ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dragon Shackle : พันธนาการ

    ลำดับตอนที่ #1 : DS 1-1 : ไขตำนาน 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 29
      0
      28 มี.ค. 48





                    ม่านแสงสีเขียวเรืองรองส่องเป็นประกายอยู่กลางนภาเทาเข้ม  ลมหนาวที่พัดผ่านหิมะขาวแผ่ไอเย็นไปทั่วบริเวณ  ผ้าม่านยักษ์ที่แขวนอยู่เหนือฟ้ากว้างสะบัดพลิ้วไปเรื่อยๆเปลี่ยนมุมกระทบกับแสงจันทร์และดวงดาว  หากความเงียบเหงาที่ครองนภากว้างอยู่ด้วยกันได้ครอบคลุมอาณาบริเวณเหนือสุดแห่งเส้นขอบฟ้ามานานนับหมื่นแสนราตรี

        ท่ามกลางทุ่งหิมะกว้างและลอนเขาไกลสุดลูกตา  กลับมีเพียงหอคอยเงียบเหงาตระหง่านอยู่กลางชะง่อนผากว้าง  อิฐสีดำทมึนแกร่งกล้าอยู่ริมผาสูง ท้าสายลมและพายุหิมะอยู่ตลอดทิวาราตรี  นานๆทีจะมีเสียงกระพือปีกของมังกรตัวใหญ่โบกปีกผ่านท้องฟ้ากว้าง  รังสรรค์ให้หอคอยสูงไม่เงียบเหงาจนเกินไป

        



                    พลันเสียงคำรามหนึ่งก็ดังกึกก้องมาตามกัน  ทรงพลัง  และเปี่ยมด้วยอำนาจ  มันสั่นไหวหอคอยสูงชะลูดให้สั่นคลอน  ก่อนที่ความเงียบงันยามราตรีที่สิ่งมีชีวิตขั้วโลกหลับใหลจะพากันตื่นเมื่อถูกกระตุ้นด้วยเสียงคำรามอันรุนแรงของหนึ่งนักโทษแห่งหอคอยพันธนาการ



    _________________________________________________________





                              สายตาของเจ้ามองเห็นอะไร  แสงสว่างหรือความมืด

                              อิสระที่เจ้าคาดหวัง  คือการหลบหนี  หรือการคุมขัง

                              สิ่งที่เจ้ารอคอย  คือท้องฟ้ากว้างใหญ่ผืนนั้น  หรือท้องน้ำอันเป็นนิรันดร์

                              บุคคลที่เจ้าค้นหา  ใช่หญิงสาวนางนั้น  หรือเพียงเสียงคีตะที่เบาบางราวสายลมของยามค่ำคืน




                        หากเจ้าตอบไม่ได้  ก็จงอย่าเรียกหาข้า  หากเจ้ายังคงสับสน  ก็อย่าพยายามค้นหา  เพราะข้าจะไม่มีวันช่วยเหลือตัวเจ้าเป็นอันขาด





    _________________________________________________________





                     ชายหนุ่มสะดุ้งน้อยๆก่อนที่ตะเกียงจะถูกจุดขึ้นเรียกให้เขาหันไปมอง  อากาศยามบ่ายดูราวกับโกหกเมื่อเมฆครึ้มเข้าครอบคลุมพื้นที่ทั่วบริเวณ  ความมืดมิดนั้นสว่างขึ้นเล็กน้อยจากตะเกียงดวงเล็กที่ถูกแขวนขึ้นริมผนัง  ปากกาด้ามเงินยังคงคาอยู่ในมือเมื่ออีกฝ่ายก้าวเข้ามา



                     “น่าเอาไปฟ้องนะว่าหัวหน้าหน่วยที่แปดแอบหลับกลางกองงานที่สุมท่วมหัวอย่างนี้”  เสียงนั้นดังขึ้นจากด้านล่าง  หากมองจากบนโต๊ะทำงานตัวสูงแล้วก็คงจะไม่มีทางมองเห็นต้นเสียงเป็นอันแน่

                    

                     “งั้นข้าก็น่าจะไปบอกผู้บัญชาการเหมือนกันสินะว่าให้เลิกจ้างพวกแฟรี่มาทำงานให้ได้แล้ว  เพราะมันชักจะหนวกหูได้กวนประสาทข้าทุกวัน”  เสียงเย็นๆดังมาจากชายหนุ่มผู้นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ  ดวงตาสีฟ้ามองตรงไปยังเบื้องล่าง  หากก็ยังไม่พบท่าทีว่าอีกฝ่ายจะปรากฏตัวให้เห็น

                    

                     “แหม  ท่านแอคเนส  ท่านก็รู้ว่าพวกผู้คุมน่ะงานยุ่งเสียจนไม่มีเวลาแม้แต่จะจุดตะเกียง  ท่านรู้ไหม  ถ้าข้าไม่เข้ามานะ  อีกไม่เกินสิบนาทีหรอกได้แข็งเหมือนหนอนแก้วข้างนอกแน่”

                    

                     “ไม่ยักรู้ว่าขั้วโลกมีหนอนแก้วกะเขาด้วย”  

                    

                     “มีสิ! เอ๊ะ หรือว่าผู้รอบรู้แห่งหอพันธนาการไม่เคยรู้  นั่นสินะวันๆคงมองแต่เอกสารบ้างานอยู่หรอก”  

                    

                     “ไอฟี่...  ข้าจะพูดอีกครั้งนะ  ออกมาจากตรงนั้นแล้วก็รีบๆไปใช้แรงงานชนชั้นกรรมกรของเจ้าต่อเลย  ก่อนที่ข้าจะจับเจ้าไปขังรวมกับพวกคิเมร่าชั้นสามนั่น”  



                     ต้นเสียงเงียบไปอีกสักพัก ก่อนที่เสียงหัวเราะจะดังคิก  แสงสว่างเรืองๆก้อนเล็กวาวขึ้นจากโต๊ะไม้สนสัก  ฉับพลันก็ปลิวมาวางกองอย่างสวยงามบนเอกสารตั้งสูงของคนตรงหน้า

                    

                    “ในที่สุดท่านก็ยังวางมาดไม่เปลี่ยนเลยนะแอคเนส  สมกับที่เจ้าหญิงคอยมองมาตั้งนมนาน  นี่ท่านจะไม่ถามข้าสักหน่อยหรือ”  ร่างจิ๋วนั้นปรากฏแก่สายตา  แสงสีฟ้าเหลืองส่องอยู่รอบปีกเล็กเหมือนผีเสื้อ  หากเจ้าตัวเล็กกลับยังทำสีหน้ายียวน  “ว่าต้นเหตุที่ท่านให้ข้าไปสืบเมื่อคืนน่ะ  เป็นเสียงของใคร?”

                     หัวหน้าหน่วยผู้คุมแห่งหอพันธนาการลุกพรึ่บ  คว้าหมับเข้าที่เจ้าตัวจิ๋วเร็วเกินกว่าที่แฟรี่ตัวน้อยจะหลบทัน

                  

                    “โอ๊ย! เถียงสู้ไม่ได้เลยจะใช้กำลังกันงั้นเรอะ”

        

                    “บอกมา  ไอฟี่  มันคืออะไร”  อีกฝ่ายใช้เสียงเย็นแบบเดิมๆ

        

                    “ข้าได้ข่าวมานะว่าเป็นนักโทษที่อยู่ชั้นใต้ดินของคุกนี้  ถ้าท่านลองไปหาดูละก็..”

        

                    “อย่าล้อข้าเล่นนะ!  ใต้ดินนั่นเป็นที่คุมขังที่ไหนกัน  มันเป็นแค่ที่เก็บฟืน!”

        

                    “ไม่ได้ล้อเล่น โอ๊ย ข้าเจ็บนะแอคเนส  นี่ท่านออกจะเป็นหนอนหนังสือขนาดนี้เรื่องลึกลับของที่นี่นี่ท่านจะไม่เคยรู้เลยงั้นหรือ!?”

        

                    “อ้อ..  นั่นทำให้เจ้าเรียกข้าว่าหนอนแก้วงั้นสินะ  ถ้าเจ้าหมายถึงเรื่องที่ว่าหอนี้เคยเป็นที่คุมขังมังกรมาก่อนละก็เก็บเอาไปเล่าให้ลูกฟังก่อนนอนเถอะ”

        

                    “ข้าบอกเท่าที่ข้ารู้แล้วนะแอคเนส! ปล่อยข้าซะทีสิ”



        แอคเนสยักไหล่น้อยๆ  ก่อนจะคลายมือออก  แฟรี่ตัวเล็กกระพือปีกหนีให้พ้นระยะโจมตีก่อนจะทิ้งท้ายไว้ให้ชายหนุ่มตรงหน้า

        

                    “เรื่องหนอนแก้วน่ะท่านเดาได้ถูกเผงเลยแอคเนส!”  





    ____________________________________________________________



        นานเนิ่นนานที่เรื่องของหอคอยพันธนาการแห่งนี้ถูกเล่าขานต่อๆมา  มันเป็นเพียงเรื่องเล่าที่คุณยายจะอ่านให้ลูกหลานฟังที่ริมเตาผิง  หากนั่นก็เป็นนิทานที่สถานที่แห่งนี้ยังคงรับสืบต่อกันรุ่นต่อรุ่น

                    ว่ากันว่าหอคอยพันธนาการถูกสร้างขึ้นด้วยอิฐดำตั้งอยู่กลางขั้วโลกทุ่งหิมะไกลสุดสายตา  หากก็ไม่มีใครรู้ที่มาแน่ชัดว่าสร้างขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่และเพื่ออะไร  วีรบุรุษผู้ชูดาบศักดิ์สิทธิ์เหนือดินแดนกล่าวไว้ว่าได้ทำการปราบมังกรดำตัวหนึ่งได้  แต่มังกรตัวนั้นก็ยังมิสิ้นชีพ  หากยังพยศด้วยท่าทีโกรธเกรี้ยวและสาปแช่งต่อพสุธา

                    วีรบุรุษได้ทำการกักขังลงอาคมมังกรตัวนั้นไว้ที่หอคอยแห่งหนึ่งซึ่งถูกสร้างเพื่อคุมขัง  มังกรยังคงพิโรธ  แต่ก็ไม่สามารถจะหลุดพ้นจากโซ่ตรวน  ปีกของมันไม่เคยกางอีกตลอดหลายพันปี  สิ่งที่หลงเหลือให้ผู้อื่นได้รับรู้ตัวตนมีเพียงเสียงคำรามอย่างสาปแช่งต่อทุกสิ่ง  ที่นานนักจะตอบรับกับการร่วงหล่นของดาราสีเงินในยามค่ำคืน  





                  ชื่อของมันคือ  อานาเบล  ราชาผู้ถูกพันธนาการ





                   ปัจจุบัน  หอคอยพันธนาการทำหน้าที่เปรียบประหนึ่งคุกโลก  นักโทษเศษเดนที่ไม่มีที่ใดในโลกใบนี้รับจะถูกส่งมากองรวมกันที่นี่   สัตว์ทดลองเวทย์มนตร์ของพ่อมดที่มิอาจควบคุม  จอมเวทย์จิตวิปลาส  หรือแม้แต่ผีแบนชีที่มิได้รับสิทธิ์ให้ไปสู่สุขติ  ทุกสิ่งจะถูกกองรวมกันอยู่ที่นี่ราวกับที่ทิ้งขยะชั้นดี

    แต่ที่นี่มิใช่คุก..  



                   สิ่งใดก็ตามที่ถูกส่งมาสายเกินเยียวยาจะถูกกำจัดทันทีที่มาถึง  หรือแม้แต่บางสิ่งที่จะถูกขังลืมโดยไม่มีการรอลงอาญา  ที่นี่ไม่ใช่ที่ๆใครก็ตามล่วงผ่านเข้ามาจะมีโอกาสได้รับสิ่งที่เรียกว่า  “ความหวัง”  หากแต่เป็น  “โทษขั้นสูงสุด”  ที่รับประกันได้ว่าจะไม่มีฎีกาสูงส่งอันไหนมาลบล้างคำตัดสินของที่นี่ได้

                   กระนั้นที่ๆเปรียบเหมือนนรกบนดินนี้ก็ยังต้องมีคนดูแล  ดุจกองเพลิงที่ต้องมีคนควบคุม  ผู้คุมที่นี่มีมากเสียจนเป็นกองทัพย่อมๆ  เพื่อที่จะจัดการทุกสิ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพหากเกิดเหตุการณ์มิคาดฝัน  แน่ล่ะว่าไม่ใช่เสียทุกคนที่เต็มใจ  หนึ่งในผู้คุม  ที่มีคดีต้องตัวเป็นนักโทษเสียเองก็มีไม่น้อยเลย



                   ดังนั้นแล้วตำนานเรื่องหอคอยพันธนาการมังกรก็เป็นอันลบล้างไปด้วยเพลิงสมัยใหม่   ที่แห่งนี้กลายเป็นเพียงกลุ่มก้อนมีชีวิตที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาอย่างชุลมุนขัดกับบรรยากาศรอบด้าน  เด็กๆหลายคนเคยคิดใฝ่ฝันจะได้มาสืบค้นหาตำนานลึกลับ  หากก็ต้องผิดหวังเมื่อเรื่องเล่านั้นมักจะถูกตบท้ายด้วยคำว่า  “มันเป็นเพียงตำนาน”  ทุกครั้งไป



                   แอคเนส  ราการิส  อาจจะเป็นหนึ่งในนั้น  เขาถูกดึงดูดด้วยตำนานแห่งหอคอย  และคงจะหลุดรอดพ้นจากคำว่าเป็นเพียงตำนานมาได้  และได้มาสัมผัสที่นี่ด้วยตัวเอง  แล้วสิ่งที่เขาพบนะหรือ  ก็มีเพียงเศษเดนที่โลกไม่ต้องการเท่านั้น  แต่ตัวเขาก็ไม่เคยปฏิเสธว่าเขาไม่เคยคิดจะออกไปจากที่นี่เลย

    มนต์ขลังอันใดที่ตรึงจิตใจเขาอยู่..



                   คงเป็นเสียงเพลงกระมัง  เพลงที่ดังอยู่ในหัวตลอดเวลายามฝัน  เมื่อดวงจันทร์ถูกเทพีชักขึ้นกลางฟ้าหม่น  เสียงนั้นก็จะคลอมาเบาๆทุกครั้งที่หัวของเขากระทบหมอน  หากเมื่อตื่นขึ้นก็ต้องพบว่าไม่มีท่อนไหนเลยของเพลงนั้นที่ตัวเขาจะจำได้..



                   แอคเนสจึงต่อต้านตำนาน  คำทุกคำที่ไม่มีวันเป็นจริง...









        เครื่องแบบสีขาวของผู้คุมลากผ่านตามตัวหอคอยส่วนนอก  ผู้คุมหลายคนวิ่งวุ่นอยู่ตรงส่วนสำนักงาน  บ้างก็หอบเอกสาร  บ้างก็กำลังโวยวาย  นานๆทีจึงจะมีเสียงโหวกเหวกให้รู้ว่าพ่อมดจิตไม่ปรกติคนไหนเริ่มร่ายเวทย์อาละวาด  เหนือสุดของชั้นหินสีดำที่คงจะพอเรียกได้ว่าเป็นบันไดมีโต๊ะใหญ่ตัวหนึ่งตั้งอยู่  เอกสารนั้นไม่ได้น้อยไปกว่ากองที่แอคเนสทำอยู่เท่าไหร่นัก  หากท่ามกลางเสียงโวยวาย  ชายวัยกลางคนตรงหน้าก็ยังคงทำงานอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

        

                    “ผู้บัญชาการ  ถ้าเสียงดังขนาดนี้ทำไมไม่ใช้ห้องส่วนตัวละครับ  ไม่น่าเอามาให้ผมใช้เลยนะ”  ชายหนุ่มหยุดลงที่หน้าโต๊ะสีน้ำตาลเข้ม  มือไขว้ไว้ข้างหลังอย่างพึงระเบียบ  ใบหน้าเย็นชาระบายยิ้มๆน้อย

        

                    “สมาธิเป็นสิ่งที่นักรบพึงมี”  เสียงเข้มตอบลอดเอกสารเรียบๆ

        

                    “ข้ามีเรื่องรายงานครับ”  คราวนี้ชายหนุ่มหุบยิ้ม  ส่งสายตาต่างไปจากเดิม  “เรื่องของ.....เสียง”  



        ผู้บัญชาการแห่งหอพันธนาการเงยหน้าขึ้นเป็นครั้งแรก  ดวงตาสีเหล็กทอแกร่งกล้าให้อีกฝ่าย  ก่อนจะถอนหายใจลึก  พลางโบกมือข้างหนึ่งไปยังระเบียงด้านหลังโต๊ะทำงานตัวเขื่อง

        ลมเย็นพัดปะทะหน้า  แม้ท้องฟ้าจะไม่สดใส  หากก็ยังดีกว่าภายในหอชั้นในที่มืดทึบมากนัก

        

                   “ข้าได้ข่าวจากไอฟี่..  แฟรี่ที่ทำหน้าที่จุดตะเกียงหอชั้นในมาว่าเสียงนั้นดังมากจากใต้ดิน”  ชายหนุ่มเปิดธุระทันทีที่เดินมาถึงสุดระเบียง  หากอีกฝ่ายที่เดินตามมากลับเงียบ  ร่างสูงใหญ่แม้จะสูงวัยไปบ้างยังคงเป็นที่น่าเกรงขามอยู่เสมอ  ผมสีดอกเลาตัดสั้น  และดวงตาแข็งกล้าที่ข่มได้ทุกนักโทษอันคึกคะนอง

        

                   “ข้าคิดว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำ  จริงที่ว่าแฟรี่มีนิสัยขี้แกล้ง  แต่ข้าคิดว่าไอฟี่ไม่ได้โกหกทั้งหมด”  แอคเนสร่ายยาว  มองอีกฝ่าย  ขณะที่ผู้บัญชาการแห่งหอเอาแต่มองออกไปนอกระเบียงสู่ภูเขาไกล  เมื่อความเงียบดูท่าจะสร้างความอึดอัด  ฝ่ายนั้นจึงผินหน้ากลับมาช้าๆ

        

                   “แอคเนส..”

        

                   “ครับ?”

        

                   “ข้าไม่อยากให้เจ้ามายุ่งกับเรื่องนี้”  เสียงนั้นเรียบจนน่าแปลกใจ  ชายหนุ่มขวดคิ้วสูงทันที  ด้วยไม่เข้าใจสักนิดว่าคนอย่างเขาที่โดนใช้งานมาตลอดเหตุใดจึงถูกบอกปัดง่ายๆ

        

                   “ท่านหมายความว่าอย่างไร?  ผู้บัญชาการ?  ไม่อยากให้ยุ่ง?”

        

                   “ งั้นข้าจะพูดตามตรงละนะ  แอคเนส...  พรุ่งนี้เจ้าหญิงจะเสด็จมาที่นี่  ดังนั้นเจ้าไม่ควรจะไปยุ่งเรื่องนักโทษ  สิ่งที่เจ้าต้องทำน่ะคือการต้อนรับเจ้าหญิงให้ดีที่สุด  เข้าใจไหมแอคเนส”

        

                   “เจ้าหญิง?  จะทรงเสด็จทำไม”

        

                   “เรื่องนั้นก็รอถามพระองค์เองเถอะ..  เอาอย่างนี้เจ้ากลับไปทำงานของเจ้าได้แล้ว  และอย่าลืมว่าข้าสั่งอะไรไว้”

        



                   ไม่ทันจะพูดสิ่งใดต่อ  เสียงเอะอะโวยวายก็ดังขึ้นทันทีที่ด้านในผ่านซุ้มประตูสู่ระเบียงกว้าง  

        

                   “ท่านผู้บัญชาการ! ท่านหัวหน้าหน่วย! คิเมร่าของพ่อมดแดนเหนืออาละวาดแล้วครับ!  คราวนี้มันแปลงร่างเป็นมังกรตัวใหญ่ทีเดียว  ช่วยไปดูทีเถอะครับ!!”

        

                   “อะไรนะ!?”



        

                     ภาพของมังกรตัวใหญ่กระจ่างชัดในห้องคุมขังชั้นสาม  คิเมร่า  หรือสัตว์ผสมที่เกิดจากอาคม  กำลังแปลงร่างเป็นมังกรใหญ่  น่าแปลกที่คิเมร่านั้นจะไม่สามารถแสดงอำนาจได้หากไร้ซึ่งพ่อมดอยู่ใกล้ๆ  แต่ครั้งนี้ไม่ใช่  คิเมร่าตัวนั้นกำลังคำรามกึกก้อง  ผู้คุมหลายคนส่งเสียงโวยวายวิ่งวุ่น  นักอาคมหลายคนกำลังสะกดสัตว์  ด้วยลูกกรงนั้นทำท่าว่าจะรับไม่ไหว  

        ทหารส่งข่าวนั้นกระวีกระวาดพาชายหนุ่มมาถึงที่  ก่อนจะตะโกนแข่งกับเสียงที่ดังเซ็งแซ่รอบตัว

        

                   “หรือว่าจะเป็นต้นเสียงคำรามของเมื่อคืนครับ!?  บางทีมันอาจจะเริ่มกลายร่างตั้งแต่เมื่อคืนแต่เราไม่รู้ตัวก็ได้”   แอคเนสไม่ตอบ  เขาตะลึงงันกับภาพตรงหน้าเสียจนทำอะไรไม่ถูก  หากท่ามกลางเสียงที่ดังราวกับจะถล่มหอพันธนาการได้เป็นเสียง  กลับมีเพียงเสียงหนึ่งเท่านั้นที่ดูจะกระจ่างชัดในหัวสมองของชายหนุ่ม



        

                    สายตาของเจ้ามองเห็นอะไร  แสงสว่าง  หรือความมืด?  





        “ไม่ใช่....”  เสียงพร่าพึมพำผ่านริมฝีปากบาง  

        

                    “อะไรนะครับ? ท่านแอคเนส”

        

                    “ไม่ใช่!”  ชายหนุ่มกะโกนลั่น  “นี่ไม่ใช่ต้นเสียงของเมื่อคืน!  แต่เป็นอีกคนต่างหาก!”

        

                    “อีกคน?  ใครครับ!?”  

        

                    “อานาเบล!!”  





        สิ้นเสียงคำตอบที่ต่างพาให้ผู้คุมเหล่านั้นหันกลับมามองเป็นตาเดียว  แอคเนส  ราการิส ก็สาวเท้ารวดเร็วชนผู้คุมบางคนและลับหายไปเรียบร้อยแล้ว  ท่ามกลางความวุ่นวายนั้น  มีเพียงเสียงของคิเมร่าที่ดูจะดังขึ้นยิ่งกว่าครั้งไหน  เรียกให้เหล่าผู้คุมไม่มีเวลาไปสนใจกับพฤติกรรมของหัวหน้าหน่วยแม้เพียงนิด



        ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างเหมาะเจาะเหลือเกิน  วินาทีที่เหล่าผู้คุมพากันถูกดึงความสนใจด้วยคิเมร่าอาละวาด  เท้าของหัวหน้าหน่วยก็ได้สาวลงมาถึงชั้นใต้ดินเพียงลำพังเสียแล้ว



                    สายตาของเจ้ามองเห็นอะไร  แสงสว่าง  หรือความมืด?  



                    เขาจำได้ดี  เพลงนั้นเองที่เขาไม่เคยจะนึกออกเมื่อยามลืมตาตื่น  ครั้งนี้กลับหระจ่างชัดจนจำได้ขึ้นใจ  มนต์ขลังแห่งตำนานครอบงำจิตใจของชายหนุ่มอีกครั้ง  ขณะที่สายตาคู่สวยนั้นค่อยๆพร่าเลือนลงทุกทีด้วยกลิ่นประหลาดต้องนาสิกประสาทให้หลุดลอย

    ขาที่วิ่งนั้นค่อยๆล้าซึ่งเรี่ยวแรง  และภาพตรงหน้าก็ดับมืดลงในที่สุด  ก่อนที่จะไปถึงส่วนที่ลึกที่สุดของชั้นใต้ดิน  ที่ๆได้ชื่อว่ามังกรแห่งสงครามผู้บิดเบือน  อานาเบล  หลับใหลอยู่



    _____________________________________________________________



                    ข้าไม่เคยรู้เลยว่าทำไมจู่ๆเพลงนั้นถึงดังขึ้นในตอนนั้น

                    ข้าไม่เคยรู้เลยว่าเหตุใดตำนานที่ข้าเคยหลงเชื่อเมื่อยามเด็ก  บัดนี้ดูราวกับจะปะทุขึ้นมาในอกอีกครั้ง

                    ข้าไม่เคยรู้เลยว่าเพราะอะไร  ข้าถึงมุ่งตรงไปที่นั่น  ทั้งๆที่ข้าก็หมดความศรัทธากับคำว่า ตำนาน ไปนานแล้ว



                    จนถึงตอนนี้  ข้าก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าหอคอยนี้สร้างมาเพื่ออะไรกันแน่?

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×