ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic] Known..แค่รู้ว่ารัก - Lumin, Krisyeol - EXO

    ลำดับตอนที่ #20 : Known..แค่รู้ว่ารัก ________ คิมจงอิน...คนทรยศ?

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 111
      8
      11 พ.ค. 63



    Known..แค่รู้ว่ารัก  ตอนที่ 19
    By :: เบบี้เยลโล่






     

                18.00 น.

     

                ตะวันเริ่มลาลับขอบฟ้า แทนที่ด้วยความมืดมิดที่กำลังเคลือบคลานเข้ามา เสี่ยวลู่หานเปิดประตูลงจากรถ ก่อนจะเปิดประตูหลังเพื่อหยิบแฟ้มเอกสารมาถือไว้เสียเอง จากนั้นเจ้าของร่างสูงโปร่งก็เดินตรงไปหากลุ่มชายในชุดสูทสีดำที่ยืนรออยู่ข้างรถยนต์ยี่ห้อและสีเดียวกับคันที่ลู่หานขับเมื่อกี้

     

                “กระเป๋าท่าทางจะหนักนะครับคุณลู่ ให้ผมช่วยถือดีหรือไม่?” ตัวแทนของฝ่ายนั้นก้าวออกมาคุยกับลู่หานด้วยภาษาอังกฤษ

     

                ลู่หานหลุบตามองกระเป๋าเอกสารในมือ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นส่ายหัวด้วยท่าทีที่เป็นมิตร แต่น้ำเสียงแข็งกร้าวต่างจากรอยยิ้มบนใบหน้า

     

                “ขอบคุณสำหรับความหวังดีครับ แต่ไม่ต้อง”

     

                คำตอบนี้ทำให้เจ้าของคำถามยิ้มค้าง ก่อนสีหน้าที่แสดงออกอย่างเป็นมิตรเมื่อกี้จะแปรเปลี่ยนเป็นศัตรูอย่างโจ่งแจ้ง “เคยได้ยินว่าคุณฉลาด แต่สงสัยจะเป็นแค่ข่าวลือเท่านั้น คนจีนที่อยู่เกาหลีนานอย่างคุณน่าจะรู้ว่าทำแบบนี้ไม่นับว่าฉลาดเลยนะคุณเสี่ยว”

     

                “ฉลาดหรือไม่ คนตัดสินได้น่าจะไม่ใช่คุณกระมังครับ” กล่าวจบ มุมปากของผู้นำ Luxia Group ที่กิจการมีแต่ขยายใหญ่ขึ้นตามอายุก็หยักขึ้นเล็กน้อยคล้ายกึ่งยิ้มกึ่งแสยะยิ้ม

     

                “เสี่ยวลู่หาน!!!!

     

                คนโดนด่าทางอ้อมว่าไม่เจียมกะลาหัวถึงกับมีสีหน้าแดงจัดพร้อมกับทำท่าจะพุ่งเข้ามาท้าตีท้าต่อยกับเจ้าของชื่อ หากไม่โดนคนที่มาด้วยกันช่วยกันฉุดรั้งแขนไว้คนละข้าง เอิร์ลฟาดี้ก็คงได้แลกหมัดกับหนุ่มเอเชียเพียงหนึ่งเดียวในที่นี้ไปแล้ว

     

                “พอเถอะน่า นายให้พาหมอนี่ไปที่โกดัง อย่าทำเสียเรื่องสิเอิร์ล” ชายหนุ่มตาสีฟ้า เจ้าของความสูงพอๆ กับอู๋ฟานเอ่ยห้ามเพื่อน เมื่อชายหนุ่มหัวร้อนเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงไปขึ้นรถ ชายหนุ่มตาสีฟ้าคนนั้นก็หันมาหาลู่หานด้วยสีหน้าเรียบสนิท        

     

                ไม่มีความเคารพ ไม่มีการให้เกียรติ แต่ก็ไม่ได้หยามเกียรติเช่นเดียวกัน

     

                “นายให้พวกเรามารับคุณ เชิญขึ้นรถไปกับเราด้วยครับ”

     

                ลู่หานพยักหน้ารับ “นำไปสิ”

     

                ก่อนที่ร่างสูงโปร่งของลู่หานจะก้าวขึ้นไปนั่งบนรถที่ถูกจัดเตรียมไว้ เขาก็ถูกอีกฝ่ายตรวจค้นตัวอย่างละเอียดอีกครั้ง นับว่าโชคดีที่เขาหักกุญแจรถส่วนที่เป็นเหล็กออกแล้วเหลือไว้เพียงหัวกุญแจส่วนที่เป็นพลาสติกแล้วซ่อนมันไว้ในถุงเท้า อีกทั้งยังตัดสินใจดับเครื่องส่งสัญญาณจีพีเอสแบบพิเศษนี้ไว้แล้วก่อนถึงที่หมาย

     

                บรรยากาศสองข้างทางมืดสนิท มีเพียงแสงสว่างจากรถยนต์สองคันที่มุ่งหน้าไปตามถนนเลนเดียว อีกทั้งยังไม่มีใครปริปากพูดอะไรเลยระหว่างนำตัวลู่หานไปยังสถานที่นัดพบ

     

                ผ่านไปราวๆ สามสิบนาที

     

                รถยนต์สองคันก็เลี้ยวซ้ายเข้าไปยังโกดังโรงงานเก่าแห่งหนึ่ง เสี่ยวลู่หานพยายามใช้สายตาเพ่งมองป้ายหน้าโรงงานที่จางจนแทบมองไม่เห็นพยัญชนะ

     

                น่าเสียดายที่มองเห็นเพียงบางตัวเท่านั้น

     

                หลังจากถูกคนของเดมมอนด์เชิญลงจากรถ ลู่หานก็มั่นใจอย่างมากว่าเขาได้กลิ่นความเค็มและกลิ่นคาวปลาโชยมาแตะจมูก เจ้าของร่างสูงโปร่งพยายามค้นหาความทรงจำในสมองเพื่อประเมินว่าตอนนี้ตนน่าจะอยู่ที่ไหน

     

                เขาคิดว่าแถวนี้น่าจะอยู่ใกล้ๆ กับชายหาดอุลวังนิ แถบอินชอน

     

                “ยินดีต้อนรับคุณลู่”

     

                ร่างสูงกำยำ ผมสีดำ นัยน์ตาสีน้ำตาล ใบหน้าแสดงถึงความเป็นลูกครึ่งชัดเจน วัดจากสายตาอีกฝ่ายน่าจะสูงเกือบร้อยเก้าสิบเซนติเมตร เพราะฉะนั้นคนคนนี้คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก...

     

    เจฟรี่ ฮาร์เวิร์ด ฮวัง

     

    คนนั้น!!!

     

    “ผมคิดว่าเราน่าจะคุยกันได้” ลู่หานทักทายกลับด้วยการเปิดเข้าประเด็นก่อน

     

    เจฟรี่ที่เดินนำอยู่ด้านหน้าลูกน้องนับสิบคนเข้ามาในห้องที่พวกของตนจัดเอาไว้ต้อนรับเสี่ยวลู่หานโดยเฉพาะเลิกคิ้ว ก่อนจะยักไหล่ทำเมินข้อเสนอของเสี่ยวลู่หาน ถึงแม้เจฟรี่คนนี้จะเป็นมาเฟียต่างถิ่นต่างสัญญาติ

     

    แต่...ถ้าคิดว่าจะกินเขาลงง่ายๆ แล้วล่ะก็

     

    ฝันเถอะ ง่ายกว่า

     

    มาเฟียลูกครึ่งหมายมั่นปั้นมือว่าอย่างไรเสียวันนี้ เขาจะต้องเป็นผู้ครอบครองสัมปทานที่ผู้บริหารระดับสูงในแก๊งอยากได้นักอยากได้หนานี้ให้ได้ ไอ้พวกแก่ๆ ที่รอวันลงโลงจะได้หุบปากเน่าๆ นั่นเสียที เขาเบื่อที่จะแคะหูฟังแล้ว

     

    “ถ้าคิดว่าตัวเองกำลังถือไพ่เหนือกว่าแล้วมีสิทธิ์ต่อรองก่อน ฉันว่าเรื่องนี้เราคงต้องคุยกันยาวหน่อยแล้วล่ะคุณลู่” มาเฟียลูกครึ่งกล่าวยิ้มๆ แต่นัยน์ตาไม่ได้ยิ้มเลยสักนิดก้าวเข้ามานั่งที่โซฟาตัวยาว ลูกน้องที่เดินตามมาด้วยก็ตามไปยืนที่ด้านหลังอีกฝ่ายเป็นแถวหน้ากระดาน

     

    “ผมไม่แน่ใจเรื่องแนวทางของมาเฟีย แต่วิถีของธุรกิจ การนำคนในครอบครัวของอีกฝ่ายมาเป็นเครื่องต่อรอง ผมคิดว่ามันไม่ใช่แนวทางที่ดีสักเท่าไหร่นัก”

     

    นัยน์ตาคมเข้มดั่งเหยี่ยวของมาเฟียลูกครึ่งหลุบตามองแก้วเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของตนที่ลูกน้องในแก๊งนำมาวางให้เมื่อสักครู่ ก่อนจะหยิบมาถือไว้แล้วใช้ปลายนิ้วคลึงแก้วที่เย็นเฉียบนั้นด้วยท่าทีเฉื่อยแฉะ

     

    “แปลก คุณทำเหมือนไม่คุ้นเคยกับวงการดำมืดนี้ แต่กลับใช้คนในวงการมาเฟียทำงานเสี่ยงเป็นเสียงตายให้ แบบนี้เขาเรียกว่าอะไรนะ” เจฟรี่ ฮาเวิร์ด ฮวังกระตุกยิ้มมุมปาก พลางเอ่ยต่อเนิบๆ “พูดอย่างทำอย่าง การกระทำสวนทางกับคำพูดใช่ไหม?”

     

    “ผมกลับมองว่าไม่ใช่เรื่องแปลก คำว่าธุรกิจ คือธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินกิจการ อาจมีบ้างที่ต้องเล่นแง่เพื่อชิงไหวชิงพริบ แต่คนในครอบครัวไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ คุณกำลังเล่นผิดกติกา แบบนี้ต่างหากถึงเรียกว่าแปลก ผมว่านักธุรกิจปกติเขาไม่ทำกัน หากจะสู้ ก็ต้องสู้ด้วยนี่” ปลายนิ้วของลู่หานชี้ที่ขมับตัวเอง

     

    “หึ ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่ฝีปากอย่างคุณก้าวขึ้นมาได้ถึงจุดนี้ น่านับถือนะ แต่เผอิญวิธียั่วยุเพื่อหาช่องทางรอดแบบที่คุณทำมันใช้ไม่ได้กับผม คุณรู้ว่าผมต้องการอะไร ดังนั้นคือก็แค่ให้ในสิ่งที่ผมต้องการมาก็เท่านั้น คุณก็รู้ว่ากำลังขวางทางผมอยู่ ความเสียหายที่ผมเสียไป ประเมินค่าไม่ได้หรอกนะเสี่ยวลู่หาน คุณควรรับผิดชอบดีๆ ก่อนที่ผมจะโมโหไปมากกว่านี้” เจฟรี่ ฮาเวิร์ด ฮวัง วางแก้วบรั่นดีลงที่เดิม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาลู่หานในประโยคสุดท้ายด้วยแววตาท้าทายและคุกคาม

     

    “ผมคิดว่าสิ่งที่ผมจะให้คุณก็มีค่าอย่างประเมินไม่ได้เช่นเดียวกัน ผมไม่ได้มือสะอาดบริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซ็นก็จริง แต่ถ้าคุณเอาของของผมไปแล้วดึงดูดพวกซีไอเอเข้ามา อินเตอร์โพลก็จะจับตามองผม ทีนี้ผมจะขยับตัวทำอะไรก็ลำบากแล้ว แบบนี้มันไม่แฟร์กับผม”

     

    “นี่...คุณเสี่ยว ผมไม่ได้นัดเจอคุณเพื่ออยากต่อรองข้อตกลง เอาเอกสารออกมาและเซ็นมอบทุกอย่างให้ผมซะ ก่อนที่ผมจะทำอะไรโง่ๆ ลงไปเพราะนึกโมโหที่คุณยั่วโทสะผมไม่เลิก” เจฟรี่เรียกลู่หานด้วยน้ำเสียงข่มขู่บังคับ ดวงตาของมาเฟียลูกครึ่งโฟกัสอยู่ที่กระเป๋าเอกสารข้างตัวลู่หาน

     

    “ผมต้องเห็นคนของผมก่อน”

     

    น้ำเสียงหนักแน่นและจริงจัง

     

    “น่าเสียดายที่เรากำลังคุยกันคนละภาษา” สิ้นคำ มาเฟียลูกครึ่งก็ยกมือขึ้นข้างหนึ่งแล้วโบกไปทางเสี่ยวลู่หาน

     

    เพียงแวบเดียวเท่านั้น ลู่หานก็ต้องยกมือขึ้นและสวนเท้าขึ้นถีบคนของเจฟรี่ทันที ทั้งมือและเท้าของลู่หานออกหมัดจนอ่อนล้า ท้ายทอยของเขาถูกของแข็งตีจนขาข้างหนึ่งของร่างโปร่งทรุดลงกับพื้น จากนั้นที่หลังก็สัมผัสได้ถึงเท้าที่มาพร้อมกับแรงถีบ ร่างของลู่หานล้มลงนอนแนบกับพื้น

     

    แค่ยันได้ถึงสิบนาทีก็เก่งแล้ว...

     

    ลู่หานยิ้มให้กับตัวเองขณะยกมือขึ้นปกป้องใบหน้าและงอตัวเข้าหากันเพื่อปกป้องอวัยวะสำคัญที่อาจได้รับความกระทบกระเทือนจนส่งผลให้เขาบาดเจ็บหนักถึงขั้นเสียชีวิต

     

    ไม่รู้ว่าวันเวลาผ่านไปนานแค่ไหน

     

    แต่เสี่ยวลู่หานรู้สึกได้ถึงความเย็นและชาหนึบที่ศรีษะ และความเจ็บปวดชนิดที่กัดฟันแน่นก็ยังไม่พอขุมหนึ่ง

     

    “พอ! เดี๋ยวมันตายห่าทั้งที่ยังไม่ได้เซ็นเอกสารให้กู” เสียงห้ามดังขึ้น พร้อมๆ กับมือและเท้าที่ถูกเก็บกลับไปด้วยความเสียดาย โดยเฉพาะไอ้ฝรั่งตัวโตที่เสี่ยวลู่หานเจอตอนอีกฝ่ายไปรับเขามาที่นี่

     

    ร่างสูงโปร่งของเสี่ยวลู่หานขยับกายช้าๆ เขาแน่ใจว่าตอนนี้แขนซ้ายของตนน่าจะหัก ใบหน้าหล่อเหลาเจ็บจนแทบลืมตาไม่ขึ้น

     

    หวังว่า...ตอนนี้ซิ่วหมินจะปลอดภัยแล้ว

     

    “อย่างนี้นะคุณลู่ ผมเคยได้ยินว่าสำหรับที่นี่หากมีตราประทับชื่อพร้อมกับลายนิ้วมือก็ใช้เป็นหลักฐานสำคัญทางกฎหมายได้แล้วใช่ไหม ผมเองก็ไม่อยากเสียเวลาทำมาหากิน ให้เป็นอย่างนี้แล้วกัน” ลูกครึ่งมาเฟียลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินเข้ามาหาลู่หานที่นอนหมดสภาพอยู่ที่พื้น

     

    “ไม่มีวัน”

     

    เสี่ยวลู่หานพูดลอดไรฟัน

     

    “ฮะๆ คุณลู่หนอคุณลู่ คุณนี่อินโนเซ้นส์จนผมอดที่จะเห็นใจคุณไม่ได้เลย คิดว่าผมคงไม่มีทางได้ตราประทับของคุณมาใช่ไหมล่ะ? น่าเสียดายนะที่คุณเรียนรู้วงการนี้มายังไม่มากพอ ไหนๆ คุณก็คงไม่รอดออกไปอยู่แล้ว ผมก็จะสงเคราะห์ให้คุณหายโง่ก็แล้วกัน” เจฟรี่ ฮาเวิร์ด ฮวัง จิ๊ปากพลางหัวเราะสะใจ “จะหลบอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม ไม่เข้ามาดูใจเจ้านายเก่าของแกหน่อยเหรอ”

     

    “...”

     

    “จงอิน”

     

    ตึกเอ็มไพร์ซ เมืองควังจู

     

    ร่างที่กำลังผลุบๆ โผล่ๆ และวิ่งตามเรือนร่างปราดเปรื่องของจุนอยู่นั่นคือคิมแทจุน ทายาทของตระกูลร่ำรวยจากการนำเข้าและส่งออกเพชรรายใหญ่ ทั้งยังเป็นพี่ชายเพียงคนเดียวของคิมมินซอก หรือก็คือซิ่วหมิน

     

    ที่ด้านหลังของเขามีโอเซฮุนที่ลู่หานส่งมาช่วยคุ้มครองพี่ชายคนรักวิ่งตามในระยะประชิดแทบจะก้าวห่างกันแบบก้าวต่อก้าวเลยด้วยซ้ำ ในมือของโอเซฮุนมีเครื่องมือติดตามจีพีเอสอยู่ แม้จะไม่ได้ล้ำสมัยเหมือนกับที่หัวหน้าหน่วยมังกรพยัคฆ์มีในครอบครอง แต่ของที่อยู่ในมือของโอเซฮุนเป็นของที่เจ้าตัวผลิตขึ้นมาใช้เอง

     

    ก็ประมาณว่า...ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ก็ประดิษฐ์นั่นประดิษฐ์นี่แก้ว่างนั่นแหละ

     

    พอก้าวมาถึงทางแยกที่ต้องผ่าน กลุ่มคนที่ประกอบด้วยคิมแทจุน เลย์ โอเซฮุน ลูกทีมของเลย์อีกสามคน ลูกทีมของโอเซฮุนอีกสี่คน รวมเป็นสิบคน ต่างทยอยมาสบทบกันที่ด้านหลังแท่นแบริเออร์เพื่อวางแผน

     

    ตอนนี้พวกเขาอยู่ห่างจากจุดที่ซิ่วหมินถูกขังอยู่ประมาณห้าสิบเมตรแล้ว

     

    เลย์หยิบเครื่องมือติดตามจีพีเอสของตัวเองออกมา ก่อนจะสบตากับโอเซฮุน เมื่อเห็นอีกฝ่ายส่งสัญญาณคล้ายว่าจะให้เกียรติยกตำแหน่งหัวหน้าให้ เลย์ก็ไม่ได้ถามหาเหตุผลอีกว่าทำไม

     

    “เราต้องแบ่งกำลังออกเป็นสองทีม ทีมหนึ่งต้องใช้คนที่มีไหวพริบ เคลื่อนที่ในที่มืดและแคบได้เร็ว อีกทีมจะเป็นทีมเข้าไปช่วยเหลือและพาออกมา”

     

    “ผมจะเป็นตัวล่อให้เอง” โอเซฮุนเอ่ยอาสาทันทีที่ฟังแผนการจากเลย์จบโดยไม่เสียเวลาคิดแม้แต่น้อย เขารู้ศักยภาพของตัวเองดีว่าเหมาะสมที่สุด

     

    เลย์พยักหน้ารับ ก่อนจะประเมินกำลังฝ่ายตรงข้ามและออกความเห็น “คนเดียวไม่พอ” หัวหน้าหน่วยมังกรพยัคฆ์หันไปหาลูกน้องคนสนิท ก่อนจะออกคำสั่ง “มาร์ค โดยอง  พวกนายไปช่วยเซฮุน จำไว้ว่าล่อพวกมันออกไปให้เกินหนึ่งร้อยเมตรจากที่นี่ และหาทางปิดปากซะ เข้าใจไหม?”

     

    สองเจ้าของร่างผอมสูงที่แต่งกายปกปิดใบหน้ามิดชิดพยักหน้ารับคำสั่งผู้เป็นหัวหน้าทันที ก่อนที่ทั้งสองคนจะเตรียมพร้อมอาวุธในมือรอคำสั่งให้ออกปฏิบัติตามคำมอบหมาย

     

    “ผมได้รับคำสั่งมาให้คุ้มครองคุณและพาคุณซิ่วหมินออกไป” เลย์หันไปหาคิมแทจุน “ในบรรดาพวกเราทั้งหมด ทักษะการต่อสู้ของคุณมีน้อยที่สุด เพราะฉะนั้นคุณต้องฟังผม” เมื่อเห็นคิมแทจุนพยักหน้ารับอย่างไม่อิดออด เลย์จึงรู้สึกทึ่งเล็กน้อย ก่อนจะตั้งสติแล้วพูดต่อจนจบ “คอยตามประกบผมเอาไว้ ผมรู้ว่าคุณมีปืนและน่าจะใช้เป็น ถ้าเกิดเหตุการณ์จวนตัวเมื่อไหร่ อย่าลังเลเด็ดขาด”

     

    “ไม่ต้องห่วง” คิมแทจุนรับปากด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แม้จะเป็นครั้งแรกที่อาจจะได้ฆ่าใครสักคนจริงๆ แต่นี่ไม่ใช่เหตุการณ์ระทึกขวัญแรกที่คิมแทจุนประสบแน่นอน

     

    “ระหว่างที่เข้าไปในห้องเพื่อช่วยตัวประกัน ให้สองคนตามฉันเข้าไปในห้อง นายกับนายก็แล้วกัน” เลย์ชี้มือไปที่คนของลู่หาน เมื่อเห็นทั้งสองคนพยักหน้ารับก็หันไปหาคนของตัวเองที่เหลือ “พวกนายยืนเฝ้าระวังหน้าห้องระหว่างที่พวกเรากำลังเข้าไปช่วยตัวประกัน ถ้าฉันส่งสัญญาณว่าพร้อม ให้เตรียมเปิดทางออกทันที”

     

    “ไปได้!!

     

    สิ้นคำ ร่างของโอเซฮุน มาร์ค และโดยองก็ค่อยๆ ทยอยก้มตัวเดินออกไปจากจุดปลอดภัย เมื่อถึงจุดเรียกความสนใจของคุณที่ยืนเฝ้าหน้าห้องขังแล้ว โอเซฮุนก็ยืนขึ้นก่อนจะตะโกน

     

    “เฮ้!” หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงปืนดังรัว พร้อมกับเงาร่างของคนสามคนที่วิ่งหนีไปคนละทาง ตามมาด้วยกลุ่มคนที่สวมชุดสูทสีดำอีกนับสิบที่วิ่งตามสามคนนั้นออกไป เหลือคนเฝ้าหน้าห้องอีกสามคนเท่านั้น

     

    หึๆ ชะล้าใจเกินไปแล้ว

     

    เลย์ยกนิ้วชี้ขึ้นจรดที่ริมฝีปาก ก่อนจะดึงแก๊สน้ำตาออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เขาส่งสัญญาณให้ลูกน้องในทีมด้วยไม่ต้องพูด อีกสองคนก็ขยับตามเขา พร้อมกับหยิบปืนเก็บเสียงขึ้นมาถือ เมื่ออยู่ในระยะที่สามารถยิงได้ในระยะหวังผลได้แล้ว เลย์ก็ใช้ปากดึงสลักแก๊สน้ำตา จากนั้นโยนไปที่พื้น

     

    ปัง! ปัง! ปัง!

     

    เสียงปืนดังขึ้นสามนัดเบาๆ พร้อมกับร่างของผู้โชคร้ายที่สิ้นลมหายใจโดยไม่รู้ตัว

     

    “เคลียร์!

     

    เลย์พูดขึ้นมาเบาๆ ทั้งสามคนวิ่งกลับไปจุดเดิมที่คิมแทจุนรออยู่ จากนั้นคนทั้งกลุ่มก็ก้มต่ำแล้ววิ่งไปยังห้องเป้าหมาย

     

    ประตูล็อก...

     

    คิมแทจุนบอกเลย์ผ่านสายตา ขณะที่เลย์กำลังจะขยับเข้ามาลองใช้วิชาปลดสลักกุญแจที่เคยร่ำเรียนมาตอนอยู่ในตระกูล หูก็ได้ยินเสียงดังกริ๊ก

     

    คิมแทจุนหันมายิ้ม

     

    “คุณทำได้ยังไงครับเนี้ย” เลย์ถามด้วยความแปลกใจ พลางใช้หูแนบกับประตูเพื่อฟังเสียงความเคลื่อนไหวในห้อง

     

    “เป็นความอยากรู้อยากเห็นส่วนตัวน่ะ ไม่คิดว่าจะเอามาใช้ได้จริง” คิมแทจุนตอบอึกอัก เมื่อสังเกตเป็นใบหูของอีกฝ่ายแดงระเรื่อ เลย์จึงไม่ได้แซวอะไรอีกฝ่ายอีก

     

    “ผมจะเปิดประตู พร้อมกับเคลียร์พื้นที่ด้านในก่อน คุณหาที่หลบก่อน”

     

    คิมแทจุนไม่ได้ขยับไปไหน แต่เขานอนลงราบกับพื้น พร้อมกับยกปลายกระบอกปืนชี้เข้าไปในห้อง เพื่อระวังภัยให้กับคนที่กำลังจะก้าวเข้าไปเสี่ยงภัยในห้องทั้งที่ไม่รู้ว่ามีอะไรข้างในบ้างแทน

     

    เลย์รู้สึกแปลกใจ แต่เขาไม่ได้พูดอะไร เขายกมือขึ้น พลางส่งสัญญาณมือที่รู้กันเฉพาะสำหรับคนที่เรียนวิชาเกี่ยวกับทางการรบว่า บุก

     

                ภายหลังสัญญาบุก เลย์และคนของลู่หานก็บุกเข้าไปในห้อง ปลายกระบอกปืนทั้งสามกระบอกสอดส่ายไปทั่วห้อง เลย์คลำหาสวิตช์ไฟในห้องก่อนจะกดเปิด แต่ไฟยังดับสนิทเขาจึงหยิบไฟฉายขึ้นมาแล้วกวาดแสงไล่ไปทั่วห้องจนไปเจอกับร่างร่างหนึ่งซึ่งนอนขดอยู่ตรงมุมห้อง

     

                “เจอตัวประกันแล้ว”




    +++++++++++++++++++++++

    Talk :: ขอบคุณทุกคนที่ยังรอ #FicKnown

              ขอคอมเม้นท์หน่อยน้า ใครจะจบแล้วฮ้าบ

                         

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×