พลังภายใน - พลังภายใน นิยาย พลังภายใน : Dek-D.com - Writer

    พลังภายใน

    เรื่องสั้นประกวดโครงการ "กำลังภายใน" ของท่าน Polarbee ที่กระทู้ http://www1.dek-d.com/board/view.php?id=2233326

    ผู้เข้าชมรวม

    1,847

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    9

    ผู้เข้าชมรวม


    1.84K

    ความคิดเห็น


    15

    คนติดตาม


    1
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  31 ก.ค. 54 / 21:54 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    เรื่องสั้นประกวดโครงการ "กำลังภายใน" ของท่าน Polarbee
    รายละเอียดที่กระทู้ http://www1.dek-d.com/board/view.php?id=2233326

    เรื่อง
    พลังภายใน

    ความยาว 12 หน้าที่ฟอนต์ Cordia New 16

    ในการนำลงเว็บเพื่อให้อ่านง่าย ขอปรับขนาดเป็น Cordia 18 เว้นระยะก่อนย่อหน้า 10
    (ทำให้ความยาวกลายเป็น 18 หน้า)

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      พลังภายใน

      ผืนดินแห่งนี้ไม่เคยขาดเลือด จิตใจมนุษย์ตื้นเขิน อัดอั้นไปด้วยความอยาก ชโลมไปด้วยความโลภ ถูกจองจำด้วยความรักและอาวรณ์ ผืนดินแห่งนี้จึงไม่เคยขาดเลือด วันนี้ผืนดินแห่งนี้ก็ได้ดื่มเลือดเช่นทุกวันที่ผ่านมา

      จอมยุทธ์หนุ่มจ่อกระบี่ที่กระเดือกของขุนนางเฒ่าผู้กำลังนั่งคุกเข่าอยู่แทบเท้า

      จางเก้อเหลียงวันนี้แหละที่จะเป็นจุดจบของเจ้า” จอมยุทธ์หนุ่มคำรามอย่างกราดเกรี้ยว

      จางเก้อเหลียงเงยหน้าขึ้นมองจอมยุทธ์หนุ่มด้วยนัยน์ตาสลดสมเพชพลางส่ายหน้าอย่างหมดอาลัย “จาวฉี ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าบุตรของจาวสีฉิงจะ...”

      ยังไม่ทันที่ขุนนางเฒ่าจะพูดจบ จาวฉีก็ละปลายกระบี่ออกจากลำคอของจางเก้อเหลียงทว่าเขาไม่ได้ละกระบี่ด้วยความเมตตา จาวฉีละกระบี่เพื่อเงื้อให้สามารถสับลงได้รุนแรงต่างหาก ปลายกระบี่ฟาดเข้าบนแก้มของจางเก้อเหลียงคมกระบี่เจาะเข้าไปในปากฉีกเหงือกและฟันของขุนนางเฒ่ากระเด็นออกมา

      ขุนนางเฒ่าล้มลงดิ้นอย่างเจ็บปวด ส่วนจอมยุทธ์หนุ่มยืนดูอย่างยิ้มย่องก่อนจะก้าวเท้าขึ้นเหยียบหัวของจางเก้อเหลียงแล้วกระซิบ

      “เจ้าไม่มีสิทธิ์เรียกชื่อพ่อข้า ไอ้ชาติชั่ว”

      จางเก้อเหลียงอดทนต่อความเจ็บปวดแล้วมองกลับไปหาจาวฉี

      “ทำไมข้าจะไม่มี จาวฉี จาวสีฉิงเป็นทหารของข้า จาวสีฉิงเป็นสหายของข้า ทำไมข้าจะไม่มีสิทธิ์เรียกชื่อของเขา” เมื่อพูดจบ จาวฉีก็เสียบกระบี่เข้าที่หัวไหล่ของขุนนางเฒ่าทันที

      “สหายของเจ้างั้นเหรอจางเก้อเหลียง” จาวฉี ส่ายหน้า “...ไม่...พ่อข้าไม่ใช่สหายของเจ้า”

      สิ้นเสียงอันกรุ่นไปด้วยความแค้น จาวฉีก็กระชากกระบี่ออกจากแผลของจางเก้อเหลียงแล้วเดินไปยังสตรีเฒ่าที่นั่งคุดคู้อยู่ที่ริมห้อง เขามองดูเธอด้วยสายตาเหยียดหยามก่อนจะหันกลับมามองดูขุนนางเฒ่าที่พยายามลุกขึ้นนั่ง

      “เจ้าฆ่าพ่อข้า” จาวฉีตะคอกลั่น

      จางเก้อเหลียงเงยหน้าขึ้นมองจอมยุทธ์หนุ่มแล้วส่ายหน้า “ไม่เลย...ข้าไม่ได้ฆ่าจาวสีฉิง”

      จาวฉีย่างสามขุมเข้าไปหาขุนนางเฒ่าแล้วเข่าเข้าที่ใบหน้าก่อนจะเหยียบแก้มที่เป็นรูของเขา

      “เจ้ายังมีหน้ามาพูดอย่างนั้นอีกเหรอ เจ้าจำไม่ได้หรือไงว่าพ่อข้าตายอย่างไง” จาวฉีถาม

      “สหายข้าตายอย่างนักรบ” จางเก้อเหลียงตอบแม้จะถูกเหยียบ จาวฉีได้ฟังก็ถีบส่งจนขุนนางเฒ่ากลิ้งกระเด็น

      “ไม่เลย จางเก้อเหลียงพ่อข้าตายเพราะเจ้า...เพราะเจ้าคนเดียว” จาวฉีชี้กระบี่ไปยังขุนนางเฒ่าด้วยความแค้นที่ระอุออกมาผ่านดวงตา เขากำลังระลึกถึงวันที่พ่อของเขาก้าวเดินเข้าสู่ความตายเพราะหลงลมปากของจางเก้อเหลียง

      ...สองปีก่อน...

      ในวันที่แดดจ้า จาวฉีในวัยหนุ่มคะนองกำลังขี่วัวเล่นอยู่บนทุ่งนา พ่อของเขา จาวสีฉิงเพิ่งจะว่ากล่าวเขาว่าไม่ยอมทำงานแต่เขาก็ไม่ได้สำนึกแม้แต่น้อย บัดนี้พ่อของจาวฉีกลับบ้านไปแล้ว เขากำลังขี่วัวตามไปพร้อมนกกระสาที่ล่าได้

      ทว่า ที่หน้าบ้านอันซอมซ่อแต่อบอุ่นของเขา มีกองทหารตั้งขบวนรออยู่ จาวฉีรีบกระโจนลงจากวัวแล้ววิ่งเข้าไป แม้จะถามอะไรกับทหารที่เข้าแถวอยู่ก็ไม่ได้คำตอบ เขาจึงเข้าไปในบ้านและพบกับจางเก้อเหลียงกำลังคุยกับพ่อของเขาอยู่

      พ่อผู้ชราของจาวฉีสวมชุดเกราะเหล็กสีขาวและสวมหมวกพู่สีเงิน ในมือข้างหนึ่งถือโล่ส่วนอีกมือถือหอกเหล็กพลางมองดูภรรยาตัวเองที่คุกเข่าอยู่บนพื้น

      แม่ของจาวฉีหมอบอยู่แทบเท้าของจางเก้อเหลียง

      “ได้โปรดเถอะ ท่านแม่ทัพ อย่าพาสามีของข้าไปเลย” แม่นางจาวร้องไห้ขอร้อง

      จางเก้อเหลียงบ่ายหน้าหลบตาแล้วเดินออกไปจากบ้าน เขาสวนกับจาวฉีที่เพิ่งเข้ามาแต่เขาไม่ยอมแม้แต่สบตาเด็กหนุ่ม จาวฉีรีบวิ่งเข้าไปหาพ่อ

      “ท่านพ่อ ท่านจะไปไหนกัน” จาวฉีถาม

      จาวสีฉิงมองดูลูกชายผู้ไม่เอาอ่าวแล้วก็ถอนหายใจ เขาเดินไปกอดภรรยาผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขมานานหลายทศวรรษแล้วจูบเธอบนหน้าผาก

      “ข้าขอโทษ” จาวสีฉิงกระซิบ น้ำตาซึมออกจากริมดวงตาของชายชรา

      “ท่านพ่อ” จาวฉีร้องหาคำตอบที่ไม่มีวันได้รับ

      “ฉี...พ่อต้องไปแล้ว” จาวสีฉิงหันกลับมามองดูลูกชายโทน “นับแต่นี้...เจ้าจะเสเพลอย่างแต่ก่อนไม่ได้อีกแล้ว เจ้าจงดูแลแม่ให้ดี”

      “ท่านพ่อจะไปไหน” จาวฉียังถามแม้ไม่ได้คำตอบ

      “จาวสีฉิง...เราไม่มีเวลาแล้ว” จางเก้อเหลียงร้องเรียกจากหน้าประตู จาวสีฉิงได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากบ้าน แม้แม่นางจาวจะยื้อเสื้อเกราะเพียงใดก็ไม่อาจหยุดยั้งได้

      นักรบเฒ่าเดินผ่านแถวทหารหนุ่มไปยังแนวหน้าสุด หมวกพู่สีเงินของเขาสะท้อนแสงอาทิตย์อัสดงโดดเด่นกว่าหมวกเหล็กของทหารหนุ่มหน้าไหน ๆ จะเป็นรองก็เพียงหมวกพู่หางนกยูงของจางเก้อเหลียงผู้ขี่ม้าขาวสวมเกราะเท่านั้น เมื่อจาวสีฉิงยืนอยู่หน้าแถวทหารแล้ว พลกลองก็ลั่นสัญญาณ กองทัพเริ่มก้าวเดินออกจากหมู่บ้านท่ามกลางประชาชนที่มาส่งลูกหลานของตนเอง ดอกมะลิหอมโปรยปรายและแบนราบกับพื้นถนนเมื่อแถวทหารเดินเหยียบ

      “ท่านพ่อ...” จาวฉียืนมองดูพ่อตัวเองอยู่ที่หน้าบ้าน

      “ท่านพ่อ...” จาวฉียืนดูจางเก้อเหลียงที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้า “ท่านพ่อไม่กลับมาอีกเลย...แต่เจ้า...”

      สิ้นเสียงกัดฟันของจาวฉี เขาก็เตะใส่ใบหน้าของขุนนางเฒ่าผู้เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งรัฐเฉิน แม่ทัพผู้เกรียงไกร แข็งแกร่งและฉลาดเฉลียวผู้สวมหมวกขนนกยูงอันงามสง่า

      “เจ้าพาพ่อข้าไปตายในสงครามของเจ้า เจ้ามันชั่วช้า” จาวฉีเหวี่ยงกระบี่ฟาดใส่ขุนนางเฒ่า

      ฉับพลันนั้นทหารองครักษ์ก็มาถึง เหล่านักรบหนุ่มที่ได้รับการฝึกเป็นอย่างดีกรูกันเข้ามาในจวน

      “คนร้ายอยู่นั่น ปกป้องท่านแม่ทัพ” หัวหน้าองค์รักษ์สั่งการและทหารนับสิบนายพุ่งเข้าใส่จาวฉี

      “ไม่ หยุดนะทุกคน” จางเก้อเหลียงตะโกนสั่งแต่สายเกินไป

      เพียงจาวฉีสัมผัสฝ่ามือลงบนหน้าอกขององค์รักษ์ กระดูกทั้งร่างของนักรบหนุ่มก็พุ่งกระจายออกมาด้านหลัง เลือดและเนื้อของเขาระเบิดออกเหมือนลูกโป่งแตก

      “บ้าน่า วิชาฝ่ามือนั่นมัน...” หัวหน้าองค์รักษ์ตกใจแต่ไม่ทันได้พูดเขาก็ต้องปะทะกระบี่กับจาวฉี เพลงกระบี่ของนักรบทั้งสองสูสีและลูกหลงจากการฟาดฟันทำให้องค์รักษ์คนอื่น ๆ ล้มตายราวใบไม้ร่วง จาวฉีอาจไม่มีเพลงกระบี่ที่เก่งกาจไปกว่านักรบรัฐเฉินคนใด แต่วิชาฝ่ามือของเขาแทบจะไร้เทียมทาน

      หัวหน้าองครักษ์พลาดท่าโดนฝ่ามือของจาวฉีจนกระอักเลือด “ฝ่ามือ...ปลิดชีพเทวา...นี่เจ้า...” แม้จะเดินปราณเข้าต้านทานก็ไม่อาจต่อชีวิตไว้ได้ นักรบผู้กล้าล้มลงคว่ำหน้าจมกองเลือดสิ้นใจในทันที

      จางเก้อเหลียงได้แต่คุกเข่าอย่างช่วยอะไรไม่ได้ จาวฉีสังหารหมู่องครักษ์แล้วก็เดินกลับมาหาเหงื่ออย่างใจเย็น

      “ใช่แล้ว จางเก้อเหลียง...นับตั้งแต่วันที่ข้ารู้ว่าเจ้าพาพ่อข้าไปตาย ข้าก็เฝ้าฝึกวิชาเพื่อวันนี้โดยเฉพาะ...เพื่อฆ่าเจ้าไงล่ะ” จาวฉีคว้าหน้าผากของจางเก้อเหลียงไว้ในอุ้งมือ “แต่ข้าลืมคิดไป...ว่าข้าจะฆ่าเจ้าด้วยกระบี่ดี...หรือจะฆ่าเจ้าด้วยฝ่ามือดี”

      จางเก้อเหลียงไม่ตอบ เขาจ้องตาจาวฉีเงียบ ๆ ราวกับไร้ความกลัว

      “นั่นมันก็เร็วไป” จาวฉีเหวี่ยงร่างของจางเก้อเหลียงให้พ้นทางแล้วเดินไปหาแม่นางจาง ภรรยาของจางเก้อเหลียงที่มุมห้อง เขาลากเธอออกมาที่กลางห้อง

      “ก่อนที่ข้าจะฆ่าเจ้าซะ...ข้าจะให้เจ้าเจ็บปวดอย่างที่ข้าเจ็บ...ข้าจะให้เจ้ารู้สึกว่าการเห็นคนที่รักตายต่อหน้ามันเป็นอย่างไง”

      ...หลังจากจาวสีฉิงออกรบไม่นาน...

      เมื่อไร้เสาหลักของบ้าน ตระกูลจาวก็เหลือเพียงแม่แก่กับลูกชายไม่เอาอ่าว ทุกวัน ๆ จาวฉีจะออกจากบ้านเพื่อไปทำงานเป็นลูกมือช่างตีเหล็กในหมู่บ้าน เมื่อกลับบ้านจึงจะได้ปรนนิบัติมารดา ช่วงนี้งานตีเหล็กมีไม่มากเพราะคนหนุ่มและนักรบของหมู่บ้านออกไปรบกันหมดจึงไม่มีใครต้องการดาบและโล่

      คืนหนึ่ง...แผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่น กองทัพม้าสวมเกราะดำสวมหนังสุนัขป่ากวดฝ่าความมืดเข้ามาในหมู่บ้าน

      ...พวกมันฆ่าทุกคน...

      “ท่านแม่ ท่านซ่อนที่นี่นะ ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น อย่าออกมา” จาวฉีซ่อนแม่ของตนไว้ที่ห้องลับใต้ดินส่วนตัวเองออกไปต่อสู้กับพวกโจร เขามีเพียงค้อนตีเหล็กและไม่อาจต้านทานนักรบบนหลังม้าเหล่านั้น ไม่นานเขาก็ถูกทวนแทงที่ขาและทรุดลงท่ามกลางหมู่บ้านที่ลุกเป็นไฟ พวกมันรายล้อมเข้ามา แต่ละคนถือทวนชี้มาทางเขา หัวหน้าของมันสวมเกราะที่หัวไหล่เป็นกะโหลกสุนัขป่า มันกำลังจ้องมองเด็กหนุ่มผู้กำลังจะตาย

      “อย่านะ อย่าฆ่าเขา” แม่นางจาววิ่งออกมาจากบ้านที่กำลังไหม้ไฟ นางกอดลูกชายสุดที่รักเอาไว้

      นักรบในชุดหมาป่าพยักหน้าสั่งการก่อนจะลงจากม้า ลูกน้องของมันคว้าแม่เฒ่าไว้

      “ปล่อยแม่ข้านะ ไอ้พวกสัตว์มนุษย์” จาวฉีพยายามดิ้นรนแต่เขาก็ถูกกดไว้บนพื้น

      หัวหน้านักรบสุนัขป่าก้าวเข้ามาใกล้ ลูกน้องของมันจับแม่ของจาวฉีให้คุกเข่าหันหน้าเข้าหาลูกชาย

      “ฉีลูกแม่” แม่นางจาวกระซิบทั้งน้ำตา

      “ท่านแม่...” จาวฉีกระซิบตอบ แต่เสี้ยววินาทีนั่นกะโหลกของมารดาก็กระแทกเข้ากับใบหน้าของเขา ร่างของท่านเหลือเพียงผิวหนังอ่อนปวกเปียกด้วยพลังฝ่ามืออันน่าสะพรึงที่กระแทกเครื่องในทุกอย่างออกมาจากสังขาร ศพของท่านล้มทับลงบนร่างของลูกชายที่แทบจะเสียสติ

      “ท่านแม่...นี่คือบรรนาการแด่ท่าน” จาวฉีกระซิบบอกตัวเองพลันกระแทกพลังปราณใส่แม่นางจาง โครงกระดูกภายในร่างของเธอระเบิดทะลักออกมาใส่จางเก้อเหลียงจนร่างของขุนนางเฒ่าชโลมไปด้วยเลือด แม่นางจางไม่ทันได้สั่งเสียด้วยซ้ำ

      “ถ้าเจ้าไม่พาท่านพ่อและนักรบคนอื่น ๆ ออกไปจากหมู่บ้าน...พวกข้าคงไม่ตาย...แม่ข้าคงไม่ตาย เจ้ารู้บ้างไหม เจ้าทำลายชีวิตข้า เจ้าทำลายชีวิตพวกเราทั้งหมด” จาวฉีคำรามลั่น

      จางเก้อเหลียงยกกะโหลกของภรรยาตัวเองขึ้นจากพื้นแล้วกอดเอาไว้เงียบ ๆ นัยน์ตาของเขาว่างเปล่าและสิ้นหวัง แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น เขามองผ่านจาวฉีไปยังป้ายประจำตระกูลของตนแล้วค่อย ๆ คลานเข้าไปหาหิ้งบูชา เขาวางกะโหลกของแม่นางจางไว้บนหิ้งแล้วคำนับ แต่จาวฉีก็ยังมาขวางไว้ จาวฉีเหยียบหัวของจางเก้อเหลียงไว้แทบเท้า

      “วันก่อนข้าไม่มีพลังภายในมากพอที่จะต่อกรกับเจ้า...แต่วันนี้ไม่ใช่แล้ว” จาวฉีว่า

      “พลังภายในงั้นเหรอ...เจ้าฝึกวรยุทธ์กับผู้ใด” จางเก้อเหลียงถาม

      “คนกำลังจะตายอย่างเจ้าจะรู้ไปทำไม” จาวฉีถามโดยไม่ต้องการคำตอบ “แต่ข้าจะบอกให้ก็ได้ เดี๋ยวผู้คนจะมองว่าข้าเป็นคนไร้เมตตา”

      ...ปีที่แล้ว...

      จาวฉีอยู่ตามลำพัง...บาดเจ็บทั้งกายและใจ...ในหมู่บ้านที่เหลือแต่ซากไหม้และซากศพ แม้สายลมยังไม่พัดผ่านสุสานแห่งนี้ มีเพียงแสงแดดร้อนระอุเท่านั้นที่ไร้ปราณี จาวฉีล้มลง นอนรอความตาย

      “เจ้าหนุ่ม” เสียงเรียกดังขึ้นจากด้านหลัง จาวฉีเหลือบตาไปมอง

      ที่นั่น ชายชราหนวดดำสวมชุดสีเข้มยืนกลางแดด เงาของเขาพาดผ่านร่างของจาวฉีเป็นร่มให้เพียงพอจะต่อชีวิตของหนุ่มผู้สูญเสียทุกสิ่ง

      “เจ้ายังอยากจะแก้แค้นพวกมันไหม” ชายชราถาม

      จาวฉีพยักหน้า

      “เจ้ายังอยากจะแก้แค้นพวกมันไหม” ชายชราถามย้ำอีกครั้ง

      “ข้า...อยาก” จาวฉีเค้นพลังออกเสียง ทว่า เสียงของเขาเบายิ่งกว่าเสียงกระซิบ

      “เจ้ายังอยากจะแก้แค้นพวกมันไหม” ชายชราถามย้ำครั้งสุดท้าย

      “ข้าอยาก” จาวฉีตะโกนสุดเสียง

      “ข้าอยากฆ่าพวกมัน ข้าอยากฆ่าพวกมันทุกคน”

      ชายชราไม่ได้แสดงสีหน้า เขายื่นมือออกมาและจาวฉีคว้าเอาไว้ ยันร่างอันบอบช้ำ ค้ำจุนจิตใจที่แตกสลายให้ยืนหยัดลุกขึ้น

      ทั้งสองเดินทางข้ามวันข้ามคืน กินแค่เพียงไม่ให้สลบ ดื่มแค่เพียงไม่ให้หมดสติ จนกระทั่งมาถึงภูเขาแห่งนักล่า...ที่ซึ่งทั้งสองใช้เวลาฝึกฝนวรยุทธ์ทุกวันทุกคืนจนจาวฉีสำเร็จวิชาฝ่ามือปลิดชีพเทวา

      “เจ้าฝึกสำเร็จแล้ว ศิษย์ข้า” อาจารย์เฒ่าในชุดดำพูดจากบนโขดหิน จาวฉีคุกเข่าอยู่เบื้องล่าง “แต่ก่อนที่เจ้าจะไปแก้แค้น...ข้ามีบททดสอบสุดท้ายแก่เจ้า”

      “ท่านอาจารย์โปรดบัญชา” จาวฉีตอบอย่างหนักแน่น หนุ่มเสเพลคนเดิมตายไปแล้ว...ตายไปในวันที่หมู่บ้านจมกองเพลิง ตายไปในเลือดของมารดาตัวเอง...บัดนี้มีเพียงจอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง ผู้จะแก้แค้นให้กับพ่อแม่เท่านั้น

      “ดีมาก...เจ้าจงไปที่หมู่บ้านตีนเขาในคืนนี้” อาจารย์เฒ่าสั่ง “แล้วเจ้าจะเข้าใจทุกอย่าง”

      คำสั่งนั่นไม่ได้เหลือที่ว่างสำหรับคำถาม จาวฉีมุ่งหน้าตามคำสั่งอาจารย์ทั้งที่ยังไม่เข้าใจ แต่ในคืนนั้นเขาก็ได้เข้าใจและรู้สึกขอบคุณอาจารย์เฒ่าอย่างที่สุด

      ...พวกมันกำลังมา...

      ...นักรบในชุดเกราะหมาป่าสีดำควบม้าฝ่าความมืด ในมือหนึ่งถือทวน อีกมือหนึ่งถือคบเพลิง...

      มันเป็นครั้งแรกในชีวิตที่จาวฉียิ้ม...ยิ้มอย่างสะใจเป็นที่สุด...เขาก้าวออกจากทิวไม้ไปขวางกองม้าในความมืด เขาสวมเพียงชุดผ้าฝ้ายสีขาวและมือเปล่า ทว่า การแสดงตัวของเขาก็เพียงพอที่จะทำให้ม้าพยศจนพวกนักรบตกจากหลังม้า

      “ข้าชื่อจาวฉี ศิษย์แห่งซื่อม้าเอี้ยจะมาเอาชีวิตพวกเจ้า”

      สิ้นเสียงคำรามของชายหนุ่ม...ความทรงจำของเขาก็หาดหายไป...รู้สึกตัวอีกทีเขาก็ยืนอยู่อย่างโดดเดียวท่ามกลางทุ่งนาที่ท่วมไปด้วยเลือดและชิ้นส่วนของมนุษย์

      อาจารย์ซื่อปรากฏตัวขึ้นบนต้นไม้พลางมองดูผลงานของลูกศิษย์เงียบ ๆ

      “ท่านอาจารย์” จาวฉีคุกเข่าเมื่อสังเกตเห็นเงาชุดผ้าไหมสีดำของซื่อม้าเอี้ย

      “ดีมาก...ศิษย์ข้า เจ้าพร้อมสำหรับการแก้แค้นแล้ว” ซื่อม้าเอี้ยว่า

      จาวฉียังไม่เข้าใจ “ท่านอาจารย์...ข้าแก้แค้นไปแล้ว”

      “ไม่เลย จาวฉี...ข้าสอนให้เจ้ามองที่ต้นเหตุเสมอไม่ใช่หรือไง...การฆ่าพวกนี้มันเป็นปลายเหตุ” ว่าจบซื่อม้าเอี้ยก็กระโดดลงจากต้นไม้ วิชาตัวเบาระดับครูของเขาพาสองเท้าลงพื้นอย่างงดงาม “เจ้าต้องมองที่ต้นเหตุ”

      “ศิษย์ช่างโง่เขลา ไม่เข้าใจที่อาจารย์สั่งสอน ได้โปรดชี้แนะด้วย” จาวฉีไม่เข้าใจ

      “ที่พวกมันบุกหมู่บ้านของเจ้าเป็นเพราะอะไร จาวฉี” ซื่อม้าเอี้ยถาม

      “...คงเป็นเพราะพวกมันรู้ว่านักรบของหมู่บ้านเราไม่อยู่สักคนเดียว” จาวฉีตอบ ซื่อม้าเอี้ยพยักหน้า

      “ที่นักรบหมู่บ้านเจ้าเดินทางออกไปเพราะอะไร” ซื่อม้าเอี้ยถามอีก

      “...เป็นเพราะมีสงคราม” จาวฉีตอบ

      “ใครคือผู้นำนักรบหมู่บ้านของเจ้าไปออกสงคราม” ซื่อม้าเอี้ยถาม

      “จางเก้อเหลียง” จาวฉีตอบ

      ซื่อม้าเอี้ยไม่ถามต่อ เขาเดินไปยังซากศพของนักรบหมาป่าแล้วหยิบกระบี่เปื้อนเลือดมาเล่มหนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปหาลูกศิษย์แล้วยื่นกระบี่ให้

      “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากจับมัน...แต่จงทำให้ต้นเหตุแห่งความสูญเสียต้องชดใช้...ด้วยคมกระบี่เดียวกับที่เจ้าถูกทำร้าย” ซื่อม้าเอี้ยกระซิบ จาวฉีรับกระบี่มาจากอาจารย์และในฉับพลันนั้นลมก็พัดกรรโชก และซื่อม้าเอี้ยก็หายตัวไปจากสายตาของจาวฉี

      “ข้าจึงให้เจ้าต้องชดใช้เรื่องที่เจ้าปล่อยให้หมู่บ้านข้าถูกทำลาย...ด้วยกระบี่ที่พวกมันใช้ฆ่าล้างหมู่บ้านข้า” จาวฉีพูดต่อหน้าจางเก้อเหลียงผู้หมดอาลัยตายอยาก

      จางเก้อเหลียงยันสังขารลุกขึ้นยืน จาวฉีไม่ได้ขัดขวาง เขากลับใช้วิชาตัวเบาโดดขึ้นไปถีบทวนคู่ประจำตระกูลของจางให้ตกจากผนัง จากนั้นจึงซัดทวนด้ามหนึ่งให้มาตกข้างกายจางเก้อเหลียง

      “หยิบขึ้นมาสิ...ข้าจะได้ส่งเจ้าไปปรโลกเสียที” จาวฉีว่า

      จางเก้อเหลียงก้มลงจับทวนขึ้นมาถือ แม้จะบาดเจ็บและแก่ชราแต่แม่ทัพแห่งกองทัพสีขาวก็ไม่ย่อหย่อน เขายืนหยัดและมองดูมือสังหารด้วยสายตาเศร้าสร้อย

      “ก่อนเราจะสู้กัน...” จางเก้อเหลียงว่าแต่ถูกขัดไว้เสียก่อน

      “สู้กันงั้นเหรอ...ฆ่าเอาข้างเดียวต่างหาก...ข้าจะฆ่าเจ้าอย่างที่ข้าฆ่าคนในบ้านเจ้า อย่างที่ข้าฆ่าเมียเจ้าและลูก ๆ ของเจ้า แล้วข้าจะเผาจวนของเจ้าให้กลายเป็นเศษขี้เถ้าอย่างที่บ้านข้าถูกเผา อย่างที่คนในหมู่บ้านข้าถูกฆ่า อย่างที่แม่ข้าถูกฆ่า” จาวฉีคำราม

      “...เจ้าจงมองดูป้ายตระกูลของข้า แล้วจดจำใส่ใจไว้ให้ดี” จางเก้อเหลียงพูดต่อโดยไม่ใส่ใจในสิ่งที่จาวฉีว่า

      ...ป้ายตระกูลจาง จารึกไว้ว่า “ท้องฟ้าเพื่อป่าใหญ่”...

      “ท้องฟ้าเพื่อป่าใหญ่งั้นเหรอ...ปัญญาอ่อน” จาวฉีตะโกนแล้วกระโจนใส่จางเก้อเหลียง

      “รับมือ”

      ปลายกระบี่เย็นเฉียบเสียบตรงหมายหัวใจของแม่ทัพเฒ่าแต่ด้ามทวนก็ปัดป้องเอาไว้ให้ปลายคมพลาดไปแค่เฉียด จางเก้อเหลียงเตะเท้าสกัดขาของจาวฉีจนเสียหลักก่อนจะใช้ปลายทวนด้านไม่คมฟาดที่ก้นของนักฆ่าหนุ่ม

      จางเก้อเหลียงหมุนตัวแล้วเหวี่ยงทวนเข้าใส่จุดเดิม เสียงด้ามทวนกระแทกก้นดังสั่นลั่นจวนเหมือนเสียงบิดาตีบุตรเพื่อสั่งสอนครั้งกระทำผิด แต่จาวฉีไม่ใช่บุตรตระกูลจาง เขาหมุนตัวพลันแทงกระบี่ใส่ชายเฒ่า อีกครั้งที่จางเก้อเหลียงหลบปลายกระบี่ได้พลันแทงสวนเข้าไปที่ข้อมือ คมทวนเสียบง่ามนิ้วของจาวฉีจนกระบี่หลุดมือ

      “ฮึ่ม...” จาวฉีกัดฟันทนเจ็บ “ต้องอย่างนี้สิ...การแก้แค้นจึงจะมีรสชาติ”

      จางเก้อเหลียงส่ายหน้า

      จาวฉีก้าวกระโจนพลันตบปลายทวนของจางเก้อเหลียงให้พ้นทางแล้วซัดฝ่ามือเข้าใส่ แม่ทัพเฒ่าเห็นทีหลบไม่พ้นก็ยกแข้งขึ้นป้องกัน ฝ่ามือปลิดชีพเทวาซัดเข้าที่กระดูกแข้งกลับไม่ทำให้ร่างของแม่ทัพเฒ่าแตกระเบิด มันทำให้ขาของเขาสะบัดเท่านั้นยังความตกตะลึงมาสู่จาวฉียิ่งนัก

      จางเก้อเหลียงตบหน้าของจาวฉีจนกระเด็นถอยไป แม่ทัพเฒ่าใช้ทวนยันพื้นไว้ไม่ให้ล้ม แม้ฝ่ามือของจาวฉีจะไม่ได้สังหารเขาแต่มันก็ทำให้ลมปราณของเขาบาดเจ็บจนต้องกระอักเลือด

      “เจ้า...ไอ้แก่เอ๊ย เจ้ามีวรยุทธ์สูงใช่เล่นนี่” จาวฉีว่า

      อีกครั้งที่จางเก้อเหลียงส่ายหน้า “วรยุทธ์งั้นเหรอ...ไม่เลย...บุตรแห่งจาวสีฉิง ข้าไม่มีวรยุทธ์...พ่อเจ้าสิมี...ข้ามีเพียงพลังภายใน”

      “หุบปากซะ ข้าจะให้เจ้าเห็นว่าพลังภายในของข้าเหนือกว่าเจ้า” จาวฉีตะคอกพลันพุ่งเข้าใส่อีกครั้ง จางเก้อเหลียงพยายามปัดป้องด้วยด้ามทวนแต่ก็เสือเฒ่าก็ไม่อาจสู้หมาป่าหนุ่มได้ จาวฉีเข้าประชิดแล้วซัดฝ่ามือคู่ใส่หน้าอก ร่างของจางเก้อเหลียงกระเด็นออกนอกหน้าต่างไปกระแทกหลังคารั้วของจวนแล้วกลิ้งตกออกไปนอกระเบียง

      จาวฉีกระหยิ่มยิ้มย่องแล้วใช้วิชาตัวเบากระโจนตามไปยุติการต่อสู้ จางเก้อเหลียงนอนกระอักเลือดหายใจรวยริน

      “ไงล่ะ ข้าบอกแล้ว พลังภายในข้าเหนือกว่าเจ้า” จาวฉีว่า

      จางเก้อเหลียงส่ายหน้าเป็นครั้งสุดท้าย “ไม่เลย...บุตรแห่งจาวสีฉิง...วรยุทธ์เจ้าสูงส่ง...แต่พลังภายในของเจ้า...ไม่มี”

      จาวฉีได้ฟังก็ประหลาดใจ แต่เขาไม่ใส่ใจจะถาม เขาหยิบทวนของจางเก้อเหลียงขึ้นมาถือไว้ในมือหันคมเข้าใส่แม่ทัพเฒ่า

      “จำไว้...บุตรแห่งจาวสีฉิง...ท้องฟ้า...เพื่อป่าใหญ่” จางเก้อเหลียงกระซิบอย่างระทวย

      จาวฉีเสียบทวนใส่หน้าอกของจางเก้อเหลียงจนทะลุพื้นระเบียงไม้ เลือดหลดลงบนหลังคาชั้นล่างแต่จางเก้อเหลียงยังไม่สิ้นใจ

      “ท้องฟ้า...มีเพียงหนึ่ง...” จางเก้อเหลียงกระซิบ “ป่าใหญ่...มีต้นไม้...” เขาเค้นลมปราณหยดสุดท้ายออกมาเพื่อจบวลีสั่งเสีย ”...มากมาย”

      จาวฉีได้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบแต่เขาก็ไม่เข้าใจ จนกระทั่งเขามองออกไปนอกรั้วจวน ที่ขอบฟ้าไกลนั่นมีธงสีดำโบกสะบัด ทหารม้านับพันเรียงแถวท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดง แต่ละนายสวมเกราะสีดำและหนังหมาป่าแทนผ้าคลุม

      ที่กลางแถวทหารนั่นเอง...นักรบหมาป่าที่เกราะไหล่เป็นกะโหลกหมาป่านั่งอยู่บนหลังม้า หมอนั่นถอดหมวกกะโหลกหมาป่าออกแล้วยิ้มให้กับจาวฉี

      “เจ้าทำได้ดีมาก...ศิษย์ข้า” หัวหน้านักรบหมาป่ากระซิบ แม้ห่างไกลกันกว่าครึ่งลี้แต่จาวฉีก็อ่านปากของชายผู้นั้นได้ไม่ผิดเพียน

      ที่นอกจวน ชาวบ้านต่างวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง ต่างคนต่างร้องเตือนกันและกันถึงสงครามที่กำลังใกล้เข้ามา เหล่าทหารนับร้อยวิ่งตรงมายังจวนแม่ทัพพญานกยูงหมายจะรับคำสั่งต้านทานผู้รุกรานแต่พวกเขากลับได้เจอแค่ซากศพนับร้อย ๆ กองสุมกันจนกลิ่นคาวเลือดเปลี่ยนเป็นกลิ่นศพเน่า ทหารคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นมามองบนหลังคาจวนและเห็นมือสังหารกำลังมองลงมา

      “นั่น” ทหารเบื้องล่างตะโกนขึ้น “มือสังหารของพวกทหารซื่อ พวกมันลอบฆ่าท่านแม่ทัพเรา”

      จาวฉีได้ยินก็ตะลึงงัน เขามองไปยังเส้นขอบฟ้าเห็นหัวหน้านักรบหมาป่ากำลังควบม้าผ่านแถวทหาร ตะโกนกู่ร้องปลุกใจและกองทัพม้านับหมื่นก็เริ่มเคลื่อนไหว เครื่องจักรสงครามค่อย ๆ ปรากฏร่างออกมาจากหลังเนินเขา นักรบเดินเท้านับหมื่นย่ำบนผืนดินที่ไม่เคยขาดเลือดชุ่มชโลมมายังกำแพงเมืองที่ทุกทีเคยมีแม่ทัพผู้สวมหมวกพู่นกยูงคอยดูแลจนแม้กองทัพนับแสนก็ตีไม่แตก

      จาวฉีมองดูศพของแม่ทัพเฒ่าที่นอนอยู่แทบเท้าตัวเอง

      ...ท้องฟ้าเพื่อป่าใหญ่...

      ...ท้องฟ้ามีเพียงหนึ่ง ป่าใหญ่มีต้นไม้มากมาย...

      ฉับพลันนั้นฝนก็ตกลงมาจากฟ้า หยดน้ำละลายคราบเลือดของวีรบุรุษผู้ยืนหยัดปกป้องเมืองและผู้คนนับแสนลงไปผสมกับเลือดของนักรบผู้ฝากกายใจไว้กับเขา เลือดของแม่ทัพผสมกับเลือดของทหารผู้เป็นสหายร่วมเป็นและกลายเป็นสหายร่วมตาย...เลือดของพวกเขาหยดจากระเบียงไม้เหมือนสายฝนตกลงเลี้ยงต้นหญ้าบนผืนดินที่ไม่เคยขาดเลือดชโลม

      ...และโดยที่ไม่รู้ตัว จาวฉีก็หลั่งน้ำตารดผืนดิน...

      จาวฉียกมือของตัวเองขึ้นดู

      “นี่ข้าทำอะไรลงไป...” เขากระซิบถามตัวเอง

      ทันใดนั้นทหารของจางเก้อเหลียงก็พลังประตูเข้ามาในจวน พวกเขาถือทวนหมายชีวิตจาวฉี แต่ละคนล้วนมีสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความหวาดกลัว เศร้าโศก และสิ้นหวังเมื่อเห็นแม่ทัพของตนสิ้นใจ

      จาวฉีหันกลับไปจ้องพวกทหาร ขู่ให้พวกเขากลัวแต่ก็ไม่ได้ผล...อาจจะเป็นเพราะน้ำตาของเขาเอง...เหล่าทหารก้าวเดินเข้ามาใกล้

      “พวกเจ้า...” จาวฉีเริ่มพูด

      “หุบปากซะ” ทหารเกราะขาวแห่งรัฐเฉินตะคอก แต่จาวฉีไม่หยุดพูด

      “...ข้าศึกกำลังเข้ามาประชิดเมือง” จาวฉีพูดต่อและเดินเข้ามาในจวน

      “ข้าบอกให้หุบปาก” ทหารยังตะคอกกลับ

      “...เจ้าจะฆ่าข้าที่นี่ก็ได้...แต่พวกเราต้องปกป้องเมืองเฉินเอาไว้” จาวฉีว่าพลางเดินเข้าสู่คมหอก

      “เจ้าฆ่าแม่ทัพของเรา ยังจะให้พวกข้าเชื่อเจ้าอีกงั้นเหรอ” เหล่าทหารต่างคำราม

      “หรือเจ้าจะร่วมกับข้า...สงบศึกกันเพียงชั่วคราว...ออกไปสู้กับข้าศึกศัตรู” จาวฉีพูด ปลายหอกของทหารจ่ออยู่แค่คอหายของเขาแล้ว

      “เจ้าจะให้ข้าเชื่อใจเจ้าได้อย่างไร” หัวหน้าทหารถาม

      จาวฉีมองดูดวงตาของทหารทุกคนแล้วก็ส่ายหน้า “ข้าไม่รู้...” จาวฉีตอบ

      “ข้ารู้แค่เพียง...ท้องฟ้า...ต้องหลั่งสายฝน...เพื่อป่าใหญ่” จาวฉีกระซิบ น้ำตาของเขาหลั่งออกมา

      เหล่าทหารได้ยินก็จ้องหน้ากันและกัน ต่างคนต่างทำอะไรไม่ถูกจนกระทั่งหัวหน้าทหารสั่งการ

      “ก็ได้...เห็นแก่ที่เจ้าเข้าใจคำสอนของท่านแม่ทัพอยู่บ้าง...พวกข้าจะให้เจ้ารอดไปก่อน แต่เจ้าต้องช่วยพวกเราต่อสู้กับพวกซื่อ ตกลงไหม” หัวหน้าทหารถาม

      จาวฉีพยักหน้าอย่างว่าง่าย หัวหน้าทหารจึงชักกระบี่ออกจากฝักแล้วโยนให้จาวฉี

      “ไปกันเถอะ...พวกเรา ไปประจำกำแพงเมือง เกณฑ์ทุกคนที่ออกรบได้ออกมาให้หมด ฝ่ายเสบียงแจกจ่ายอาวุธชุดเกราะให้กับทุกคนด้วย” หัวหน้าทหารสั่งการและทุกคนต่างวางมือจากจาวฉีแล้ววิ่งออกไปจากจวนกันหมด เหลือเพียงหัวหน้าทหารกับจาวฉีเท่านั้น

      “ข้า...ควรจะทำอย่างไง” จาวฉีถาม

      หัวหน้าทหารมองดูนักฆ่าหนุ่มแล้วโยนผ้าขาวให้ผืนหนึ่ง

      “ปิดแผลที่มือซะ...แล้วตามข้าไปที่แนวหน้า” หัวหน้าทหารว่า

      “แนวหน้า...” จาวฉีตอบรับอย่างหมดอาลัยแต่ก็เดินตามหัวหน้าทหารไปอย่างว่าง่าย

      ครั้นเดินทางไปยังประตูเมืองอันเป็นแนวหน้า...ทั้งสองเดินผ่านบ้านหลายต่อหลายหลัง

      “ได้โปรด อย่าพาท่านพ่อไปเลย” เด็กน้อยร้องไห้ในขณะที่บิดาของเขาเดินตามทหารไปรับอาวุธและชุดเกราะ

      “ได้โปรดเถอะนายท่าน ละเว้นสามีข้าด้วย เรามีกันแค่สองคนเท่านั้น” อีกบ้านหนึ่งผู้เป็นภรรยากำลังเกาะแทบเท้าสามีผู้ก้าวออกมารับอาวุธ

      ดอกไม้สีขาวถูกโปรยปรายจากมือคนเฒ่าคนแก่และถูกเหยียบเมื่อกองทัพทหารก้าวผ่าน นักรบชุดขาวหลายพันเดินทัพไปตามถนนในเมือง ชายใดจับอาวุธได้ต่างออกจากบ้านมารับเครื่องสงครามแล้วร่วมเดินเคียงบ่าเคียงไหล่เพื่อนร่วมชาติออกสู่สมรภูมิ

      “พวกเจ้ามันเลวโดนสันดาน” เสียงแหลมเล็กของเด็กชายตัวน้อยดังขึ้น “พวกเจ้าพรากพ่อข้าไปแล้ว วันนี้ยังจะพรากพี่ชายข้าไปอีกงั้นเหรอ” เด็กน้อยขว้างก้อนหินเข้าใส่จาวฉี

      จาวฉีได้แต่มองเด็กน้อยสะท้อนตนเอง เขาละสายตาจากข้างทางไปมองหัวหน้าทหาร...เลือดไหลรินจากริมฝีปากของหัวหน้า

      “ท่านเลือดออก” จาวฉีพูดพลางคืนผ้าให้เขา

      “เรื่องเล็ก...เมื่อเทียบกับความเจ็บปวดของชาวบ้าน...เรื่องเล็ก” หัวหน้าทหารตอบ

      “ท่านหัวหน้า” ทหารนายหนึ่งวิ่งตามมาแล้วยื่นหมวกเหล็กที่ติดพู่หางนกยูงเอาไว้มาให้ “ถ้าท่านสวมสิ่งนี้ไปยืนบนกำแพงเมือง พวกมันคงจะตื่นกลัวกันบ้างล่ะ”

      หัวหน้าทหารได้ยินก็รับหมวกมาสวมแล้วเดินขึ้นกำแพงเมือง เบื้องหลังของเขาเป็นกองทัพสีขาวนับพันส่วนเบื้องหน้าของเขามีทหารม้าเกราะดำนับหมื่น เขายืนมองสนามรบที่ไม่ช้าจะกลายเป็นสีแดง

      “ท่านแม่ทัพ ข้าศึกตีทะลุกำแพงเมืองชั้นนอกเข้ามาแล้วขอรับ” นายทหารรายงาน

      “พลหอกทุกนายประจำประตูชั้นใน รักษาประตูชั้นในเอาไว้ด้วยชีวิต ที่เหลือขึ้นบนกำแพงแล้วระดมยิงพวกมันด้วยธนู” แม่ทัพคนใหม่สั่งการ

      “แล้ว...เมืองชั้นนอกล่ะครับ” นายทหารถาม เปลวเพลิงเริ่มลุกลามเมื่อนักรบหมาป่าเผาเมืองชั้นนอก เสียงกรีดร้องของชาวบ้านผู้ถูกสังหารหมู่ดังราวกับเสียงหลอกหลอนของสัมภเวสี

      “เราทำอะไรไม่ได้แล้ว...ทิ้งไป...รักษาเมืองชั้นในไว้” แม่ทัพว่า นายทหารดูจะลังแลแต่ก็ตอบรับแล้ววิ่งกลับสู่สมรภูมิ

      “ท้องฟ้าเพื่อป่าใหญ่...ท้องฟ้ามีเพียงหนึ่ง...ป่าใหญ่มีต้นไม้มากมาย” แม่ทัพว่าแล้วกันไปสบตาจาวฉี “พวกข้าจะต้องปกป้องคนของเรา...แม้จะต้องหลั่งเลือดชโลมดิน...เรื่องการลงโทษเจ้าเอาไว้เสร็จศึกเสียก่อนข้าค่อยจัดการ”

      จาวฉีมองตาแม่ทัพแล้วก็ไม่อาจทนสบตาด้วยได้

      “หัวหน้าของพวกมันมีวรยุทธ์สูงส่ง ทหารของท่านไร้วรยุทธ์ พวกเราไม่มีทางชนะหรอก” จาวฉีว่า

      “ถึงพวกข้าไม่มีวรยุทธ์ แต่พลังภายในของพวกข้าไม่เป็นรองใคร” แม่ทัพตอบ

      “หมายความว่าอย่างไง” จาวฉีข้อใจ

      แม่ทัพหันมาสบตากับจาวฉีแล้ววางมือไว้บนอกตัวเอง “พลังภายในน่ะ...มันอยู่ในนี้”

      เสียงร้องของทหารด้านล่างดังระงม แม้พวกเขาจะถูกกระแทกกระเด็นแต่พวกเขาก็ยังลุกขึ้นมาดันประตูอีก แม้ต้องล้มลุกคลุกคลานกี่ครั้งก็ตาม

      “พลังภายในมันอยู่ที่ใจ...ไม่ใช่วรยุทธ์...มันอยู่ที่เราชนะตัวเอง ชนะความกลัว ชนะความโลภ ชนะแม้ความรักอยากผูกพัน ชนะความอาลัยอาวรณ์ของวันวาน...เพื่อให้สิ่งที่สำคัญกว่านั้นอยู่รอดได้...พลังภายในน่ะมันอยู่ที่การชนะตัวเองเพื่อที่จะเป็นท้องฟ้า หลั่งน้ำฝนลงมาให้ชุ่มชื่นผืนป่า ดับไฟที่ลุกลามและทำให้เมล็ดใหม่งอกเงยและเติบโต”

      แม่ทัพชี้นิ้วมาที่หน้าอกของจาวฉี “เจ้าอาจมีวรยุทธ์...แต่เจ้าถูกความแค้นครอบงำ...ถูกความอาวรณ์จับกุมจนหลงลืมความเสียสละ...เจ้าไม่มีพลังภายใน”

      “พวกมันกระทุ้งประตูแล้ว ดันไว้” เสียงทหารด้านล่างตะโกน

      “พวกเราตายแน่...พวกเราไม่รอดแน่” นายทหารใจเสาะร้องไห้ แม่ทัพได้ยินจึงละสายตาจากจาวฉีไปสั่งการรบ

      “ข้าไม่มีพลังภายใน...” จาวฉีรำพึงพลางก้มลงยกมือขึ้นแตะหน้าอกตัวเอง

      จาวฉีเงยหน้ามองไปยังขอบฟ้าอีกครั้ง เขาเห็นอาจารย์สอนวรยุทธ์อยู่ที่นั่นและรู้สึกถึงแรงกระตุ้นอันดำมืดแผ่ขึ้นมาจากภายใน ราวกับเพลิงที่แผ่พุ่งออกมาจากปากของมังกร เขาอยากจะกระโจนออกไปจากกำแพงนี่ ออกจากเมืองนี่ กระโจนไปเผชิญหน้ากับเจ้าเฒ่าเจ่าเล่ห์แล้วใช้วิชาของมันฉีกร่างของมันให้กลายเป็นเศษซากสมกับสิ่งที่มันทำกับเขา

      ...ทว่า เสียงหัวใจของเขาเต้นสะท้อนผ่านมือที่แนบอกไว้...

      ...เตือนว่าเขาเองก็มีพลังภายในเหมือนกัน...

      “ท่านแม่ทัพ...” จาวฉีกระซิบ แม่ทัพหันกลับมามอง

      ...พอกันทีกับการแก้แค้น...

      “บางทีท่านอาจไม่ต้องประหารข้าหรอก...” จาวฉีพูดพลางหยิบทวนออกจากมือทหารที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาสบตากับแม่ทัพอีกครั้งก่อนจะขึ้นไปยืนบนของกำแพง แรงกระทุ้งของเครื่องจักรสงครามสะเทือนเลื่อนลั่นแต่จาวฉีกลับยืนอย่างมั่นคงบนเท้าตัวเอง...มั่นคงบนเท้าตัวเองกว่าครั้งไหน ๆ

      ...ความผิดที่ผ่านมาต่อให้ตายร้อยรอบก็ชดใช้ไม่หมด...

      “เพราะข้าจะไม่กลับมา” จาวฉีว่า

      ...สิ่งที่สำคัญกว่าความแค้น...

      “เจ้ายังจะหนีอีกเรอะ...” แม่ทัพถาม

      ...สิ่งที่สำคัญกว่าชีวิต...

      จาวฉีส่ายหัว “ไม่...ข้าไม่ได้หนี” แล้วมองข้ามกำแพงเข้าไปในเมืองที่เต็มไปด้วยดอกไม้ขาวที่บี้แบน

      “แล้วเจ้าจะไปไหน” แม่ทัพถามอีกครั้ง

      “ดันประตูไว้ ดัน” เสียงตะโกนของทหารที่เพิ่งเดินออกจากบ้านเมื่อครู่ตะโกน

      จาวฉีสบตาแม่ทัพคนใหม่พลันมองขึ้นท้องฟ้า เมฆสีขาวลอยตัวข้ามหัวและเริ่มหลั่งสายฝนจาง ๆ ลงมาชะล้างเลือดที่นองสมรภูมิ

      “ข้า...จะไปหาพ่อ” จาวฉีตอบ

      “...ข้าจะไปขอคมาแม่...” เขาก้าวเท้าข้างหนึ่งออกไปนอกกำแพงเมือง

      “และข้า...จะไปขอคมาท่านแม่ทัพจาง” สิ้นคำสุดท้าย จาวฉีก็ใช้วิชาตัวเบากระโจนลงจากกำแพงพร้อมทวนในมือหนึ่ง กระบี่ในมือหนึ่งและลมปราณที่ดำเนินไว้เต็มที่ เขากระทืบเท้าพลันเสียบทวนทะลุร่างนักรบหมาป่าในชุดดำและกระแทกวิชาฝ่ามือปลิดชีพเทวาผ่านทวน ฉีกร่างของนักรบเกราะดำเป็นเศษเนื้อกระจายไปทั่วยังความตระหนกมาสู่พวกมันจนยุติการกระทุ้งประตูเพียงเท่านั้น

      “เจ้า” แม่ทัพตะโกนจากบนกำแพง “ให้ตายเถอะ พลม้าเตรียมตัว เปิดประตู ตามไอ้เสื้อขาวนั่นไป”

      จาวฉีก้าวเดินไปพร้อมอาวุธในมือ ในสายตาของเขาไม่มีศัตรู เขามีเพียงผู้คนเบื้องหลังที่ต้องปกป้องเท่านั้น ภายในใจของเขามีเพียงเสียงรำพึงดุจเสียงสวดของพระ...

      ...ความผิดนี้ข้าขอชดใช้...

      ...ไม่ใช่ด้วยความตาย...

      ...แต่ถ้าชีวิตของข้าจะทดแทนเลือดนักรบให้ผู้กล้าทั้งหลายได้กลับไปหาครอบครัว...

      ...ก็ขอให้ข้าได้ไถ่บาปด้วยเถิด... 

      พลังภายในจบบริบูรณ์

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×