คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : Known..แค่รู้ว่ารัก ________ คิมจงอิน...คนทรยศ?
By :: เบบี้เยลโล่
18.00 น.
ตะวันเริ่มลาลับขอบฟ้า แทนที่ด้วยความมืดมิดที่กำลังเคลือบคลานเข้ามา เสี่ยวลู่หานเปิดประตูลงจากรถ ก่อนจะเปิดประตูหลังเพื่อหยิบแฟ้มเอกสารมาถือไว้เสียเอง จากนั้นเจ้าของร่างสูงโปร่งก็เดินตรงไปหากลุ่มชายในชุดสูทสีดำที่ยืนรออยู่ข้างรถยนต์ยี่ห้อและสีเดียวกับคันที่ลู่หานขับเมื่อกี้
“กระเป๋าท่าทางจะหนักนะครับคุณลู่ ให้ผมช่วยถือดีหรือไม่?” ตัวแทนของฝ่ายนั้นก้าวออกมาคุยกับลู่หานด้วยภาษาอังกฤษ
ลู่หานหลุบตามองกระเป๋าเอกสารในมือ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นส่ายหัวด้วยท่าทีที่เป็นมิตร แต่น้ำเสียงแข็งกร้าวต่างจากรอยยิ้มบนใบหน้า
“ขอบคุณสำหรับความหวังดีครับ แต่ไม่ต้อง”
คำตอบนี้ทำให้เจ้าของคำถามยิ้มค้าง ก่อนสีหน้าที่แสดงออกอย่างเป็นมิตรเมื่อกี้จะแปรเปลี่ยนเป็นศัตรูอย่างโจ่งแจ้ง “เคยได้ยินว่าคุณฉลาด แต่สงสัยจะเป็นแค่ข่าวลือเท่านั้น คนจีนที่อยู่เกาหลีนานอย่างคุณน่าจะรู้ว่าทำแบบนี้ไม่นับว่าฉลาดเลยนะคุณเสี่ยว”
“ฉลาดหรือไม่ คนตัดสินได้น่าจะไม่ใช่คุณกระมังครับ” กล่าวจบ มุมปากของผู้นำ Luxia Group ที่กิจการมีแต่ขยายใหญ่ขึ้นตามอายุก็หยักขึ้นเล็กน้อยคล้ายกึ่งยิ้มกึ่งแสยะยิ้ม
“เสี่ยวลู่หาน!!!!”
คนโดนด่าทางอ้อมว่าไม่เจียมกะลาหัวถึงกับมีสีหน้าแดงจัดพร้อมกับทำท่าจะพุ่งเข้ามาท้าตีท้าต่อยกับเจ้าของชื่อ หากไม่โดนคนที่มาด้วยกันช่วยกันฉุดรั้งแขนไว้คนละข้าง เอิร์ลฟาดี้ก็คงได้แลกหมัดกับหนุ่มเอเชียเพียงหนึ่งเดียวในที่นี้ไปแล้ว
“พอเถอะน่า นายให้พาหมอนี่ไปที่โกดัง อย่าทำเสียเรื่องสิเอิร์ล” ชายหนุ่มตาสีฟ้า เจ้าของความสูงพอๆ กับอู๋ฟานเอ่ยห้ามเพื่อน เมื่อชายหนุ่มหัวร้อนเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงไปขึ้นรถ ชายหนุ่มตาสีฟ้าคนนั้นก็หันมาหาลู่หานด้วยสีหน้าเรียบสนิท
ไม่มีความเคารพ ไม่มีการให้เกียรติ แต่ก็ไม่ได้หยามเกียรติเช่นเดียวกัน
“นายให้พวกเรามารับคุณ เชิญขึ้นรถไปกับเราด้วยครับ”
ลู่หานพยักหน้ารับ “นำไปสิ”
ก่อนที่ร่างสูงโปร่งของลู่หานจะก้าวขึ้นไปนั่งบนรถที่ถูกจัดเตรียมไว้ เขาก็ถูกอีกฝ่ายตรวจค้นตัวอย่างละเอียดอีกครั้ง นับว่าโชคดีที่เขาหักกุญแจรถส่วนที่เป็นเหล็กออกแล้วเหลือไว้เพียงหัวกุญแจส่วนที่เป็นพลาสติกแล้วซ่อนมันไว้ในถุงเท้า อีกทั้งยังตัดสินใจดับเครื่องส่งสัญญาณจีพีเอสแบบพิเศษนี้ไว้แล้วก่อนถึงที่หมาย
บรรยากาศสองข้างทางมืดสนิท มีเพียงแสงสว่างจากรถยนต์สองคันที่มุ่งหน้าไปตามถนนเลนเดียว อีกทั้งยังไม่มีใครปริปากพูดอะไรเลยระหว่างนำตัวลู่หานไปยังสถานที่นัดพบ
ผ่านไปราวๆ สามสิบนาที
รถยนต์สองคันก็เลี้ยวซ้ายเข้าไปยังโกดังโรงงานเก่าแห่งหนึ่ง เสี่ยวลู่หานพยายามใช้สายตาเพ่งมองป้ายหน้าโรงงานที่จางจนแทบมองไม่เห็นพยัญชนะ
น่าเสียดายที่มองเห็นเพียงบางตัวเท่านั้น
หลังจากถูกคนของเดมมอนด์เชิญลงจากรถ ลู่หานก็มั่นใจอย่างมากว่าเขาได้กลิ่นความเค็มและกลิ่นคาวปลาโชยมาแตะจมูก เจ้าของร่างสูงโปร่งพยายามค้นหาความทรงจำในสมองเพื่อประเมินว่าตอนนี้ตนน่าจะอยู่ที่ไหน
เขาคิดว่าแถวนี้น่าจะอยู่ใกล้ๆ กับชายหาดอุลวังนิ แถบอินชอน
“ยินดีต้อนรับคุณลู่”
ร่างสูงกำยำ ผมสีดำ นัยน์ตาสีน้ำตาล ใบหน้าแสดงถึงความเป็นลูกครึ่งชัดเจน วัดจากสายตาอีกฝ่ายน่าจะสูงเกือบร้อยเก้าสิบเซนติเมตร เพราะฉะนั้นคนคนนี้คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก...
เจฟรี่ ฮาร์เวิร์ด ฮวัง
คนนั้น!!!
“ผมคิดว่าเราน่าจะคุยกันได้” ลู่หานทักทายกลับด้วยการเปิดเข้าประเด็นก่อน
เจฟรี่ที่เดินนำอยู่ด้านหน้าลูกน้องนับสิบคนเข้ามาในห้องที่พวกของตนจัดเอาไว้ต้อนรับเสี่ยวลู่หานโดยเฉพาะเลิกคิ้ว ก่อนจะยักไหล่ทำเมินข้อเสนอของเสี่ยวลู่หาน ถึงแม้เจฟรี่คนนี้จะเป็นมาเฟียต่างถิ่นต่างสัญญาติ
แต่...ถ้าคิดว่าจะกินเขาลงง่ายๆ แล้วล่ะก็
ฝันเถอะ ง่ายกว่า
มาเฟียลูกครึ่งหมายมั่นปั้นมือว่าอย่างไรเสียวันนี้ เขาจะต้องเป็นผู้ครอบครองสัมปทานที่ผู้บริหารระดับสูงในแก๊งอยากได้นักอยากได้หนานี้ให้ได้ ไอ้พวกแก่ๆ ที่รอวันลงโลงจะได้หุบปากเน่าๆ นั่นเสียที เขาเบื่อที่จะแคะหูฟังแล้ว
“ถ้าคิดว่าตัวเองกำลังถือไพ่เหนือกว่าแล้วมีสิทธิ์ต่อรองก่อน ฉันว่าเรื่องนี้เราคงต้องคุยกันยาวหน่อยแล้วล่ะคุณลู่” มาเฟียลูกครึ่งกล่าวยิ้มๆ แต่นัยน์ตาไม่ได้ยิ้มเลยสักนิดก้าวเข้ามานั่งที่โซฟาตัวยาว ลูกน้องที่เดินตามมาด้วยก็ตามไปยืนที่ด้านหลังอีกฝ่ายเป็นแถวหน้ากระดาน
“ผมไม่แน่ใจเรื่องแนวทางของมาเฟีย แต่วิถีของธุรกิจ การนำคนในครอบครัวของอีกฝ่ายมาเป็นเครื่องต่อรอง ผมคิดว่ามันไม่ใช่แนวทางที่ดีสักเท่าไหร่นัก”
นัยน์ตาคมเข้มดั่งเหยี่ยวของมาเฟียลูกครึ่งหลุบตามองแก้วเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของตนที่ลูกน้องในแก๊งนำมาวางให้เมื่อสักครู่ ก่อนจะหยิบมาถือไว้แล้วใช้ปลายนิ้วคลึงแก้วที่เย็นเฉียบนั้นด้วยท่าทีเฉื่อยแฉะ
“แปลก คุณทำเหมือนไม่คุ้นเคยกับวงการดำมืดนี้ แต่กลับใช้คนในวงการมาเฟียทำงานเสี่ยงเป็นเสียงตายให้ แบบนี้เขาเรียกว่าอะไรนะ” เจฟรี่ ฮาเวิร์ด ฮวังกระตุกยิ้มมุมปาก พลางเอ่ยต่อเนิบๆ “พูดอย่างทำอย่าง การกระทำสวนทางกับคำพูดใช่ไหม?”
“ผมกลับมองว่าไม่ใช่เรื่องแปลก คำว่าธุรกิจ คือธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินกิจการ อาจมีบ้างที่ต้องเล่นแง่เพื่อชิงไหวชิงพริบ แต่คนในครอบครัวไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ คุณกำลังเล่นผิดกติกา แบบนี้ต่างหากถึงเรียกว่าแปลก ผมว่านักธุรกิจปกติเขาไม่ทำกัน หากจะสู้ ก็ต้องสู้ด้วยนี่” ปลายนิ้วของลู่หานชี้ที่ขมับตัวเอง
“หึ ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่ฝีปากอย่างคุณก้าวขึ้นมาได้ถึงจุดนี้ น่านับถือนะ แต่เผอิญวิธียั่วยุเพื่อหาช่องทางรอดแบบที่คุณทำมันใช้ไม่ได้กับผม คุณรู้ว่าผมต้องการอะไร ดังนั้นคือก็แค่ให้ในสิ่งที่ผมต้องการมาก็เท่านั้น คุณก็รู้ว่ากำลังขวางทางผมอยู่ ความเสียหายที่ผมเสียไป ประเมินค่าไม่ได้หรอกนะเสี่ยวลู่หาน คุณควรรับผิดชอบดีๆ ก่อนที่ผมจะโมโหไปมากกว่านี้” เจฟรี่ ฮาเวิร์ด ฮวัง วางแก้วบรั่นดีลงที่เดิม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาลู่หานในประโยคสุดท้ายด้วยแววตาท้าทายและคุกคาม
“ผมคิดว่าสิ่งที่ผมจะให้คุณก็มีค่าอย่างประเมินไม่ได้เช่นเดียวกัน ผมไม่ได้มือสะอาดบริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซ็นก็จริง แต่ถ้าคุณเอาของของผมไปแล้วดึงดูดพวกซีไอเอเข้ามา อินเตอร์โพลก็จะจับตามองผม ทีนี้ผมจะขยับตัวทำอะไรก็ลำบากแล้ว แบบนี้มันไม่แฟร์กับผม”
“นี่...คุณเสี่ยว ผมไม่ได้นัดเจอคุณเพื่ออยากต่อรองข้อตกลง เอาเอกสารออกมาและเซ็นมอบทุกอย่างให้ผมซะ ก่อนที่ผมจะทำอะไรโง่ๆ ลงไปเพราะนึกโมโหที่คุณยั่วโทสะผมไม่เลิก” เจฟรี่เรียกลู่หานด้วยน้ำเสียงข่มขู่บังคับ ดวงตาของมาเฟียลูกครึ่งโฟกัสอยู่ที่กระเป๋าเอกสารข้างตัวลู่หาน
“ผมต้องเห็นคนของผมก่อน”
น้ำเสียงหนักแน่นและจริงจัง
“น่าเสียดายที่เรากำลังคุยกันคนละภาษา” สิ้นคำ มาเฟียลูกครึ่งก็ยกมือขึ้นข้างหนึ่งแล้วโบกไปทางเสี่ยวลู่หาน
เพียงแวบเดียวเท่านั้น ลู่หานก็ต้องยกมือขึ้นและสวนเท้าขึ้นถีบคนของเจฟรี่ทันที ทั้งมือและเท้าของลู่หานออกหมัดจนอ่อนล้า ท้ายทอยของเขาถูกของแข็งตีจนขาข้างหนึ่งของร่างโปร่งทรุดลงกับพื้น จากนั้นที่หลังก็สัมผัสได้ถึงเท้าที่มาพร้อมกับแรงถีบ ร่างของลู่หานล้มลงนอนแนบกับพื้น
แค่ยันได้ถึงสิบนาทีก็เก่งแล้ว...
ลู่หานยิ้มให้กับตัวเองขณะยกมือขึ้นปกป้องใบหน้าและงอตัวเข้าหากันเพื่อปกป้องอวัยวะสำคัญที่อาจได้รับความกระทบกระเทือนจนส่งผลให้เขาบาดเจ็บหนักถึงขั้นเสียชีวิต
ไม่รู้ว่าวันเวลาผ่านไปนานแค่ไหน
แต่เสี่ยวลู่หานรู้สึกได้ถึงความเย็นและชาหนึบที่ศรีษะ และความเจ็บปวดชนิดที่กัดฟันแน่นก็ยังไม่พอขุมหนึ่ง
“พอ! เดี๋ยวมันตายห่าทั้งที่ยังไม่ได้เซ็นเอกสารให้กู” เสียงห้ามดังขึ้น พร้อมๆ กับมือและเท้าที่ถูกเก็บกลับไปด้วยความเสียดาย โดยเฉพาะไอ้ฝรั่งตัวโตที่เสี่ยวลู่หานเจอตอนอีกฝ่ายไปรับเขามาที่นี่
ร่างสูงโปร่งของเสี่ยวลู่หานขยับกายช้าๆ เขาแน่ใจว่าตอนนี้แขนซ้ายของตนน่าจะหัก ใบหน้าหล่อเหลาเจ็บจนแทบลืมตาไม่ขึ้น
หวังว่า...ตอนนี้ซิ่วหมินจะปลอดภัยแล้ว
“อย่างนี้นะคุณลู่ ผมเคยได้ยินว่าสำหรับที่นี่หากมีตราประทับชื่อพร้อมกับลายนิ้วมือก็ใช้เป็นหลักฐานสำคัญทางกฎหมายได้แล้วใช่ไหม ผมเองก็ไม่อยากเสียเวลาทำมาหากิน ให้เป็นอย่างนี้แล้วกัน” ลูกครึ่งมาเฟียลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินเข้ามาหาลู่หานที่นอนหมดสภาพอยู่ที่พื้น
“ไม่มีวัน”
เสี่ยวลู่หานพูดลอดไรฟัน
“ฮะๆ คุณลู่หนอคุณลู่ คุณนี่อินโนเซ้นส์จนผมอดที่จะเห็นใจคุณไม่ได้เลย คิดว่าผมคงไม่มีทางได้ตราประทับของคุณมาใช่ไหมล่ะ? น่าเสียดายนะที่คุณเรียนรู้วงการนี้มายังไม่มากพอ ไหนๆ คุณก็คงไม่รอดออกไปอยู่แล้ว ผมก็จะสงเคราะห์ให้คุณหายโง่ก็แล้วกัน” เจฟรี่ ฮาเวิร์ด ฮวัง จิ๊ปากพลางหัวเราะสะใจ “จะหลบอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม ไม่เข้ามาดูใจเจ้านายเก่าของแกหน่อยเหรอ”
“...”
“จงอิน”
ตึกเอ็มไพร์ซ เมืองควังจู
ร่างที่กำลังผลุบๆ โผล่ๆ และวิ่งตามเรือนร่างปราดเปรื่องของจุนอยู่นั่นคือคิมแทจุน ทายาทของตระกูลร่ำรวยจากการนำเข้าและส่งออกเพชรรายใหญ่ ทั้งยังเป็นพี่ชายเพียงคนเดียวของคิมมินซอก หรือก็คือซิ่วหมิน
ที่ด้านหลังของเขามีโอเซฮุนที่ลู่หานส่งมาช่วยคุ้มครองพี่ชายคนรักวิ่งตามในระยะประชิดแทบจะก้าวห่างกันแบบก้าวต่อก้าวเลยด้วยซ้ำ ในมือของโอเซฮุนมีเครื่องมือติดตามจีพีเอสอยู่ แม้จะไม่ได้ล้ำสมัยเหมือนกับที่หัวหน้าหน่วยมังกรพยัคฆ์มีในครอบครอง แต่ของที่อยู่ในมือของโอเซฮุนเป็นของที่เจ้าตัวผลิตขึ้นมาใช้เอง
ก็ประมาณว่า...ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ก็ประดิษฐ์นั่นประดิษฐ์นี่แก้ว่างนั่นแหละ
พอก้าวมาถึงทางแยกที่ต้องผ่าน กลุ่มคนที่ประกอบด้วยคิมแทจุน เลย์ โอเซฮุน ลูกทีมของเลย์อีกสามคน ลูกทีมของโอเซฮุนอีกสี่คน รวมเป็นสิบคน ต่างทยอยมาสบทบกันที่ด้านหลังแท่นแบริเออร์เพื่อวางแผน
ตอนนี้พวกเขาอยู่ห่างจากจุดที่ซิ่วหมินถูกขังอยู่ประมาณห้าสิบเมตรแล้ว
เลย์หยิบเครื่องมือติดตามจีพีเอสของตัวเองออกมา ก่อนจะสบตากับโอเซฮุน เมื่อเห็นอีกฝ่ายส่งสัญญาณคล้ายว่าจะให้เกียรติยกตำแหน่งหัวหน้าให้ เลย์ก็ไม่ได้ถามหาเหตุผลอีกว่าทำไม
“เราต้องแบ่งกำลังออกเป็นสองทีม ทีมหนึ่งต้องใช้คนที่มีไหวพริบ เคลื่อนที่ในที่มืดและแคบได้เร็ว อีกทีมจะเป็นทีมเข้าไปช่วยเหลือและพาออกมา”
“ผมจะเป็นตัวล่อให้เอง” โอเซฮุนเอ่ยอาสาทันทีที่ฟังแผนการจากเลย์จบโดยไม่เสียเวลาคิดแม้แต่น้อย เขารู้ศักยภาพของตัวเองดีว่าเหมาะสมที่สุด
เลย์พยักหน้ารับ ก่อนจะประเมินกำลังฝ่ายตรงข้ามและออกความเห็น “คนเดียวไม่พอ” หัวหน้าหน่วยมังกรพยัคฆ์หันไปหาลูกน้องคนสนิท ก่อนจะออกคำสั่ง “มาร์ค โดยอง พวกนายไปช่วยเซฮุน จำไว้ว่าล่อพวกมันออกไปให้เกินหนึ่งร้อยเมตรจากที่นี่ และหาทางปิดปากซะ เข้าใจไหม?”
สองเจ้าของร่างผอมสูงที่แต่งกายปกปิดใบหน้ามิดชิดพยักหน้ารับคำสั่งผู้เป็นหัวหน้าทันที ก่อนที่ทั้งสองคนจะเตรียมพร้อมอาวุธในมือรอคำสั่งให้ออกปฏิบัติตามคำมอบหมาย
“ผมได้รับคำสั่งมาให้คุ้มครองคุณและพาคุณซิ่วหมินออกไป” เลย์หันไปหาคิมแทจุน “ในบรรดาพวกเราทั้งหมด ทักษะการต่อสู้ของคุณมีน้อยที่สุด เพราะฉะนั้นคุณต้องฟังผม” เมื่อเห็นคิมแทจุนพยักหน้ารับอย่างไม่อิดออด เลย์จึงรู้สึกทึ่งเล็กน้อย ก่อนจะตั้งสติแล้วพูดต่อจนจบ “คอยตามประกบผมเอาไว้ ผมรู้ว่าคุณมีปืนและน่าจะใช้เป็น ถ้าเกิดเหตุการณ์จวนตัวเมื่อไหร่ อย่าลังเลเด็ดขาด”
“ไม่ต้องห่วง” คิมแทจุนรับปากด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แม้จะเป็นครั้งแรกที่อาจจะได้ฆ่าใครสักคนจริงๆ แต่นี่ไม่ใช่เหตุการณ์ระทึกขวัญแรกที่คิมแทจุนประสบแน่นอน
“ระหว่างที่เข้าไปในห้องเพื่อช่วยตัวประกัน ให้สองคนตามฉันเข้าไปในห้อง นายกับนายก็แล้วกัน” เลย์ชี้มือไปที่คนของลู่หาน เมื่อเห็นทั้งสองคนพยักหน้ารับก็หันไปหาคนของตัวเองที่เหลือ “พวกนายยืนเฝ้าระวังหน้าห้องระหว่างที่พวกเรากำลังเข้าไปช่วยตัวประกัน ถ้าฉันส่งสัญญาณว่าพร้อม ให้เตรียมเปิดทางออกทันที”
“ไปได้!!”
สิ้นคำ ร่างของโอเซฮุน มาร์ค และโดยองก็ค่อยๆ ทยอยก้มตัวเดินออกไปจากจุดปลอดภัย เมื่อถึงจุดเรียกความสนใจของคุณที่ยืนเฝ้าหน้าห้องขังแล้ว โอเซฮุนก็ยืนขึ้นก่อนจะตะโกน
“เฮ้!” หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงปืนดังรัว พร้อมกับเงาร่างของคนสามคนที่วิ่งหนีไปคนละทาง ตามมาด้วยกลุ่มคนที่สวมชุดสูทสีดำอีกนับสิบที่วิ่งตามสามคนนั้นออกไป เหลือคนเฝ้าหน้าห้องอีกสามคนเท่านั้น
หึๆ ชะล้าใจเกินไปแล้ว
เลย์ยกนิ้วชี้ขึ้นจรดที่ริมฝีปาก ก่อนจะดึงแก๊สน้ำตาออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เขาส่งสัญญาณให้ลูกน้องในทีมด้วยไม่ต้องพูด อีกสองคนก็ขยับตามเขา พร้อมกับหยิบปืนเก็บเสียงขึ้นมาถือ เมื่ออยู่ในระยะที่สามารถยิงได้ในระยะหวังผลได้แล้ว เลย์ก็ใช้ปากดึงสลักแก๊สน้ำตา จากนั้นโยนไปที่พื้น
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงปืนดังขึ้นสามนัดเบาๆ พร้อมกับร่างของผู้โชคร้ายที่สิ้นลมหายใจโดยไม่รู้ตัว
“เคลียร์!”
เลย์พูดขึ้นมาเบาๆ ทั้งสามคนวิ่งกลับไปจุดเดิมที่คิมแทจุนรออยู่ จากนั้นคนทั้งกลุ่มก็ก้มต่ำแล้ววิ่งไปยังห้องเป้าหมาย
ประตูล็อก...
คิมแทจุนบอกเลย์ผ่านสายตา ขณะที่เลย์กำลังจะขยับเข้ามาลองใช้วิชาปลดสลักกุญแจที่เคยร่ำเรียนมาตอนอยู่ในตระกูล หูก็ได้ยินเสียงดังกริ๊ก
คิมแทจุนหันมายิ้ม
“คุณทำได้ยังไงครับเนี้ย” เลย์ถามด้วยความแปลกใจ พลางใช้หูแนบกับประตูเพื่อฟังเสียงความเคลื่อนไหวในห้อง
“เป็นความอยากรู้อยากเห็นส่วนตัวน่ะ ไม่คิดว่าจะเอามาใช้ได้จริง” คิมแทจุนตอบอึกอัก เมื่อสังเกตเป็นใบหูของอีกฝ่ายแดงระเรื่อ เลย์จึงไม่ได้แซวอะไรอีกฝ่ายอีก
“ผมจะเปิดประตู พร้อมกับเคลียร์พื้นที่ด้านในก่อน คุณหาที่หลบก่อน”
คิมแทจุนไม่ได้ขยับไปไหน แต่เขานอนลงราบกับพื้น พร้อมกับยกปลายกระบอกปืนชี้เข้าไปในห้อง เพื่อระวังภัยให้กับคนที่กำลังจะก้าวเข้าไปเสี่ยงภัยในห้องทั้งที่ไม่รู้ว่ามีอะไรข้างในบ้างแทน
เลย์รู้สึกแปลกใจ แต่เขาไม่ได้พูดอะไร เขายกมือขึ้น พลางส่งสัญญาณมือที่รู้กันเฉพาะสำหรับคนที่เรียนวิชาเกี่ยวกับทางการรบว่า ‘บุก’
ภายหลังสัญญาบุก เลย์และคนของลู่หานก็บุกเข้าไปในห้อง ปลายกระบอกปืนทั้งสามกระบอกสอดส่ายไปทั่วห้อง เลย์คลำหาสวิตช์ไฟในห้องก่อนจะกดเปิด แต่ไฟยังดับสนิทเขาจึงหยิบไฟฉายขึ้นมาแล้วกวาดแสงไล่ไปทั่วห้องจนไปเจอกับร่างร่างหนึ่งซึ่งนอนขดอยู่ตรงมุมห้อง
“เจอตัวประกันแล้ว”
+++++++++++++++++++++++
Talk :: ขอบคุณทุกคนที่ยังรอ #FicKnown
ขอคอมเม้นท์หน่อยน้า ใครจะจบแล้วฮ้าบ
ความคิดเห็น