ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ข้อมูลประเทศต่างๆในทวีปยุโรป

    ลำดับตอนที่ #33 : ราชรัฐโมนาโก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.23K
      0
      2 ก.พ. 50



     
    ราชรัฐโมนาโก
    Principality of Monaco


     
    ข้อมูลทั่วไป
    ที่ตั้ง ภาคพื้นทวีปยุโรปตะวันตก ริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และล้อมรอบโดยเขตAlpes –Maritimes ของฝรั่งเศส ความยาวเส้นเขตแดน 4.4 กิโลเมตร

    พื้นที่ 1.95 ตารางกิโลเมตร (มีขนาดเล็กเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากนครรัฐวาติกัน)

    ประชากร 32,409 คน (กรกฎาคม 2548) (เป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในโลก)
    ฝรั่งเศส 47% โมนาโก 16% อิตาเลียน 16% และอื่นๆ 21%

    ภาษาราชการ ฝรั่งเศส (ส่วนภาษาโมนาโก อิตาเลียน และอังกฤษใช้อย่างแพร่หลาย)

    ศาสนา คริสต์ (90% โรมันคาธอลิค) โปรเตสแตนท์ และอื่นๆ

    เมืองหลวง โมนาโก

    สกุลเงิน ยูโร (Euro)

    วันชาติ 19 พฤศจิกายน

    ระบบการเมือง ประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยรัฐธรรมนูญ ประกาศใช้เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2505

    ประมุข เจ้าชาย Albert II (อัลแบร์ที่ 2) แห่งราชวงศ์กริมาลดี (Grimaldi) ขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2548 ภายหลังการเสด็จสวรรคตของเจ้าชายเรนิเยร์ ที่ 3 เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2548

    สถาบันทางการเมือง เจ้าชาย Albert II เป็นประมุขแห่งรัฐ

    อำนาจบริหาร มนตรีแห่งรัฐ (เทียบเท่านายกรัฐมนตรี) นาย Jean-Paul Proust

    อำนาจนิติบัญญัติ ราชรัฐโมนาโกมีสภาเดียว เรียกว่า คณะกรรมการแห่งชาติ (The National Council) ประธานของ National Council ในขณะนี้ คือ นาย Stephane Valeri คณะกรรรมการประกอบด้วยสมาชิก 18 คน ได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน และอยู่ในวาระ 5 ปี ผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องมีอายุเกิน 21 ปี และมีสัญชาติโมนาโกมากกว่า 5 ปี ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องมีสัญชาติโมนาโก และอายุเกิน 25 ปี ประมุขแห่งรัฐและคณะกรรมการแห่งชาติมีอำนาจนิติบัญญัติ มีหน้าที่ให้ความเห็นชอบต่อกฎหมายและงบประมาณ มีการประชุมทั่วไป 2 ครั้งต่อปี และในกรณีพิเศษหากประมุขของรัฐ หรือสมาชิก 2 ใน 3 ของคณะกรรมการแห่งชาติ เรียกร้องให้มีการประชุม การประชุมจะเปิดเผยต่อสาธารณชนและเนื้อหาการประชุมจะได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสารของโมนาโก “Journal de Monaco” ซึ่งเป็นวารสารทางการของโมนาโก

    อำนาจตุลาการ ประกอบด้วยศาลชั้นต้น (Court of First Instance) ศาลอุทธรณ์ (Court of Appeal) ศาลอุทธรณ์สูงสุด (Higher Court of Appeal) และศาลอาชญากรรม (Criminal Court)

    เขตเทศบาล มาตรา 78 แห่งรัฐธรรมนูญระบุว่าเขตแดนของราชรัฐมีหนึ่งเขตเทศบาล คณะกรรมการเขตเทศบาลมีสมาชิก 15 คน มาจากการเลือกตั้ง โดยมีวาระตำแหน่ง 4 ปี นายกเทศมนตรีและผู้ช่วยนายกเทศมนตรีได้รับการเลือกโดยคณะกรรมการเขตเทศบาล และมีการประชุมทุกๆ 3 เดือน เขตการบริหารของราชรัฐโมนาโกแบ่งออกเป็น 5 เขต ได้แก่ Monaco-Ville, The Condamine, Monte Carlo, Fontvieille และ Moneghetti

    การเมืองการปกครอง
    ราชรัฐโมนาโกเคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 2404 และได้แยกตัวเป็นอิสระเมื่อปี 2461 ซึ่งทั้ง 2 ประเทศได้ลงนามในสนธิสัญญาทางมิตรภาพ เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2461 สนธิสัญญาดังกล่าวกำหนดภารกิจของฝรั่งเศสที่จะมีหน้าที่ป้องกันเอกราช อธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนของราชรัฐฯ โดยราชรัฐฯ จะต้องใช้สิทธิด้านอธิปไตยอย่างสอดคล้องกับผลประโยชน์ของฝรั่งเศสด้วย รวมทั้งการดำเนินความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ ก็ควรจะมีการหารือกับฝรั่งเศสก่อน และหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 2488 และปี 2494 ได้มีการลงนามในข้อตกลงซึ่งมีส่วนแก้ไขจากข้อตกลงฉบับเดิมเพื่อปรับให้เข้ากับสภาพสังคมและเศรษฐกิจ
    ต่อมา รัฐบาลโมนาโกได้ขอให้มีการแก้ไขสารัตถะของสนธิสัญญาทางไมตรีอารักขาฉบับลงนามปี 2461 เพื่อให้โมนาโกมีอิสระมากขึ้นในการบริหารประเทศ และมีการลงนามในสนธิสัญญาทางไมตรีฯ ฉบับใหม่ (ซึ่งเรียกว่าสนธิสัญญาทางไมตรีและความร่วมมือ) เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2545 ระหว่างนาย Dominique de Villepin รมว.กต.ฝศ. (ในขณะนั้น) และนาย Patrick Leclercq มนตรีแห่งรัฐ ราชรัฐโมนาโก (ในขณะนั้น) โดยสนธิสัญญาทางไมตรีและความร่วมมือมีบทบัญญัติที่สำคัญ ดังนี้
    1. ฝรั่งเศสจะให้การปกป้องเสรีภาพและอธิปไตยของราชรัฐโมนาโก และให้การประกัน
    บูรณภาพแห่งดินแดนของโมนาโกภายใต้เงื่อนไขเดียวกับของฝรั่งเศส
    2. โมนาโกมีพันธะที่จะดำเนินการต่างๆ ในอธิปไตยของตนเอง ให้สอดคล้องกับ
    ผลประโยชน์ที่สำคัญของฝรั่งเศสในด้านการเมือง เศรษฐกิจ ความมั่นคงและการป้องกันประเทศ และกำหนดให้มีการหารือร่วมกันตามความเหมาะสม
    3. ในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โมนาโกจะหารือกับฝรั่งเศสตามความ
    เหมาะสมในประเด็นที่สำคัญโดยให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ขั้นพื้นฐานของฝรั่งเศส และในขณะเดียวกัน ฝรั่งเศสจะหารือกับโมนาโกโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ขั้นพื้นฐานของโมนาโกเช่นกัน
    4. ฝรั่งเศสกับโมนาโกได้ตกลงที่จะปรับความสัมพันธ์ระหว่างกันเป็นความสัมพันธ์
    ทางการทูต โดยแต่ละประเทศจะจัดตั้งสำนักงานตัวแทนบนดินแดนของแต่ละประเทศ
    5. ฝรั่งเศสพร้อมที่จะอำนวยความสะดวกแก่โมนาโกในการสมัครเข้าเป็นสมาชิกใน
    องค์การ/สถาบันระหว่างประเทศ ตามคำขอของโมนาโก
    6. ในกรณีที่ประเทศใดไม่มีสถานกงสุลของโมนาโกตั้งอยู่ และภายใต้ข้อสงวนของ
    บทบัญญัติของกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางการทูตและการกงสุล คนชาติโมนาโกสามารถติดต่อสถานเอกอัครราชทูต สถานกงสุล หรือสำนักตัวแทนของฝรั่งเศสในประเทศนั้นได้ หากประสงค์
    อนึ่ง รัฐสภาฝรั่งเศสได้ให้สัตยาบันสนธิสัญญาทางไมตรีและความร่วมมือและได้มีการ
    ประกาศผลบังคับใช้ของสนธิสัญญาทางไมตรีฯ ฉบับนี้ในราชกิจจานุเบกษาของฝรั่งเศส ฉบับลงวันที่ 14 ตุลาคม 2548 และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2548

    เศรษฐกิจการค้า
    ผลผลิตประชาชาติ
    10.4 พันล้าน USD (2546) คิดเป็นรายได้เฉลี่ยต่อหัวประมาณ 32,028 USD

    สภาพเศรษฐกิจ
    1. ราชรัฐโมนาโกมีที่ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งเป็นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว ประกอบกับมีคาสิโนที่มีชื่อเสียงและอากาศที่อุ่นสบาย ในปี 2544 ได้มีโครงการก่อสร้างเพื่อขยายพื้นที่จอดเรือในท่าเรือหลัก กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ก่อให้เกิดรายได้แบ่งเป็น 4 สาขา คือ อุตสาหกรรมเบา โดยเน้นสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงและไม่ก่อให้เกิดมลพิษ การท่องเที่ยว โดยเฉพาะธุรกิจการโรงแรม ธุรกิจการเงินและการธนาคาร และการค้าและอสังหาริมทรัพย์ ราชรัฐโมนาโกไม่มีการจัดเก็บภาษีรายได้
    (income tax) และภาษีมรตก แต่มีการจัดเก็บภาษีด้านอื่นเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ แต่ทั้งนี้มีการจัดเก็บภาษีธุรกิจ (business tax) ในอัตราต่ำ รัฐเป็นผู้ผูกขาดสินค้าและบริการบางประเภทเช่น ยาสูบ บริการโทรศัพท์ และไปรษณีย์ คุณภาพการใช้ชีวิตของประชาชนอยู่ในระดับสูง
    2. ภายหลังการครองราชย์ เจ้าชายอัลแบร์ที่ 2 มีพระราชประสงค์จะให้โมนาโกเป็นแหล่งดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศในภาคเศรษฐกิจที่สำคัญ ซึ่งใช้เทคโนโลยีชั้นสูงและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะไบโอเทคโนโลยีและการค้นคว้า/วิจัยทางการแพทย์ นอกเหนือจากเสริมสร้างศักยภาพด้านการเงินและการท่องเที่ยวซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศให้เข้มแข็งและก้าวหน้ายิ่งขึ้น
    3.ฝรั่งเศสได้เคยกล่าวหาว่าทางการโมนาโกมีนโยบายผ่อนปรนต่อการฟอกเงินจากต่างชาติในโมนาโก ซึ่งโมนาโกได้ขอให้ OECD และ Financial Action Group ประเมินผลการปราบปราม และขจัดปัญหาการฟอกเงินของทางการโมนาโก โดยทั้งสองหน่วยงานดังกล่าวได้ประกาศยอมรับว่า โมนาโกไม่มีข้อบ่งชี้ใดๆ ในเชิงลบที่เกี่ยวข้องกับการขจัดปัญหาการฟอกเงิน นอกจากนี้ เจ้าชายอัลแบร์ที่ 2 ได้ทรงยืนยันว่า พระองค์จะทุ่มเทสรรพกำลังทั้งหมดเพื่อทำให้โมนาโกพ้นจากการถูกกล่าวหาว่าเป็นแหล่งฟอกเงิน

    ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับราชรัฐโมนาโก
    การต่างประเทศ

    ภาพรวมการต่างประเทศ
    1. ราชรัฐโมนาโกยังมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศต่างๆ น้อยมาก กล่าวคือ
    เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2549 โมนาโกได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับฝรั่งเศสเป็นประเทศแรก โดยฝรั่งเศสได้ยกระดับสถานกงสุลใหญ่ในโมนาโกขึ้นเป็นสถานเอกอัครราชทูต เหตุผลสำคัญคือ ฝรั่งเศสมีความใกล้ชิดกับโมนาโกในทุกด้าน และมีคนสัญชาติฝรั่งเศสอาศัยอยู่ในโมนาโกเป็นจำนวนมาก อนึ่ง มีสถานกงสุลต่างประเทศในโมนาโก 78 แห่งและมีสถานกงสุลโมนาโกใน 57 ประเทศ
    2. ราชรัฐโมนาโกเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติลำดับที่ 183 เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2536 และเป็นสมาชิกสภายุโรป (Council of Europe) เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2547 นอกจากนี้ยังเป็นสมาชิกองค์การระหว่างประเทศ อาทิ UNESCO, องค์การอนามัยโลก (WHO), BIE (Bureau International des Expositions), องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO), คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC), ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA), สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU), องค์การทรัพย์สินทางปัญญาแห่งโลก (WIPO) และยังลงนามเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (OSCE) ด้วย
    3. โมนาโกมิได้เป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป แต่การที่โมนาโกมีข้อตกลงจัดตั้งสหภาพการค้ากับฝรั่งเศส ทำให้โมนาโกได้รับสิทธิประโยชน์เยี่ยงประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปอื่น ทั้งนี้ โมนาโกเป็นประเทศหนึ่งในยุโรปที่ใช้เงินสกุลยูโร
    4. เป็นที่น่าสังเกตว่า นับตั้งแต่เจ้าชายอัลแบร์ที่ 2 ทรงได้รับการสถาปนาเป็นองค์มกุฎราชกุมารแห่งราชรัฐโมนาโกเมื่อปี 2539 (ค.ศ.1996) พระองค์ไม่เคยเสด็จเยือนสหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักรเลย ในขณะที่ได้เสด็จเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนและรัสเซีย ในปี 2542 และ 2544 ตามลำดับ (เจ้าชายอัลแบร์ที่ 2 ทรงมีพระราชมารดาเป็นชาวอเมริกันและทรงศึกษาระดับปริญญาตรีที่สหรัฐอเมริกา)
    5. เจ้าชายอัลแบร์ที่ 2 ทรงกำหนดบทบาทที่ชัดเจนของโมนาโกในประชาคมโลกในฐานะ “ผู้ถือสาร” (Porteur de messages) ที่จะช่วยสนับสนุนกระบวนการความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ มากกว่าที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาโลกในลักษณะ adventurous โดยคำนึงการที่โมนาโกเป็นประเทศขนาดเล็ก
    6. นอกเหนือจากการที่โมนาโกได้จัดสรรงบประมาณในกรอบการให้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา หรือ ODA แล้ว เจ้าชายอัลแบร์ที่ 2 ทรงสนพระทัยในประเด็นสิ่งแวดล้อม การแก้ไขปัญหาความยากจน และการพัฒนาสิทธิเด็ก ซึ่งทรงมีเจตนารมณ์ที่จะสืบสานเจตนารมณ์ของเจ้าหญิงเกรซ พระราชมารดา ในการพัฒนากฎหมายคุ้มครองสิทธิเด็ก

    บทบาทของโมนาโกในองค์การสหประชาชาติ

    ระหว่างการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติสมัยที่ 60 (World Summit 2005 หรือ High-level Plenary Meeting) ในเดือนกันยายน 2548 ที่นครนิวยอร์ก เจ้าชายอัลแบร์ ที่ 2 และนาย Jean-Paul Proust มนตรีแห่งรัฐ ราชรัฐโมนาโก ได้กล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับบทบาทของโมนาโกในองค์การสหประชาชาติ ในด้านต่างๆ ที่สำคัญ ดังนี้
    1. ความร่วมมือเพื่อการพัฒนา
    นอกจากจะจัดตั้งกองทุน Official Development Assistance (ODA) ขึ้นแล้ว โมนาโกยังได้ร่วมบริจาคในกองทุนอื่นภายใต้องค์กรระหว่างประเทศเพื่อช่วยเหลือกิจกรรมสำหรับการพัฒนาต่างๆ อาทิ การพัฒนาประเทศในทวีปแอฟริกาและภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียน นอกจากนี้ ภาครัฐและองค์กรอิสระของโมนาโกยังมีบทบาทในการพัฒนางานด้านสุขภาพ การศึกษา และการต่อสู้กับความยากจนในประเทศที่พูดภาษาฝรั่งเศสอีกด้วย

    2 ความปลอดภัย
    เจ้าชายอัลแบร์ ที่ 2 ได้ทรงเชิญชวนประเทศต่างๆ ให้จัดทำอนุสัญญาระหว่างประเทศเพื่อต่อสู้กับปัญหาการก่อการร้าย

    3 สิทธิมนุษยชนและการคุ้มครองเด็กและเยาวชน
    โมนาโกเห็นว่าการก่อตั้งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน (HRC) และคณะกรรมาธิการการสร้างสันติภาพ (Peacebuilding Commission) เป็นจุดที่สำคัญขององค์การสหประชาชาติ เนื่องจากการคุ้มครอง มนุษยชาติจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เป็นหน้าที่ของประชาคมโลก หากรัฐหรือองค์กรระดับภูมิภาคไม่สามารถทำหน้าที่ดังกล่าวได้ ทั้งนี้ การคุ้มครองสิทธิของเยาวชนเป็นหนึ่งในประเด็นที่โมนาโกให้ความสำคัญมาโดยตลอด โดยโมนาโกเห็นว่าการละเมิดสิทธิของเยาวชนไม่ควรถูกจำกัดอยู่ภายใต้เขตอำนาจศาลภายใน ประเทศเท่านั้น แต่ควรอยู่ภายใต้อำนาจหน่วยงานระหว่างประเทศ

    4 สิ่งแวดล้อม
    โมนาโกเห็นว่าโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ไม่สามารถตอบรับพัฒนาการในด้านสิ่งแวดล้อมของปัจจุบันได้อย่างพอเพียง ดังนั้น จึงควรก่อตั้งองค์กรที่มีอำนาจด้านสิ่งแวดล้อมภายใต้องค์การสหประชาชาติ (United Nations Environmental Organization) นอกจากนี้
    เจ้าชายอัลแบร์ ที่ 2 ได้ทรงแถลงต่อที่ประชุมว่า โมนาโกจะดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อเข้าร่วมพิธีสารเกียวโตต่อไป

    ความสัมพันธ์ทวิภาคีไทย-โมนาโก
    เจ้าชายอัลแบร์ที่ 2 ทรงมีความสนพระทัยที่จะเจริญสัมพันธไมตรีกับภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะกับไทยเป็นพิเศษ โดยได้เสด็จเยือนไทยเป็นประเทศแรกระหว่างวันที่ 17-19 มิถุนายน 2539 ภายหลังจากที่ทรงได้รับการสถาปนาเป็นมกุฎราชกุมารแห่งราชรัฐโมนาโก ซึ่งได้ทรงมีโอกาสเข้าเฝ้าสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามกุฎราชกุมาร และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อีกทั้งได้ทรงอนุญาตให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของไทยเข้าเฝ้าด้วย การเสด็จเยือนดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความตั้งพระทัยของเจ้าชายอัลแบร์ที่ 2 ที่ทรงมุ่งมั่นในการเจริญสัมพันธไมตรีกับราชอาณาจักรไทย

    1. การแลกเปลี่ยนการเยือน
    1.1 ไทยเยือนโมนาโก
    1.1.1. ระดับพระราชวงศ์
    - สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ เยือนราชรัฐโมนาโก ระหว่างวันที่ 20-23 กันยายน 2539 ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของรัฐบาลโมนาโก ซึ่งนับเป็นการเยือน
    ระดับพระราชวงศ์ของไทยเป็นครั้งแรก
    1.1.2 ภาครัฐบาล
    - นายกันตธีร์ ศุภมงคล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เยือนโมนาโกอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2548
    - นายนิพนธ์ วิสิษฐยุทธศาสตร์ รองประธานุฒิสภา คนที่ 1 และคณะรวมทั้งสิ้น 23 คน เยือนโมนาโกระหว่างวันที่ 25-26 มกราคม 2549 ซึ่งฝ่ายโมนาโกได้จัดให้คณะทั้งหมดได้เข้าเยี่ยมคารวะบุคคลสำคัญสูงสุดของโมนาโกทั้งจากฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ ได้แก่ นาย Jean-Paul Proust นายกรัฐมนตรี และนาย Stéphane Valérie ประธานสภาแห่งชาติ

    1.2 โมนาโกเยือนไทย
    1.2.1 ระดับพระราชวงศ์
    - เจ้าชาย Albert II (ดำรงตำแหน่งมกุฎราชกุมารในขณะนั้น) เสด็จเยือนไทย ระหว่างวันที่ 17-19 มิถุนายน 2539 เพื่อแสวงหาลู่ทางในการกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านการค้า อุตสาหกรรม การธนาคาร และการท่องเที่ยวระหว่างไทยกับราชรัฐโมนาโก
    - เจ้าหญิง Stéphanie (พระขนิษฐาของเจ้าชายอัลแบร์ที่ 2) เสด็จเยือนไทยเป็นการส่วนพระองค์ ระหว่างวันที่ 1-13 พฤศจิกายน 2548
    - เจ้าหญิง Caroline de Hanovre มกุฏราชกุมารีแห่งราชรัฐโมนาโก (พระภคินีของเจ้าชายอัลแบร์ที่ 2) และเจ้าชาย Ernst-August de Hanovre พระสวามี เสด็จเยือนไทยเป็นการส่วนพระองค์ ระหว่างวันที่ 5 -17 มกราคม 2549
    - เจ้าชายอัลแบร์ที่ 2 เสด็จเยือนไทยระหว่างวันที่ 11-14 มิถุนายน 2549 เพื่อ ทรงร่วมงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    1.2.2 ระดับอื่นๆ
    - นาง Stéphanie Salat บุตรสาวของนาย Jean-Paul Proust มนตรีแห่งรัฐ ราชรัฐโมนาโก เยือนไทยเป็นการส่วนตัว ระหว่างวันที่ 18 ธันวาคม 2548 – 8 มกราคม 2549

    2. การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต
    ในระหว่างการเยือนโมนาโกของนายกันตธีร์ ศุภมงคล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในขณะนั้น เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2548 ได้มีการหารือกับนาย Jean-Paul Proust มนตรีแห่งรัฐ ราชรัฐโมนาโก เกี่ยวกับการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับโมนาโก ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะดำเนินการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันให้แล้วเสร็จก่อนการเสด็จเยือนไทยของเจ้าชายอัลแบร์ที่ 2 เพื่อทรงร่วมงานฉลองสิริราชสมบัติ 60 ปี ในเดือนมิถุนายน 2549
    ต่อมา ไทยและโมนาโก ได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2549 โดยให้สอท. ณ กรุงปารีส มีเขตอาณาครอบคลุมโมนาโก และให้ออท. ณ กรุงปารีสดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต ณ กรุงโมนาโกอีกตำแหน่งหนึ่ง
    นอกจากนี้ ทั้ง 2 ประเทศได้แต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์เป็นตัวแทนดูแลผลประโยชน์ในทั้ง 2 ประเทศ กงสุลกิตติมศักดิ์ของโมนาโกประจำประเทศไทยคือ นายศรีภูมิ สุขเนตร และกงสุลกิตติมศักดิ์ของไทยประจำโมนาโก คือนาย ฌอง โคลด มูรู (Jean-Claude Mourou) นอกจากนี้ ไทยยังมอบหมายให้ สอท. ณ กรุงปารีส เป็นจุดติดต่อ (Contact Point) กับโมนาโกด้วย

    3. ด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว
    3.1 ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทยกับราชรัฐโมนาโกยังมีปริมาณน้อย
    กล่าวคือ ในปี 2548 มีมูลค่าการค้ารวมเพียง 1.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 18.18 ไทยส่งออก 0.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้า 1.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไทยขาดดุลการค้า1.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าที่ไทยนำเข้าจากโมนาโก ได้แก่ เครื่องสำอาง เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ทำจากพลาสติก สินค้าอุปโภคบริโภค ส่วนสินค้าที่ไทยส่งออกไปโมนาโก ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องใช้สำหรับเดินทาง เม็ดพลาสติก ผลิตภัณฑ์เซรามิกและสิ่งทอ
    3.2 ภาคธุรกิจของราชรัฐโมนาโกไม่ได้ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI
    3.3 ปริมาณนักท่องเที่ยวโมนาโกที่เดินทางมาประเทศไทยยังอยู่ในระดับต่ำ
    โดยในปี 2547 มีเพียง 668 คน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 55.35) และในปี 2548 (ม.ค.-มิ.ย.) 227 คน (ลดลงร้อยละ 36.41) สำหรับนักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางไปโมนาโกยังไม่มีสถิติบันทึกไว้ เนื่องจากนักท่องเที่ยวไทยจะไม่เดินทางเข้าไปในโมนาโกโดยตรง แต่จะเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวในยุโรปประเทศอื่นก่อน
    3.4 ข้อมูลล่าสุด (พ.ศ.2549) แจ้งว่า มีชาวเอเชียทำงานอยู่ในโมนาโกทั้งสิ้น 465 คน โดยเป็นบุคคลสัญชาติไทย 17 คน โดยคนไทยกลุ่มนี้มีถิ่นพำนักที่เมืองหลวงของโมนาโก 8 คน และที่เมือง Beausoleil 7 คน ส่วนอีก 2 คนพำนักอยู่ในเขตประเทศฝรั่งเศส และเดินทางข้ามแดนเข้าไปทำงานในโมนาโก
    ------------------------------------
    19 ธันวาคม 2549

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×