ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic] Known..แค่รู้ว่ารัก - Lumin, Krisyeol - EXO

    ลำดับตอนที่ #8 : Known..แค่รู้ว่ารัก ________ ตอนที่ 7

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.ค. 58








    Known..แค่รู้ว่ารัก  ตอนที่ 7
    By :: เบบี้เยลโล่




    มาเล่นแท็ก #FicKnown กัน



                “สวัสดีครับคุณชานยอล” ใบหน้าหล่อเรียบก้มโค้งหัวให้ชานยอลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยทักร่างเพรียวสูงของคนที่เปิดประตูลงจากรถคู่ใจก่อนจะฉีกยิ้มมุมปากให้น้อยๆ ใบหน้าสวยหวานพูดบึ้งแต่ก็ยังก้มหัวรับอย่างรักษามารยาท

     

                ดวงตากลมโตกวาดมองด้านนอกของผับอย่างสำรวจ ไม่อยากจะเชื่อว่านี่จะเป็นสถานที่ทำงานของไอ่มาเฟียขี้เก็กนั่น สถานที่โอ่อ่าที่แม้แต่มองจากด้านนอกยังรู้สึกว่าตกแต่งได้อย่างลงตัวและหรูหรา คราวหลังคงต้องหาโอกาสมาบ่อยๆ

     

                “ตามผมมาเลยครับบอสกำลังรออยู่” ร่างสูงของหัวหน้าบอดี้การ์ดพ่วงด้วยตำแหน่งบอดี้การ์ดประจำตัวของหัวหน้ามาเฟียเอ่ยชวน พร้อมมือหนาที่ผายออกอย่างให้เกียรติ ชานยอลเม้มปากน้อยๆ ก่อนขายาวจะก้าวเดินตามร่างสูงของชายชุดดำไป

     

                ทำไมมาเฟียต้องชอบในใส่ชุดดำ แถมยังต้องทำหน้านิ่งเวลาคุยกับฝ่ายตรงข้ามเขาล่ะไม่เข้าใจจริงๆ หรือว่านี่เป็นกฏอีกข้อหนึ่งของการเป็นมาเฟียหรอกหรือ ชานยอลได้แต่กวาดสายตาสำรวจคนที่เดินนำอยู่ตอนนี้ พร้อมสายตากลมที่สอดส่องไปยังบริเวณรอบๆ ขณะเดินเข้ามาในผับหรู มีพนักงานที่กำลังตรวจเช็คความเรียบร้อยภายในผับ ไม่อยากจะเอ่ยชมหรอกนะว่าพนักงานในร้านนี้คัดเลือกบุคคลเข้ามาทำงานจากหน้าตาหรือยังไง ไม่ว่าจะเป็นพนักงานหญิงหรือชายต่างก็เต็มไปด้วยบุคคลหน้าตาดีทั้งนั้น ไปเป็นดาราได้สบาย

     

                ก๊อก ก๊อก ก๊อก

     

                ร่างเพรียวหันกลับมาจ้องที่หน้าประตูหนาที่มีร่างสูงบุคคลที่เขาเคยเห็นติดตามอู๋อี้ฟายอยู่บ่อยครั้งยืนอยู่หน้าประตูทั้งสองฝั่ง ทั้งสองคนค่อมหัวให้ชานยอลเล็กน้อยก่อนที่คนที่ยืนฝั่งซ้ายมือเขาจะก้าวไปเคาะประตูและเอ่ยบอกคนด้านในว่าตอนนี้เขามาถึงแล้ว

     

                “บอสครับคุณชานยอลมาแล้วครับ”

     

                “เชิญ” คนด้านในบอกออกมาเสียงเรียบ ชานยอลเบ๋ปากเล็กๆ อย่างหมั่นไส้

     

                “เชิญครับคุณชานยอล” คนตัวสูงที่มีขอบใต้ตาดำผายมือเชิญชานยอลแล้วยิ้มน้อยๆ ชานยอลพยายามนึกชื่อเขาเท่าไหร่ก็จำไม่ได้นึกตำหนิตัวเองที่ไม่ค่อยใส่ใจสิ่งรอบข้าง มันค่อนข้างเสียมารยาททั้งๆ ที่เขาก็เคยเจออีกฝ่ายหลายครั้ง

     

                ก็มาพร้อมๆ กับไอ่คนขี้เก็กของเขานั่นแหละ

     

                “มาแล้วหรือ” เสียงเข้มเอ่ยถามพร้อมกับฉีกยิ้มให้ชานยอล แต่ทำไมชานยอลถึงรู้สึกว่าช่างเป็นรอยยิ้มที่แปลกจนเขารู้สึก..หนาวๆ รู้อนๆ

     

                “ก็เห็นอยู่” ปากเรียวเอ่ยบอกออกไปพร้อมกับเชิ่ดหน้าขึ้นน้อยๆ ก่อนจะก้าวไปทิ้งตัวนั่งลงที่โซฟาตัวใหญ่ ส่วนอีกคนนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานตัวโตในสภาพพับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นสองข้างไม่ใส่สูททำให้อีกคนดูแปลกตาไปนิด

     

                ก๊อก ก๊อก

     

                สายตาเรียวหันกลับไปที่ประตูหนาอีกครั้งก่อนจะขมวดคิ้ว เมื่อร่างสูงที่เขาเพิ่งเจอเมื่อกี้โผล่หน้าเข้ามาพร้อมกับมือที่ถือถาดแก้วน้ำมาให้

     

                “น้ำครับ”

     

                ชานยอลยิ้มน้อยๆ พร้อมกับยื่นมือไปรับแก้วน้ำอย่างเกรงใจ

     

                “ขอบใจเทาหมดหน้าที่ของนายแล้ว” สายตาคมกริบมองตามร่างบอดี้การ์ดคู่ใจ ก่อนจะเอ่ยบอกเสียงเรียบ นึกหงุดหงิดเล็กๆ ที่ร่างเพรียวส่งยิ้มให้กับคนของเขา ทีกับเขานี่ขู่เอาขู่เอา รอยยิ้มของอีกคนมันควรจะเป็นของเขาคนเดียวสิ

     

                เจ้าของชื่อเพียงหันมามองก่อนจะยิ้มรับอย่างรู้ใจคนเป็นนาย ก็รู้อยู่แล้วว่าเข้ามาจะต้องเจออีกคนทำเสียงเข้มใส่แต่มันก็หน้าที่ของเขาอยู่แล้วที่ต้องเอาน้ำมาให้แขกเพียงแต่หน้าที่นี้เอาแย่งมาจากแม่บ้านเท่านั้นเอง

     

                “คุณจะไปว่าเขาทำไม” หลังจากร่างสูงคนเทาออกไปแล้ว ชานยอลจึงหันกลับมาต่อว่าอีกคนเสียงขุ่น อู๋ฟานเลิกคิ้วสายตาคมจ้องมองไปที่อีกคนที่นั่งอยู่บนโซฟาก่อนจะเอนตัวลงพิงพนักเก้าอี้ตัวสูงสองมือยกขึ้นมากอดอก

     

                “คนของฉัน ฉันมีสิทธิ์” เอ่ยกวนอีกคนออกไป พร้อมกับเลิกคิ้ว ชานยอลตาโตเมื่อโดนอีกคนกวนกลับ

     

                “กวนตีน” ปากเรียวเอ่ยต่อว่าอีกคนเสียงเบาเหมือนกำลังบ่นกับตัวเอง พร้อมกับยกแก้วน้ำขึ้นจิบหวังช่วยให้น้ำเย็นดับอารมณ์ร้อนของตนเอง

     

                “หึ ฉันได้ยิน” อู๋ฟานขำในลำคอก่อนจะเอ่ยบอกอีกคนว่าตนนั้นได้ยินเต็มสองรูหู ใบหน้าหล่อฉีกยิ้มอย่างอารมณ์ดี แต่เพราะรอยยิ้มของอีกคนยิ่งทำให้คนที่นั่งอยู่บนโซฟาหงุดหงิดหนักขึ้นไปอีก

     

                “สรุปจะพูดไหม ไม่พูดจะได้กลับ!” ชานยอลกระแทกเสียงกลับ แล้วมองอีกคนตาขวาง อุตส่าห์ยอมขับรถมาทั้งที่ยังไม่ได้พักเลยสักนิดแต่อีกคนก็เอาแต่กวนอารมณ์ตนอยู่ได้

     

                “ใจเย็นๆ สิอย่าเพิ่งใจร้อน ฉันไม่รีบ” ดูเหมือนอู๋ฟานจะอารมณ์ดีซะเหลือเกินถึงได้กวนอีกคนต่อแบบนี้ ชานยอลกำมือแน่นทั้งสองข้างเมื่อเริ่มควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่

     

                เขาไม่ใช่คนใจเย็น

     

                “สภาพของเธอเหมือนคนยังไม่ได้นอนฉันว่า..”

     

                ฟิ้ว!!

     

                เพร้ง!!

     

                “......”

     

                “โอเคกูกลับละ”

     

                หมับ

     

                อู๋ฟานที่ตั้งสติได้หลังจากเอี้ยวตัวหลบแก้วน้ำที่อีกคนเขวี้ยงมาใส่หมายจะให้โดนหัวเขา ขายาวรีบก้าวตามไปขว้าข้อมือเรียวไว้ได้ทัน

     

                เขาก็ลืมไปว่าเสือน้อยตัวดีอารมณ์ร้อนแค่ไหน แอบรู้สึกผิดเล็กๆ ที่ไปกวนอารมณ์อีกคนมากไปเขาก็แค่อยากให้อีกคนได้พักบ้าง เขารู้ว่าอีกคนยังไม่ได้นอน

     

                อู๋อู๋ฟานคนนี้ก็แค่เป็นห่วงคนตาสวยนี่เท่านั้น..

     

                หูกางไม่พอยังดุชิบหายถ้าหลบไม่ทันเมื่อกี้สงสัยจะเป็นเขาเองที่ต้องไปนอนพักที่โรงพยาบาลแทน หลบกระสุนศัตรูมาตั้งเท่าไหร่ถ้าต้องมาตกม้าตายเพราะฝีมือเขวี้ยงแก้วของอีกคนได้อายพวกลูกน้องมันแย่

     

     

                “ปล่อย!” ชานยอลหันกลับมาบอกอีกคนเหวี่ยงๆ อีกมือพยายามแกะมือหนาที่เกาะกุมอยู่ที่มือของตัวเองออก

     

                “ไม่ ถ้าเมื่อกี้เกิดโดนฉันขึ้นมาเธอเจอดีแน่” อู๋ฟานรั้งแขนอีกคนให้เข้ามาชิดตัวมือหนาอีกข้างสอดเข้าไปที่เอวบางเพื่อจับยึดไม่ให้อีกคนดิ้นหนีแล้วเอ่ยเตือนเสียงเข้ม ชานยอลยกมือสองข้างขึ้นมากันอีกคนไม่ให้อกชิดกับอีกฝ่ายไม่อย่างนั้นหน้าของเขากับอีกคนคงจูบกันไปแล้ว

     

                “นี่!! ปล่อยนะบอกให้ปล่อยไง!” ชานยอลพยายามดิ้นหนีอีกคน แต่ยิ่งดิ้นก็เหมือนจะโดนอีกคนรัดแน่นมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้ตอนนี้ส่วนครึ่งบนของชานยอลกับอู๋ฟานไม่มีส่วนใดเลยที่มีช่องว่าง และดูเหมือนจะเข้าทางอู๋ฟานมากยิ่งขึ้นเมื่อร่างหนาดันอีกคนไปติดอยู่ที่ประตูก่อนใบหน้าหล่อจะโน้มเข้าไปชิดใบหูขาวจนอีกคนต้องหย่นหอหนี

     

                “พูดดีๆ แล้วฉันจะปล่อย” แม้ปากบอกว่าจะปล่อยแต่ใบหน้าหล่อกลับซุกอยู่ที่ซอกคอขาว ลมหายใจที่ปล่อยออกมารดต้นคออีกคนของร่างสูงกว่าส่งผลให้ปาร์คชานยอลถึงกับตัวแข็งทื่อ ลมหายใจสะดุด

     

                “อึก ก กูไม่ใช่คนของมึง ไม่ต้องมาสั่ง” ชานยอลกัดฟันตอบ

     

                “ฮ่ะๆ แต่รู้อะไรไหมเด็กน้อย..ในบรรดาคนทั้งหมดมีเธอแค่คนเดียวที่ฉันอยากได้มาเป็นคนของฉัน” อู๋ฟานเอ่ยบอกชิดหูอีกคน หากอีกคนได้เห็นสายตาที่เขาทอดมองอยู่ตอนนี้คงต้องหลอมละลายไปกับสายตากรุ้มกริ่มนั่นเป็นแน่ ชานยอลเอียงคอหนีเมื่อจมูกโด่งของอีกคนสัมผัสกับลำคอขาวจนเขารู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว

     

                “อื้อ! ปล่อยนะโว้ยไม่งั้นจะแหกปากให้คนช่วยจริงๆ ด้วย!” ชานยอลขู่ออกไปเสียงดัง มือสองข้างพยายามดันอีกคนให้ออกห่างจากร่างกาย

     

                “หึหึ ลืมไปแล้วหรือว่านี่มันผับของฉัน” อู๋ฟานขำแมวตัวน้อยที่ตัวเองกำลังกอดอยู่น้อยๆ ก่อนจะเอ่ยบอกอีกคนทั้งที่จมูกโด่งยังคงปัดป่ายไปที่ลำคอขาวไม่ห่างแต่ไม่ได้ล่วงเกินอีกคนมากไปกว่านั้น

     

                “......” อู๋ฟานอมยิ้มนิดๆ เมื่อโดนอีกคนดื้อเงียบใส่

     

                “โอเค งั้นจะอยู่คุยกันดีๆ ไหม?” คนตัวสูงเอ่ยยื่นข้อเสนอเมื่อพึงพอใจกับการแกล้งอีกคนแล้ว ชานยอลร้องหึในลำคอ

     

                “กูคุยดีๆ อยู่แล้วมีแต่มึงนั่นแหละกวนอยู่ได้”

     

                ฟอด ด ด

     

                ร่างสูงผละออกห่างจากอีกคนน้อยๆ ก่อนจะยื่นหน้าไปกดจูบที่แก้มขาวหนักๆ เพื่อเป็นการลงโทษ ชานยอลอ้าปากค้างเมื่อโดนอีกคนจู่โจม

     

                “จำไว้นะถ้าคิดจะทำร้ายร่างกายกันอีกฉันจะลงโทษด้วยการจูบและแน่นอนว่าฉันไม่ได้ขู่เธอเล่นๆ แน่” กล่าวคาดโทษอีกคนไว้ ก่อนจะพูดขัดเมื่ออีกคนทำท่าจะเอ่ยค้านเขา ชานยอลได้แต่เม้มปากแน่นเมื่อโดนอีกคนดักทางไว้

     

                “ว่าไง?” อู๋ฟานเอ่ยเร่งพร้อมกับเลิกคิ้วทวงคำตอบ

     

                “เออ!!

     

                “หึหึ” มือหนายกขึ้นมายีหัวอีกคนด้วยความเอ็นดูก่อนจะยอมถอยห่างแล้วรั้งแขนเรียวให้เดินตามมานั่งที่โซฟาตัวเดิม

     

                “ไอ้คนบ้าอำนาจ” ชานยอลบ่นอุบอิบเมื่อเริ่มยอมรับว่าตนเองคงสู้แรงอีกคนไม่ไหว เพื่อเป็นการป้องกันการโดนลวนลามเอ้ยโดนอีกคนทำร้ายร่างกาย เขาต้องอยู่ห่างจากอีกคนเอาไว้ จะยอมข้องเกี่ยวแค่ตอนจำเป็นเท่านั้นปาร์คชานยอลคนนี้สาบาน

     

                “เอาล่ะ ไหนลองเล่าให้ฉันฟังสิว่าไปรู้อะไรมา” อู๋ฟานทิ้งตัวลงนั่งโซฟาฝั่งตรงข้ามกับคนหน้าสวย ชานยอลสบตามองตรงไปที่ร่างสูงก่อนจะเอ่ยปากเล่าสิ่งที่ตนรับรู้มาให้อีกคนฟังด้วยใบหน้าเคร่งเครียด

     

                “ก็....”

     

    ++++++++++++++++++++++++++++

     

               

                “เจ้านายจะเข้าบริษัทก่อนหรือเปล่าครับ” ร่างเล็กที่กำลังก้าวไวๆ เดินตามเจ้านายเอ่ยถาม แล้วแกล้งมองไม่เห็นสายตาไม่พอใจจากหญิงสาวที่เดินเคียงข้างมากับผู้เป็นนาย

     

                “ไม่ละฉันจะไปรับซิ่วหมินที่บ้านก่อน” ลู่หานหันกลับมาตอบ ก่อนจะพยายามตำหนิหญิงสาวข้างๆ ทางสายตาเมื่ออีกคนพยายามเกาะติดกับแขนเขาไม่ห่าง

     

               

                “ลู่หานคะ  แทหิวมากเลยเราไปทานข้าวกันก่อนดีไหมคะ” เสียงหวานว่าขึ้นมาพร้อมกับยิ้มหวานเอาใจ

     

                “คยองซู” ลู่หานเอ่ยเรียกเลขาคนสนิท คยองซูยิ้มรับอย่างรู้ใจ ก่อนที่ร่างเล็กจะรีบเดินเข้าไปแทรกกลางคล้ายจะเข้าไปรับคำสั่งผู้เป็นนาย

     

                “ครับ” ตอบรับพลางยิ้มให้จนตาหยี แทยอนเซเล็กๆ เหมือนโดนคนที่ตัวหนากว่าเบียดเข้ามาก่อนจะกัดฟันอย่างเจ็บใจ

     

                “ไปส่งหุ้นส่วนของผมให้ถึงบ้านงานแค่นี้คงไม่ยากไปใช่ไหม?” ลู่หานเอ่ยบอกก่อนจะเดินแยกไปอีกทางพร้อมกับบอดี้การ์ดหน้าหล่ออีกสองคนที่เพียงอมยิ้มนิดๆ แล้วเดินตามผู้ว่าจ้าง

     

                “อ๊ะ! คุณแทยอนครับ” คยองซูก้าวเข้าไปขวางคิมแทยอนที่กำลังจะก้าวตามร่างสูงของผู้เป็นนายก่อนจะฉีกยิ้มน้อยๆ แทยอนจ้องร่างเล็กของอีกคนตาขวาง

     

                “แกจะมายืนขวางฉันทำไมไอ้บ้า!” ริมฝีปากบางเอ่ยต่อว่าอีกคนเสียงดัง ก่อนจะพยายามตามหลังร่างสูงของลู่หานที่เดินไปพร้อมกับบอดี้การ์ดหน้าหล่อที่เธอพยายามส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตรตลอดเวลาที่ไปติดต่องาน

     

                “ผมก็ไม่อยากยุ่งหรอกนะครับแต่พอดีเจ้านายเขาสั่งให้ผมเป็นคนไปส่งคุณแทยอน” คยองซูเอ่ยตอบกลับไป

     

                “ไม่ต้อง ฉันจะไปกับลู่หานไม่ใช่นาย” คิมแทยอนว่ากลับ

     

                “คุณคงไม่อยากให้เจ้านายของผมต้องลำบากใจหรอกใช่ไหมครับ ระวังคะแนนที่เร่งทำอยู่จะลดเอาน๊า” คยองซูพูดลอยๆ ก่อนจะเลิกคิ้วน้อยๆ คิมแทยอนชะงักไปนิดใบหน้าสวยหันกลับมามองที่คนตัวเล็กแล้วเม้มปาก

     

                นั่นสิ ถ้าเกิดดึงดันที่จะทำในสิ่งที่อีกคนบอกคะแนนที่เธอเร่งทำอยู่ตอนนี้ต้องลดฮวบลงอีกแน่ๆ ครั้งนี้เธอจะยอมปล่อยไปก่อนก็ได้

     

                คิมแทยอนยิ้มน้อยๆ ให้กับตัวเอง ยังก่อน..ยังมีเวลาให้เธอทำคะแนนอีกเยอะ

     

                “นำไปสิ” ริมฝีปากสวยเอ่ยสั่งก่อนจะเชิ่ดหน้าขึ้นน้อยๆ คยองซูยิ้มรับก่อนจะเป็นฝ่ายผายมือเชิญอีกคนแล้วเดินนำร่างเล็กยิ้มกับตัวเอง

     

                ภารกิจแยกคิมแทยอนออกจากเจ้านาย..มิชชั่นคอมพลีส

     

                “ผมมารับซิ่วหมินครับ” ร่างสูงของลู่หานเอ่ยบอกผู้เป็นมารดาของคนรักยิ้มๆ ด้วยใบหน้าอิดโรย คุณนายคิมที่ออกมายืนต้อนรับลูกเขยคนโปรดยิ้มรับอย่างใจดีก่อนจะกวักมือเรียกลู่หานเข้าบ้าน

     

                “เข้ามาข้างในก่อนสิลู่หานเพิ่งเดินทางมาเหนื่อยๆ ใช่ไหม” ลู่หานยิ้มน้อยๆ รับคำของมารดาคนรักก่อนจะเดิมตามหญิงวัยกลางคนที่ยังสวยไม่สร่างทั้งใบหน้าสวยหวานที่คนรักของเขาได้รับเชื้อมาเต็มๆ และผิวเนียนที่ส่งให้อีกคนยังดูอ่อนกว่าอายุอยู่มาก

     

                หลังจากที่แยกกับบอดี้การ์ดข้างตัวทั้งสองคนอย่างคิมคิบอมและหานฮันคยองที่เดินมาส่งเขาบริเวณลานจอดรถที่มีคนของเขาที่เกาหลีรอรับอยู่ทั้งสองก็ขอแยกตัวกับเขาทันทีเพราะถือว่าภารกิจคุ้มครองเขาในต่างแดนลุล่วงแล้ว

     

                ก่อนกลับจากอเมริกาเขาได้เรียกทั้งสองคนมาทำข้อตกลงใหม่เนื่องจากตอนนี้เขาได้ให้จงอินที่เป็นหัวหน้าบอดี้การ์ดประจำตระกูลไปคอยอารักขาคนรัก จึงอยากได้บอดี้การ์ดฝีมือดีมาร่วมงานเพิ่มและคนที่เขาสนใจคงจะเป็นใครไม่ได้นอกจากสองคนนี้

     

                ในครั้งแรกทั้งสองคนปฏิเสธเขาเสียงแข็งที่จะไม่รับงานนี้เนื่องจากทั้งสองเคยรับปากกับภรรยาอย่างคิมทงเฮและหานฮยอกแจไว้แล้วว่าจะไม่รับงานบอดี้การ์ดแบบเต็มเวลา พวกเขาจะรับเพียงงานคุ้มครองบุคคลเป็นภารกิจสั้นๆ เท่านั้น

     

                ลู่หานถึงกับต้องยกมือขึ้นมากุมขมับเพราะไม่ว่าเขาจะเสนอทางเลือกให้ทั้งสองมากมายสักเพียงใดทั้งคิมคิบอมและหานฮันคยองที่ยืนเอามือไขว้หลังกันไว้สองข้างอยู่ตรงหน้าก็ทำเพียงส่งสายตาปรึกษากันแล้วก็ส่ายหัวปฏิเสธเขาเหมือนเดิม

     

                สุดท้ายเป็นเขาที่ต้องขอยอมแพ้กับความมุ่งมั่นของบอดี้การ์ดฝีมือดีทั้งสอง งานนี้ลู่หานคงต้องกลับไปจ้างบอดี้การ์ดจากเกาหลีแทน จะว่าไปการจะหาบอดี้การ์ดฝีมือดีสักคนสองคนไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคนอย่างเสี่ยวลู่หาน แต่การหาใครสักคนที่สามารถไว้วางใจได้นั่นแหละคือสิ่งที่คนอย่างลู่หานคิดว่ายังหาไม่เจอ

     

                “อ้าวกลับมาแล้วหรือคะคุณ” เสียงของหญิงสูงวัยอีกคนที่ก้าวเข้ามาเห็นเขาเอ่ยทักขึ้น ลู่หานหันไปพยักหน้ารับแล้วยิ้มให้แม่นมประจำบ้านอย่าง “ซอมีเร”

     

                “ไปตามคุณหนูลงมาหน่อยสิมีเร” เสียงของคุณนายคิมหันไปเอ่ยสั่งคนสนิทที่อยู่กับเธอมานาน มีเรหันมายิ้มให้นายหญิงคนสนิทก่อนจะเดินเลี่ยงขึ้นไปชั้นสองของบ้าน

     

                “คะคุณผู้หญิง”

     

                “นั่งสิจ๊ะ เห็นซิ่วหมินบอกว่าไปติดต่อเรื่องธุรกิจใหม่ที่อเมริกาเรียบร้อยดีไหม” คุณนายคิมหันมาบอกลูกเขยที่มีสีหน้าอิดโรย ใบหน้าหล่อมีแววตาแห่งความกังวลเล็กๆ แต่ยังคงความเรียบนิ่งไว้ในแบบของเจ้าตัวก่อนจะเอ่ยถาม

     

                “เรียบร้อยดีครับ” ร่างสูงตอบกลับสั้นๆ ก่อนที่สายตาจะหันไปโฟกัสที่ร่างเล็กของใครบางคนที่เดินตามแม่นมของตนลงมาช้าๆ ลู่หานส่งยิ้มให้ซิ่วหมินในขณะที่ซิ่วหมินชะงักไปนิดก่อนจะฉีกยิ้มมุมปากให้ผู้เป็นสามีน้อยๆ ก่อนจะเดินเบือนสายตาไปยิ้มให้มารดาอย่างเอาใจพร้อมกับก้าวไปนั่งข้างๆ คุณนายคิมแทนการเดินไปนั่งข้างลู่หาน

     

                แม้จะแปลกใจกับอาการของผู้เป็นภรรยา แต่ลู่หานก็สลัดความคิดด้านลบออกจากหัวเพราะเขามั่นใจว่าเขายังไม่ได้ทำอะไรให้ภรรยาของตนโกรธเลยสักนิด หรือซิ่วหมินอาจจะมีเรื่องไม่สบายใจอะไร?

     

                แล้วทำไมอีกคนถึงไม่ยอมบอกเขาหรือรับโทรศัพท์จากเขากันเล่า

     

               

                “ว่าไงเราลู่หานเขามารับแน่ะจ๊ะ” คุณนายคิมหันไปบอกลูกคนเล็ก มือเรียวแตะที่แขนของลูกชายคนโปรดน้อยๆ ซิ่วหมินยิ้มรับคำมารดาน้อยๆ ก่อนจะเอนตัวไปกอดมารดาสุดที่รักอย่างออดอ้อน

     

                “ยังไม่อยากกลับเลยครับ ขอนอนต่ออีกสักวันไม่ได้หรอ” ร่างเล็กเอ่ยขอมารดา ลู่หานยิ้มน้อย ๆ ให้กับอาการแสนน่ารัก ก่อนจะส่ายหัวให้กับมารดาของคนรักเมื่อคุณนายคิมหันมาเลิกคิ้วถามเขาพร้อมกับยิ้มล้อคนเป็นลูกเขย

     

                “หื้ม แล้วไม่คิดถึงลู่หานเขารึไงดูสิกลับมาจากทำงานเหนื่อยๆ ยังต้องมารับเราอีก” คุณนายคิมเอ่ยเหย้า หากแต่ใบหน้าขาวหม่นลงเล็กๆ ก่อนจะเม้มปากเป็นเส้นตรง ก่อนหน้านี้ยังยืนพูดกับตัวเองอยู่หน้ากระจกอยู่เลยว่าหากลู่หานกลับมาจะต้องพูด เรื่องนั้นกันให้รู้เรื่องให้ได้ แต่พอเจอใบหน้าหล่อของคนรักเท่านั้นแหละที่เคยพูดเก่ง ๆ ไปกับเพื่อนสนิทเป็นอันพังครื้น

     

                ซิ่วหมินเบือนหน้าไปสบตากับลู่หานที่มองอยู่ ก่อนใบหน้าเล็กจะเอนชิดไปกับแขนของมารดาสองมือกอดไปที่เอวบางของมารดา อาการแบบนี้ทำให้ลู่หานถึงกับต้องแอบถอนหายใจออกมาเล็กๆ

     

                ก็รู้หรอกพออีกคนมาไม้นี้ ก็เป็นเขาเองนั่นแหละที่จะใจอ่อน

     

                “จะไม่กลับไปกับผมจริงๆ หรอ” ลู่หานเปิดปากพูดขึ้นบ้าง ใบหน้าหล่อเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ เขาจะลองถามดูเผื่อว่าอีกคนจะเปลี่ยนใจ

     

                “ขออีกแค่คืนเดียวนะ” ซิ่วหมินเม้มปากน้อยๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยต่อรองกับร่างสูง จะหาว่าคนอย่างซิ่วหมินป๊อดก็ได้ ทั้งที่ในใจก็ร่ำร้องอยากจะรู้ความจริงจากปากของคนรักใจจะขาด อยากรู้ว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้น อยากรู้จากปากของคนรักว่าเป็นเขาที่คิดไปเอง

     

                แต่ให้ตายเหอะคนอย่างเขากลับกลัวที่จะได้ยินในสิ่งที่ตนเองไม่อยากได้ยิน

     

                เพี้ยะ

     

                “นี่แน่ะวันนี้ทำไมดื้อละจ๊ะพ่อลูกชาย” ซิ่วหมินถึงกลับสะดุ้งเมื่อโดนมารดาฟาดมือลงมาใส่แขน แม้จะตีแบบไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อให้เจ็บแต่ก็ทำให้ใบหน้ากลมนั่นงอง้ำลงทันที

     

                “คุณม๊า~

     

                “ถ้างั้นลู่หานก็ค้างซะที่นี่เลยก็แล้วกันนะจ๊ะ กลับมาเหนื่อยๆ ควรจะพักผ่อนนะ” คิมฮานึลไม่ได้สนใจเสียงงอแงของร่างเล็กข้างๆ ใบหน้าสวยอ่อนกว่าวัยหันไปสนทนากับร่างสูงที่นั่งอยู่ตรงข้าม ลู่หานยิ้มรับ เพราะเขาเองก็อยากนอนในที่ๆ มีคนรักอยู่ด้วยจะเป็นที่ไหนก็เหมือนกันทั้งนั้น

     

                “ครับคุณแม่” 





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×