ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ข้อมูลประเทศต่างๆในทวีปเอเซีย

    ลำดับตอนที่ #1 : รัฐอิสลามอัฟกานิสถาน

    • อัปเดตล่าสุด 9 ม.ค. 50




     
    รัฐอิสลามอัฟกานิสถาน
    Islamic State of Afghanistan


    ข้อมูลทั่วไป
    ที่ตั้ง : ตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียใต้ ค่อนไปในบริเวณเอเชียกลาง ไม่มีทางออกทะเล ทิศเหนือติดกับทาจิกิสถาน เติร์กเมนิสถาน และอุซเบกิสถาน ทิศตะวันออกและใต้ติดกับปากีสถาน และทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ติดกับจีน ทิศตะวันตกติดกับอิหร่าน

    พื้นที่ : 647,500 ตารางกิโลเมตร

    เมืองหลวง : กรุงคาบูล (Kabul)

    เมืองสำคัญ : เมืองเฮรัต (Herat) เป็นเมืองศูนย์กลางทางภาคตะวันตกของประเทศ
    : เมืองกันดาฮาร์ (Kandahar) เป็นเมืองศูนย์กลางทางตอนใต้ และมีถนนเชื่อมกับเมืองเคว็ตต้า (Quetta) ในปากีสถาน

    ภูมิอากาศ : พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขา อากาศแห้ง แต่บริเวณหุบเขาบางส่วนในพื้นที่ ติดกับปากีสถานได้รับลมมรสุมจากอินเดีย พัดพาความชื้นมาช่วงฤดูร้อน อุณหภูมิฤดูร้อนในบางพื้นที่สูงถึง 35 องศาเซลเซียส ฤดูหนาวอากาศเย็น บางแห่งติดลบถึง 21 องศาเซลเซียส

    ประชากร: ประมาณ 29 ล้านคน

    เชื้อชาติ : พาชตูน (Pashtun) ร้อยละ 42 ทาจิก (Tajiks) ร้อยละ 27 ฮาซารา (Hazara) ร้อยละ 9 อุซเบค (Uzbek) ร้อยละ 9 เติร์กเมน (Turkmen) ร้อยละ 3 บาโลช (Baloch) ร้อยละ 2 อื่นๆ ร้อยละ 4

    ภาษา : ภาษาพาชตู (Pashtu) และภาษาดารี (Dari) เป็นภาษาราชการ นอกจากนั้นมีภาษาท้องถิ่นของชนเผ่าต่างๆ ประมาณ 30 ภาษา

    ศาสนา :อิสลามร้อยละ 99 (ในจำนวนนี้ ร้อยละ 80 เป็นนิกายสุหนี่ และร้อยละ 19 เป็นนิกายชีอะห์) และอื่นๆ ร้อยละ 1

    วันสำคัญ :วันชาติ 19 สิงหาคม (เป็นวันที่ได้รับเอกราช)

    การศึกษา :ประชากรอายุตั้งแต่ 15 ปี ที่อ่านออกเขียนได้เฉลี่ยร้อยละ 36 (แยกเป็นเพศชาย ร้อยละ 51 เพศหญิง ร้อยละ 21)

    หน่วยเงินตรา :อัฟกานิ (Afghani)
    1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 50 อัฟกานิ

    GDP :7.13 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2548/ ไม่รวมผลผลิตฝิ่น)

    รายได้เฉลี่ยต่อหัว :800 ดอลลาร์สหรัฐ/คน/ปี (ปี 2548)

    อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ :ประมาณร้อยละ 8 (ปี 2548)

    ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ :1,691.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2548)

    อัตราเงินเฟ้อ :ร้อยละ 16.3 (ปี 2548)

    ดุลการค้า :ขาดดุล 2,515.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2548)

    มูลค่าการส่งออก :1,893.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2548)

    มูลค่าการนำเข้า :4,408.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2548)

    สินค้าส่งออก :ฝิ่น ผลไม้และถั่ว พรมทอมือ ผ้าขนสัตว์ ฝ้าย อัญมณี

    สินค้านำเข้า :สินค้าทุน อาหาร สิ่งทอ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม

    ประเทศคู่ค้า :อินเดีย ปากีสถาน สหรัฐฯ เยอรมนี

    ตลาดนำเข้า :ปากีสถาน สหรัฐฯ เกาหลีใต้ อินเดีย เยอรมนี เติร์กเมนิสถาน ตุรกี

    ระบอบการเมือง :ประชาธิปไตยระบบประธานาธิบดี

    ระบบการปกครอง :สาธารณรัฐ (Republic) แบ่งเป็น 34 จังหวัด

    ประมุขของรัฐ :นาย Hamid Karzai ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี

    คณะรัฐบาล :เข้าบริหารประเทศเมื่อเดือนธันวาคม 2547 มีประธานาธิบดี เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร (Head of Government) และมีการปรับคณะรัฐมนตรีเมื่อเดือนเมษายน 2549
    นาย Rangin Dadfar Spanta รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ






    การเมืองการปกครอง
    ตามรัฐธรรมนูญของอัฟกานิสถาน กำหนดให้ประธานาธิบดีเป็นประมุขและผู้นำในการบริหารประเทศ มีการกระจายอำนาจการปกครองออกเป็นจังหวัด แบ่งออกเป็น 34 จังหวัด (Province) อย่างไรก็ตาม ในแง่การบริหารจัดการระบบการปกครองภายในประเทศยังไม่ดีนัก เนื่องจากเพิ่งฟื้นตัวจากสงคราม และอำนาจของรัฐบาลกลางยังครอบคลุมไม่ทั่วถึงพื้นที่ห่างไกล
    (1) การบริหารรัฐบาลกลาง
    ฝ่ายนิติบัญญัติ
    มีรัฐสภา (National Assembly) ซึ่งประกอบด้วย 2 สภา ได้แก่ 1) สภาผู้แทนราษฎร (House of People หรือ Wolesi Jirga) ประกอบด้วยสมาชิกไม่เกิน 249 คน ได้รับการเลือกตั้งโดยตรง ดำรงตำแหน่งวาระ 5 ปี และ 2) สภาอาวุโส (House of Elders หรือ Meshrano Jirga) มีสมาชิก 102 คน ซึ่งแบ่งการสรรหาออกเป็น 3 วิธี ในจำนวนที่เท่าๆ กัน โดยสมาชิก 34 คนได้รับเลือกจากคณะบริหารระดับจังหวัด (Provincial Council) ดำรงตำแหน่งวาระ 4 ปี สมาชิกอีก 34 คน ได้รับเลือกจากคณะบริหารระดับท้องถิ่น (Local District Council) ดำรงตำแหน่งวาระ 3 ปี และสมาชิกอีก 34 คน ได้รับแต่งตั้งจากประธานาธิบดี ดำรงตำแหน่งวาระ 5 ปี
    นอกจากนี้ อาจมีการประชุมใหญ่ของผู้แทนทุกภาคส่วนที่เรียกว่า Loya Jirga ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกรัฐสภาทั้งหมดจากทั้งสองสภา ร่วมกับคณะกรรมการบริหารระดับจังหวัดและระดับท้องถิ่นทั้งหมด โดยที่ประชุมใหญ่นี้จะจัดขึ้นเฉพาะกรณีที่ต้องพิจารณาประเด็นระดับชาติเท่านั้น คือ ประเด็นที่เกี่ยวกับเอกราช อธิปไตยของชาติ และเกี่ยวกับดินแดน รวมถึงการฟ้องร้องประธานาธิบดี
    ฝ่ายบริหาร
    ประธานาธิบดีเป็นทั้งประมุขและหัวหน้าฝ่ายบริหาร มีรองประธานาธิบดี 2 คน ซึ่งทั้งหมดดำรงตำแหน่งโดยการรับเลือกตั้งจากประชาชน มีวาระ 5 ปี และประธานาธิบดีคนปัจจุบัน คือ นาย Hamid Karzai ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญให้อำนาจประธานาธิบดีแต่งตั้งรัฐมนตรีร่วมบริหารประเทศ โดยต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา และรัฐมนตรีมีจำนวนทั้งสิ้น 25 คน
    ฝ่ายตุลาการ
    ตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่กำหนดให้อัฟกานิสถานมีศาลฎีกา (Supreme Court) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Stera Mahkama มีผู้พิพากษาจำนวน 9 คน แต่งตั้งโดยประธานาธิบดีและต้องให้สภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบ ดำรงตำแหน่งวาระ 10 ปี รองลงมามีศาลสูง (High Court) และศาลอุทธรณ์ (Appeals Court) ด้วย
    (2) การบริหารระดับจังหวัด
    แม้รัฐธรรมนูญจะกำหนดหน่วยงานระดับจังหวัดและท้องถิ่น คือ คณะบริหารระดับจังหวัด (Provincial Council) และคณะบริหารระดับท้องถิ่น (Local District Council) แล้ว แต่ดังที่กล่าวข้างต้นว่า ระบบการบริหารการปกครองของอัฟกานิสถานยังจัดการได้ไม่ดีนัก เนื่องจากเป็นระบบที่วางขึ้นใหม่ และอำนาจของรัฐบาลกลางยังอ่อนแอ ความเชื่อมโยงของการบริหารอำนาจระหว่างท้องถิ่นกับส่วนกลางจึงยังขาดความชัดเจน

    ประวัติศาสตร์โดยสังเขป
    อัฟกานิสถานเคยมีระบอบการปกครองแบบรัฐสภา มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ จนกระทั่งปี 2516 พลโทซาดาร์ ข่าน (Sadar Khan) ได้ปฏิวัติยึดอำนาจ และเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบสาธารณรัฐและสถาปนาตนเองขึ้นเป็นประธานาธิบดี แต่ผู้นำอัฟกานิสถานในยุคต่อมาเริ่มมีท่าทีใกล้ชิดสหรัฐฯ ทำให้สหภาพโซเวียตไม่พอใจและส่งกองกำลังเข้ายึดครองอัฟกานิสถานในปี 2522 เพื่อสถาปนาระบอบการปกครองแบบสังคมนิยมขึ้นแทน
    ระหว่างการยึดครองของสหภาพโซเวียต ปี 2522-2532 ได้เกิดขบวนการต่อต้านระบอบการปกครองแบบสังคมนิยมในนามกลุ่มมูจาฮีดีน ซึ่งได้โค่นล้มรัฐบาลที่เข้าข้างสหภาพ โซเวียตได้สำเร็จในปี 2535 แต่กลับไม่สามารถร่วมกันปกครองประเทศได้ เพราะเกิดความแตกแยกและแย่งชิงอำนาจกัน ในที่สุดกลุ่มนักศึกษาหัวรุนแรงที่ได้รับการศึกษาจากปากีสถานได้รวมตัวกันจัดตั้งกองกำลังทาลิบันขึ้น และมีความเข้มแข็งจนสามารถยึดกรุงคาบูลได้ในปี 2539 ตั้งรัฐบาล ทาลิบันขึ้นปกครองประเทศโดยครอบคลุมพื้นที่เกือบทั้งหมดอยู่จนถึงปี 2544
    หลังเหตุการณ์ 9/11 ในปี 2544 สหรัฐฯ ได้ส่งกองกำลังเข้าโจมตีอัฟกานิสถานเพื่อโค่นล้มรัฐบาลทาลิบัน และมุ่งที่จะจับนายโอซามา บินลาเดน (Osama Binladen) ซึ่งสหรัฐฯ สามารถโค่นล้มรัฐบาลทาลิบันได้สำเร็จในปลายปี 2544 และสหรัฐฯ สนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวในอัฟกานิสถาน และมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบการเมืองการปกครองในอัฟกานิสถานมาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน

    นโยบายรัฐบาลปัจจุบัน
    ด้านการเมือง
    1) เน้นการฟื้นฟูและสร้างเสถียรภาพทางการเมือง
    2) สถาปนาระบอบการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตยตามระบบสากล ซึ่งประสบความสำเร็จขั้นแรกแล้วในการเลือกตั้งประธานาธิบดี
    3) นับคะแนนและประกาศผลการเลือกตั้งทั่วไปเพื่อจัดตั้งรัฐสภา
    ด้านการต่างประเทศ
    1) คล้อยตามท่าทีและนโยบายต่างประเทศของประเทศตะวันตก ซึ่งนำโดยสหรัฐฯ เพราะจำเป็นต้องพึ่งพาประเทศเหล่านั้น
    2) แสวงหาพันธมิตรทางยุทธศาสตร์เพื่อให้ช่วยยกระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ซึ่งได้ทำข้อตกลงกับสหรัฐฯ แล้วเป็นประเทศแรก

    สถานการณ์ที่สำคัญ
    การเมืองภายใน
    อัฟกานิสถานจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดี เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2547 เพื่อสร้างรัฐบาลที่ชอบธรรมและเป็นที่ยอมรับ แต่ปรากฏว่ากลุ่มต่างๆ ซึ่งมีอำนาจในเขตของตนได้ส่งผู้สมัครลงแข่งขันกับประธานาธิบดีคาร์ไซด้วย แสดงให้เห็นว่าแม้อัฟกานิสถานจะได้ผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งและรัฐบาลชุดใหม่ แต่ยังต้องใช้เวลาในการสร้างความปรองดองในประเทศอีกระยะหนึ่ง ควบคู่กับการปราบปรามกลุ่มก่อการร้ายต่อไป
    ภารกิจสำคัญล่าสุดของรัฐบาล คือ ได้จัดการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2548 ซึ่งรัฐบาลมีข้อจำกัดด้านงบประมาณและกำลังคน จึงต้องพึ่งพาประเทศที่สามหรือองค์การระหว่างประเทศเป็นสำคัญ ซึ่งการเลือกตั้งได้ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย และได้ประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2548 ปัจจุบัน อัฟกานิสถานมีรัฐสภาที่ประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีสมาชิก 249 คน และสภาอาวุโสจำนวน 102 คน รวมเป็น 351 คน และเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2548 อัฟกานิสถานได้ประชุมรัฐสภาครั้งประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี ภายหลังที่อัฟกานิสถานอยู่ภายใต้การปกครองของอดีตสหภาพโซเวียต กลุ่มมูจาฮีดีนและรัฐบาลทาลิบัน การประชุมครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญที่จะนำอัฟกานิสถานเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย อย่างไรก็ตาม เป็นที่คาดหมายกันว่า รัฐบาลก็ยังคงจะต้องประนีประนอมกับกลุ่มการเมืองและผู้มีอิทธิผลท้องถิ่นต่อไปในการบริหารประเทศ ดังกรณีที่รัฐบาลได้เผชิญมาแล้วภายหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดี

    เสถียรภาพภายในของอัฟกานิสถาน
    รัฐบาลไม่สามารถควบคุมดูแลพื้นที่ทั้งหมดของประเทศได้ เพราะมีกลุ่มอิทธิพลท้องถิ่นต่างๆ คานอำนาจอยู่ อีกทั้งการจัดตั้งกองกำลังแห่งชาติไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ทำให้อัฟกานิสถานต้องพึ่งพากำลังทหารของชาติตะวันตกเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ พยายามส่งเสริมการขยายอำนาจปกครองของรัฐบาลอัฟกานิสถานให้ครอบคลุมทั้งประเทศ เพื่อจำกัดบทบาทของกลุ่มการเมืองท้องถิ่น และมีแผนจะช่วยจัดตั้งฐานทัพให้อัฟกานิสถาน
    เสถียรภาพภายในอัฟกานิสถานยังมีความเกี่ยวโยงอย่างสำคัญกับปัญหาขบวนการผลิตฝิ่นและค้ายาเสพติด เพราะผู้เกี่ยวข้องในกระบวนการยาเสพติดซึ่งประกอบด้วยนักรบท้องถิ่น ผู้ก่อการร้าย กลุ่มอาชญากร และขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ ทำให้ยากต่อการปราบปรามให้เด็ดขาด อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีอัฟกานิสถานเคยระบุว่า สามารถลดการปลูกฝิ่นในพื้นที่ที่อยู่ในความควบคุมของรัฐบาลได้ตามเป้าหมาย และมีความเป็นไปได้ที่ประเทศจะปลอดจากฝิ่นภายใน 5-6 ปี ทั้งนี้ เพราะต้องการลดภาพของความไร้เสถียรภาพของประเทศอันมีผลอย่างมากต่อความน่าเชื่อถือของรัฐบาล


    เศรษฐกิจการค้า
    นโยบายด้านเศรษฐกิจในปัจจุบัน
    1) พัฒนาประเทศตามแผนพัฒนาแห่งชาติระยะ 5 ปี (National Development Strategy 2005-2010) โดยอาศัยเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศเป็นหลักในการบริหารและพัฒนาประเทศ
    2) เริ่มปรับปรุงระบบการจัดเก็บภาษีและมาตรการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ เพื่อพัฒนาระบบเศรษฐกิจในระยะยาว ให้สามารถเพิ่มมูลค่าการค้าและการลงทุน
    3) ลดการพึ่งพารายได้จากการปลูกฝิ่นและผลิตยาเสพติด สร้างอาชีพทดแทนแก่ประชาชน พร้อมๆ กับการลดพื้นที่ปลูกฝิ่น

    ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับรัฐอิสลามอัฟกานิสถาน
    ด้านการทูต
    ไทยเคยยุติความสัมพันธ์ทางการทูตกับอัฟกานิสถาน ภายหลังจากที่สหภาพโซเวียต ยึดครองอัฟกานิสถานเมื่อปี 2522 (ค.ศ.1979) ต่อมาภายหลังการโค่นล้มกลุ่มทาลิบันแล้วทั้งสองฝ่ายจึงได้เริ่มรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตโดยลำดับ ปัจจุบันอัฟกานิสถานมอบหมายให้นาย Haron Amin เอกอัครราชทูตอัฟกานิสถานประจำกรุงโตเกียว ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทยอีกตำแหน่งหนึ่ง ขณะเดียวกัน ไทยก็ให้สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอิสลามาบัด (ปากีสถาน) มีเขตอาณาครอบคลุมถึงอัฟกานิสถาน ดังนั้น นายพิษณุ จันทร์วิทัน ซึ่งเป็นเอกอัครราชทูต ณ กรุงอิสลามาบัด จึงดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำอัฟกานิสถานด้วย

    ด้านการเมือง
    ในระยะแรกภายหลังการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูต ไทยและอัฟกานิสถานดำเนินความสัมพันธ์ผ่านเวทีการเมืองระหว่างประเทศเป็นหลัก เช่น ในการประชุมเพื่อฟื้นฟูอัฟกานิสถานที่กรุงโตเกียว เมื่อเดือนมกราคม 2545 และการประชุม Community of Democracies ครั้งที่ 2 ที่กรุงโซล เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2545 โดยฝ่ายไทยได้ให้ความช่วยเหลือด้านต่างๆ ที่ไทย มีศักยภาพ อาทิ ด้านการพัฒนาและการเกษตร
    ต่อมาเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2547 ไทยได้เชิญรัฐมนตรีด้านการฟื้นฟูบูรณะของอัฟกานิสถานเข้าร่วมประชุม “ทางเลือกเพื่อการพัฒนา : เศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งเป็นโอกาสให้ไทยได้เสนอแนวทางการพัฒนาที่เป็นประโยชน์ต่ออัฟกานิสถาน อีกทั้งเป็นการสร้างความคุ้นเคยระหว่างบุคคลในรัฐบาลของทั้งสองฝ่าย อันเป็นผลดีต่อความสัมพันธ์ทางการเมืองในชั้นต้น และจะนำไปสู่การแลกเปลี่ยนการเยือนของผู้นำระดับสูงได้ต่อไป
    ด้านเศรษฐกิจ
    หลังจากอัฟกานิสถานพ้นจากภาวะสงครามเมื่อปี 2544 ไทยให้ความช่วยเหลือระยะต้นโดยเน้นการบรรเทาทุกข์ตามสภาพปัญหาเฉพาะหน้าในขณะนั้น อาทิ การมอบข้าวสาร การมอบเงินช่วยเหลือ และยังคงต้องดำเนินความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจในรูปแบบความช่วยเหลือ ต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพื่อพัฒนาและยกระดับเศรษฐกิจของอัฟกานิสถาน และเป็นการเตรียมความพร้อมให้แก่ระบบเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวของอัฟกานิสถาน ซึ่งจะนำไปสู่แนวทางการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจในระยะยาวต่อไป
    ด้านการค้า
    โดยที่ปัญหาเสถียรภาพทางการเมืองของอัฟกานิสถานในปัจจุบัน ยังคงเป็นอุปสรรคต่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม ในปี 2547 มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับอัฟกานิสถานมีไม่มากนัก คือ อยู่ในระดับ 8.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออกมูลค่า 8.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้า 0.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไทยจึงเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้า 7.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
    ทั้งนี้ สินค้าออกของไทยที่มียอดการส่งออกเพิ่มขึ้นมากในปี 2548 คือ หมวดรถยนต์ อุปกรณ์และชิ้นส่วน ซึ่งเป็นหมวดสินค้าออกอันดับหนึ่งของไทยไปยังอัฟกานิสถานตลอด 2 ปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่ไทยจะเพิ่มความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้ากับอัฟกานิสถานอย่างเป็นรูปธรรมได้มากขึ้นในอนาคต

    ด้านความช่วยเหลือทางวิชาการ
    ฝ่ายไทยโดยสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ (Thailand International Development Cooperation Agency - TICA) หรือกรมวิเทศสหการในอดีต ได้จัดสรรทุนฝึกอบรมให้แก่ชาวอัฟกานิสถานอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปี 2546 ในสาขาเกี่ยวกับกฎหมายยาเสพติด การส่งเสริมการค้า การศึกษา ปัญหาความยากจน เป็นต้น ส่วนในปี 2548 TICA ได้จัดสรรทุนสำหรับหลักสูตรการฝึกอบรมนานาชาติแก่อัฟกานิสถานรวม 7 หลักสูตร

    การฟื้นฟูบูรณะอัฟกานิสถาน
    ไทยมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูอัฟกานิสถาน โดยได้ส่งกองร้อยทหารช่างเฉพาะกิจ จำนวน 1 กองร้อยไปปฏิบัติภารกิจด้านมนุษยธรรม และซ่อมแซมสนามบินบากรัม (Bagram) ตั้งแต่เดือนเมษายน – กันยายน 2546 เป็นระยะเวลา 6 เดือน
    นอกจากนั้น มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้เชิญบุคคลระดับรัฐมนตรีของอัฟกานิสถานมาเยี่ยมชมโครงการพัฒนาดอยตุง พร้อมทั้งเชิญคณะเจ้าหน้าที่อัฟกานิสถานมาศึกษาดูงานและรับการฝึกอบการปลูกพืชทดแทนฝิ่นแล้ว 3 คณะ โดยจัดขึ้นทุกปีนับตั้งแต่ปี 2546 ซึ่งฝ่ายอัฟกานิสถานให้ความสนใจเรื่องนี้อย่างมากและต้องการเรียนรู้ประสบการณ์จากไทย กิจกรรมเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศต่อไป ในปัจจุบัน มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ร่วมกับรัฐบาลอัฟกานิสถานดำเนินโครงการด้านการปลูกพืชทดแทนและสร้างอาชีพในอัฟกานิสถาน


    ความตกลงที่สำคัญกับประเทศไทย
    ยังไม่มีการลงนามความตกลงใดๆ ระหว่างกัน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×