ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic] Known..แค่รู้ว่ารัก - Lumin, Krisyeol - EXO

    ลำดับตอนที่ #9 : Known..แค่รู้ว่ารัก ________ โอเซฮุน

    • อัปเดตล่าสุด 9 ก.พ. 60








    Known..แค่รู้ว่ารัก  ตอนที่ 8
    By :: เบบี้เยลโล่




    มาเล่นแท็ก #FicKnown กัน ขอบคุณเจ้าของภาพด้วยค้าบ





                 ก๊อก ก๊อก ก๊อก

     

                สายตาคมของลู่หานละจากการเซ็นเอกสารในแฟ้มหนาไปมองที่ประตู ก่อนจะพบกับร่างเล็กของเลขาคนสนิทที่ก้าวเข้ามาพร้อมกับหอบแฟ้มหนาหลายแฟ้ม

     

                “ผมเอาแฟ้มงานสรุปเรื่องการเซ็นสัญญาที่ผ่านมารวมถึงยอดกำไรในช่วงสองไตรมาสมาให้ครับ” คยองซูเอ่ยบอกคนเป็นนาย มือเรียวค่อยๆ วางแฟ้มงานที่ได้รายงานอีกคนลงบนโต๊ะทำงานของผู้เป็นนายทีละแฟ้ม

     

                “บ่ายนี้มีนัดอะไรไหม?” ลู่หานถามในขณะที่มือยังเซ็นเอกสารไม่หยุด

     

                “บ่ายนี้เจ้านายมีนัดทานข้าวกับท่านรัฐมนตรีเพื่อคุยเกี่ยวกับสัมปทานที่กำลังจะเปิดประมูลครับ” เสียงใสกล่าวรายงานออกมาทันทีที่ผู้เป็นนายเอ่ยถาม ก็ตารางงานของเจ้านายน่ะ โดคยองซูคนนี้จำแม่นยิ่งกว่าอะไรซะอีก ลู่หานขมวดคิ้วเล็กๆ อย่างใช้ความคิดก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาน้อยๆ แล้วพยักหน้ารับ

     

                “เจ้านายมีอะไรหรือเปล่าครับ มีธุระอะไรด่วนให้ผมเคลียเรื่องนัดกับท่านรัฐมนตรีออกไปก่อนไหมครับ?” คยองซูที่ยืนเอามือกุมกันไว้ที่ระดับเข็มขัดเอ่ยถามผู้เป็นนายตามหน้าที่ เหตุการณ์แทรกคิวหรือสลับคิวนัดของเจ้านายน่ะเขาเจอมาจนนับครั้งไม่ถ้วน ถือเป็นหน้าที่อย่างหนึ่งที่เลขาอย่างเขาจะต้องสามารถบริหารจัดการเวลาให้ได้ตามที่อีกคนต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว

     

              ใครบอกว่างานเลขาจะสบายกัน

     

                “ไม่เป็นไรงานนี้ก็สำคัญไม่แพ้กัน” ลู่หานส่ายหัวพร้อมกับเอ่ยปฏิเสธ

     

                “ผมได้ยินข่าวว่าเจ้านายยังไม่กลับไปนอนที่บ้านอีกหรอครับ?” คยองซูเอ่ยถามต่อเพราะเขาครางแครงใจกับประเด็นนี้มาหลายวัน หลังจากที่กลับจากอเมริกาซิ่วหมินก็ขอนอนที่บ้านหนึ่งคืน เขาก็ยอมอีกฝ่ายแต่หลังจากนั้นเขาก็ต้องอยู่เคลียงานที่บริษัทเปิดโอกาสให้อีกคนได้หาข้ออ้างขอค้างที่บ้านต่อ ตั้งใจว่าหากบ่ายนี้ไม่มีอะไรจะไปรับอีกคนกลับมานอนกอดที่บ้านให้ได้

     

                “ก็ว่าจะกลับวันนี้แหละ” ลู่หานตอบกลับไปสั้นๆ ก่อนมือหนาจะค่อยๆ ยิ้มแฟ้มที่วางเรียงกันอยู่มาเปิดอ่านแล้วเซ็นต่อ หวังจะให้งานที่วางกองอยู่ตรงหน้าลดลงบ้าง

     

                “ดีแล้วครับเจ้านาย ผมเห็นเจ้านายนอนที่นี่มาหลายวันแล้วกลับไปรับคุณซิ่วหมินกลับบ้านดีกว่า” คยองซูพยักหน้ารับคำพูดเจ้านายหนุ่ม ก่อนจะเอ่ยขอตัว ลู่หานชะงักมือที่กำลังเซ็นชื่อตัวเองลงบนเอกสาร ใบหน้าหล่อเลื่อนไปมองกรอบรูปที่ตักอยู่บนโต๊ะทำงานซึ่งเป็นรูปของเขากับคนรัก ใบหน้าหวานของซิ่วหมินยิ้มกว้างจนดวงตาปิด ร่างสูงถอนหายใจยาวๆ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารในมือแล้วเซ็นต่อ

     

                ครืด ด ด

     

                ร่างเล็กของเลขาหน้าห้องก้มลงหยิบมือถือที่สอดไว้ในกระเป๋ากางเกงหลังจากหันไปปิดประตูห้องทำงานของเจ้านายตัวเองลงอย่างเบามือ

     

                “ฮะพี่จงอิน” มือเรียวกดรับ

     

                /เป็นยังไงบ้าง/ ปลายสายถามออกมาห้วนๆ คยองซูยิ้มขำก่อนขาเล็กจะก้าวยาวๆ ไปนั่งที่โต๊ะทำงานส่วนตัวแล้ววางแฟ้มในมือลงบนโต๊ะ ใบหน้าหวานได้รูปยู่ปากก่อนจะเอ่ยตอบพี่คนสนิท

     

                “ถามถึงผมหรือว่าเจ้านายล่ะ”

     

                /ทั้งสอง/ คิมจงอินตอบกลับ คยองซูเบ๋ปากงอนๆ แม้จะรู้ว่าคนปลายสายคงไม่เห็นปฏิกิริยาของตน เขาน่ะสนิทกับพี่จงอินก่อนจะมาทำงานกับลู่หานซะอีก แรกๆ ที่รู้จักกันก็เกร็งๆ เพราะอีกคนนิ่งซะเหลือเกิน แต่พอได้คุยได้รู้จักกันก็พอจะรู้นิสัยว่าคิมจงอินน่ะเป็นคนไม่เก่งในการสื่อสาร แต่ฝีมือการต่อสู้ไม่เคยเป็นสองรองใคร

     

                “เจ้านายกินอยู่ที่นี่มาหลายวันแล้วเพราะเคลียเรื่องโปรเจ็คที่เพิ่งไปเซ็นสัญญามา ผมต้องเป็นคนกลับไปเอาเสื้อผ้ามาให้แถมยังต้องส่งข้าวส่งน้ำให้อีกแม้จะดูนิ่งๆ แต่ก็น่าเป็นห่วงฮะเล่นทำงานหามรุ่งหามค่ำผมว่าคงเพราะอยากรีบเคลียให้จบจะได้ไปรับคุณซิ่วหมิน” ปากเล็กเอ่ยรายงานอีกคนเหมือนเป็นกิจวัตร แม้คิมจงอินจะถูกเรียกให้ไปคอยอารักขานายหญิง แต่ร่างสูงก็อดไม่ได้ที่จะไต่ถามถึงความเป็นไปของผู้เป็นนาย

     

                “ส่วนผมก็สบายดี ยุ่งเหมือนเดิมแหละ” คยองซูว่าต่อ พร้อมกับขาเล็กที่ดีดขากับพื้นเพื่อดันเก้าอี้ให้เลื่อนไปยังตำแหน่งเป้าหมาย พรางเอียงคอหนีบโทรศัพท์เครื่องเล็กของตนไว้แล้วเอื้อมไปหยิบเอกสารที่วางอยู่บนเครื่องโทรสารสีขาว คิ้วเรียวขมวดเล็กๆ ก่อนจะไล่สายตาอ่านเอกสารคร่าวๆ แล้วยันขากับพื้นอีกครั้งเพื่อเลื่อนเก้าอี้กลับมายังตำแหน่งเดิม มือเรียวเลื่อนไปหยิบปากกาไฮไลท์แล้วขีดลงบนใจความสำคัญของเอกสาร

     

                “เห็นเซฮุนบอกฉันว่าช่วงนี้นายกลับดึกบ่อยๆ ยังไงก็ระวังตัวด้วยล่ะ” มือเรียวที่กำลังจดหยิกๆ ลงบนเอกสารหยุดชะงักเมื่อได้ยินประโยคห่วงใยส่งมาจากคนในสาย ปากเล็กหยักยิ้มกับตัวเอง พี่จงอินโทรถามเซฮุนหรอเนี้ย ไม่อยากจะเชื่อ

     

                “รู้แล้วน่า ว่าแต่พี่เถอะอย่าปล่อยให้ตัวเองถูกยิงเหมือนคราวที่แล้วอีกนะ เห็นแก่คุณซิ่วหมินที่ปลอดภัยถ้าผิดสัญญาอีกผมจะไม่หายโกรธจริงๆ ด้วย เตะต่อยยังพอรับได้แต่ถูกยิงน่ะมันเกินไปแล้วนะรู้ไหม” คยองซูเอ็ดอีกฝ่าย คิมจงอินขำน้อยๆ ในลำคอเมื่ออีกคนทวงสัญญาจากเขากลายๆ

     

              สัญญานะว่าจะไม่ทำให้ตัวเองได้รับอันตราย

     

              ใบหน้าเล็กของอีกคนเอ่ยพูดเสียงจริงจังกับเขา พรางยกนิ้วก้อยขึ้นมาชูตรงหน้า

     

              แต่พี่เป็นบอดี้การ์ดนะ

     

              คิมจงอินตอบกลับร่างเล็กของอีกคนกลับ ใบหน้าหวานของโดคยองซูงอง้ำด้วยความขัดใจ

     

              ไม่รู้ล่ะยังไงพี่ต้องสัญญากับผม!

     

              ร่างเล็กในวัยเด็กไม่ฟังไม่พอ ยังเอ่ยออกมาอย่างเอาแต่ใจ น้ำใสเริ่มรื่นเต็มหน่วยตา จงอินถึงกับยกมือขึ้นมากุมขมับ เพราะเขาเพิ่งตอบรับลู่หานเรื่องการมารับตำแหน่งบอดี้การ์ดฝึกหัดจึงมาบอกคยองซูที่เป็นเหมือนน้องชายของเขา

     

              “พี่ไม่อยากสัญญาในสิ่งที่ไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถทำได้ร้อยเปอร์เซ็น” จงอินบอกออกมาอย่างหนักใจ

     

              “ถ้าพี่ไม่สัญญาผมจะไปสมัครเป็นบอดี้การ์ดด้วย!” คยองซูเอ่ยบอกเสียงดัง จงอินเงยหน้าไปมองร่างเล็กของอีกคน ใบหน้าหล่อคมถอนหายใจก่อนจะยื่นมือสองข้างไปวางที่ไล่เล็กแล้วออกแรงบีบเบาๆ

     

              “สิ่งที่พี่สัญญาได้มีแค่อย่างเดียวคือพี่จะไม่ตายก่อนที่จะวางใจได้ว่าเราจะมีคนที่ดูแลได้ดีกว่าพี่ พี่จะไม่ตายจนกว่าโดคยองซูคนนี้จะเจอคนที่รักเขามากกว่าชีวิต” ใบหน้าคมจ้องมองไปที่ใบหน้าหวานของอีกคนแล้วพูดเสียงหนักแน่น เขาไม่อยากเป็นคนผิดสัญญา เขารู้ว่าหากเลือกเดินในอาชีพนี้มีโอกาสสูงที่เขาจะตายเพื่อปกป้องคนเป็นนาย เพื่อสายเลือดที่สืบทอดกันมาหลายต่อหลายรุ่นสายเลือดที่เกิดมาเพื่อปกป้องคนในตระกูลเสี่ยว แต่คิมจงอินคนนี้จะไม่ยอมตายง่ายๆ!

     

                “หมาลอบกัด” คิมจงอินตอบกลับ คยองซูจึงได้แต่พ่นลมหายใจออกมาทางจมูก เขาก็แค่เป็นห่วง พี่จงอินน่ะทำอะไรไม่เคยนึกถึงตัวเองมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่จะทำยังไงได้ในเมื่ออีกคนก็สายเลือดบอดี้การ์ดเข้มข้นซะขนาดนั้นจึงได้แต่เอ่ยเตือนอีกคนซ้ำไปซ้ำมาทุกครั้งที่อีกคนออกไปปฏิบัติภารกิจ

     

                “กินข้าวให้ตรงเวลาด้วยนะ ผมต้องทำงานแล้วล่ะ เจ้านายต้องออกไปพบท่านรัฐมนตรีฮันซึงโฮบ่ายนี้” ร่างเล็กเอ่ยบอกปลายสายก่อนจะเอ่ยขอตัว จงอินรับคำสั้นๆ ก่อนจะกดตัดสายไป

     

                ก๊อก ก๊อก

     

                เสียงเคาะโต๊ะทำให้โดคยองซูที่กำลังหัวหมุนอยู่กับการจัดเอกสารเข้าแฟ้มเงยหน้าขึ้น พรางเลิกคิ้วถาม

     

                “ว่าไงเซฮุน”  คยองซูเอ่ยถามเด็กชายที่สวมชุดนักเรียนไฮสคูล เสื้อนักเรียนที่ถูกปล่อยออกมาจากขอบกางเกง สะพายกระเป๋าเป้แถมยังชอบใส่หูฟังอยู่ตลอดเวลา



     

                โอเซฮุนบอดี้การ์ดฝีมือดีรองลงมาจากคิมจงอิน แม้จะอายุยังน้อยแต่ฝีมือนับว่าไม่ธรรมดา ถึงบางครั้งจะติดนิสัยขี้เล่นแต่เวลาทำงานกลับเป็นคนที่จริงจังและเด็ดขาด มีจุดเด่นอยู่ที่สามารถทำงานได้อย่างเงียบเชียบเพราะเจ้าตัวได้รับการฝึกฝนให้เป็นนินจามาตั้งแต่ยังเด็ก

     

                นอกจากจะรับทำงานให้กับเสี่ยวลู่หานแล้ว โอเซฮุนยังมีศักดิ์เป็นน้องชายของคิมจงอิน เพราะแม่ของเขาเป็นน้าสาวของคิมจงอิน เซฮุนไม่ใช่สายเลือดบอดี้การ์ดประจำตระกูลเสี่ยวโดยตรงแต่เพราะเป็นคนรักสนุกและชอบลองในสิ่งที่ท้าทายจึงรับทำงานให้ลู่หานลับๆ

     

                ข้อดีอีกข้อของโอเซฮุนก็คือ..เขาเป็นเพียงเด็กวัยมัธยมปลาย ทำให้ตัวเองไม่เคยถูกเพ่งเล็งจากศัตรู เป็นข้อดีที่ทำให้เขาสามารถทำงานได้สะดวกมากขึ้น

     

                “ขอเข้าไปหน่อยสิพี่” ใบหน้าหล่อใสเกลี้ยงเกลายื่นหน้าเข้าไปชิดกับคยองซูสองมือท้าวไปกับโต๊ะทำงานจนอีกฝ่ายต้องผละออกเองเอ่ยบอกพรางยิ้มตาหยีจนแทบไม่เห็นดวงตา

     

              เพี้ยะ

     

                “โอ้ยพี่! นี่มือหรือตีนเนี้ยหนักชะมัด” โอเซฮุนร้องโอดครวญพรางยกมือขึ้นมาลูบหัวตัวเองบริเวณที่โดนคนตัวเล็กฟาดมือลงมาแบบไม่คิดจะยั้งแรง

     

                “นายมาแกล้งฉันก่อนทำไมเล่า!” คยองซูว่ากลับพรางจ้องอีกคนอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ เขาบอกหรือยังว่าเขาไม่กินเส้นกับโอเซฮุนคนนี้ ไอ้บ้านี่ชอบแกล้งเขาทุกครั้งที่เจอ ไอ้เด็กโรคจิต!

     

                “โห่เขาไม่ได้เรียกแกล้ง เขาเรียกว่าทักทายแบบโคลสอัพ!” เซฮุนเถียงกลับน้ำขุ่นๆ ใบหน้าหล่อกระพริบตาปริบๆ เน้นย้ำคำพูดที่จริงจังของตน คยองซูยืนท้าวสะเอวพรางจิ๊ปาก

     

                “มีธุระไม่ใช่หรอ รีบเข้าไปสิ!”  ก็รู้อยู่แล้วว่าต่อปากต่อคำกับโอเซฮุนน่ะไม่สนุก ไม่น่าไปเสวนากับไอ้เด็กนี่เลย คยองซูเอ่ยปากไล่อีกคน เซฮุนหลุดหัวเราะอย่างอารมณ์ดีก่อนจะหยิบช็อกโกแลตในกระเป๋ากางเกงออกมากองบนโต๊ะคยองซู

     

                “อ่ะผมให้” ว่าจบก็ก้าวยาวๆ ไปเปิดประตูห้องของลู่หานแล้วหายเข้าไปในห้อง

     

                “ไอ้เด็กนี่!” คยองซูถลึงตาโตมองตามร่างสูงเพรียวของเซฮุน พรางบ่นด้วยความหงุดหงิด มาทีไรก็เอาขนมมาให้เขาตลอด จนน้ำหนักขึ้นไม่รู้ตัวแล้วเนี้ย มันเห็นเขาเป็นเด็กติดขนมหรือยังไงกัน!

     

     


                ก๊อก ก๊อก

     

                “อ้าวมาแล้วหรอ” ลู่หานหันไปทักคนที่เปิดประตูห้องทำงานเขาเข้ามาแล้ววางปากกาลง เซฮุนตีสีหน้าเงียบขรึม ปรับโหมดจากคนขี้เล่นเมื่อกี้กลายเป็นจริงจังเดินเข้ามายืนหน้าโต๊ะของลู่หานแล้วโค้งหัว

     

                “นั่งสิ เรื่องที่ให้ไปจัดการได้ความว่ายังไง?” เซฮุนโค้งให้ลู่หานอีกครั้งก่อนจะเลื่อนก้าวอี้ออกเล็กน้อยแล้วแทรกตัวลงนั่ง ลู่หานจึงเอ่ยเปิดประเด็น

     

                “นี่คือข้อมูลส่วนตัวของท่านรัฐมนตรีฮันซึงโฮครับ” เซฮุนเปิดกระเป๋าของตนเองแล้วหยิบเอาแฟรชไดร้ฟสีดำสนิทของตัวเองออกมาเลื่อนส่งให้ผู้เป็นนาย ลู่หานเลิกคิ้วมองสิ่งที่เซฮุนยื่นให้นิ้วเรียวเคาะลงบนโต๊ะเป็นจังหวะอย่างใช้ความคิด

     

                “ลับแค่ไหน?” ริมฝีปากหยักเอ่ยถาม เซฮุนเลื่อนสายตาขึ้นไปประสานกับลู่หานอย่างไร้ความรู้สึก

     

                “ลับสุดยอด

     

     

    ++++++++++++++++++++++++++


     

                คยองซูกระชับแฟ้มในมือที่กอดไว้ พรางก้าวตามผู้เป็นนายตามหลังมาด้วยบอดี้การ์ดของลู่หานสองคน ตลอดทางที่เดินเข้ามาดวงตากลมโตพยายามสอดส่องทางที่เดินตามผู้เป็นนายเข้ามาเพื่อเก็บข้อมูลตามสัญชาตญาณของเลขา

     

                ร้านอาหารสุดหรูใจกลางเมืองแห่งนี้เป็นธุรกิจของครอบครัวท่านรัฐมนตรีฮันซึงโฮตามความเข้าใจของคนภายนอกแต่จริงๆ แล้วก็คือธุรกิจของท่านรัฐมนตรีที่เอาชื่อของคนในครอบครัวมาอ้างเป็นฉากบังหน้าเท่านั้น

     

                “สวัสดีครับ”  ขาเล็กหยุดตามผู้เป็นนาย เมื่อลู่หานหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องๆ หนึ่งพร้อมกับคนนำทาง คนของท่านรัฐมนตรีก้าวออกมาต้อนรับร่างสูงของลู่หานกระชับสูทก่อนจะค่อมหัวให้อีกฝ่ายตามมารยาท

     

                “ผมเสี่ยวลู่หานมาพบท่านรัฐมนตรีตามที่ได้นัดไว้” ลู่หานเอ่ยบอกเสียงเรียบ

     

                “เชิญคุณลู่หานนั่งรอท่านสักพักนะครับ ผมจะไปตามท่านให้” เลขาของฮันซึงโฮผายมือเชิญลู่หานเข้าไปยังห้องรับรองด้านในที่จัดอาหารไว้รออยู่แล้ว ลู่หานพยักหน้ารับน้อยๆ พรางหันไปพยักหน้าเรียกคยองซูให้ก้าวตามเข้าไปด้านใน ส่วนบอดี้การ์ดสองคนที่ตามมายืนรออยู่หน้าห้องรับรอง ถือเป็นมารยาทอย่างหนึ่งที่ท่านรัฐมนตรีกำหนดเอาไว้

     

                “รอนานไหมคุณเสี่ยว” ร่างหนาของฮันซึงโฮก้าวเข้ามาในห้องรับรองหลังจากที่ลูกน้องมารายงานได้สักพักว่าเสี่ยวลู่หานประธานบริษัท Luxia กรุ๊ปมาถึงแล้ว ลู่หานลุกขึ้นยืนพร้อมกับคยองซูก่อนจะโค้งหัวให้บุคคลที่มาใหม่

     

                “ไม่ครับ” ลู่หานตอบ ก่อนจะนั่งลงตามร่างหนาที่ก้าวมานั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเขายิ้มๆ ด้วยชุดเสื้อโปโลคอปกและกางเกงสแล็คสีดำแม้จะแต่งกายธรรมดาแต่ก็ดูภูมิฐานสมกับวัยและตำแหน่งรัฐมนตรี

     

                “งั้นเราทานกันไปคุยกันไปสบายๆ ดีกว่านะ ผมไม่ชอบอะไรที่มันเคร่งเครียดหรือน่าอึดอัด” ฮันซึงโฮว่าต่อยิ้มๆ ก่อนจะดึงผ้ากันเปื้อนมากางแล้ววางลงบนตัก ลู่หานพยักนหน้ารับ มือหนาเลื่อนไปหยิบผ้ากันเปื้อนที่วางอยู่บนจานมาวางไว้บนตักเช่นเดียวกับรัฐมนตรีฮันซึงโฮ

     

                “ผมอ่านข้อเสนอที่คุณส่งมาแล้วนะคุณเสี่ยว” ฮันซึงโฮเปิดประเด็นพรางใช้มีดตัดสเต็กในจานช้าๆ แล้วใช้ซ่อมจิ้มเนื้อเข้าปาก ลู่หานชะงักมีดในมือแล้วเลื่อนหน้าขึ้นสบตากับชายวัยกลางคนชั่วครู่แล้วขยับมือตัดเนื้อในจานต่อโดยไม่พูดอะไรเพื่อเปิดโอกาสให้ฮันซึงโฮพูดต่อ

     

                “คุณรู้หรือเปล่าว่าฝั่งนั้นเขาเสนอให้ผมมากกว่าคุณหลายเท่า” ฮันซึงโฮพูดพรางหยิบน้ำขึ้นมาจิบ พร้อมกับเลิกคิ้วถาม ลู่หานยิ้มเป็นการยอมรับกลายๆ

     

                “มันเสี่ยงนะกับการที่จะยกคะแนนให้กับฝั่งของคุณ” ฮันซึงโฮยักไหล่ให้ลู่หาน เขานึกว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้ซะอีกว่าคู่แข่งเสนอผลตอบแทนให้เขาเท่าไหร่จึงได้เปรยออกไป เผื่ออีกคนจะฮึดสู้ให้ผลตอบแทนเขามากกว่า แต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มคนนี้จะใจไม่ถึงพอ ฮันซึงโฮนึกเยาะเย้ยลู่หานในใจ

     

                “เลขาของท่าน..” ลู่หานเปรยขึ้นยิ้มๆ ฮันซึงโฮชะงักมีดในมือก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปเลิกคิ้วให้เด็กหนุ่มรุ่นลูก

     

                “เลขาของฉันทำไมรึ?”

     

                “มองๆ ดูแล้วก็มีส่วนคล้ายผู้หญิงอยู่เหมือนกันนะครับ” ลู่หานบอกต่อยิ้มๆ ใบหน้าหล่อพูดโดยไม่มองคู่สนทนาเหมือนประเด็นที่พูดอยู่เป็นเพียงเรื่องไร้สาระที่หยิบขึ้นมาพูดฆ่าเวลา

     

              กึก

     

                ฮันซึงโฮชะงัก ดวงตาคมเข้มน่าเกรงขามที่ดูเป็นคนง่ายๆ ในตอนแรกที่ได้สบตาแปรเปลี่ยนเป็นคมกร้าวขึ้นทีละน้อย ลู่หานลอบมองสังเกตอาการก่อนจะลอบยิ้มในใจ พอใจกับข้อมูลที่เซฮุนหามาได้

     

                “ผมว่าเขาก็ดูปกติดี คุณอาจจะอยู่กับภรรยามากไปเลยมองว่าผู้ชายบางคนก็สวยได้ ผมว่าคุณอาจจะพักผ่อนน้อยควรหาเวลาพักผ่อนบ้างนะคุณลู่หาน” ฮันซึงโฮบอกเสียงเรียบพร้อมเปลี่ยนสรรพนามเรียกลู่หาน สายตาคมดุปรายตาไปยังเลขาที่ยืนนิ่งอยู่ตรงมุมห้อง ก่อนจะเพยิดหน้าไล่ เลขาของฮันซึงโฮที่กำลังตกเป็นเป้าสายตาของลู่หานและคยองซูโค้งหัวให้ฮันซึงโฮก่อนจะก้าวออกไปจากห้องตามคำสั่ง ลู่หานลอบยิ้มอีกครั้ง

     

                “ก็อาจจะเป็นไปได้ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะครับ”

     

                “แต่จะว่าไปทำไมวันนี้ไม่พาภรรยาของคุณมาทานข้าวกับผมล่ะ เจอกันที่งานวันนั้นผมก็ยุ่งๆ อยู่กับรัฐมนตรีคนอื่นๆ ไม่มีโอกาสเข้าไปทักทาย ภรรยาของคุณสบายดีใช่ไหม” ฮันซึงโฮนึกฉุนกับอาการของคู่สนทนา หึ ไอ้เด็กเมื่อวานซึนคิดจะมาลูบคมรัฐมนตรีอย่างเขางั้นหรือช่างเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่เจียมกะลาหัวของตัวเองซะจริงๆ ฮันซึงโฮลอบมองลู่หานด้วยแววตาวาวโรจน์ก่อนจะเอ่ยเปลี่ยนประเด็นที่เขาก็รู้ว่ามันคือจุดอ่อนของไอ้เด็กนี่ ซึ่งก็ได้ผลเมื่อลู่หานชะงักไปนิดก่อนจะปรับสีหน้าเป็นยิ้มมุมปากให้เขา

     

                “ตอนนี้ภรรยาผมเขากลับไปอยู่ที่ตระกูลคิมชั่วคราวเพราะงานของผมที่ยุ่งจนไม่มีเวลา แต่ท่านไม่ต้องห่วงนะครับตระกูลคิมดูแลภรรยาผมเป็นอย่างดีก็ลูกคนเล็กของท่านคิมแจกุกทั้งคนนิครับ” ลู่หานแกล้งแสดงสีหน้าตกใจให้ฮันซึงโฮเห็นแล้วปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนจะเอ่ยบอกฮันซึงโฮพร้อมกับเน้นย้ำให้อีกคนเห็นว่าหากแตะต้องคนของเขาแล้วจะเจอกับอะไร แน่นอนว่าตระกูลคิมคงไม่อยู่เฉยพอๆ กับเขา

     

                ฮันซึงโฮพึงพอใจในตัวภรรยาเขา..

     

                นี่คืออีกความลับหนึ่งที่โอเซฮุนล้วงมาได้

     

                “หึ คุณยังอ่อนประสบการณ์มากนักคุณลู่หาน ฮ่าๆ ผมชอบความตรงไปตรงมาของคุณจริงๆ แต่ผมขอเตือนด้วยความหวังดีในฐานะที่ผมอาบน้ำร้อนมาก่อนคุณว่าความตรงไปตรงมาของคุณอาจจะทำให้คุณพลาดงานสำคัญๆ ก็ได้” ฮันซึงโฮกำช้อนแน่นเมื่อโดนลู่หานส่งคำขู่กลายๆ มาหาเขา ร่างท้วมมองลู่หานด้วยสายตาแข็งกร้าวก่อนจะเอ่ยเตือนออกไปด้วยใบหน้ายิ้มๆ แต่มีหรือที่จะหลุดรอดสายตาของลู่หาน ในเมื่ออีกคนยิ้มแต่ปากกับหน้าแต่ดวงตาแข็งกร้าวที่พุ่งตรงมาที่ร่างสูงมันชัดเจนจนคนที่ยืนอยู่ด้านหลังลู่หานอย่างโดคยองซูยังสัมผัสได้

     

                “ครับ ผมยอมรับว่าประสบการณ์ของผมยังน้อยนักเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ แต่ผมอยากให้ท่านดูของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ที่ผมตั้งใจเอามาฝากท่านสักหน่อย” ลู่หานรับคำ ก่อนมือหนาจะเลื่อนไปหยิบซองกระดาษสีน้ำตาลที่คยองซูยื่นให้แล้วยื่นส่งต่อให้ฮันซึงโฮ ร่างท้วมของฮันซึงโฮหรี่ตามองซองกระดาษที่ลู่หานส่งมาให้พร้อมกับเลื่อนมือไปหยิบมาเปิดดู ก่อนที่ฮันซึงโฮจะขบกรามแน่นจนเป็นสันด้วยความโกรธ

     

                “คุณคิดจะทำอะไร!!?” ฮันซึงโฮสบถดังลั่น พรางเขวี้ยงรูปภาพทิ้งจนเกลื่อนห้องอย่างบรรดาลโทสะ

     

                “การประมูลครั้งนี้สำคัญกับผมมากผมหวังว่าท่านจะให้การสนับสนุนผม อีกอย่างผมว่าท่านคงไม่อย่างเสี่ยงหลุดออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีง่ายๆ ด้วยเรื่องฉาวโฉ่ที่ท่านทำหรอกนะครับ ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้หวังว่าเราคงจะได้ร่วมงานกันอีก” ลู่หานลุกขึ้นยืนตรงพรางกระชับสูท สายตาคมสบตามองตรงกับฮันซึงโฮก่อนจะบอกต่อด้วยเสียงจริงจังดุจราชสีห์ ขายาวก้าวออกจากก้าวอี้เล็กน้อยก่อนจะค่อมหัวให้ฮันซึงโฮแล้วก้าวออกไปจากห้องทิ้งให้ร่างท้วมที่อยู่ด้านหลังกวาดทุกทิ้งทุกอย่างบนโต๊ะกระจายไปทั่วห้อง

     

     





    ++++++++++++++++++++++++++


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×