ลำดับตอนที่ #14
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน
|
|
Islamic Republic of Iran |
ข้อมูลทั่วไป |
ทิศเหนือ ติดทะเลสาบแคสเปียน อาเซอร์ไบจัน เติร์กเมนิสถาน อาร์เมเนีย
ทิศตะวันตก ติดตุรกีและอิรัก
ทิศตะวันออก ติดอัฟกานิสถานปากีสถาน
ทิศใต้ ติดอ่าวเปอร์เซียและอ่าวโอมาน
พื้นที่ 1,648,000 ตารางกิโลเมตร (636,296 ตารางไมล์) มีขนาดใหญ่เป็น 3.2 เท่าของประเทศไทย
ภูมิประเทศ พื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่งของประเทศเป็นที่สูงและแห้งแล้งอยู่ระหว่างเทือกเขาสองลูก คือ Alborz ซึ่งทอดตัวจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือไปทางเหนือ และ Zagros ซึ่งทอดตัวจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือไปทางใต้และตะวันตกเฉียงใต้ ที่ราบที่อยู่ระหว่างเทือกเขาทั้งสอง คือ ที่ราบสูงอิหร่าน ซึ่งเป็นทะเลทราย ตอนกลางประเทศเป็นทะเลทรายที่แห้งแล้งขนาดใหญ่ เฉพาะทางแถบตะวันตกเฉียงเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือเท่านั้นสามารถเพาะปลูกได้
ภูมิอากาศ มีภูมิอากาศแห้งแล้ง และมีอุณหภูมิเฉลี่ยแตกต่างกันมากอากาศจะหนาวจัดในฤดูหนาว (ธ.ค.-มี.ค.) และร้อนจัดในฤดูร้อน (มิ.ย.-ก.ย.) ปีหนึ่งมี 4 ฤดู คือ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูหนาว และฤดูใบไม้ร่วง
เมืองหลวง เตหะราน (Tehran) มีประชากรประมาณ 8 ล้านคน
เมืองสำคัญ Mashad มีประชากร 1.4 ล้านคน Isfahan มีประชากร 9 แสน
กว่าคน Shiraz มีประชากร 8 แสนกว่าคน
ประชากร 66.1 ล้านคน
ศาสนา ศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์ 95% นิกายสุหนี่ 4% และอื่น ๆ 1%
ภาษาราชการ ฟาร์ซี (Farsi) หรือภาษาเปอร์เซีย
ชาติพันธุ์ เปอร์เซีย 66% เติร์ก (Turks) 25% เคิร์ด (Kurds) 5%อาหรับ-อาร์เมเนีย 4%
วันชาติ 11 กุมภาพันธ์ (Victory of the Islamic Revolution of Iran)
สกุลเงิน Rial อัตราแลกเปลี่ยน 1,752 rials : 1 เหรียญสหรัฐ (export rate)
เวลา ช้ากว่าเวลาที่ประเทศไทย 3 ชั่วโมงครึ่ง
ธงชาติ แถบสีเขียว ขาว แดง และมีสัญญลักษณ์ประจำชาติสีแดงอยู่ตรงกลาง (อยู่บนแถบสีขาว)
การเมืองการปกครอง |
ประมุขสูงสุด ปัจจุบันคือ Ayatollah Seyed Ali Khamenei (เกิดเมื่อ 15 กรกฎาคม 1939) เป็นผู้นำสูงสุดทั้งฝ่ายศาสนาจักรและอาณาจักร ได้รับเลือกโดยสภาผู้ชำนาญการ(Assembly of Expert ประกอบด้วยสมาชิก 360 คน ซึ่งได้รับเลือกโดยตรงจากประชาชนและจากนักบวชอาวุโสในศาสนาอิสลามทั่วประเทศ) เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 1989 และมีอำนาจถอดถอนประธานาธิบดีได้
ประธานาธิบดี เป็นตำแหน่งที่ได้รับเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนทุก ๆ 4 ปี
และจะได้รับเลือกตั้งได้ไม่เกิน 2 สมัย ทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายบริหาร ถึงแม้ประธานาธิบดีจะได้รับเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนก็ตาม แต่อาจถูกถอดถอนจากตำแหน่งโดยประมุขสูงสุดได้
ปัจจุบัน Hojjatoleslam Seyed Mohammad Khatami (เกิด 25 สิงหาคม ค.ศ. 1934) ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2544 (ครั้งแรกได้รับเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤษภาคม 2540 เป็นประธานาธิบดีต่อจาก Hojatoleslam Ali Akbar Hashemi Rafsanjani) นโยบายสำคัญของประธานาธิบดี Khatami คือ การผลักดันให้มีประชาธิปไตยตามหลักศาสนาอิสลามในประเทศต่อไปจนบรรลุผล และจะดำเนินการปฏิรูปด้านการเมือง สังคม วัฒนธรรมและวิชาการต่อไป เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปทางเศรษฐกิจ โดยการปฏิรูปต้องมีขึ้นทั้งในภาครัฐบาลและเอกชน นอกจากนี้ ยังจะให้สิทธิขั้นพื้นฐานแก่ประชาชน ปกป้องสิทธิเสรีภาพตามกฎหมายของประชาชนและหนังสือพิมพ์ และรับฟังความต้องการของประชาชนโดยสันติวิธี ประธานาธิบดี Khatami เป็นผู้ริเริ่มแนวความคิดที่จะสร้างความเข้าใจระหว่างประเทศให้มีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างอารยธรรม ซึ่งได้พัฒนามาสู่การเสนอข้อมติสมัชชาสหประชาชาติเรื่อง Global Agenda for Dialogue among Civilizations
รองประธานาธิบดี 6 คน และคณะรัฐมนตรี 20 คน ที่ได้รับความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (Majlis) ประกอบด้วยสมาชิกที่ได้รับเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนทุก ๆ 4 ปี จำนวน 290 คน ทำหน้าที่นิติบัญญัติและควบคุมฝ่ายบริหาร สภา Majlis มีการเลือกตั้งสมัยที่ 6 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2543 ปรากฏว่ากลุ่มปฏิรูปที่สนับสนุนแนวนโยบายของประธานาธิบดี Khatami ได้รับเสียงข้างมาก
สภาผู้พิทักษ์ (Guardian Council) ประกอบด้วยสมาชิก 12 คน โดยประมุข
สูงสุดจะแต่งตั้งจากนักบวชผู้เชี่ยวชาญทางศาสนาอิสลาม 6 คน และจากสภา Majlis 6 คน สภานี้ทำหน้าที่กลั่นกรองและให้ความเห็นชอบร่างกฎหมายที่ผ่านสภา Majlis แล้ว รวมทั้งพิจารณาว่า กฎหมายฉบับใดขัดต่อรัฐธรรมนูญและ/หรือหลักศาสนาอิสลามหรือไม่ รวมทั้งมีอำนาจตรวจสอบคุณสมบัติและให้ความเห็นชอบผู้ที่จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีและสมาชิกสภา Majlis ด้วย
สภาตุลาการสูงสุด (Supreme Judicial Council) ทำหน้าที่ฝ่ายตุลาการ
ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
อิหร่านมีนโยบายเร่งพัฒนาประเทศด้านเศรษฐกิจ ส่งเสริมความสัมพันธ์กับประเทศเอกราชใหม่ที่แยกตัวออกมาจากอดีตสหภาพโซเวียต (ประเทศเอเชียกลาง) เพื่อหวังเป็นประตูออกสู่อ่าวเปอร์เซียสำหรับประเทศในเอเชียกลาง อย่างไรก็ดี ขณะนี้อิหร่านถูกโดดเดียวโดยประเทศตะวันตกบางประเทศและสหรัฐฯจึงจำต้องหันมาขยายความสัมพันธ์กับประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตามนโยบาย Look eastของอิหร่าน
เศรษฐกิจการค้า |
ผลิตภัณฑ์มวลรวม(GDP) 185 พันล้านเหรียญสหรัฐ (2543)
รายได้ต่อหัว 2,900 เหรียญสหรัฐ
มูลค่าการนำเข้า 12.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ (2543)
มูลค่าการส่งออก 19.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ (2543)
ดุลการค้า +7.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ (2543)
ทรัพยากรธรรมชาติ น้ำมันสำรองประมาณ 93.7 พันล้านบาร์เรล (9% ของน้ำมันสำรองทั่วโลก) แก๊สธรรมชาติ 24 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต(มากเป็นอันดับ 2 รองจากรัสเซีย) แร่ธาตุที่สำคัญอีก 5,600 ล้านตัน ที่สำรวจพบแล้วได้แก่ แร่เหล็ก 1,618 ล้านตัน ทองแดง 800 ล้านตัน ถ่านหิน 413 ล้านตัน และอื่น ๆ อีกประมาณ 300 ล้านตัน
สินค้าส่งออกที่สำคัญน้ำมันดิบ (ผลิตได้วันละประมาณ 3.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน) พรม ผลไม้ ถั่วต่าง ๆ ฝ้าย อัญมณี ทองคำ ไข่ปลาคาร์เวียร์
สินค้านำเข้าที่สำคัญ ยุทโธปกรณ์ทางการทหาร (จากลิเบีย บราซิล จีน รัสเซีย เกาหลีเหนือ) เครื่องจักรกล เหล็ก เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์
อาหาร เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ในการขนส่ง
ประเทศคู่ค้าที่สำคัญ ญี่ปุ่น อิตาลี ฝรั่งเศส เกาหลีใต้ เยอรมัน และเนเธอร์แลนด์
ที่มา: สถานเอกอัครราชทูตอิหร่านประจำประเทศไทย
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน |
ไทยและอิหร่านได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 1955 (2498) ไทยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับอิหร่าน โดยเฉพาะภายหลังจากไทยได้เข้าร่วมสมาชิกกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดในปี 2536 อย่างไรก็ดี ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสองยังไม่ใกล้ชิดเท่าที่ควร ไทยพยายามเน้นการส่งเสริมความสัมพันธ์กับอิหร่านเฉพาะในด้านเศรษฐกิจที่อยู่ในกรอบคณะกรรมาธิการร่วมทางเศรษฐกิจไทย-อิหร่านเป็นหลัก ซึ่งที่ผ่านมาได้ประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ ขณะที่ฝ่ายอิหร่านพยายามส่งเสริมความร่วมมือ และให้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนเพื่อหวังผลทางการเมืองเป็นสำคัญ
การแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างไทย-อิหร่านที่สำคัญ ๆ
ฝ่ายอิหร่าน
- นาย Mir Mohammadi รองประธานาธิบดีอิหร่านเยือนไทยระหว่างวันที่ 12-15 กุมภาพันธ์ 2540
-นาย Mostafa Morsali รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิหร่านเยือนไทยระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 1 มีนาคม 2540
-นาย Mir Bagheri ที่ปรึกษาประธานาธิบดีและเลขาธิการสภาสูงเยาวชนอิหร่านเยือนไทยระหว่างวันที่ 17-18 มีนาคม 2540
- นาย Amin Zadeh รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิหร่านเยือนไทยในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศไทยวันที่ 1-4 มีนาคม 2541
-นาย Ali Akbar Nategh Noori ประธานรัฐสภาอิหร่านเยือนไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐสภาไทย ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน 2 ธันวาคม 2541 และ
-นาย Mohammad Ali Najafi รองประธานาธิบดีและหัวหน้าองค์การวางแผนและงบประมาณอิหร่านเยือนไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุม ESCAP ครั้งที่ 54 และครั้งที่ 55 ระหว่างวันที่ 21-22 เมษายน 2541 และระหว่างวันที่ 25-30 เมษายน 2542 ตามลำดับ
-ดร.คามาล คาราซี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเยือนไทยในฐานะแขกของกระทรวงฯ ระหว่างวันที่ 8-10 พฤศจิกายน 2542 และระหว่างวันที่ 4-7 มิถุนายน 2543 โดยเที่ยวบินปฐมฤกษ์ของสายการบิน Mahan Air และเข้าร่วมในฐานะประธานการประชุม ESCAP ครั้งที่ 56 ตามลำดับ
-เมื่อวันที่ 23-24 เมษายน 2544 นาย Kamal Kharrazi รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิหร่านเดินทางเยือนประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุม ESCAP ครั้งที่ 57 ที่กรุงเทพฯ และได้เข้าพบหารือข้อราชการกับนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่กระทรวงการต่างประเทศ
-เมื่อวันที่ 23-25 เมษายน 2545 นาย Seyed Ahmad Motamedi รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไปรษณีย์ โทรเลขและโทรศัพท์ ของอิหร่านเยือนไทยในฐานะประธานร่วมในการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมไทย-อิหร่าน ครั้งที่ 6
ฝ่ายไทย
- ฯพณฯ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาเยือนอิหร่านระหว่างวันที่ 7-12 มิถุนายน 2540 และ
-ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้เดินทางเยือนอิหร่านอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 20-23 พฤศจิกายน 2541 และได้เข้าร่วมประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การพาณิชย์ อุตสาหกรรม เทคนิคการเกษตรและวิทยาศาสตร์ไทย-อิหร่าน ครั้งที่ 5 ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยระหว่างวันที่ 2-7 กรกฎาคม 2542 และ
-นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้เดินทางเยือนอิหร่านอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 24-27 กันยายน 2542
ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ
1. คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การพาณิชย์อุตสาหกรรม เทคนิค การเกษตรและวิทยาศาสตร์ (Joint Commission JC ไทย-อิหร่าน ไทยและอิหร่านได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมฯ (JC) ไทย-อิหร่าน เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2533 และได้มีการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมฯ ไปแล้ว 5 ครั้ง โดยฝ่ายไทยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย 4 ครั้ง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยสำหรับการประชุมครั้งที่ 5 ที่ฝ่ายอิหร่านได้เป็นเจ้าภาพจัดขึ้นที่กรุงเตหะราน ระหว่างวันที่ 2-7 กรกฎาคม 2542 โดยฝ่ายอิหร่านมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไปรษณีย์ โทรเลขและโทรศัพท์เป็นหัวหน้าคณะในการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมฯ ไทย-อิหร่าน ครั้งที่ 5 ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงที่จะส่งเสริมการค้าในสินค้าที่ไม่ใช่น้ำมันระหว่างกัน ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงที่จะขจัดอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน โดยฝ่ายไทยได้เสนอให้อิหร่านปรับเงื่อนไขการค้าให้มีความเป็นสากลมากขึ้น นอกจากนั้น ในการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมฯ ที่ประชุมได้พิจารณาความร่วมมือด้านการเงินการธนาคาร โดยทั้งสองฝ่ายได้ย้ำถึงความสัมพันธ์ระหว่างธนาคารเพื่อเป็นกลไกในการเสริมสร้างการค้าระหว่างกันและได้ตกลงที่จะชำระเงินโดยเงินตราสกุลหลักตามกฎระเบียบและประเพณีปฏิบัติระหว่างประเทศ และได้มีการพิจารณาความตกลงต่าง ๆ ระหว่างไทยและอิหร่าน อันได้แก่ ความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางอากาศ ความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางเรือ ความร่วมมือด้านการขนส่งและคมนาคมระหว่างอิหร่าน-ไทย และประเทศที่สามในเอเชียกลาง และความตกลงด้านการท่องเที่ยวและความร่วมมือด้านการศุลกากร เป็นต้น
ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม JC ไทย-อิหร่าน ครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 23-25 เมษายน 2545 โดยมีนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนาย Seyed Ahmad Motamedi รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไปรษณีย์ โทรเลขและโทรศัพท์ของอิหร่าน เป็นประธานร่วม ทั้งสองฝ่ายได้ร่วมลงนามความตกลงว่าด้วยการบริการเดินอากาศ และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวในระหว่างการประชุม นอกจากนี้ ยังได้แลกเปลี่ยนรายการสินค้าส่งออกระหว่างกัน และหารือเพื่อขยายความร่วมมือในด้านอื่นๆ ได้แก่ ความคืบหน้าในการจัดทำความตกลงความร่วมมือในการเดินเรือพาณิชย์ ความตกลงเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน และความตกลงเกี่ยวกับการชำระเงินเพื่อการจัดทำ Account Trade เป็นต้น ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือเกี่ยวกับการส่งเสริมการติดต่อระหว่างภาคเอกชน ความร่วมมือด้านการสื่อสารโทรคมนาคม ความร่วมมือด้านการเกษตร ความร่วมมือด้านการศึกษาและวัฒนธรรม ความร่วมมือด้านศุลกากร และความร่วมมือในการต่อต้านยาเสพติด ซึ่งเป็นประเด็นความร่วมมือใหม่ด้วย ทั้งนี้ ในระหว่างการประชุม ได้มีการจัดสัมมนาระหว่างภาคเอกชนทั้งสองฝ่าย เรื่องโอกาสทางธุรกิจของไทยในอิหร่านด้วย
2. การค้า
มูลค่าการค้าอิหร่านเป็นคู่ค้าลำดับที่ 7 ของไทยในภูมิภาคตะวันออกกลาง มูลค่าการค้ารวมในปี 2543 ประมาณ 499.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 63.3 โดยไทยขาดดุลการค้า 143 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2544 (มกราคม-ธันวาคม) มูลค่าการค้ารวม 208.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐลดลงร้อยละ 58.3 จากระยะเดียวกันของปี 2543 และมูลค่าการค้าสองฝ่ายโดยเฉลี่ยในช่วง 5 ปี เท่ากับปีละ 260.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
การส่งออก ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา (2540-2544) ไทยส่งสินค้าออกไปอิหร่านมีมูลค่าเฉลี่ยปีละ 167.82 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยในปี 2543 และ 2544 (มกราคม-ธันวาคม) ไทยส่งออกไปอิหร่านมูลค่า 178.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 132.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ
สินค้าส่งออกสำคัญ เช่น ข้าว ด้ายเส้นใย-ประดิษฐ์ เส้นใยประดิษฐ์ ผ้าผืน เหล็ก เหล็กกล้า เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ
การนำเข้าในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา (2540-2544) ไทยนำสินค้าเข้าจากอิหร่านมูลค่าเฉลี่ยปีละ 193.54 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยในปี 2543 และปี 2544 (มกราคม-ธันวาคม) ไทยนำสินค้าเข้าจากอิหร่านมูลค่า 321.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 76.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ
สินค้านำเข้าสำคัญ เช่น เหล็กและเหล็กกล้า สินแร่โลหะอื่น ๆ และเศษโลหะ ปลาหมึกสดแช่เย็น แช่แข็ง เคมีภัณฑ์ เส้นใยใช้ในการทอ เครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรม เครื่องไฟฟ้าและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม เสื้อผ้า รองเท้าและสิ่งทออื่นๆ
การขายข้าวให้รัฐบาลอิหร่าน
เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2542 รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายศุภชัย พานิชภักดิ์ ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายข้าวกับรัฐบาลอิหร่านที่กรุงเทพฯ โดยฝ่ายอิหร่านมีDr.M. Ansari ประธาน Government Trading Corporation (GTC) เป็นผู้ลงนามในนามรัฐบาลอิหร่านสัญญาดังกล่าวระบุว่าฝ่ายไทยตกลงที่จะขายข้าวขาว 100% ชั้น 2 จำนวน 3 แสนตันให้กับอิหร่านโดยไทยให้สินเชื่ออิหร่านมีกำหนด 2 ปี และในระหว่างการเยือนอิหร่านอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่24-26 กันยายน 2542 รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายศุภชัย พานิชภักดิ์ได้ร่วมลงนามในบันทึกช่วยจำ โดยฝ่ายอิหร่านมีประธาน Government Trading Corporation เป็นผู้ลงนามฝ่ายอิหร่าน โดยรัฐบาลไทยตกลงขายข้าวขาว 100% ชั้น 2 ให้แก่รัฐบาลอิหร่านอีก 3 แสนตันโดยไทยให้สินเชื่ออิหร่าน 2 ปี และจะเริ่มส่งมอบตั้งแต่เดือนธันวาคม 2542 เป็นต้นไป โดยมีข้อกำหนดและเงื่อนไขเช่นเดียวกับสัญญาขายข้าวให้กับรัฐบาลอิหร่านฉบับวันที่ 14 พฤษภาคม 2542 ในปี 2543 อิหร่านซื้อข้าวไทย 3 แสนตัน และในปี 2544 อิหร่านได้ซื้อข้าวไทยอีก 1 แสนตัน
อิหร่านขอเสียงสนับสนุนจากไทยเพื่อเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (World Trade Organization - WTO ผู้แทนอิหร่านประจำองค์การการค้าโลก ได้ขอเสียงสนับสนุนจากไทยในการสมัครเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก และคณะผู้แทนไทยประจำองค์การการค้าโลก ได้แสดงท่าทีสนับสนุนในหลักการ เนื่องจากไทยเห็นพ้องกับหลักการ universality และประสงค์ให้มีการขยายสมาชิกภาพขององค์การการค้าโลกให้มากยิ่งขึ้น
ความร่วมมือด้านการบิน
สายการบิน Mahan Air ซึ่งเป็นสายการบินเอกชนอันดับหนึ่งของอิหร่านได้เปิดเที่ยวบินตรงกรุงเทพฯ เตหะรานตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2543 โดยทำการบินสัปดาห์ละ 2 ครั้ง สาเหตุสำคัญของการขยายเส้นทางการบินสู่กรุงเทพฯ เนื่องจาก Mahan Air มีเครือข่ายการบินในภูมิภาคอยู่แล้ว และเห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพในการท่องเที่ยวและการค้า ไทยและอิหร่านได้เจรจาจัดทำความตกลงว่าด้วยการบริการเดินอากาศระหว่างกันเมื่อปี 2542 และได้เจรจาปรับปรุงสิทธิการบินระหว่างกันเสร็จสิ้นเมื่อเดือนสิงหาคม 2544 ซึ่งได้ลงนามความตกลงดังกล่าวเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2545 ระหว่างการประชุม JC ไทย-อิหร่าน ครั้งที่ 6
ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว
จำนวนตัวเลขนักท่องเที่ยวอิหร่านในปี 2544 เพิ่มขึ้นเป็น 16,700 คน หรือเพิ่มขึ้น ร้อยละ 72 ซึ่งมีผลมาจากการที่สายการบิน Mahan Air เปิดเที่ยวบินตรงกรุงเทพฯ เตหะราน สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ทั้สองฝ่ายได้จัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางด้านการท่องเที่ยว ซึ่งจะมีส่วนช่วยเพิ่มพูนการติดต่อ และอำนวยความสะดวกสำหรับความร่วมมือในด้านนี้ยิ่งขึ้น
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น