คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ๓
บทที่ ๓
“เป็นอย่างไรบ้างล่ะที่นี่” เสียงทุ้มดังขัดขึ้นจากเบื้องหลังของทั้งสอง ดมิศและภากรหันไปมองต้นเสียงด้วยสีหน้าที่แตกต่างกัน ภากรมองร่างสูงสมส่วนใบหน้าหล่อเหลาคมคายด้วยสีหน้าฉงน ผิดกับดมิศที่มองเจ้าของเสียงนั้นด้วยสาตานิ่งเฉยแต่กลับซ่อนความชิงชังเอาไว้ไม่น้อย ก่อนเบือนหน้าไปทางอื่นอย่างเฉยเมย
“ อ..อ่า...สวัสดีครับ” ภากรเอ่ยเสียงตะกุกตะกักและท่าทางที่ดูเก้อๆกังๆ ทำให้ชายแปลกหน้าหัวเราะร่วนออกมา
“หึ...ดมิศไม่คิดจะแนะนำข้าให้น้องชายสุดที่รักของข้างบ้างเลยหรือ?” ดมิศพรูลมหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนกันกลับมาประสานสายตากับผู้ที่ไม่อยากสนทนาด้วย...ไม่อยากแม้จะหายอยู่บนโลกเดียวกัน
“ท่านนี้คือพี่ชายของท่านที่เราเคยพูดไว้...เขาชื่อ..นิลฬะ” น้ำเสียงที่ฟังดูแข็งกระด้างรวมทั้งดวงตาที่ฉายความขุ่นเคืองของ ดมิศนั้นทำให้ในใจของนิลฬะรู้สึกโหวงว่างไปชั่วขณะหนึ่ง ใบหน้าคมเข้มของนิลฬะแต้มด้วยรอยยิ้ม มองไปทางภากร อย่างคุ้นเคย
วูบหนึ่งความรู้สึกคุ้นชินเกิดขึ้นในความรู้สึกของภากร
“เหอ?.....สรุปคือ ผมมีพี่ชายจริงดิ...แล้วคือ...ตอนนี้ผมมาในอดีตชาติของตัวเอง?” ภากรทวนเรื่องราวอีกครั้ง พลางมองด้วยสายตาขอคำตอบจากดมิศที่ดูท่าทีแปลกไป ดมิศยิ้มบางๆพร้อมพยักหน้าเล็กน้อยเป็นคำตอบ
“ฮ่าๆ ข้ารู้ดี ว่าเจ้าคงไม่ชินนัก ถือเสียว่าข้าเป็นคนรู้จักที่อายุมากกว่าไปก่อนแล้วกัน” ภากรพยักหน้ารับ
จะไปชินได้ไงเล่า! ตั้งแต่เกิดมาเนี่ยเคยมีพี่ชายกับเขาที่ไหน!
“เอ้าๆ อากาศเริ่มร้อนมากแล้ว กลับขึ้นข้างบนเสียก่อนเป็นไร” นิลฬะท้วงขึ้น ภากรเองก็เพิ่งรู้เนื้อรู้ตัวว่าแดดแรงพอดู ภากรพยักหน้าพลางเดินตามนิลฬะไป มีเพียงดมิศที่ยังนิ่งอยู่กับที่ ภากรเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หนักลับมามองร่างระหงที่ยืนนิ่งอยู่
“เอ้า เดี๋ยวแดดก็เผาเอาซะหรอกครับ” ภากรพูดพลางตรงไปคว้าข้อมืออีกฝ่ายให้เดินตาม ดมิศตกใจเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนเป็นร้อยยิ้มบางเบาและเดินตามไปแต่โดยดี
‘ถ้าเป็นข้าเจ้าคงไม่ยิ้มเช่นนั้นใช่ไหม....ดมิศ’
นิลฬะเหลือบมองทั้งสองที่เดินตาหลังมาเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะเดินนำไปอย่างเงียบงัน แม้ภายในนั้นจะอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกมากมาย.....เจ็บใจ...โกรธ...หึงหวง
แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อ ตอนนี้ คนที่ดมิศมอบใจรักให้เพียงคนเดียวได้กลับมา ทั้งๆที่คิดว่าถ้ากำจัดไปเสีย ดมิศคงจะเหลือที่ว่างให้เขาบ้าง แต่มันกลับ...เป็นการเพิ่มความอาวรณ์รักของดมิศที่มีต่อภากรมากขึ้นทุกที
ภากรเดินตามนิลฬะขึ้นไปบนเรือนหลังใหญ่ ดมิศปลีกตัวออกทันทีที่ถึง ภากรสังเกตเห็นท่าทีที่ดูแปลกไปของดมิศดี แต่ก็ ไม่ได้เก็บมาใส่ใจมากนัก
“ภากรงั้นรึ ชื่อเจ้าในตอนนี้” นิลฬะเลิกคิ้วถาม ภากรได้แต่พยักหน้าช้าๆ ทั้งคู่นิ่งเงียบไปชั่วขณะ บรรยากาศชวนอึดอัดจนภากรต้องเอยคำถามออกมา
“เห็นว่าผมเคยมีตัวตนที่นี่ ตอนนั้นผมชื่ออะไรล่ะครับ”
นิลฬะแสยะยิ้มมุมปากชั่วเวลาหนึ่ง ภากรเองก็ไม่ได้สังเกตเห็นรอยแสยะอันแฝงนัยอันตรายเอาไว้ เห็นเพียงรอยยิ้มเป็นมิตรที่ฉาบทับลงเพียงเท่านั้น
“ฆนรุจ...ชื่อเจ้าน่ะ ฆนรุจ เป็นชื่อที่ดีทีเดียว”
ภากรรู้สึกชาวูบที่ใบหน้า เหมือนมีความทรงจำบางอย่างไหลวูบเข้ามาในหัว เสียงเรียกชื่อ ‘ฆนรุจ’ ดังกังวานเสียงของคนมากมายแตกต่างกัน ก่อนมันจะเงียบสงัดลงพร้อมๆกับที่สติของภากรเริ่มเข้าที่เข้าทางภากรตีหน้าให้เป็นปกติ
“แปลกดีนะครับชื่อนั้น มันแปลว่าอะไรเหรอครับ” ภากรถามด้วยท่าทีสุภาพ
“แปลว่า พระอาทิตย์....ผู้ส่องแสงอยู่เหนือเมฆทั้งปวงในทิวากาล” นิลฬะเอ่ยด้วยเสียงเย็นเยียบ จนภากรเองก็อดที่จะขนลุกขึ้นมาเสียไม่ได้ สายตาดูดุดันกว่าเมื่อครู่มากเป็นเท่าตัว
“ฮ่ะๆ ภากรก็แปลว่าพระอาทิตย์เหมือนกันเลยนะครับ..บังเอิญดีจริงๆ” ภากรหัวเราะแห้งๆออกมากลบเกลื่อน
“เจ้าว่าพระจันทร์....จะอยู่กับยามราตรีหรือพระอาทิตย์ล่ะ” นิลฬะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง ดวงตาดุดันฉายแววห่วงหาบางสิ่งขึ้นมาแทนที่ นัยน์ตาสีดำจ้องมองออกไปไกลแสนไกล
“พระจันทร์ก็ต้องอยู่ในตอนกลางคืนสิครับ” ภากรตอบ
“แต่ทำไมพระจันทร์ดวงที่ข้าพบในตอนนี้ถึงได้เลือกและภักดีต่อพระอาทิตย์เสียเล่า” นิลฬะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูทดท้อและเจ็บปวด ภากรไม่เข้าใจความหมายเลยแม้แต่นิดเดียว “ดวงอาทิตย์อย่างเจ้าควรจะดับสูญไปซะ ฆนรุจ” ประโยคหลังนี้เบาหวิวจนภากรได้ยินรางๆแต่ก็ไม่สามารถจับใจความได้ ได้แต่ปล่อยให้ผ่านเลยไป ความเงียบเข้าครอบคลุมอีกครั้ง
“อึดอัดใช่ไหม เจ้าไปหาดมิศสิเขาคงจะไปตามธมนใกล้ๆนี่ ฟ้าเริ่มครึ้มแล้วด้วย เมื่อครู่แดดยังแรงอยู่แท้ๆเชียว เจ้าอยู่คุยกับข้ามีแต่จะอึดอัดเปล่า” นิลฬะเอ่ยตัดความ
ภากรรับคำสั้นๆก่อนหันหลังเดินออกไป
“อ้อ! ภากร” นิลฬะเอ่ยทักขึ้น ภากรชะงักฝีเท้าพร้อมหันกลับมามองต้นเสียง
“ระวังของมีคมล่ะ มันอันตราย... เมื่อก่อนเจ้าโดนของพวกนี้เล่นงานเข้าเสียบ่อย มันอาจบาดเข้าที่สำคัญได้ อย่างเช่น...ที่คอของเจ้า” ใบหน้ายิ้มแย้มนั่นช่างขัดกับเสียงที่ฟังดูเย็นยะเยือกชนขนลุกอีกยังแฝงความรู้สึกอันตรายเอาไว้มากมายนั่นเสียเหลือเกิน ภากรอึกอักรับคำก่อนรีบเดินจากไปจากตรงนั้น
‘เขาสติดีรึเปล่าน่ะ’ ความคิดนี้ผุดขึ้นทันทีในหัวของภากร
---------
“อยู่นี่เองเหรอครับ นึกว่าจะหาไม่เจอซะแล้ว” ภากรพูดขึ้นด้วยความดีใจเมื่อพบดมิศ หลังจากตามหาอยู่เป็นนาน ดูเหมือนอีกฝ่ายกำลังนั่งเหม่ออยู่เสียด้วย
“...นึกว่าจะอยู่ข้างบนกันเสียอีก” ดมิศสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกทัก ก่อนจะหันไปยิ้มให้อย่างอ่อนโยนเช่นเคย
“ฮ่ะๆ ก็อยากอยู่ต่อนะครับแต่ไม่รู้จะคุยอะไรกับคุณนิลฬะเขา เลยทำบรรยากาศอึดอัดไปซะงั้น”
“ก็ดีกว่าอยู่กับเขานานๆแล้วกัน...” ดมิศพูดพลางมองออกไปข้างหน้า
“แล้ว...น้องชายคุณล่ะครับ นึกว่าจะออกมาตามกันซะอีก เห็นฟ้าครึ้มๆ”
“ธมน คงไม่ฟังเราหรอก หัวดื้อเหลือเกิน ถ้าไปเที่ยวเล่นแล้วเอาช้างไปฉุดรึก็ไม่กลับหรอก” ดมิศพูดพรางหันมาหัวเราะเบาๆ
“ขนาดนั้นเชียว? งั้นกลับขึ้นข้างบนดีกว่าไหมครับผมว่าฝนคงจะตกล่ะมั๊งเนี่ย” ภากรพูดพลางเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มมืดครึ้ม
“อ่า....นั่นสินะ” ดมิศมองขึ้นบนฟ้าสักครู่ก่อนจะลุกขึ้น ภากรเดินนำดมิศออกไปเล็กน้อย ดมิศมองฟ้าอีกครั้งพลางมองตามแผ่นหลังนั้นอย่างเลื่อนลอย
‘จะไม่ให้ใครทำร้ายได้อีก สัญญาด้วยที่ชีวิตนี้’
สิ้นเสียงของความคิด ท้องฟ้าที่มืดครึ้มตั้งเค้าฝนก็เริ่มกลั่นหยดน้ำให้ตกโปรยลงมาสู่พื้นดิน ภากรหันมองดมิศที่เงยหน้ารับสายฝนอยู่กับที่
“มัวยืนอยู่ตรงนั้นก็เปียกพอดีสิครับ ดีไม่ดีไข้ขึ้นนะครับนั่น” ภากรตะโกนเรียก ทำให้อีกฝ่ายเลิกยืนอยู่กับที่แล้วเดินไปหาต้นเสียงแต่โดยดี ถึงกระนั้นร่างทั้งสองร่างก็ถูกสายฝนชโลมจนเปียกกันพอตัว
“อา....เพราะเราแท้ๆ ท่านเลยเปียกเสียหมด ยังมีไข้อยู่แท้ๆเชียว รีบขึ้นไปเปลี่ยนชุดเสียดีกว่า” ดมิศพูดพลางรีบเดินนำภากรกลับขึ้นบนเรือน
ร่างระหงส่งพากรที่ห้องพร้อมชุดใหม่ ก่อนจะขอตัวออกไป
“ดมิศ.......ข้าขอโทษ” เสียงทุ้มทรงอำนาจพูดขึ้นจากด้านหลังของดมิศ พร้อมกับอ้อมกอดแกร่งที่โอบกอดเขาเอาไว้อย่างอ่อนโยน
ดมิศดิ้นรน แต่กระนั้นก็ไร้ผล ดมิศหยุดนิ่งอย่างจำนน แม้จะทั้งเกลียดชังอ้อมกอดนี้เพียงไรแต่เหตุใดจึงไม่อาจหลุดพ้นได้เลย ดมิศสูดหายใจเข้ายาวเยียด
“ช่างมันเถอะ..” ดมิศตอบอย่างเย็นชา แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยความสับสนแม้จะเกลียดชังเคียดแค้นอยู่แน่นคับอกแต่กลับมีความรู้สึกบางอย่างที่แตกต่างออกไปแทรกซึมอยู่ในก้นบึ้งความชิงชัง
แค่เพียงหยดน้ำไร้กำลังหยดบนหินผานานวันเข้าหินผาที่ว่าแข็งแกร่งยังกร่อน กระนั้นหรือ กับใจคน...ที่จะไม่โอนอ่อนไปกับความรู้สึกอันมหาศาลที่ประดังเข้าไม่ขาดสาย......
คำพูดของฆนรุจผู้เป็นที่รักในอดีตผุดขึ้นอย่างหน้าฉงน..........ดมิศใจกระตุกวูบ ความรู้สึกรังเกียจตนเองแล่นเข้ามาในทันใด
ไม่ได้ คนผู้นี้จะมีเพียงความเคียดแค้นชิงชังเท่านั้น!
“อย่าได้ทำเมินเฉยเช่นนี้เลย เจ้ารู้หรือไม่ ตลอดเวลาข้าเฝ้ามองเจ้า ข้ารักเจ้า รักเจ้าเสมอมา เหตุใดไม่หันมองข้า” นิลฬะพูดพลางยื่นดอกไม้ป่ากลิ่นหอมไปตรงหน้าอีกฝ่าย ดมิศนิ่งเงียบไร้ซึ่งเสียงใดตอบกลับ
“ฆนรุจมันไม่เคยรักเจ้า! รู้ตัวเสียที ว่าที่ทำไปทั้งหมดมันเปล่าประโยชน์สิ้นดี ไร้ค่า!” หัวใจร้าวระรวนเต็มที นิลฬะรู้สึกแน่นอกราวกับโดนบีบอย่างแรง ริษยา... เจ็บใจ... สิ่งเหล่าเริ่มหลอมตัวเป็นโทสะร้อน เขาดึงตัวของดมิศให้หันมาสบตามือที่จับต้นแขนทั้งสองบีบแน่นจนอีกฝ่ายหน้านิ่ว
“มองสิ! มอง มองคนที่รักเจ้าจนสุดหัวใจตรงนี้สิ มองข้าบ้าง!!!!” นิลฬะตะคอกเสียงดัง
“มองแล้ว เรามองแล้ว ท่าจะให้ข้าทำอย่างไร ในเมื่อไม่คิดอันใดเลย! ไม่ได้รัก! จะให้เรามองเพื่ออะไรกัน!” ดมิศขึ้นเสียงเช่นกันพร้อมปัดดมือของอีฝ่ายออกอย่างแรง จนดอกไม้ที่อีกฝ่ายถือไว้ตอนแรกหล่นลงสู่พื้น
นิลฬะชะงักก้มมองดอกไม้ที่ร่วงหล่นลง เขาเหยียบขยี้ดอกไม้ที่พื้นอย่างไม่ใยดีจนมันแหลกลาญ พร้อมคว้าเส้นผมของอีกฝ่ายดึงทึ้งให้เข้ามาใกล้ จ้องมองด้วยสายตาที่เกรี้ยวกราดจนอดขนลุกเสียไม่ได้
“จะไอ้ฆนรุจ หรือ ไอ้ภากร! จุดจบของมันก็เหมือนกันทั้งนั้น ข้าเคยคิดว่ามันกลับมาครั้งนี้จะปล่อยให้มันอยู่ในฐานะน้องชายอย่างสบายแท้ๆ.....แต่เมื่อคิดดูอีกครั้ง มันไม่ควรจะอยู่เลยด้วยซ้ำ จำไว้!” นิลฬะผละร่างตรงหน้าออกอย่างแรงจนอีกฝ่ายเกือบเซล้มลง น้ำตาของนิลฬะเอ่อคลอขึ้นเล็กน้อย น้ำตาที่กลั่นจากความเจ็บปวด น้ำตาที่กลันจากความชิงชังริษยา......
ความคิดเห็น