คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Known..แค่รู้ว่ารัก ________ ลอบทำร้าย
Known..แค่รู้ว่ารัก
By :: เบบี้เยลโล่
ร่างสูงของลู่หานคอยชำเลืองมองหัวทุยๆ ของคนรักที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนตัก วันนี้ลู่หานต้องเดินทางไปต่างประเทศตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อเจรจาเรื่องธุรกิจในเครือพร้อมกับเลขาตัวเล็กอย่างคยองซู เมื่อวานนี้หลังจากกลับมาจากดินเนอร์ในภัตตาคารสุดหรูที่เขาตั้งใจพาคนรักไปฉลองในวันครบรอบแต่งงานแล้วก็ตามต่อด้วยกิจกรรมรักของเขากับคนรักที่ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้งเขาก็ยังรู้สึกว่ามันน่าตื่นเต้นอยู่เสมอ
ลู่หานนั่งยิ้มกับตัวเองเมื่อนึกถึงบทรักที่ผ่านมาเมื่อคืนที่ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่าว่าคนรักของเขา “เร่าร้อนกว่าทุกที” คนรักของเขาเป็นคนขี้อายไม่กล้าแสดงออกยิ่งเรื่องบนเตียงซิ่วหมินยิ่งอายมากเข้าไปอีกแต่เขาก็ชอบที่จะแหย่ให้คนรักเขินเล่นอยู่ร่ำไป
เมื่อคืนหลังจากเสร็จกิจกรรมรักบนเตียงลู่หานได้พยายามเอ่ยโน้มน้าวคนรักของตนที่นอนซุกอกเขาอยู่บนเตียงว่าให้ไปอเมริกาด้วยกัน แต่ซิ่วหมินก็ยังยืนยันคำเดิมว่าต้องไปธุระกับทางบ้านไม่สามารถเดินทางไปกับเขาได้จริงๆ
พอเห็นคนรักช้อนหน้าขึ้นมองตนเองด้วยท่าทางอ้อนๆ ก็เป็นเขาเองที่ต้องใจอ่อนยอมให้คนรักทุกครั้ง ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ดวงตากลมใสนั่นจ้องมองมาแล้วกระพริบตาอ้อนปากเล็กๆ นั่นยู่เข้าหากันคล้ายกับกำลังเว้าวอนว่าคงทำตามคำขอไม่ได้จริงๆ มันทำให้คนเข้มแข็งอย่างเสี่ยวลู่หาน
ใจอ่อน
เมื่อเห็นว่าคนรักของตนมีเหตุผล (ที่คงไม่ยอมทำตามคำขอของเขาแน่ๆ) อีกทั้งคนตัวเล็กยังอยู่กับครอบครัวของเจ้าตัวที่พอจะไว้วางใจได้ว่าคนรักของเขาจะอยู่ในการคุ้มครองของตระกูลคิม ลู่หานจึงเลิกเซ้าซี้
แต่ก็ไม่วายต้องโทรไปไหว้วานให้รุ่นพี่คนสนิท (ที่เป็นถึงเจ้าพ่อมาเฟีย) อย่างอู๋อี้ฟานส่งคนมาคุ้มกันและดูแลคนรักแทนเขาห่างๆ อีกทาง เวลานี้ทุกสถานการณ์ที่เขาต้องก้าวเดินต้องคอยระมัดระวังทุกย่างก้าว เพราะถ้าหากว่าเกิดอะไรที่ไม่คาดคิดขึ้นอย่างน้อยลู่หานก็ยังพอจะเบาใจที่ยังมีคนที่เขาไว้ใจได้คอยดูแลซิ่วหมิน
“จะไม่ไปจริงๆ หรอ ยังเปลี่ยนใจได้นะ” ร่างสูงเอ่ยขึ้นมาเงียบๆ เมื่อรับรู้ได้ว่าคนรักตื่นจากนิทราแล้ว เพียงแต่ยัง ‘เนียน’ นอน หลับตาเหมือนว่ายังหลับอยู่เท่านั้น ซิ่วหมิน ขยับตัวพรางเงยหน้าขึ้นมาเลิกคิ้วใส่คนรัก ก่อนจะหัวเราะเบาๆ เมื่อโดนจับได้ทั้งๆ ที่ก็คิดว่าหลับ ‘เนียน’ แล้วแท้ๆ
“ไม่ได้หรอกลู่หาน ซิ่วหมินบอกแล้วไงว่าต้องไปทานข้าวกับคุณม๊าอีกอย่างซิ่วหมินสัญญากับท่านไว้แล้วด้วยว่าจะไปเยี่ยมมูลนิธิกับท่านน่ะ” ซิ่วหมินระบายยิ้มน้อยๆ ให้กับคนรักที่นั่งทำหน้าไม่สบอารมณ์ก่อนที่คนตัวเล็กจะลุกขึ้นนั่งโดยมีลู่หานคอยช่วยพยุง
เขารู้ว่าลู่หานเป็นห่วงไม่อยากให้อยู่ที่นี่โดยที่ลู่หานไม่อยู่ด้วย แต่ที่นี่มีทั้งชานยอลเพื่อนสนิทเขา ไหนจะคนของที่บ้านเขาอีก ไม่รู้ว่าลู่หานจะกังวลอะไรนัก
“แต่ผมเป็นห่วงถึงอยู่ที่นี่จะมีคนของเราเยอะก็จริง..แต่ก็ยังไม่น่าไว้ใจอยู่ดี” ร่างสูงเอ่ยท้วงคนรัก ก่อนจะดึงอีกคนให้มานั่งตักของตัวเองและกอดเอวร่างบางไว้หลวมๆ ทั้งๆ ที่รถคันนี้มีผู้โดยสารมาด้วยถึงสี่ชีวิตแต่ดูเหมือนว่าอีกสองคนที่นั่งอยู่ด้านหน้าจะดูไร้ตัวตนไปแล้วในตอนนี้..
“นี่..อายคุณคยองซูเขาบ้างสิ ไหนจะพี่จงอินอีกนะ” ซิ่วหมินทำหน้าเหวอเมื่อคนรักยกตนขึ้นไปนักตัก ก่อนจะตีมือคนรักเบาๆ ด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
“อายทำไม คุณเห็นอะไรไหมคยองซู?” เอ่ยเหย้าคนรัก พรางหาตัวช่วยอย่างเลขาตัวเล็กมายืนยัน แทนที่จะทำให้ซิ่วหมินหยุดเขินกลับเป็นการตอกย้ำความเขินขึ้นไปอีกเมื่อคยองซูเอ่ยตอบคนเป็นนาย
“ผมไม่เห็นอะไรเลยครับเจ้านาย ไม่เห็นเลยว่าเจ้านายยกคุณซิ่วหมินขึ้นมานั่งตักแถมยังกอดเอวเอาไว้ซะแน่น...เนอะพี่จงอิน” คยองซูกล่าวด้วยน้ำเสียงใสซื่อ ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของผู้เป็นนายและเสียงโวยวายเบาๆ จากคนตัวบางด้านหลังก่อให้จะเกิดเหตุจราจลเล็กๆ ขึ้นภายในรถ
ก่อนที่ ‘คิมจงอิน’ ที่เป็นทั้งบอดี้การ์ดคนสนิทและคนขับรถส่วนตัวของเสี่ยวลู่หานจะเอ่ยแทรกขึ้นบอกผู้เป็นนาย เพื่อแจ้งให้ทราบว่าตอนนี้เขาพาคนเป็นนายมาถึงสถานที่ปลายทางแล้วคือสนามบินใจกลางเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ
ลู่หานเพียงแค่พยักหน้ารับรู้ก่อนจะจูงมือคนรักก้าวเข้าไปนั่งรอด้านในเพื่อรอให้ คยองซูได้เช็คอินและจัดเตรียมเอกสารการเดินทางให้เรียบร้อยโดยมีเลขาคู่ใจเป็นผู้เปิดประตูรถให้คนเป็นเจ้านาย
“หิวไหม?” ลู่หานหันไปถามคนรัก
“ไม่เลย ไว้ไปทานทีเดียวที่บ้านพร้อมคุณป๊าคุณม๊าดีกว่า” ซิ่วหมินหันไปตอบคนรักพรางยิ้มหวานให้คนข้างตัว ทำเอาไอ้คนข้างตัวที่ว่าถึงกับตาพร่าเพราะรอยยิ้มพิมพ์ใจของคนช่างยั่ว (แบบไม่รู้ตัว)
หมั่นเขี้ยวจริงๆ
“ยังง่วงอยู่ไหม? ลู่หานขอโทษนะเมื่อคืนกว่าซิ่วหมินจะได้นอนก็เกือบสว่าง” เอ่ยด้วยเสียงเรียบแต่ดวงตาพราวระยิบเต็มไปด้วยอาการล้อเลียน ส่งผลให้คนฟังหน้าแดงแปร้ด
“บ้า พูดอะไรออกมาเนี้ยลู่หานไม่อายคนอื่นเขาบ้างรึไงเนี้ย..” บ่นพึมพำพร้อมก้มหน้างุด ได้ยินเสียงหัวเราะหึ จากคนตัวสูง
จุ๊บ
ซิ่วหมินเบิกตากว้างเพราะอยู่ดีๆ ลู่หานก็ก้มลงมาฉวยหอมแก้มเขาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแทบจะเอามือปิดตรงจุดเกิดเหตุที่เพิ่งโดนขโมยหอมไปแทบไม่ทัน แต่ก็จริงอย่างที่ลู่หานว่า..เมื่อคืนเขาแทบไม่ได้นอนเพราะร่างสูง ที่คอยแต่รังแกเขาทั้งคืนแถมยังแกล้งทำให้เขาอายอีกทั้งๆ ที่ต้องเดินทางแต่เช้า เขาห้ามเท่าไหร่ลู่หานก็ไม่ฟังจากเสียงขัดของเขากลับต้องกลายเป็นเสียงครวญครางแทนได้ซะนี่ และแทนที่ลู่หานจะสำนึกได้...ร่างสูงยังมีหน้ามากระซิบข้างหูเขาเบาๆ อีกว่า
ชดเชยที่จะไม่ได้กอดเขาไปอีกหลายวัน...
มันน่านัก!!
“เรียบร้อยแล้วครับเจ้านาย เดี๋ยวเราเข้าไปข้างในกันเลยนะครับ อีกสิบห้านาทีเครื่องจะขึ้นแล้วเพราะเจ้านายนั่นแหละมัวทำอะไรอยู่ครับ ผมโทรไปเท่าไหร่ก็ไม่ยอมรับสายจนต้องต่อสายไปหาพี่แม่บ้านให้ขึ้นไปปลุกเจ้านายรอผมแทนน่ะ” คยองซูเอ่ยออกมายาวเหยียด
ก็เมื่อคืนน่ะสิ เขาพยายามโทรหาเจ้านายจนมือจะหงิกเพราะมีข้อสงสัยเรื่องเอกสาร แต่โทรไปเท่าไหร่คนเป็นนายก็ไม่มีทีท่าว่าจะรับโทรศัพท์ จนเขาต้องประสานงานเอง
เมื่อเช้านี่อีก..คยองซูต้องออกไปเอาเอกสารที่บริษัทโดยมีพี่จงอินเป็นคนพาเขาไปเอาเพราะดันลืมเอกสารสำคัญไว้ที่บริษัท คิดไว้ว่าจะโทรศัพท์ไปหาเจ้านายให้เจ้านายได้เตรียมตัวในระหว่างที่เขาเข้าบริษัท
โทรจนสายจะไหม้เจ้านายก็ไม่รับสายสักที!
“บ่นเป็นคนแก่เลยคุณเลขา” ลู่หานเอ่ยแซวขำๆ ก่อนจะลุกขึ้นยื่นมือไปรับเสื้อสูทจากซิ่วหมินที่ส่งมาให้เขาด้วยรอยยิ้ม วันนี้ลู่หานรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเล็กๆ ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน เขาเกรงว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นถึงได้พยายามชวนซิ่วหมินให้ไปด้วยกัน แต่คง..
ไม่มีอะไรหรอกมั้ง...
“เดินทางปลอดภัยนะลู่หาน” ซิ่วหมินเอ่ยบอกคนรักเสียงหวาน ลู่หานส่งยิ้มเอ็นดูให้คนตัวบางแล้วพยักหน้าให้เบาๆ สลัดความไม่สบายใจทิ้งไป ก้มลงหอมแก้มคนรักซ้าย ขวา แล้วเดินตามเลขาคนเก่งที่ก้าวนำเขาไปก่อนหน้านี้พร้อมกับบอดี้การ์ดส่วนตัวอีกสองคนคือ ‘คิมคิบอม’ และ ‘หานฮันคยอง’ บอดี้การ์ดรุ่นพี่ของคิมจงอินคนสนิทของเขาที่คอยตามอารักขาเขาหากต้องเดินทางไกลซึ่งมารอเขาที่สนามบินตั้งแต่เช้า
บอดี้การ์ดส่วนตัวที่จ้างมาด้วยค่าตัวสูงลิบลิ่ว..
แต่ก็ทำงานได้คุ้มค่าจ้างเสมอจนไม่นึกเสียดายเม็ดเงินที่จ่ายไปเลยสักนิด
ร่างบางของซิ่วหมินยืนส่งคนรักจนหายไปลับตา ก่อนจะหันกลับเพื่อมุ่งหน้าสู่คฤหาสถ์หลังโตของตระกูลคิมผู้สืบเชื้อสายของคิมกรุ๊ปโดยตรงบ้านของเขานั่นเอง หันไปเรียกคนขับรถพ่วงด้วยตำแหน่งบอดี้การ์ดส่วนตัวจำเป็นอย่าง ‘คิมจงอิน’ หรือพี่จงอินของทุกคน หัวหน้าบอดี้การ์ดประจำตระกูลเสี่ยว ที่คนเป็นนายใหญ่ถีบหัวส่งให้ลงมาดูแลคนรักของตนอย่างนายหญิง
ครืด.....ครืด....
ร่างบางที่กำลังนั่งพักสายตาอยู่บนรถคันงามผงกหัวขึ้นมาช้าๆ เมื่อรับรู้ถึงแรงสั่นไหวของเครื่องอิเล็กทรอนิกส์เครื่องสวยประจำกาย ก่อนจะมุ่ยหน้าเมื่อคนที่โทรเข้ามาเป็นเพื่อนสนิทคนสำคัญ...
โทรมาทำไมแต่เช้าว่ะเนี้ย...
“ว่าไงครับไอ้คุณชานยอล?” เอ่ยถามออกไปด้วยเสียงหงุดหงิดเล็กๆ
“อยู่ไหนว่ะ?” อีกฝ่ายถามกลับมาทันทีด้วยน้ำเสียงรนๆ ซิ่วหมินขมวดคิ้ว
“กำลังจะกลับบ้าน เอ่อ บ้านกูนะ มึงมีอะไรหรือป่าวชานยอล?” ซิ่วหมินเอ่ยถามเพื่อนสนิทที่ทำเสียงอึกอักจนผิดวิสัยของเจ้าตัว
“อืม เอาไว้คุยกันที่บ้านมึงดีกว่า เดี๋ยวกูไปหา..ไว้เจอกัน” ชานยอลเอ่ยออกมารวดเดียวก่อนจะกดวางสายไป ซิ่วหมินได้แต่เออออกับเพื่อนรักอย่างงงๆ ไอ้นี่ท่าจะกินยาลืมเขย่าขวด... ซิ่วหมินคิดในใจขำๆ ก่อนจะหลับตาลงช้าๆ เพื่อชาร์ตแบตให้ตัวเอง
++++++++++++++++++++++++++
เสี่ยวลู่หานนายใหญ่แห่งลู่เซียกรุ๊ป และสาวสวยไฮโซอย่างคิมแทยอน
รักเก่าที่กำลังจะกลายเป็นรักครั้งใหม่ ถ่านไฟเก่าจะมีสิทธิ์ลุ้นรีเทิร์นหรือไม่ ตัดสินได้จากภาพข่าวที่แสดงถึงความสนิทสนมเกินเพื่อนธรรมดาที่ฟ้องเป็นนัยๆ ว่า...ทั้งคู่เริ่มกลับมาคุยกันใหม่เพื่อสานต่อความสัมพันธ์กันเรียบร้อยแล้ว หวังว่าจะมีข่าวดีจากคนทั้งคู่
ที่มีความเหมาะสมกันอย่างกับกิ่งทองใบหยกในเร็ววันนี้นะค่ะ...
พรึ่บ!
ชานยอลฉวยเอาหนังสือพิมพ์ประจำวันที่เขาหยิบติดมือมาจากบริษัทเพื่อเอามาให้เพื่อนรักได้เห็นข่าวกอสซิบที่มีสามีของคนข้างๆ
มีเอี่ยวด้วย...เต็มๆ
มองเห็นมือที่สั่นไหวพร้อมกับดวงตาสั่นระริกของคนตัวบางแล้วพาลอยากจะไปลากตัวให้คนต้นเรื่องมารับโทษให้สาสมที่ทำให้คนที่เขาแอบ ‘รัก’ เสียน้ำตาอีกแล้ว ถึงแม้ว่าครั้งนี้เขาจะรู้ดีว่าข่าวนี้มันไร้สาระเพียงใด แต่สำหรับอะไรที่เกี่ยวกับซิ่วหมินแล้วเขาถือว่ายังไงก็เรื่องใหญ่..
“มันก็แค่ข่าวคิดอะไรมาก” ชานยอลเอ่ยขึ้นพรางโยกหัวเพื่อนรักที่ยืนหน้าซีด พร้อมจะเป่าปี่เต็มที่ ก็ลืมไปว่าไอ้คนข้างๆ ตัวน่ะถ้าเป็นเรื่องของไอ้ลู่หานแล้วอ่อนไหวแค่ไหน แต่มันก็หน้าที่เขาเหมือนกันที่จะต้องเอาข่าวมาให้เพื่อนดูจะได้ไม่โดนปิดหูปิดตานี่เขากำลังทำหน้าที่เพื่อนที่ดีอยู่นะ
“มันก็ใช่...แต่” ถ้าไม่มีมูลแล้วข่าวมันจะมาได้ยังไง? ประโยคหลังได้แต่พึมพำกับตัวเองในใจเท่านั้น ซิ่วหมินทรุดตัวนั่งบนโซฟาไซต์พอดีที่อยู่ในห้องส่วนตัวของตนเอง แม้ว่าเจ้าของห้องจะไม่ค่อยได้มานอนที่นี่เท่าไรนัก แต่ห้องก็ยังคงพร้อมใช้งานเสมอเพราะมีแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดทุกอาทิตย์
“หื้ม?” ชานยอลเอ่ยเสียงในลำคอ ก่อนจะเลิกคิ้วเป็นเชิงถามเพื่อนสนิท เพราะมันดันพูดมาแค่ครึ่งเดียว ไม่ยอมพูดให้จบ
“ไม่มีอะไร” ซิ่วหมินเอ่ยบอกเสียงอ่อน อดจะตำหนิตัวเองไม่ได้ที่ไม่เข้มแข็งพอ ไม่อยากเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาทำให้ความสัมพันธ์ของเขากับคนรักสั่นคลอน แต่..ยังไงก็อดคิดไม่ได้
“กูว่าเรื่องนี้ไอ้ลู่หานคงยังไม่รู้ใช่ไหม?” ชานยอลประเมินสถานการณ์ พลางทรุดกายลงนั่งตรงปลายเตียง ใกล้ๆ กับโซฟาที่มีเพื่อนสนิทนั่งอยู่ตรงมุมห้อง ใบหน้าขาวยุ่งยากเพราะกำลังใช้ความคิด
เมื่อก่อนตั้งแต่ที่คนรักของเพื่อนเขามันยังไม่เด่นดังเป็นคนของสังคมเหมือนอย่างในตอนนี้ ซิ่วหมินมีความสุขมากเพราะไอ้หมอนั่นมันดูแลเอาใจใส่ไม่เคยขาด แต่พอมันเด่นดังเพราะธุรกิจที่ทำประสบความสำเร็จเท่านั้นแหละ...เพื่อนตัวน้อยก็ต้องอยู่คนเดียวบ่อยๆ
“ไม่รู้สิ” เสียงเหม่อลอยของเพื่อน เรียกสายตาให้ชานยอลหันไปมองอย่างหนักใจ
“เดี๋ยวกูจัดการให้เอง” เอ่ยพูดเสียงเรียบจนเพื่อนตัวเล็กหันมามอง ซิ่วหมินระบายยิ้มอ่อนๆ ให้เพื่อน ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ เป็นเชิงห้าม เขารู้ดีอีกนั่นแหละว่าเพื่อนเป็นห่วง แต่เรื่องนี้จะวู่วามไม่ได้...เขารู้
“อย่าเลย.. ก็แค่ข่าวน่ะมึง คงไม่มีอะไร อีกอย่างลู่หานเขาไปทำงานแค่นี้เขาก็ยุ่งจนไม่มีเวลาพักผ่อนอยู่แล้ว อย่าเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องไปบอกเขาเลย” ซิ่วหมินอธิบาย ส่ายหน้าน้อยๆ ให้กับเพื่อนอีกครั้ง เพราะมันมองเขาตาขวางชานยอลถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
“เฮ้อ ก็ได้ว่ะ แต่เรื่องนี้กูคงปล่อยไปไม่ได้นะเว่ย ไอ้ลู่หานมันจะอยู่เฉยสบายๆ ได้ไงทั้งๆ ที่มึงกำลังทำหน้าจะร้องไห้อยู่แบบนี้ แต่กูจะยอมยกไปคราวหน้า ถ้ามีอีกละก็..ศพไม่สวยแน่ เออ วันนี้กูได้ยินคุณม๊าบอกว่าจะไปที่มูลนิธิ?” ชานยอลเอ่ยตัดบท เมื่อกี้ได้คุยกับมารดาของเพื่อนสนิทก่อนก้าวขึ้นมาหาเพื่อนที่พักผ่อนอยู่ บนห้องนอนส่วนตัว ได้ความว่าวันนี้เพื่อนกับมารดาจะเดินทางไปต่างจังหวัดเพื่อเยี่ยมมูลนิธิคิมฟอร์เวิร์ลที่มารดาของซิ่วหมินเป็นผู้ก่อตั้ง
“อืม จะไปด้วยกันไหมล่ะ?”
“ไม่พลาดอยู่แล้ว” ชานยอลเอ่ยตอบทันควันโดยไม่ต้องคิด เพราะที่เขาถามก็ไม่ได้ถามเพราะอยากรู้หรือขออนุญาตอยู่แล้ว.. ไม่ได้ไปที่นั่นตั้งนานเพราะมัวแต่ยุ่งๆ กับกิจการค่ายเพลงที่ทำอยู่ คิดถึงพวกเด็กๆ จะแย่
“งานการไม่มีทำหรือไงว่ะ อ่อ ลืมไปว่าเป็นผู้บริหาร” ซิ่วหมินเอ่ยแขวะเพื่อนสนิท ซึ่งดูท่าทางแล้วจะไม่ทุกข์ร้อนกับคำแขวะของเขาสักนิดแถมมันยังยักไหล่เพื่อยอมรับกลายๆ อีกนะ ถามไถ่เรื่องงานกันเล็กน้อยก็ชวนกันลงไปข้างล่าง เพราะใกล้เวลาที่จะออกเดินทางแล้ว
“อ้าวชานยอล ม๊านึกว่ากลับไปแล้วซะอีก” มารดาของซิ่วหมินเอ่ยทักเพื่อนสนิทของลูกชายคนเล็ก แถมยังเป็นลูกของเพื่อนสนิทนางอีกด้วย
“จะกลับได้ยังไงครับ ผมจะไปด้วย คิดถึงพวกเด็กๆ ที่มูลนิธิ ชานยอลไม่ได้ไปนานแล้วอ่ะม๊า ครั้งล่าสุดที่ไปก็น่าจะเมื่อประมาณต้นปีโน่นแน่ะ” ตอบมารดาของเพื่อน พรางขยับเข้าไปสวมกอดอย่างออดอ้อน ส่งผลให้เพื่อนสนิทอีกคนที่ยืนอยู่ได้แต่เบ้ปากด้วยความหมั่นไส้
“พอได้แล้วมั้งครับไอ้คุณชานยอล เกินหน้าเกินตาลูกแท้ๆ อย่างกูแล้วครับ” พูดเสร็จก็เข้าไปสวมกอดมารดาแท้ๆ โดยดึงเพื่อนรักเหวี่ยงไปอีกด้าน มารดาอย่างนายหญิงแค่คิมกรุ๊ปได้แต่หัวเราะคิกคักกับความขี้แกล้งของลูกชายตนกับ เพื่อนสนิทตั้งแต่เด็ก
“ม๊าว่าเราออกเดินทางกันดีกว่า เดี๋ยวจะไปถึงที่นู่นช้า เด็กๆ จะรอนานนะ” มารดาเอ่ยตัดบทเมื่อเห็นศึกย่อมๆ กำลังจะเกิดขึ้นในบ้าน หันไปเอ่ยกับลูกชายก่อนจะส่งยิ้มเอ็นดูให้ลูกรักของนาง
“แล้วพี่แทจุนไม่อยู่หรอครับม๊า ผมลืมถามไปเลย เออ ซิ่วหมินมึงต้องไปกับกูนะ กูจะแวะซื้อของให้เด็กๆ ม๊าล่วงหน้าไปก่อนนะครับ เดี๋ยวผมเอารถไปด้วยจะได้ไม่เสียเวลาม๊าด้วย” เอ่ยถามถึงพี่ชายของเพื่อน ก่อนจะหันไปพูดกับเพื่อนด้วย ‘คำสั่ง’ กลายๆ แล้วหันไปเอ่ยกับมารดาของเพื่อนที่ตนนับถือเป็นมารดาอีกคนอย่างขออนุญาต คนฟังได้แต่พยักหน้ารับรู้ แต่ร่างบางของซิ่วหมินกลับหน้าหงิกเมื่อโดนเพื่อนรักออกคำสั่งกับตัวเองโดยไม่ขอความเห็น..
“ตลอดอ่ะมึง..ม๊าอะตามใจมันตลอดเลย” เอ่ยด้วยน้ำเสียงงอนๆ จนชานยอลหันมาเขกหัวให้เบาๆ ด้วยความหมั่นไส้ ก่อนที่ทุกคนจะเริ่มออกเดินทาง โดยมารดาของซิ่วหมินเดินทางไปด้วยรถตู้
ส่วนซิ่วหมินกับชานยอลไปรถของชานยอลโดยมีจงอินขับรถตามไปด้วยอีกหนึ่งคัน เพราะชานยอลไม่ยอมให้จงอินขับรถให้ตน ขู่ว่าถ้าหากไม่ขับรถตามไปอีกคน ตนจะไม่ยอมให้จงอินไปด้วย จะขับหนีให้ตามไม่ทันเลย.. ซึ่งจงอินก็น้อมรับแต่โดยดี อดจะคิดไม่ได้ว่าเพื่อนของนายหญิงนั้น...
เด็กเอาแต่ใจชัดๆ
หลังจากซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าเสร็จทั้งซิ่วหมินและชานยอลก็ช่วยกันขนของขึ้นรถ โดยมีจงอินบอดี้การ์ดจำเป็นคอยช่วยเหลืออีกแรง ซิ่วหมินก้มลงมองดูนาฬิกาข้อมือก่อนจะเร่งให้ชานยอลรีบออกเดินทางเพราะใกล้จะได้ เวลาแล้วคำนวณดูเวลาจากที่นี่ไปมูลนิธิน่าจะใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็น่าจะถึง
เอี้ยด!!!
เสียงยางรถยนต์เบียดกับพื้นถนนดังสนั่นไปทั่วบริเวณ ส่งผลให้รถที่ขับตามมาต้องเบรกกะทันหัน นี่หากไม่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีคงต้องหนีไม่พ้นการชนท้ายรถคันหน้าอย่างจัง จงอินหักพวงพาลัยรถเบี่ยงไปอีกทางเรียกได้ว่าเฉียดฉิวกับรถคันหน้าแค่เส้นยาแดง
ปัง!
ปัง!
ด้วยสัญชาตญาณเมื่อได้ยินเสียงปืนส่งผลให้ร่างโปร่งของคนขับ รีบก้มลงหมอบอยู่ใต้ท้องรถ โดยไม่ลืมที่จะปลดสายคาดนิรภัยแล้วคว้าเอาคนข้างตัวของเขาก้มลงมาด้วย และก็เป็นจงอินที่ตั้งสติได้เร็วกว่าใคร รีบก้าวลงจากรถที่ตัวเองพาหนะมาคว้าเอาปืนพกยิงสวนไปที่ศัตรูที่ใช้มอเตอร์ไซต์เป็นยานพาหนะขับสวนทางมาล้มลงไปแน่นิ่ง ก่อนจะมีโอกาสยิงใส่พวกเขาได้อีกรอบ
มือหนาของคิมจงอินเลื่อนไปกดสัญญาณขอความช่วยเหลือส่งไปยังส่วนกลางที่มีทีมของเจ้าพ่อมาเฟียใหญ่ประจำการอยู่ทันที ณ เวลานี้ความปลอดภัยของนายหญิงกับเพื่อนมาเป็นอันดับหนึ่ง
“คุณซิ่วหมินอย่าลงมาเด็ดขาดนะครับ!!” ตะโกนบอกคนเป็นนายสุดเสียง ส่วนมือก็ยังทำหน้าที่ยิงสวนศัตรูไปอย่างไม่ลดละโดยใช้ประตูรถเป็นเกาะกำบัง ขมวดคิ้วหนักใจเมื่อเหลือบเห็นรถกระบะสีดำคาดว่าน่าจะเป็นของศัตรูกำลังขับมาด้วยความเร็ว
“คุณชานยอลผมขับเอง เร็วครับ!!!” ในเวลานี้พวกเขาเหมือนตกเป็นเป้านิ่งให้ศัตรูรายล้อมเข้ามา จงอินรีบวิ่งไปที่รถของนายหญิงโดยตะโกนบอกให้คนที่อยู่ตำแหน่งคนขับรีบปีนไปทางด้านหลัง ส่วนตนเข้าประจำการในตำแหน่งคนขับเหลือบเห็นใบหน้าซีดขาวเผือดของนายหญิงก็ขบกรามแน่น ก่อนจะออกรถขับสวนทางกับรถกระบะที่ขับมา
คิ้วเข้มขมวดขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นอาวุธของศัตรูที่เตรียมมาครบมือ มันคงเตรียมการกันมาเป็นอย่างดีสินะ ตะโกนบอกนายหญิงให้ก้มหัวลงเป็นพัลวันเมื่อรถเคลื่อนเข้าใกล้ศัตรู เขาเลือกที่จะขับสวนทางกันเพราะอย่างน้อยพวกมันก็ต้องใช้เวลาในการกลับรถแม้ ว่าอาจจะเสี่ยง...แต่ถ้าหากไม่ทำแบบนั้นเขาเกรงว่าตนคงรับผิดชอบผลที่ตามมาไม่ไหว...
ปัง ปัง!
ครืด ครืด...
หน้าจอโทรศัพท์ของชานยอลปรากฏแสงสว่างขึ้น แต่เบอร์ที่โทรเข้ามาดันเป็นเบอร์แปลก จนอดสบถออกมาอย่างหงุดหงิดเสียไม่ได้ หน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ ใครที่ไหนมันโทรเข้ามาว่ะเนี้ย!
“คนเขายิงกันจะตายห่าอยู่แล้ว! ถ้าธุระไม่สำคัญพอกูตามยิงถึงบ้านแน่!!”
“บอกจงอินให้เลี้ยวซ้ายข้างหน้า..”
กึก
“เร็วสิ..” อีกฝ่ายเอ่ยบอกเสียงนิ่ง ไม่รู้ว่าทำไมแค่เสียงที่นิ่งสงบของอีกฝ่ายก็สามารถลดความตระหนกในใจของเขาได้
“เลี้ยวซ้ายแยกหน้า เร็ว!!” ตะโกนออกมาอย่างลืมตัว
เอี้ยด!
ปัง ปัง ปัง ปัง!!
เสียงปืนดังสั่นระหว่างสองฝั่งที่รัวกระสุนเข้าหากัน รถของฝั่งซิ่วหมินแล่นระริ้วผ่านไปยังฝั่งคนเสื้อดำที่ยืนรอท่าอยู่แล้วด้วยกำลังคนเต็มถนนรถสีดำลายคุ้นตาที่จงอินคุ้นเคยจอดอยู่ถึงห้าคันโดยมีร่างสูงใหญ่ที่อยู่ในชุดสูทสีดำสวมแว่นตาดำยืนคุมเชิงอยู่ไม่ห่าง
ปัง ปัง ปัง!
“ไล่ตามมันไป!” เอ่ยออกมาเสียงเรียบ แต่เต็มไปด้วยอำนาจจนคนฟังนึกขนลุกแทนอีกฝ่ายเสียไม่ได้ ตอนนี้จงอินจอดรถห่างออกไปเกือบร้อยเมตรก่อนจะถอยกลับมาใกล้ๆ เพื่อรวมพลกับคนของเจ้าพ่อมาเฟีย
ส่วนเหล่าลูกน้องเมื่อสิ้นเสียงของคนเป็นนายก็แบ่งแยกกำลังออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งคือขับไล่ล่าศัตรู และอีกส่วนคือคอยอารักขานายเหนือหัว
อีกด้านที่มีร่างของคนสองคนกำลังแย่งกันหอบหายใจแรงๆ เพราะกำลังอยู่ในอาการตกใจหลังจากเพิ่งผ่านเหตุการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาเมื่อกี้ จนคนติดตามอดที่จะเขย่าแขนเพื่อเรียกสตินายหญิงของตนก่อน
“คุณซิ่วหมินครับ คุณซิ่วหมิน” เอ่ยเรียกชื่อ พลางทั้งเขย่าแขนไปด้วย แต่คนตัวบางข้างๆ ก็ยังตกอยู่ในภวังค์ ไม่ยอมขานรับ จนชานยอลที่อยู่ด้านหลังเป็นคนตั้งสติได้ก่อน
“เดี๋ยวฉันจัดการเอง นายลงไปดูเหตุการณ์เถอะ” แม้ในน้ำเสียงจะยังคงมีอาการสั่นเล็กๆ อยู่ แต่เมื่อเห็นเพื่อนรักกำลังตกใจสุดขีด ใบหน้าขาวซีดเผื่อด แถมมือเรียวยาวนั่นยังสั่นไม่หาย ทำให้เขาต้องรีบเรียกสติตัวเองก้าวลงจากรถแล้วเปิดประตูด้านที่ซิ่วหมินนั่งอยู่ออก เอ่ยเรียกเพื่อนด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“เฮ้ย ซิ่วหมิน โอเคไหม? ซิ่วหมิน? ใจเย็นๆ นะมึง” ใช้มือตบหน้าขาวเนียนเบาๆ เป็นการเรียกสติพร้อมทั้งเรียกชื่อเพื่อนไปด้วย จนซิ่วหมินเริ่มหันมามองหน้าเพื่อนสนิท ก่อนจะโผเข้ากอดร่างโปร่งของเพื่อนเต็มแรง
“อ่ะ อื้อ... ฮึก... กะ กู โอเค” เอ่ยตอบเพื่อนเสียงสั่นเครือ เมื่อกี้ยอมรับว่าตนเองนั่นตกใจมาก อยู่ดีๆ ก็มีใครไม่รู้โผล่เข้ามายิงปืนใส่รถที่เขานั่งอยู่ ถึงแม้ว่าจะเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาแล้ว แต่ทุกครั้งก็จะมีร่างสูงของใครอีกคนคอยอยู่เคียงข้างเสมอ
แต่ครั้งนี้...ไม่มีเหมือนเคย
“เป็นยังไงบ้าง?” บุคคลที่สามที่เพิ่งก้าวเข้ามายืนดูฉากสองเพื่อนรักกอดกันกลม เอ่ยทักขึ้น นี่ถ้าเขามาช้ากว่านี้ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พอได้รับแจ้งจากลูกน้องว่ามีสัญญาณส่งมาขอความช่วยเหลือจากจงอิน เขาก็รีบวางงานทุกอย่างมุ่งตรงออกมาสั่งการณ์ให้ลูกน้องติดตามหาสถานที่ ที่ทั้งสามคนอยู่จากจีพีเอสของเบอร์โทรศัพท์ เมื่อได้ตำแหน่งที่แน่นอนเขาก็ออกเดินทางทันทีพร้อมกับลูกน้องอาวุธครบมือ
อย่าถามว่าเขาทำไมถึงเลือกโทรหาร่างโปร่งของคนแสนดื้อดึง แทนที่จะโทรหาคนรักของรุ่นน้องหรือไม่ก็บอดี้การ์ดของซิ่วหมิน เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน...
เบอร์ของชานยอลนั้นหาไม่ยาก เพียงแค่เขาเอ่ยปากข้อมูลของร่างโปร่งคนที่เขาสนใจก็มากองอยู่บนโต๊ะทำงาน เพียงสองชั่วโมงให้หลังจากที่เขาสั่งการ..
ก็แค่ยังไม่เคยลองโทรหา... แค่กำลังรอจังหวะ หรือโอกาสดีๆ เพราะหากเข้าผิดจังหวะเขาเกรงว่าอาจจะโดนลูกแมวช่างขู่นั่นข่วนเอาได้...
ใครจะอยากโดนข่วนฟรีๆ กันละ
“มึงใช่ไหมที่โทรหากู? มึงเอาเบอร์กูมาจากไหนห๊ะ!?!” นั่นไง พูดยังไม่ทันจบก็เอาอีกแล้วนะเจ้าลูกแมว ร่างหนาของมาเฟียใหญ่จ้องมองไปที่ร่างสองร่างที่ตอนนี้ผละออกจากกันแล้ว แถมไอ้เจ้าลูกแมวช่างขู่ของเขาตอนนี้ยังกำลังยืนจ้องหน้าเขาเขม็ง ชี้หน้าหาเรื่องปาวๆ เขาส่ายหน้าเบาๆ เหมือนระอา แต่จริงๆ แค่กำลังกลั้นขำร่างโปร่งบางนั่นมากกว่า
มันใช่เวลามาถามเรื่องนี้ไหม?
“อะไร? ส่ายหน้าหมายความว่ายังไงห๊ะ!?!” ซิ่วหมินทำท่าจะเดินเข้ามาหาเรื่องให้คนที่มันยืนทำหน้านิ่งอยู่ตรงหน้า ถามอะไรมันก็ไม่ตอบแถมยังมีหน้ามาส่ายหัวเหมือนรำคาญเขาอีก มาสู้กันสักตั้งไหม? ไอ้หน้าแก่!?! เอ๊ะ มันก็แก่สมอายุอ่ะนะ
หมับ!
ร่างโปร่งของชานยอลชะงักไปนิด เมื่อแขนเรียวถูกมือบางของเพื่อนรักคว้าหมับไว้แน่นซิ่วหมินส่ายหน้าพรางทำตาดุส่งไปให้เพื่อน ก่อนจะมองเลยไปที่ร่างหนาของคนผิวเข้มที่ยืนอยู่ด้านหน้า เขาเองก็เพิ่งรู้จากคนรักว่าคนตรงหน้านั้นเป็นรุ่นพี่คนสนิทของลู่หาน แถมยังเป็น ‘มาเฟีย’ ใหญ่ของแดนมังกรอีกต่างหาก
“ขอบคุณนะครับพี่อู๋ฟาน ไม่ได้พี่พวกเราคงแย่แน่ๆ เอ่อ แล้วพี่อู๋ฟานรู้ได้ยังไงครับว่าเรากำลังแย่กันอยู่?” ซิ่วหมินเอ่ยกับรุ่นพี่ของคนรัก อี้ฟานเพียงแค่ยิ้มมุมปากส่งกลับมาให้ ส่วนอีกคนก็ได้แต่ส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอที่ไม่สามารถจัดการคนที่เขาเหม็นขี้หน้าตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอได้
“ไม่เป็นไร คราวนี้ยังถือว่าโชคดีที่พวกมันเลือกลงมือในเส้นทางที่มีคนของพี่อยู่ใน พื้นที่เยอะพอสมควร ทำให้สามารถเรียกใช้งานได้เร็ว” เป็นจริงอย่างที่มาเฟียใหญ่ว่า โชคดีที่วันนี้เขามาตรวจการณ์แถวๆ นี้พอดี ถึงได้ตรงมาที่จุดเกิดเหตุได้เร็วขนาดนี้
“ทำตัวอย่างกับเป็นมาเฟีย!” เสียงเอ่ยลอยๆ กึ่งประชดประชันจากชานยอล เรียกอารมณ์ที่แตกต่างกันได้จากคนสองคน รายแรกไม่เข้าใจว่าเพื่อนจะมีอคติอะไรหนักหนากับคนตรงหน้าแล้วอีกอย่างไม่ใช่ ‘อย่างกับเป็น’ พี่อู๋ฟานน่ะมาเฟียตัวเป็นๆ เลยล่ะซิ่วหมินได้แต่ส่ายหัวโดยไม่คิดที่จะเอ่ยขัด ส่วนอีกราย...ได้แต่นึกหมั่นเขี้ยวอยากจะจับคนตรงหน้ามาตีก้นแรงๆ สักที
“หึ ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็แยกย้ายเถอะ พี่มีธุระต้องไปจัดการต่อส่วนเรื่องนี้คิดว่าอีกไม่นานคงได้ข้อสรุปว่าเป็น ฝีมือใคร ระหว่างนี้ก็ขอให้ระมัดระวังกันให้มาก จะให้ดีก็ควรเพิ่มคนติดตามด้วยก็แล้วกัน แล้วนี่จะไปไหนกัน?”
“อ่อ พวกเรากำลังจะไปที่มูลนิธิของคุณม๊าน่ะครับ จากนี่ไปไม่ไกลเท่าไหร่” ซิ่วหมินเอ่ยตอบ อู๋ฟานจึงได้สั่งให้ลูกน้องของตนเป็นคนขับรถและคอยอารักขาทั้งคู่ทั้งไปและ กลับ เพราะจงอินได้รับบาดแผลจากรอยกระสุนตรงบริเวณแขนข้างขวา ถึงจะแค่ถากๆ แต่ยังไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อยู่ดี...
ถึงแม้ว่ามาเฟียอย่างเขาจะอยากเป็นคนพาไปเอง แต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะว่างานที่ทิ้งมาเองก็สำคัญ เกี่ยวข้องกับอีกหลายฝ่ายจึงจำเป็นต้องตัดใจ...
พอรถของลูกน้องที่มีคนโดยสารเป็นคนตัวบางทั้งสองคนได้เคลื่อนตัวออกไป อู๋ฟานจึงสั่งให้ลูกน้องเพิ่มกำลังอารักขาให้ซิ่วหมิน รวมทั้งจัดกำลังเสริมเพื่อคอยตามดูแลลูกแมวของเขาอยู่ห่างๆ โดยไม่ให้เจ้าตัวรู้ พรางกำชับให้ลูกน้องติดตามไล่ล่าไอ้ตัวต้นเหตุของเหตุการณ์นี้มาให้ได้
เมื่อสั่งการเรียบร้อยแล้วจึงต่อสายหารุ่นน้องคนสนิทที่ไปติดต่องานอยู่ต่าง ประเทศ หวังจะบอกกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยใบหน้าเคร่งขรึม แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ จึงส่งข้อความไปหาอีกฝ่ายว่าให้รีบติดต่อกลับ ก่อนจะก้าวขึ้นรถเพื่อเดินทางกลับไปเคลียงานต่อทันที
___________________________________
Talk ::
หวังว่าจะชอบกันนะ
ชอบรึไม่ชอบบอกกันบ้างเน้อ
สุดท้ายนี้ไม่ "เม้น" ไม่เป็นไร ขอแค่กด Fav. เราก็พอ มันก็ปฏิเสธไม่ได้เน๊าะว่าคอมเม้นท์มันเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนแต่งนิยายตาดำๆ (?) อย่างเราๆ มีกำลังใจในการแต่งนิยายต่อไป
ขอบคุณทุกๆ กำลังใจ ทุกๆ คอมเม้นที่มีให้เบบี้เยลโล่ รักรีดเดอร์ทุกคนนะครับ..
อีกนิด..ฝากเพจ FB :: เบบี้เยลโล่ TWT :: @Baby_Yellowza ด้วยนะครับผม
ความคิดเห็น