ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ข้อมูลประเทศต่างๆในทวีปยุโรป

    ลำดับตอนที่ #17 : สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.64K
      0
      26 ม.ค. 50



    แผนที่
    สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
    Federal Republic of Germany


    [ Print ]
    ข้อมูลทั่วไป
    ที่ตั้ง ตอนกลางของทวีปยุโรป ทิศเหนือจรดเดนมาร์ก ทิศใต้จรดสวิตเซอร์แลนด์และออสเตรีย ทิศตะวันออกจรดสาธารณรัฐเช็กและโปแลนด์ ทิศตะวันตกจรดเนเธอร์แลนด์ เบลเยียม ลักเซมเบิร์ก และฝรั่งเศส

    พื้นที่ 357,023 ตารางกิโลเมตร

    ประชากร 82.4 ล้านคน (ประมาณการปี 2548) เป็นชาวต่างชาติประมาณร้อยละ 8.9 ตามสถิติทางการของรัฐบาลเยอรมนีเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2547 มีคนไทยอาศัยอยู่ในเยอรมนีจำนวน 50,022 คน หญิง 42,734 คน ชาย 7,288 คน


    ภาษาราชการ เยอรมัน

    ศาสนา พลเมืองในเยอรมนีประมาณ 55 ล้านคนนับถือศาสนาคริสต์ (นิกาย Catholic ประมาณ 26.6 ล้านคน และนิกาย Protestant ประมาณ 26.3 ล้านคน) ส่วนที่เหลือนับถือศาสนาอื่น เช่น อิสลาม ยิว หรือไม่ระบุว่านับถือศาสนาใดๆ

    เมืองหลวง กรุงเบอร์ลิน (ย้ายจากกรุงบอนน์เมื่อปี 2533)

    สกุลเงิน ยูโร (1 ยูโร เท่ากับประมาณ 47.12 บาท ณ วันที่ 20 พ.ย. 2549)

    วันชาติ 3 ตุลาคม (วันรวมประเทศ) รวมประเทศเมื่อปี 2533

    ระบบการเมือง ปกครองตามระบอบประชาธิปไตยแบบสหพันธรัฐ (federalism) ประกอบด้วย 13 รัฐ (states) และ 3 รัฐอิสระ (free states) ซึ่งปกครองด้วยรัฐสภาและรัฐบาลของตนเอง

    ประธานาธิบดี นายฮอร์ส เคอห์เลอร์ (Horst Köhler) เข้ารับตำแหน่งเมื่อกรกฎาคม 2547

    นายกรัฐมนตรี นางอังเกล่า แมร์เคล (Angela Merkel) เข้ารับตำแหน่งเมื่อพฤศจิกายน 2548

    รองนายกรัฐมนตรี นายฟรันซ์ มึนเทอเฟริง (Franz Müntefering) เข้ารับตำแหน่งเมื่อพ.ย. 2548

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายฟรังค์-วัลเตอร์ ชไตน์มัยเออร์ (Frank-Walter Steinmeier) เข้ารับตำแหน่งเมื่อพ.ย. 2548

    สถาบันทางการเมือง เยอรมนีปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยแบบสหพันธรัฐ โดยฝ่ายบริหารมีประธานาธิบดีเป็นประมุข และมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล ฝ่ายนิติบัญญัติประกอบด้วย
    (1) สภาผู้แทนราษฎร (Bundestag) ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 600 คน และมีวาระดำรงตำแหน่ง 4 ปี โดยประธานสภาผู้แทนราษฎรจะทำหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีในกรณีที่นายกรัฐมนตรีไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้
    (2) สภาพันธรัฐ หรือสภาสูง (Bundesrat) ซึ่งเป็นผู้แทนจาก 16 รัฐ โดยแต่ละรัฐมีสิทธิ์ในการออกเสียง 3-6 เสียงตามจำนวนประชากร ทั้งนี้ ในสภาสูงมีจำนวนเสียงทั้งสิ้น 69 เสียง สมาชิกสภาสูงถูกกำหนดโดยตำแหน่ง (ตามปกติได้แก่ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือระดับรัฐมนตรีของรัฐ) แต่ไม่มีกำหนดวาระของการทำงาน เนื่องจากอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลตามการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรของแต่ละรัฐ ประธานสภาพันธรัฐมีวาระของการทำงาน 1 ปี และจะมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันดำรงตำแหน่งระหว่างรัฐต่างๆ ในกรณีที่ประธานาธิบดีเยอรมนีไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ประธานสภาพันธรัฐจะปฏิบัติหน้าที่แทนประธานาธิบดี


    ประเทศคู่ค้าที่สำคัญ ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร อิตาลี

    สินค้าเข้า เครื่องจักร ยานยนต์ เคมีภัณฑ์ อาหาร (ประมาณการมูลค่าการนำเข้าปี 2548 801 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)

    สินค้าออก เครื่องจักร ยานยนต์ เคมีภัณฑ์ เหล็ก (ประมาณการมูลค่าการส่งออกปี 2548 1.016 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นประเทศที่ส่งออกมากที่สุดในโลก)

    ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP) 2.83 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณการ2548)

    ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัว(GDP per head) 29,700 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณการ 2548)

    อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ร้อยละ 0.8 (2548)

    อัตราเงินเฟ้อ ร้อยละ 2.0 (2548)

    อัตราการว่างงาน ร้อยละ 11.6 (2548)

    การเมืองการปกครอง
    สภาวะทางการเมืองปัจจุบัน
    เมื่อวันที่ 22 พ.ย. 2548 นาง Angela Merkel หัวหน้าพรรค Christian Democratic Union (CDU) ได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของเยอรมนีภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 18 ก.ย. 2548 ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกและเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกที่มาจากฝั่งเยอรมันตะวันออก นาง Merkel ดำรงตำแหน่งผู้นำของรัฐบาลผสมแบบ Grand Coalition ระหว่างพรรค CDU/Christian Social Union (CSU) กับพรรค Social Democratic Party (SPD) ทั้งนี้ พรรค CDU/CSU ได้รับการจัดสรรที่นั่งในสภาล่าง (Bundestag) ทั้งสิ้น 226 และพรรค SPD มีที่นั่ง 222 จากทั้งหมด 614 ที่นั่ง

    คณะรัฐมนตรีชุดนี้ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี (CDU) เลขาธิการนายกรัฐมนตรี (CDU) และรัฐมนตรีประจำ 14 กระทรวง (พรรค CDU/CSU ได้รับจัดสรรตำแหน่ง 6 กระทรวง พรรค SPD 8 กระทรวง)

    นโยบายหลักของรัฐบาลชุดนี้ ได้แก่
    1) นโยบายการคลัง ให้เพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจากร้อยละ 16 เป็นร้อยละ 19 และยกเลิกการลดหย่อนทางภาษีและเงินสนับสนุนของรัฐบาลส่วนหนึ่ง โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2550 ทั้งนี้ การเพิ่มอัตราภาษีดังกล่าวเป็นการเพิ่มอัตราภาษีที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของเยอรมนีตั้งแต่ปี 2492 (ค.ศ. 1949) โดยรัฐบาลจะปรับลดอัตราค่าประกันการว่างงานลงร้อยละ 2 จากร้อยละ 6.5 เป็นร้อยละ 4.5 เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภาคประชาชน และนำรายได้จากภาษีที่เพิ่มขึ้นไปใช้แก้ไขปัญหาขาดดุลงบประมาณ ซึ่งรัฐบาลตั้งเป้าที่จะลดการขาดดุลงบประมาณให้ต่ำกว่าร้อยละ 3 ของ GDP ตามเพดานที่กำหนดไว้ในสนธิสัญญา Maastricht ภายในปี 2550 นอกจากนี้ พรรค SPD เสนอนโยบายให้เพิ่มอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับรายได้ขั้นสูงสุด (“ภาษีคนรวย”) จากร้อยละ 43 เป็นร้อยละ 46 ในปี 2550 เพื่อสร้างความยุติธรรมให้กับระบบภาษี ในขณะที่พรรค CDU เสนอให้ปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคลจากร้อยละ 25 เป็นร้อยละ 22 ในปี 2551 ซึ่งจะต้องผ่านการพิจารณาของพรรคร่วมรัฐบาลต่อไป

    2) นโยบายปฏิรูปด้านตลาดแรงงานและปฏิรูประบบประกันความมั่นคงทางสังคม (Social Security Reform) สืบเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรของเยอรมนี โดยประชากรส่วนใหญ่ของประเทศมีอายุเพิ่มมากขึ้นในขณะที่อัตราการเพิ่มของประชาการน้อยลงซึ่งจะทำให้สัดส่วนของประชากรสูงอายุเพิ่มมากขึ้นในอนาคต อันเป็นเหตุให้รัฐบาลมีความจำเป็นจะต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการบริหารจัดด้านสวัสดิการแก่ผู้สูงอายุในอนาคต ซึ่งทำให้เกิดความกดดันต่อระบบการเงินและการจัดทำงบประมาณของเยอรมนีเป็นอย่างมาก จนมีผู้วิเคราะห์ว่า หากเยอรมนีไม่ปฏิรูประบบการประกันความมั่นคงทางสังคม (Social Security Reform) อาจทำให้ระบบการเงินการคลังของเยอรมนีล้มเหลวในอนาคต รัฐบาลผสม Grand Coalition ของนางแมร์เคลจึงมีนโยบายลดรายจ่ายในการดูแลผู้เกษียณอายุลง โดยให้ปรับเพิ่มเกณฑ์การเกษียณอายุจาก 65 ปีเป็น 67 ปี ซึ่งจะเริ่มดำเนินการในปี 2555 จนถึงปี 2578 และให้คงนโยบายหลัก Agenda 2010 ของอดีตนายกรัฐมนตรีแกร์ฮาร์ด ชเรอเดอร์ (Gerhard Schröder) ไว้ก่อนซึ่งมุ่งเน้นแก้ปัญหาการว่างงานระยะยาว

    3) นโยบายปฏิรูประบบการประกันสุขภาพ การปฏิรูประบบประกันสุขภาพเป็นหัวใจสำคัญอันหนึ่งของนโยบายปฏิรูประบบประกันความมั่นคงทางสังคมของเยอรมนี ซึ่งเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลชุดปัจจุบันเพื่อกระตุ้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจเยอรมนี ประเด็นสำคัญในนโยบายปฏิรูประบบประกันสุขภาพที่กำลังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในรัฐาล Grand Coalition คือ การทำให้กิจการการประกันสุขภาพของรัฐบาลสามารถเลี้ยงตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต ปัจจุบัน เยอรมนีมีระบบประกันสุขภาพในรูปแบบกองทุนเจ็บป่วยภาคบังคับ (Statutory Sickness Funds) สำหรับประชาชนที่มีรายได้ระดับต่ำและระดับปานกลาง เนื่องจากโครงสร้างอายุของประชากรเยอรมันที่เพิ่มสูงขึ้น และมีรายจ่ายด้านสุขภาพเพิ่มสูงขึ้น กองทุนเจ็บป่วยเหล่านี้จึงมีค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้นและมีความจำเป็นต้องเพิ่มอัตราเบี้ยประกันสุขภาพให้สูงขึ้น อันเป็นผลให้ค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่ภาษีของทั้งภาคเอกชนและภาคประชาชนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นของภาคเอกชนนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาการว่างงาน อันก่อให้เกิดภาระด้านงบประมาณให้กับรัฐบาล ซึ่งเป็นปัญหาลูกโซ่ไปยังระบบเศรษฐกิจของเยอรมนีโดยรวม อย่างไรก็ดี พรรคร่วมรัฐบาลทั้งสองยังไม่สามารถตกลงกันเกี่ยวกับนโยบายปฏิรูประบบประกันสุขภาพที่เป็นเอกภาพได้ และยังไม่มีท่าทีที่จะตกลงกันได้ โดยพรรค SPD เสนอให้คงระบบปัจจุบัน คือ เก็บตามสัดส่วนของรายได้ และเสนอให้ปฏิรูปการประกันสุขภาพเป็นรูปแบบ Citizen Insurance คือ ให้รัฐบาลดำเนินระบบการประกันสุขภาพทั้งหมด (Unitary Health Insurance) เช่นเดียวกับระบบ National Health Service หรือ NHS ตามระบบของประเทศอังกฤษ ขณะที่พรรค CDU/CSU เสนอให้ปฏิรูปโดยเปลี่ยนระบบการเก็บอัตราการประกันสุขภาพเป็นอัตราเดียว (flat rate) โดยรัฐบาลจะให้เงินสนับสนุนในการจ่ายเบี้ยประกันแก่ผู้มีรายได้น้อย ดังนั้น จึงต้องจับตาดูทิศทางของนโยบายการปฏิรูประบบประกันสุขภาพของรัฐบาลเยอรมนีต่อไป

    4) นโยบายการต่างประเทศ ให้ความสำคัญต่อความสัมพันธ์และความร่วมมือกับประเทศในยุโรป โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ฝรั่งเศส และโปแลนด์ และเสริมสร้างความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา รวมทั้งรัสเซีย และสนับสนุน NATO ทั้งนี้ ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีแมร์เคลมีบทบาทที่โดดเด่นในด้านการต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องบทบาทของเยอรมนีต่อการแก้ไขปัญหาวิกฤตการณ์โครงการนิวเคลียร์ในประเทศอิหร่าน

    5) นโยบายส่งเสริมการศึกษาและนวัตกรรม ให้จัดสรรงบประมาณเพื่อพัฒนาการศึกษาและนวัตกรรมเพิ่มเติมจำนวน 4 พันล้านยูโร และให้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาเป็นร้อยละ 3 ของ GDP ภายในปี 2010 นอกจากนี้ ให้เพิ่มเงินทุนแก่สถาบันวิจัยอีกร้อยละ 3 จนถึงปี 2010 ตลอดจนให้สนับสนุนเงินทุนรวม 6 พันล้านยูโร เพื่อการพัฒนา nanotechnology biotechnology และ information technology รวมทั้งสนับสนุนการพัฒนาการวิจัยด้าน chemical และ green biotechnology ในภาคเอกชน

    6) นโยบายด้านพลังงาน ให้คงนโยบายสนับสนุนการผลิตและใช้พลังงานทดแทนภายใน ประเทศตามกฎหมาย Renewable Energy Act ปี 2003 โดยให้เพิ่มเงินทุนสนับสนุนการวิจัยด้านพลังงานทดแทนต่างๆ ทั้งนี้ รัฐบาลให้เลื่อนการพิจารณานโยบายการยุติการผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานปรมาณูออกไปอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากความแตกต่างของนโยบายของพรรมร่วมรัฐบาล โดยพรรค CDU ประสงค์จะให้มีการทบทวนนโยบายการยุติการผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานปรมาณูซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลชุดก่อนซึ่งนำโดยพรรค SPD

    เศรษฐกิจการค้า
    สภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน
    เยอรมนีเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่มีบทบาททางเศรษฐกิจที่สำคัญของโลก มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยุโรปและเป็นอันดับสามของโลก และมีการส่งออกมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก อย่างไรก็ดี ขณะนี้เยอรมนียังคงประสบปัญหาเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจชะงักงันตั้งแต่ปี 2544 อัตราการเจริญเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP growth rate) ลดลงอย่างต่อเนื่องจนเหลือเพียงร้อยละ 0.2 ในปี 2545 และร้อยละ 0 ในปี 2546 โดยในปี 2548 เยอรมนีมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจร้อยละ 0.8 และคาดว่าในปี 2549 อัตราการเจริญทางเศรษฐกิจจะอยู่ที่ร้อยละ 1.2 ซึ่งนักวิเคราะห์เห็นว่าเป็นสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของเยอรมนี อันเป็นผลมาจากการเติบโตของภาคการส่งออกอย่างต่อเนื่อง โดยเยอรมนีเป็นผู้ส่งออกมากที่สุดในโลกตั้งแต่ปี 2547 และทำให้ภาคธุรกิจทำกำไรได้มากขึ้น อย่างไรก็ดี การเติบโตทางเศรษฐกิจของเยอรมนียังคงมีปัจจัยเสี่ยงจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงสภาพเศรษฐกิจภายในประเทศซึ่งภาคธุรกิจส่วนใหญ่ยังคงมีความระมัดระวังในการลงทุน และภาคประชาชนยังคงระมัดระวังการใช้จ่าย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความไม่มั่นใจในแนวทางการแก้ไขปัญหาตลาดแรงงานและการปฏิรูประบบประกันความมั่นคงทางสังคมของรัฐบาล ตลอดจนปัจจัยเสี่ยงจากการถดถอยของเศรษฐกิจโลกซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของเยอรมนี

    ปัญหาสำคัญเรื้อรังของเยอรมนี คือ ปัญหาอัตราการว่างงานสูงต่อเนื่อง ในปี 2548 ประชากรเยอรมนีว่างงานเฉลี่ยประมาณ 5 ล้านคน หรือร้อยละ 11.6 ของแรงงานทั้งหมด และยังไม่มีแนวโน้มว่าจะลดลงภายในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งปัญหาการว่างงานนี้ส่วนใหญ่เป็นปัญหาการว่างงานเชิงโครงสร้าง (structural unemployment) เนื่องจากมีตลาดแรงงานที่ไม่ยืดหยุ่น (labour market rigidity) และระบบประกันความมั่นคงทางสังคม (social security system) ที่ไม่เหมาะสมกับโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม และโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้รัฐบาลต้องแบกรับค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการสังคมที่สูงขึ้นและมีปัญหาขาดดุลงบประมาณเกินเพดานที่กำหนดไว้ในสนธิสัญญา Maastricht ของประชาคมยุโรป (ร้อยละ 3 ของ GDP) มาติดต่อกันเป็นเวลา 3 ปี

    ในปี 2546 (ค.ศ. 2003) รัฐบาลเยอรมนีได้นำเสนอยุทธศาสตร์เพื่อปฏิรูปเศรษฐกิจและโครงสร้างทางสังคม "Agenda 2010" ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อจะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของเยอรมนีให้ได้ภายในปี 2553 (ค.ศ. 2010) โดยมุ่งที่จะแก้ไขปัญหาใน 3 ด้าน คือ 1) การปฏิรูปตลาดแรงงานและระบบสวัสดิการสังคม โดยรวมการให้เงินสนับสนุนระหว่างการว่างงาน (unemployment compensation) กับระบบการให้เงินสวัสดิการสังคม (social welfare system) เข้าด้วยกัน 2) การลดงบประมาณขาดดุล เน้นดำเนินนโยบายรัดเข็มขัด ควบคุมรายจ่ายภาครัฐ และ 3) การลดอัตราภาษี ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2547 (ค.ศ. 2004) แม้ Agenda 2010 จะยังไม่ส่งผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม แต่ก็เป็นการส่งสัญญาณของรัฐบาลเยอรมนีต่อประชาชนที่จะต้องปรับตัวต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป

    ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
    ความสัมพันธ์ทางการทูต
    ไทยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับเยอรมนีในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยการร่วมลงนามในสัญญาพระราชไมตรี การค้าและการเดินเรือระหว่างกันเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2405
    ระหว่างปี พ.ศ. 2426 - 2430 ไทยกับเยอรมนีดำเนินความสัมพันธ์ทางการทูตในระดับอัครราชทูต โดยมีสำนักงานตั้งอยู่ที่กรุงลอนดอน ในปี พ.ศ. 2430 ไทยได้จัดตั้งสำนักงาน ณ กรุงเบอร์ลินสำหรับเอกอัครราชทูต ความสัมพันธ์ทางการทูตของไทยและเยอรมนีได้หยั่งรากลึกในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพระองค์ได้เยือนเยอรมนีเมื่อคราวเสด็จประพาสยุโรป 2 ครั้ง คือในปี พ.ศ. 2440 และปี พ.ศ. 2450 ซึ่งในครั้งหลัง พระองค์ทรงประทับอยู่ในเมืองบาด ฮอมบวร์ก ประเทศเยอรมนี เป็นเวลาหนึ่งเดือน
    ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยได้จัดตั้งสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบอนน์ และสถานกงสุลใหญ่ ณ นครเบอร์ลิน ซึ่งมีเขตอาณาครอบคลุมอดีตเยอรมนีตะวันออกทั้งหมด ต่อมาเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2542 ได้ย้ายสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบอนน์ไปอยู่ ณ กรุงเบอร์ลิน พร้อมกันนั้นได้จัดตั้งสำนักงานสถานเอกอัครราชทูตสาขากรุงบอนน์ขึ้น แต่ได้ปิดทำการไปแล้วเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2544 และได้มีการเปิดสถานกงสุลใหญ่ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2545
    (รายละเอียดเกี่ยวกับการจัดทำสัญญาพระราชไมตรีฯ และการเสด็จประพาสเยอรมนี ดูเอกสารแนบ)

    สถานกงสุลกิตติมศักดิ์ ของไทยมี 4 แห่ง คือ
    1. ฮัมบูร์ก (ครอบคลุมรัฐ Hamburg รัฐ Bremen และรัฐ Schleswig-Holstein)
    2. มิวนิก (ครอบคลุมรัฐ Bavaria และรัฐ Saxony)
    3. ดึสเซลดอร์ฟ (ครอบคลุมรัฐ North Rhine-Westphalia และรัฐ Lower Saxony)
    4. ชตุทท์การ์ท (ครอบคลุมรัฐ Baden-Wuerttemberg)
    (หมายเหตุ สถานกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ นครแฟรงเฟิร์ต ปิดทำการเมื่อ 31 ธันวาคม 2544)

    ความสัมพันธ์ทางการเมือง
    ดำเนินไปด้วยความราบรื่น ไทยและเยอรมนีมีการแลกเปลี่ยนการเยือนในทุกระดับอย่าง
    สม่ำเสมอ เยอรมนีสนับสนุนท่าทีต่างๆ ของไทย เช่น ท่าทีต่อปัญหากัมพูชา และให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ชาวไทยที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาผู้ลี้ภัย นอกจากนี้ เยอรมนียังชื่นชมและตระหนักถึงความสำคัญของไทยในฐานะที่มีบทบาทนำและเป็นแบบอย่างในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในเรื่องความเป็นประชาธิปไตย การรักษาสิทธิมนุษยชน เสรีภาพของสื่อมวลชน ความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ และความสำเร็จทางเศรษฐกิจโดยรวม
    เยอรมนีขอให้ไทยพิจารณาสนับสนุนเยอรมนีเข้าเป็นสมาชิกประเภทถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ

    ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ


    1. การค้า
    เยอรมนีเป็นคู่ค้าลำดับที่ 7 ของไทยรองจากญี่ปุ่น สหรัฐฯ จีน สิงคโปร์ มาเลเซีย ไต้หวัน ตามลำดับ และเป็นคู่ค้าอันดับที่ 1 ของไทยในสหภาพยุโรป ในช่วง ปี 2542-2545 การค้ารวมมีมูลค่าเฉลี่ย 3694.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยในปี 2548 ไทยและเยอรมนีมีมูลค่าการค้ารวม 5,204.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไทยเสียเปรียบดุลการค้า เป็นมูลค่า 1,202.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากมีการนำเข้าสินค้าทุนจากเยอรมนีในปริมาณที่สูงมาก สินค้าสำคัญที่ไทยส่งออกไปเยอรมนี ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เสื้อผ้าสำเร็จรูป อัญมณีและเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ส่วนประกอบอากาศยานและอุปกรณ์การบิน เลนซ์ วงจรพิมพ์ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เป็นต้น ส่วนสินค้านำเข้าที่สำคัญของไทยจากเยอรมนี ได้แก่ เครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรม เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบ รวมทั้งโครงรถและตัวถัง เครื่องมือเครื่องใช้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ การวัด การตรวจสอบ การถ่ายรูป แผงวงจรไฟฟ้า เป็นต้น

    2. การลงทุน
    บริษัทของเยอรมนีเข้ามาลงทุนในประเทศไทยค่อนข้างน้อย โดยเป็นผู้ลงทุนอันดับ 3 ของผู้ลงทุนจากยุโรป (ในด้านจำนวนโครงการ) ใน EU รองจากอังกฤษและเนเธอร์แลนด์ การลงทุนของเยอรมนีผ่าน BOI ระหว่างปี 2538-2545 มีจำนวน 256 โครงการ เงินลงทุน 90,475 ล้านบาท การลงทุนโดยตรงส่วนใหญ่อยู่ในภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะสาขาเคมีภัณฑ์ เครื่องจักรและอุปกรณ์ ขนส่ง ผลิตภัณฑ์โลหะ และเครื่องจักรอุตสาหกรรมเบา ผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็คทรอนิกส์ เฉพาะในปี 2547 เยอรมนีได้รับการส่งเสริมการลงทุน จำนวน 15 โครงการ มีมูลค่ารวม 913 ล้านบาท และในปี 2548 เยอรมนีเป็นผู้ลงทุนอันดับ 2 ของผู้ลงทุนจากยุโรปในด้านเงินลงทุน (19 โครงการ) คิดเป็นมูลค่า 7,022 ล้านบาท
    ไทยเป็นภาคีทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของเยอรมนีในบางสาขา โดยเฉพาะการประกอบรถยนต์ ในรอบปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมรถยนต์ของเยอรมนี เช่น AUDI BMW DaimlerChrysler ได้ให้ความสนใจที่จะร่วมลงทุนและขยายการลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยมองว่าประเทศไทยเป็นศูนย์กลางและฐานการพัฒนาธุรกิจด้านยานยนต์ที่เหมาะสมในเอเชีย

    บริษัทเยอรมนียังคงเข้ามาลงทุนในเอเชียค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับการลงทุนในยุโรปตะวันออก อย่างไรก็ดี เยอรมนีตระหนักถึงความสำคัญของการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกอย่างมาก และได้มีการกำหนดนโยบายในเชิงรุกต่อเอเชียโดยเน้นการสนับสนุนให้ภาคเอกชนขนาดเล็กและกลางของเยอรมนีมาลงทุนในภูมิภาคเอเชียมากขึ้น โดยเฉพาะในจีน รัฐบาลเยอรมนีส่งเสริมและผลักดันให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทในภูมิภาคเอเชียอย่างต่อเนื่อง และได้มีการจัดการประชุมธุรกิจเยอรมนีในเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ 10 ขึ้นที่กรุงเทพฯ ระหว่าง 18-19 พฤศจิกายน 2547 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและแรงงานเยอรมนีเข้าร่วมการประชุมด้วย
    สำหรับไทย ตลาดภายในของไทยค่อนข้างเล็ก ซึ่งในเรื่องนี้หากนักธุรกิจเยอรมันเล็งเห็นถึงความสำคัญของไทยไทยในฐานะ hub และใช้ประโยชน์จากความตกลง FTA ที่ไทยทำไว้กับประเทศต่างๆ และเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ก็น่าจะทำให้การลงทุนของเยอรมนีในไทยมีพลวัตมากขึ้น

    3. การท่องเที่ยว
    ในปี 2548 มีนักท่องเที่ยวเยอรมันเดินทางมาประเทศไทยจำนวน 455,170 คน (เป็นอันดับที่ 2 ในยุโรปรองจากสหราชอาณาจักร) เป็นโดยนักท่องเที่ยวเยอรมันจัดได้เป็นนักท่องเที่ยวคุณภาพ เพราะจะพำนักอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานาน (ในปี 2547 วันพักเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวเยอรมันอยู่ที่ 13.36 วัน) และมีการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อวันค่อนข้างสูง (ในปี 2547 นักท่องเที่ยวเยอรมันมีค่าใช้จ่ายต่อคนต่อวันราว 3,720.23 บาท ซึ่งสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยเป็นมูลค่ากว่า 21,781.44 ล้านบาท)
    สถานการณ์การท่องเที่ยวไทยในครึ่งปีหลังของปี 2548 ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จำนวนนักท่องเที่ยวเยอรมันที่เดินทางมาที่ประเทศไทย (เฉพาะตัวเลขที่ท่าอากาศยานกรุงเทพฯ) ระหว่างเดือนมกราคม - พฤศจิกายน 2548 เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.49

    4. ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาและความช่วยเหลือ
    ไทยต้องการให้เยอรมนีมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการพัฒนาความร่วมมือไตรภาคี เป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาภูมิภาค (Partnership for Development/ Partnership for the Region) อย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในการพัฒนาประเทศเพื่อนบ้านในกรอบ GMS และ ACMECS และประเทศที่เพิ่งผ่านพ้นภาวะสงครามหรือความขัดแย้ง เช่น ติมอร์เลสเต ศรีลังกา รวมทั้งประเทศที่สามอื่นๆ อาทิ ประเทศในแอฟริกา เยอรมนีเป็น development partner ในกรอบ ACMECS และเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทยได้เข้าร่วมการประชุม ACMECS Special SOM and Ministerial Retreat เมื่อวันที่ 1-3 พฤศจิกายน 2547 ที่ จ.กระบี่ และได้รับข้อเสนอโครงการในกรอบ ACMECS จำนวน 26 โครงการไปพิจารณา

    ไทยและเยอรมนีได้จัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือไตรภาคีเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้รอการลงนามโดยผู้แทนของทั้งสองฝ่าย คาดว่าจะจัดให้มีการลงนามได้ในปี 2549


    5. คณะกรรมการร่วมด้านเศรษฐกิจไทย-เยอรมนี
    ไทยและเยอรมนีได้จัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเศรษฐกิจไทย-เยอรมนี (JEC) โดยได้มีการ ลงนามบันทึกความเข้าใจจัดตั้ง JEC ระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและแรงงานเยอรมนี ในระหว่างการประชุม JEC ครั้งแรก เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2546 หัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายไทย ได้แก่ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (นายสมคิด จาตุรศรีพิทักษ์) ส่วนหัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายเยอรมนี ได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและแรงงาน (นาย Wolfgang Clement)
    รูปแบบของ JEC เป็นการผสมผสานระหว่างผู้นำระดับสูงภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ไทยจัดตั้ง JEC โดยมีผู้แทนจากภาคเอกชนเป็นรองประธานและกรรมการอยู่ด้วย
    วัตถุประสงค์ที่สำคัญของการประชุม
    1. เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในทุกด้าน และเสริมสร้างเครือข่ายระหว่างภาครัฐและภาคธุรกิจของทั้งสองประเทศในสาขาเศรษฐกิจที่สำคัญที่มีความสนใจร่วมกัน
    2. เพื่อขยายการลงทุนของเยอรมนีในประเทศไทยและส่งเสริมให้เยอรมนีใช้ประเทศไทยเป็นฐานและเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมและธุรกิจของเยอรมนีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
    3. เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและรับทราบนโยบายเศรษฐกิจซึ่งกันและกัน โดยในการคณะกรรมการร่วมฯ จะมีประชุมเต็มคณะและการประชุมคณะทำงาน ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการร่วมฯ ครั้งที่ 1 ทั้งสองฝ่ายได้เห็นพ้องให้มีคณะทำงาน 2 คณะ คือ 1) คณะทำงานด้านโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี และ 2) คณะทำงานด้าน SMEs เทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม การค้า และการลงทุน
    ไทยและเยอรมนีหวังที่จะให้มีการพัฒนาความร่วมมือในสาขาโครงสร้างพื้นฐาน อุตสาหกรรมยานยนต์ เทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยด้านอาหาร การศึกษาและฝึกอบรม การพัฒนา SMEs และการพัฒนาพลังงานทดแทนซึ่งอาจเน้นในเรื่องของการสนับสนุนการวิจัยร่วม การถ่ายทอดเทคโนโลยีและความร่วมมือด้านวิชาการอื่นๆ ในสาขาการพัฒนา biofuel, solar cell และ fuel cell

    6. ความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์
    ไทยกับเยอรมนีมีความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์ ดังนี้
    6.1 บันทึกความเข้าใจระหว่างกรมวิทยาศาสตร์บริการ และ Institute of Mineral Engineering, Department of Glass and Ceramic Composites, มหาวิทยาลัย RWTH Aachen (ลงนาม 1 มิ.ย. 2548) ในการวิจัย อบรมและแลกเปลี่ยนนักวิจัย รวมทั้งความรู้วิชาการด้านเซรามิก
    6.2 โครงการความร่วมมือระหว่างสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติและ Physikalische-Technische Bundesanstalt – PTB (ลงนาม พ.ย. 2544) เพื่อให้คชล. ด้านเทคนิคและการจัดการในการพัฒนาระบบมาตรวิทยาแห่งชาติโดยการส่งผชช.มาให้คำปรึกษาด้านการพัฒนาองค์กรและบริหารระบบมาตรวิทยา รวมทั้งให้คำปรึกษาในการตรวจสอบความถูกต้องด้านวิชาการและการจัดตั้งห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ ตลอดจนการบำรุงรักษา ซึ่งจะมีส่วนช่วยส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของไทย ทั้งนี้ โครงการนี้จะใช้เวลาระหว่าง 2542 – 2549
    6.3 ความตกลงระหว่าง Deutsches Elektronen-Synchrotron –DESY กับศูนย์ปฏิบัติการวิจัยเครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอนแห่งชาติ (ลงนาม 26 ก.ค. 2548)
    6.4 โครงการ Exchange of Note on Technical Cooperation between Thailand Institute of Scientific and Technical Research (TISTR) and TUV/Delta Consult GmbH for the Implementation of the Technical Cooperation Project Establishment of Advance Technical Services in Vietnam (ลงนาม 19 พ.ค. 2548)
    6.5 Exchange of Note between TISTR and GTZ on Promotion of Technical Advisory Services to Enhance Competitive Production Technology and Processes in the Fruits and Vegetable Industry (ลงนาม 9 มี.ค. 2548)

    7. ความตกลง
    1. สนธิสัญญาว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน (ลงนามครั้งแรก 13 ธันวาคม 2504 ลงนามครั้งล่าสุด หลังจากเจรจาใหม่ 24 มิถุนายน 2545)
    2. ความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางอากาศ (ลงนาม 5 มีนาคม 2505)
    3. ความตกลงว่าด้วยการหลีกเลี่ยงการเก็บภาษีซ้อนในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้และทุน (ลงนาม 10 กรกฎาคม 2510 มีผลบังคับใช้ 4 พฤศจิกายน 2511)
    4. ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการ (ลงนาม 17 กุมภาพันธ์ 2513)
    5. ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านวัฒนธรรม (ลงนาม 24 มีนาคม 2526 มีผลบังคับใช้ 25 กรกฎาคม 2527)
    6. สนธิสัญญาโอนตัวนักโทษไทย-เยอรมนี (ลงนาม 26 พฤษภาคม 2536)
    7. ความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางทะเล (ลงนาม 31 กรกฎาคม 2544)
    8. สนธิสัญญาเกี่ยวกับการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนต่างตอบแทน (ลงนามเมื่อ 24 มิถุนายน 2545 และมีการแลกเปลี่ยนสัตยาบันสารระหว่างกันเมื่อ 20 กันยายน 2547)
    9. บันทึกความเข้าใจจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเศรษฐกิจไทย-เยอรมนี (ลงนาม 31 มีนาคม 2546)
    10. ความตกลงว่าด้วยพนักงานวิทยุสมัครเล่นไทย-เยอรมนี (ดำเนินการส่งหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างกัน แล้วเสร็จเมื่อ 7 พฤษภาคม 2546)
    11. ความตกลงทางด้านการเงินระหว่างไทย – เยอรมนี (ลงนาม 30 กันยายน 2548)
    12. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือไตรภาคี (รอลงนาม)

    8. การแลกเปลี่ยนการเยือน
    - นาย Richard von Weizsaecker ประธานาธิบดีเยอรมนีเยือนไทยระหว่าง 28-29 สิงหาคม 2536
    - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (น.ต. ประสงค์ สุ่นศิริ) เยือนเยอรมนีอย่างเป็นทางการระหว่าง 18-21 กันยายน 2537 และเป็นการเยือนครั้งแรกภายหลังการรวมเยอรมนี
    - นายกรัฐมนตรี (นายชวน หลีกภัย) เยือนเยอรมนี ระหว่าง 8-10มีนาคม 2538 ตามคำเชิญของนาย Helmut Kohl นายกรัฐมนตรีเยอรมนี
    - สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ เยือนเยอรมนี ระหว่าง 21-24 พฤษภาคม 2538 ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของรัฐบาลสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
    - สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จฯ เยือนเยอรมนีอย่างเป็นทางการระหว่าง 12-21 พฤศจิกายน 2538
    - นาย Helmut Kohl นายกรัฐมนตรีเยอรมนีเข้าร่วมการประชุมเอเชีย-ยุโรปที่กรุงเทพฯ ระหว่าง 1-2 มีนาคม 2539
    - นาย Matthias Wissmann รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเยอรมนี เยือนไทยตามคำเชิญของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมของไทย ระหว่าง 24-28 ตุลาคม 2539
    - นาย Carl-Dieter Spranger รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา เยอรมนี เยือนไทยในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศระหว่าง 18-20 มกราคม 2540
    - นาย Erwin Teufel นายกรัฐมนตรีรัฐบาเด็น-วือร์เต็มแบร์ก นำคณะนักธุรกิจเยือนไทย ระหว่าง 2-5 มีนาคม 2540
    - สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬา-ภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จฯ เยือนรัฐแซกโซนีและรัฐบาวาเรียระหว่าง 9-13 เมษายน 2540
    - นาย Klaus Kinkel รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนี เยือนไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ ระหว่าง 20-21 ตุลาคม 2540
    - Dr. Werner Hoyer รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนี เยือนไทยระหว่าง 19-21 ธันวาคม 2540
    - Dr. Theodor Waigel รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเยอรมนี เยือนไทย ระหว่าง 19-20 กุมภาพันธ์ 2541
    - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) เยือนเยอรมนีระหว่าง 7-12 พฤษภาคม 2541
    - Dr. Walter Doering รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจของรัฐบาลบาเด็น- วือร์เต็มแบร์ก เยือนไทย ระหว่าง 15-18พฤศจิกายน 2541
    - รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย รัตตกุล) เยือนเยอรมนี ระหว่าง 2-4 มิถุนายน 2541
    - Dr. Werner Hoyer รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนีเยือนไทยระหว่าง 23-27 กรกฎาคม 2541
    - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ) เยือนเยอรมนีระหว่าง 24-27 กุมภาพันธ์ 2542
    - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ) เยือนรัฐแซกโซนี และรัฐบาวาเรีย ระหว่าง 30 มีนาคม-2 เมษายน 2542
    - รองนายกรัฐมนตรี (นายศุภชัย พาณิชภักดิ์) และคณะ เยือนเยอรมนีระหว่าง 12-14 เมษายน 2542
    - สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จฯ เยือนรัฐบาวาเรีย และรัฐแซกโซนี ระหว่าง 13-18 เมษายน 2542
    - Dr. Wolfgang Vehse ปลัดกระทรวงเศรษฐกิจ รัฐแซกโซนี นำคณะผู้แทนทางการค้าจากรัฐแซกโซนีเยือนไทย ระหว่าง 20-23 เมษายน 2542
    - รัฐมนตรีประจำสำนักรัฐมนตรี (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) นำคณะจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเยือนเยอรมนี เพื่อจัดประชุมสัมมนาเผยแพร่การลงทุนระหว่าง 28 เมษายน - 3 พฤษภาคม 2542
    - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ) และคณะ เยือนเยอรมนี ระหว่าง 10-11 พฤษภาคม 2542
    - รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม (นางปวีณา หงสกุล) และคณะ เยือนเยอรมนี ระหว่าง 13-15 มิถุนายน 2542
    - รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายพิสิฐ ลี้อาธรรม) เยือนเยอรมนี ระหว่าง 5-10 ตุลาคม 2542 เพื่อเข้าร่วมงาน Gala Dinner ส่งเสริมการลงทุนไทย ที่กรุงเบอร์ลิน
    - รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายศุภชัย พานิชภักดิ์) เข้าร่วมปะชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซมครั้งที่ 2 (Second ASEM Economic Ministers’ Meeting) ที่กรุงเบอร์ลิน ระหว่าง 9-10 ตุลาคม 2542
    - Dr. Ludger Volmer รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนี เยือนไทยอย่างเป็น ทางการ ระหว่าง 20-21 ตุลาคม 2542
    - รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายวิชัย ตันศิริ) และคณะ เยือนเยอรมนี ระหว่าง 23-29 ตุลาคม 2542
    - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล) และคณะ เยือนเยอรมนี ระหว่าง 27-31 ตุลาคม 2542
    - นาย Siegmar Mosdorf รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและเทคโนโลยีเยอรมนี เยือนไทย ระหว่าง 17-19 กุมภาพันธ์ 2543 เพื่อเข้าร่วมการประชุม UNCTAD X ที่กรุงเทพฯ
    - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ) เยือนเยอรมนี ระหว่าง 2-3 มีนาคม 2543
    - นาย Hans Spitzner รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ คมนาคม และเทคโนโลยีแห่ง รัฐบาวาเรีย เยือนไทย ระหว่าง 8-11 มีนาคม 2543
    - Dr. Werner Mueller รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและเทคโนโลยีเยอรมนี นำคณะเจ้าหน้าที่ภาครัฐบาล นักธุรกิจภาคเอกชน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสื่อมวลชนเยอรมนี เยือนไทย ระหว่าง 25-28 พฤษภาคม 2543
    - นาย Joschka Fischer รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนี เยือนไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ ระหว่าง 14-15 กรกฎาคม 2543
    - รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายอดิศัย โพธารามิก) ประธานกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เยือนเยอรมนี ระหว่าง 10-14 สิงหาคม 2543
    - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม (นายอาทิตย์ อุไรรัตน์) เยือนสวิตเซอร์แลนด์และเยอรมนี ระหว่าง 10-17 สิงหาคม 2543
    - สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ เยือนเยอรมนี ระหว่าง 14-29 สิงหาคม 2543
    - สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จฯ เยือนเยอรมนีเพื่อทรงงานด้านการวิจัย ระหว่าง 28 กันยายน - 18 ตุลาคม 2543
    - Dr. Peter Struck สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเยอรมนี และหัวหน้ากลุ่มสมาชิกสภาผู้แทนฯ เยอรมนีจากพรรค Social Democratic Party (SPD) เยือนไทย ระหว่าง 3-5 ตุลาคม 2543
    - รองนายกรัฐมนตรี (นายปองพล อดิเรกสาร) เยือนเยอรมนี ระหว่าง 4-6 มิถุนายน 2544
    - นายกันตธีร์ ศุภมงคล ผู้แทนทางการค้าของไทย เยือนเยอรมนีระหว่างวันที่ 24 กันยายน 2544 - 1 ตุลาคม 2544
    - สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ เยือนเยอรมนี ระหว่าง 19 กุมภาพันธ์ – 22 มีนาคม 2545
    - นายกันตธีร์ ศุภมงคล ผู้แทนทางการค้าของไทย เยือนเยอรมนีระหว่าง 20-28 กุมภาพันธ์ 2545
    - ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญาเสด็จร่วมงาน Berlin ITB 2002 ระหว่าง 17-21 มีนาคม 2545
    - นาย Johannes Rau ประธานาธิบดีเยอรมนี และภริยา เยือนไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล ระหว่าง 24-27 มิถุนายน 2545
    - สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ เยือนเยอรมนี ระหว่าง 18-23 สิงหาคม 2545
    - รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายเนวิน ชิดชอบ) เยือนเยอรมนีเพื่อร่วมงาน Fruit Logistica 2003 และ Green Week ที่กรุงเบอร์ลิน ระหว่าง 15-17 มกราคม 2546
    - ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญาเสด็จร่วมงาน Berlin ITB 2003 พร้อมด้วยฯพณฯ นายสนธยา คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระหว่าง 7-12 มีนาคม 2546
    - รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร (นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี) เยือนเยอรมนีเพื่อร่วมงาน CeBit 2003 ระหว่าง 12-16 มีนาคม 2546
    - นาย Wolfgang Clement รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและแรงงานเยอรมนี เยือนไทยพร้อมคณะนักธุรกิจเยอรมนีเพื่อเป็นประธานร่วมการประชุมคณะกรรมการร่วมด้านเศรษฐกิจไทย-เยอรมนี ระหว่าง 30-31 มีนาคม 2546
    - สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ เยือนเยอรมนี ระหว่าง 5-11 เมษายน 2546
    - สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ เยือนเยอรมนี ระหว่าง 24-26 มิถุนายน 2546
    - สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จฯ เยือนเยอรมนี ระหว่าง 15-20 สิงหาคม 2546
    - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย) เยือนเยอรมนีอย่างเป็น ทางการ ระหว่าง 18-21 กันยายน 2546
    - รองนายกรัฐมนตรี (นายพินิจ จารุสมบัติ) และคณะ เยือนรัฐบาวาเรีย เพื่อชักจูงการลงทุนด้านสิ่งแวดล้อม ระหว่าง 19-22 ตุลาคม 2547
    - นาย Wolfgang Clement รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและแรงงานเยอรมนี เยือนไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมธุรกิจเยอรมนีในเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ 10 ในฐานะแขกของรองนายกรัฐมตรี (นายพินิจ จารุสมบัติ) ระหว่าง 17-19 พฤศจิกายน 2547
    - ประธานสภาผู้แทนราษฎร/ประธานรัฐสภา (นายอุทัย พิมพ์ใจชน) เยือนเยอรมนี ระหว่าง 13 และ 17-19 ธันวาคม 2547
    - นาย Joschka Fischer รองนายกรัฐมนตรี/รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนี เยือนกรุงเทพฯ และภูเก็ตเพื่อติดตามสถานการณ์ภายหลังธรณีพิบัติภัยในไทย ระหว่าง 8-9 มกราคม 2548
    - ดร. Ursula Jungherr นายกเทศมนตรีเมืองบาดฮอมบวร์ก เยือนไทย ระหว่าง 2-11 กุมภาพันธ์ 2548
    - ดร. Stephen J. Holthoff-Pförtner กงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ ณ เมืองดึสเซลดอร์ฟ เยือนไทย ระหว่าง 5-11 กุมภาพันธ์ 2548
    - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายกันตธีร์ ศุภมงคล) เยือนเยอรมนีอย่างเป็นทางการเมื่อ 2 -4 กุมภาพันธ์ 2549

    20 พฤศจิกายน 2549

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×