสายแล้ววางเครื่องมือสื่อสารลงบนโต๊ะอาหาร หยิบเมนูอาหารขึ้นมาดูเพื่อที่จะสั่ง เพราะระหว่างที่เข้ามานั่งรออรอุมายังไม่ได้สั่งอะไรเลยนอกจากเครื่องดื่ม ตอนนี้ท้องเริ่มประท้วงหาอาหารแล้ว
+++++
มีความคิดเห็นยังไง ฝากคอมเม้นให้กำลังใจด้วยนะคะ
ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ / อิงธารา
ความคิดเห็น