ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เก็บของเเล้วเธอว์

    ลำดับตอนที่ #3 : ๓

    • อัปเดตล่าสุด 30 ม.ค. 55


    บทที่ ๓

       “เป็นอย่างไรบ้างล่ะที่นี่”     เสียงทุ้มดังขัดขึ้นจากเบื้องหลังของทั้งสอง ดมิศและภากรหันไปมองต้นเสียงด้วยสีหน้าที่แตกต่างกัน ภากรมองร่างสูงสมส่วนใบหน้าหล่อเหลาคมคายด้วยสีหน้าฉงน ผิดกับดมิศที่มองเจ้าของเสียงนั้นด้วยสาตานิ่งเฉยแต่กลับซ่อนความชิงชังเอาไว้ไม่น้อย ก่อนเบือนหน้าไปทางอื่นอย่างเฉยเมย

       “ อ..อ่า...สวัสดีครับ”  ภากรเอ่ยเสียงตะกุกตะกักและท่าทางที่ดูเก้อๆกังๆ  ทำให้ชายแปลกหน้าหัวเราะร่วนออกมา

       “หึ...ดมิศไม่คิดจะแนะนำข้าให้น้องชายสุดที่รักของข้างบ้างเลยหรือ?”     ดมิศพรูลมหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนกันกลับมาประสานสายตากับผู้ที่ไม่อยากสนทนาด้วย...ไม่อยากแม้จะหายอยู่บนโลกเดียวกัน

        “ท่านนี้คือพี่ชายของท่านที่เราเคยพูดไว้...เขาชื่อ..นิลฬะ”   น้ำเสียงที่ฟังดูแข็งกระด้างรวมทั้งดวงตาที่ฉายความขุ่นเคืองของ ดมิศนั้นทำให้ในใจของนิลฬะรู้สึกโหวงว่างไปชั่วขณะหนึ่ง  ใบหน้าคมเข้มของนิลฬะแต้มด้วยรอยยิ้ม มองไปทางภากร อย่างคุ้นเคย

    วูบหนึ่งความรู้สึกคุ้นชินเกิดขึ้นในความรู้สึกของภากร

       “เหอ?.....สรุปคือ ผมมีพี่ชายจริงดิ...แล้วคือ...ตอนนี้ผมมาในอดีตชาติของตัวเอง?”  ภากรทวนเรื่องราวอีกครั้ง พลางมองด้วยสายตาขอคำตอบจากดมิศที่ดูท่าทีแปลกไป   ดมิศยิ้มบางๆพร้อมพยักหน้าเล็กน้อยเป็นคำตอบ 

       “ฮ่าๆ ข้ารู้ดี ว่าเจ้าคงไม่ชินนัก ถือเสียว่าข้าเป็นคนรู้จักที่อายุมากกว่าไปก่อนแล้วกัน”      ภากรพยักหน้ารับ

    จะไปชินได้ไงเล่า! ตั้งแต่เกิดมาเนี่ยเคยมีพี่ชายกับเขาที่ไหน!

       “เอ้าๆ อากาศเริ่มร้อนมากแล้ว กลับขึ้นข้างบนเสียก่อนเป็นไร”     นิลฬะท้วงขึ้น ภากรเองก็เพิ่งรู้เนื้อรู้ตัวว่าแดดแรงพอดู ภากรพยักหน้าพลางเดินตามนิลฬะไป มีเพียงดมิศที่ยังนิ่งอยู่กับที่  ภากรเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หนักลับมามองร่างระหงที่ยืนนิ่งอยู่

       “เอ้า เดี๋ยวแดดก็เผาเอาซะหรอกครับ”  ภากรพูดพลางตรงไปคว้าข้อมืออีกฝ่ายให้เดินตาม ดมิศตกใจเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนเป็นร้อยยิ้มบางเบาและเดินตามไปแต่โดยดี 

     

    ถ้าเป็นข้าเจ้าคงไม่ยิ้มเช่นนั้นใช่ไหม....ดมิศ  

    นิลฬะเหลือบมองทั้งสองที่เดินตาหลังมาเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะเดินนำไปอย่างเงียบงัน แม้ภายในนั้นจะอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกมากมาย.....เจ็บใจ...โกรธ...หึงหวง

    แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อ ตอนนี้ คนที่ดมิศมอบใจรักให้เพียงคนเดียวได้กลับมา ทั้งๆที่คิดว่าถ้ากำจัดไปเสีย ดมิศคงจะเหลือที่ว่างให้เขาบ้าง แต่มันกลับ...เป็นการเพิ่มความอาวรณ์รักของดมิศที่มีต่อภากรมากขึ้นทุกที

     

    ภากรเดินตามนิลฬะขึ้นไปบนเรือนหลังใหญ่ ดมิศปลีกตัวออกทันทีที่ถึง ภากรสังเกตเห็นท่าทีที่ดูแปลกไปของดมิศดี แต่ก็ ไม่ได้เก็บมาใส่ใจมากนัก

       “ภากรงั้นรึ ชื่อเจ้าในตอนนี้”      นิลฬะเลิกคิ้วถาม  ภากรได้แต่พยักหน้าช้าๆ ทั้งคู่นิ่งเงียบไปชั่วขณะ บรรยากาศชวนอึดอัดจนภากรต้องเอยคำถามออกมา

       “เห็นว่าผมเคยมีตัวตนที่นี่ ตอนนั้นผมชื่ออะไรล่ะครับ”  

    นิลฬะแสยะยิ้มมุมปากชั่วเวลาหนึ่ง ภากรเองก็ไม่ได้สังเกตเห็นรอยแสยะอันแฝงนัยอันตรายเอาไว้ เห็นเพียงรอยยิ้มเป็นมิตรที่ฉาบทับลงเพียงเท่านั้น

       “ฆนรุจ...ชื่อเจ้าน่ะ ฆนรุจ เป็นชื่อที่ดีทีเดียว”  

    ภากรรู้สึกชาวูบที่ใบหน้า เหมือนมีความทรงจำบางอย่างไหลวูบเข้ามาในหัว เสียงเรียกชื่อ ฆนรุจ ดังกังวานเสียงของคนมากมายแตกต่างกัน ก่อนมันจะเงียบสงัดลงพร้อมๆกับที่สติของภากรเริ่มเข้าที่เข้าทางภากรตีหน้าให้เป็นปกติ 

        “แปลกดีนะครับชื่อนั้น   มันแปลว่าอะไรเหรอครับ”   ภากรถามด้วยท่าทีสุภาพ

       “แปลว่า พระอาทิตย์....ผู้ส่องแสงอยู่เหนือเมฆทั้งปวงในทิวากาล”      นิลฬะเอ่ยด้วยเสียงเย็นเยียบ จนภากรเองก็อดที่จะขนลุกขึ้นมาเสียไม่ได้  สายตาดูดุดันกว่าเมื่อครู่มากเป็นเท่าตัว

       “ฮ่ะๆ ภากรก็แปลว่าพระอาทิตย์เหมือนกันเลยนะครับ..บังเอิญดีจริงๆ”     ภากรหัวเราะแห้งๆออกมากลบเกลื่อน

       “เจ้าว่าพระจันทร์....จะอยู่กับยามราตรีหรือพระอาทิตย์ล่ะ”    นิลฬะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง ดวงตาดุดันฉายแววห่วงหาบางสิ่งขึ้นมาแทนที่ นัยน์ตาสีดำจ้องมองออกไปไกลแสนไกล

       “พระจันทร์ก็ต้องอยู่ในตอนกลางคืนสิครับ”    ภากรตอบ

       “แต่ทำไมพระจันทร์ดวงที่ข้าพบในตอนนี้ถึงได้เลือกและภักดีต่อพระอาทิตย์เสียเล่า”     นิลฬะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูทดท้อและเจ็บปวด ภากรไม่เข้าใจความหมายเลยแม้แต่นิดเดียว  “ดวงอาทิตย์อย่างเจ้าควรจะดับสูญไปซะ ฆนรุจ”  ประโยคหลังนี้เบาหวิวจนภากรได้ยินรางๆแต่ก็ไม่สามารถจับใจความได้  ได้แต่ปล่อยให้ผ่านเลยไป ความเงียบเข้าครอบคลุมอีกครั้ง

    “อึดอัดใช่ไหม  เจ้าไปหาดมิศสิเขาคงจะไปตามธมนใกล้ๆนี่ ฟ้าเริ่มครึ้มแล้วด้วย  เมื่อครู่แดดยังแรงอยู่แท้ๆเชียว เจ้าอยู่คุยกับข้ามีแต่จะอึดอัดเปล่า”    นิลฬะเอ่ยตัดความ

     ภากรรับคำสั้นๆก่อนหันหลังเดินออกไป

    “อ้อ! ภากร”   นิลฬะเอ่ยทักขึ้น  ภากรชะงักฝีเท้าพร้อมหันกลับมามองต้นเสียง

    “ระวังของมีคมล่ะ  มันอันตราย... เมื่อก่อนเจ้าโดนของพวกนี้เล่นงานเข้าเสียบ่อย มันอาจบาดเข้าที่สำคัญได้ อย่างเช่น...ที่คอของเจ้า”        ใบหน้ายิ้มแย้มนั่นช่างขัดกับเสียงที่ฟังดูเย็นยะเยือกชนขนลุกอีกยังแฝงความรู้สึกอันตรายเอาไว้มากมายนั่นเสียเหลือเกิน ภากรอึกอักรับคำก่อนรีบเดินจากไปจากตรงนั้น

     

    เขาสติดีรึเปล่าน่ะ   ความคิดนี้ผุดขึ้นทันทีในหัวของภากร

     

    ---------

     

    “อยู่นี่เองเหรอครับ นึกว่าจะหาไม่เจอซะแล้ว”   ภากรพูดขึ้นด้วยความดีใจเมื่อพบดมิศ หลังจากตามหาอยู่เป็นนาน ดูเหมือนอีกฝ่ายกำลังนั่งเหม่ออยู่เสียด้วย

    “...นึกว่าจะอยู่ข้างบนกันเสียอีก”   ดมิศสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกทัก ก่อนจะหันไปยิ้มให้อย่างอ่อนโยนเช่นเคย

    “ฮ่ะๆ ก็อยากอยู่ต่อนะครับแต่ไม่รู้จะคุยอะไรกับคุณนิลฬะเขา เลยทำบรรยากาศอึดอัดไปซะงั้น”    

    “ก็ดีกว่าอยู่กับเขานานๆแล้วกัน...”   ดมิศพูดพลางมองออกไปข้างหน้า

    “แล้ว...น้องชายคุณล่ะครับ นึกว่าจะออกมาตามกันซะอีก เห็นฟ้าครึ้มๆ”   

    “ธมน คงไม่ฟังเราหรอก หัวดื้อเหลือเกิน ถ้าไปเที่ยวเล่นแล้วเอาช้างไปฉุดรึก็ไม่กลับหรอก”   ดมิศพูดพรางหันมาหัวเราะเบาๆ

    “ขนาดนั้นเชียว?  งั้นกลับขึ้นข้างบนดีกว่าไหมครับผมว่าฝนคงจะตกล่ะมั๊งเนี่ย”  ภากรพูดพลางเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มมืดครึ้ม  

    “อ่า....นั่นสินะ”     ดมิศมองขึ้นบนฟ้าสักครู่ก่อนจะลุกขึ้น  ภากรเดินนำดมิศออกไปเล็กน้อย ดมิศมองฟ้าอีกครั้งพลางมองตามแผ่นหลังนั้นอย่างเลื่อนลอย   

    จะไม่ให้ใครทำร้ายได้อีก สัญญาด้วยที่ชีวิตนี้

    สิ้นเสียงของความคิด ท้องฟ้าที่มืดครึ้มตั้งเค้าฝนก็เริ่มกลั่นหยดน้ำให้ตกโปรยลงมาสู่พื้นดิน ภากรหันมองดมิศที่เงยหน้ารับสายฝนอยู่กับที่

     “มัวยืนอยู่ตรงนั้นก็เปียกพอดีสิครับ ดีไม่ดีไข้ขึ้นนะครับนั่น”   ภากรตะโกนเรียก  ทำให้อีกฝ่ายเลิกยืนอยู่กับที่แล้วเดินไปหาต้นเสียงแต่โดยดี  ถึงกระนั้นร่างทั้งสองร่างก็ถูกสายฝนชโลมจนเปียกกันพอตัว 

    “อา....เพราะเราแท้ๆ ท่านเลยเปียกเสียหมด ยังมีไข้อยู่แท้ๆเชียว รีบขึ้นไปเปลี่ยนชุดเสียดีกว่า”  ดมิศพูดพลางรีบเดินนำภากรกลับขึ้นบนเรือน       

    ร่างระหงส่งพากรที่ห้องพร้อมชุดใหม่ ก่อนจะขอตัวออกไป   

    “ดมิศ.......ข้าขอโทษ”    เสียงทุ้มทรงอำนาจพูดขึ้นจากด้านหลังของดมิศ พร้อมกับอ้อมกอดแกร่งที่โอบกอดเขาเอาไว้อย่างอ่อนโยน 

    ดมิศดิ้นรน แต่กระนั้นก็ไร้ผล ดมิศหยุดนิ่งอย่างจำนน   แม้จะทั้งเกลียดชังอ้อมกอดนี้เพียงไรแต่เหตุใดจึงไม่อาจหลุดพ้นได้เลย  ดมิศสูดหายใจเข้ายาวเยียด  

    “ช่างมันเถอะ..”   ดมิศตอบอย่างเย็นชา แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยความสับสนแม้จะเกลียดชังเคียดแค้นอยู่แน่นคับอกแต่กลับมีความรู้สึกบางอย่างที่แตกต่างออกไปแทรกซึมอยู่ในก้นบึ้งความชิงชัง

    แค่เพียงหยดน้ำไร้กำลังหยดบนหินผานานวันเข้าหินผาที่ว่าแข็งแกร่งยังกร่อน กระนั้นหรือ กับใจคน...ที่จะไม่โอนอ่อนไปกับความรู้สึกอันมหาศาลที่ประดังเข้าไม่ขาดสาย......

     คำพูดของฆนรุจผู้เป็นที่รักในอดีตผุดขึ้นอย่างหน้าฉงน..........ดมิศใจกระตุกวูบ   ความรู้สึกรังเกียจตนเองแล่นเข้ามาในทันใด

    ไม่ได้ คนผู้นี้จะมีเพียงความเคียดแค้นชิงชังเท่านั้น!

    “อย่าได้ทำเมินเฉยเช่นนี้เลย  เจ้ารู้หรือไม่ ตลอดเวลาข้าเฝ้ามองเจ้า ข้ารักเจ้า รักเจ้าเสมอมา เหตุใดไม่หันมองข้า”   นิลฬะพูดพลางยื่นดอกไม้ป่ากลิ่นหอมไปตรงหน้าอีกฝ่าย ดมิศนิ่งเงียบไร้ซึ่งเสียงใดตอบกลับ

    “ฆนรุจมันไม่เคยรักเจ้า! รู้ตัวเสียที ว่าที่ทำไปทั้งหมดมันเปล่าประโยชน์สิ้นดี ไร้ค่า!    หัวใจร้าวระรวนเต็มที  นิลฬะรู้สึกแน่นอกราวกับโดนบีบอย่างแรง  ริษยา... เจ็บใจ... สิ่งเหล่าเริ่มหลอมตัวเป็นโทสะร้อน  เขาดึงตัวของดมิศให้หันมาสบตามือที่จับต้นแขนทั้งสองบีบแน่นจนอีกฝ่ายหน้านิ่ว

    “มองสิ! มอง มองคนที่รักเจ้าจนสุดหัวใจตรงนี้สิ มองข้าบ้าง!!!!    นิลฬะตะคอกเสียงดัง 

     “มองแล้ว เรามองแล้ว ท่าจะให้ข้าทำอย่างไร ในเมื่อไม่คิดอันใดเลย! ไม่ได้รัก! จะให้เรามองเพื่ออะไรกัน!  ดมิศขึ้นเสียงเช่นกันพร้อมปัดดมือของอีฝ่ายออกอย่างแรง จนดอกไม้ที่อีกฝ่ายถือไว้ตอนแรกหล่นลงสู่พื้น   

     นิลฬะชะงักก้มมองดอกไม้ที่ร่วงหล่นลง เขาเหยียบขยี้ดอกไม้ที่พื้นอย่างไม่ใยดีจนมันแหลกลาญ พร้อมคว้าเส้นผมของอีกฝ่ายดึงทึ้งให้เข้ามาใกล้ จ้องมองด้วยสายตาที่เกรี้ยวกราดจนอดขนลุกเสียไม่ได้

    “จะไอ้ฆนรุจ หรือ ไอ้ภากร! จุดจบของมันก็เหมือนกันทั้งนั้น ข้าเคยคิดว่ามันกลับมาครั้งนี้จะปล่อยให้มันอยู่ในฐานะน้องชายอย่างสบายแท้ๆ.....แต่เมื่อคิดดูอีกครั้ง มันไม่ควรจะอยู่เลยด้วยซ้ำ จำไว้!   นิลฬะผละร่างตรงหน้าออกอย่างแรงจนอีกฝ่ายเกือบเซล้มลง  น้ำตาของนิลฬะเอ่อคลอขึ้นเล็กน้อย น้ำตาที่กลั่นจากความเจ็บปวด น้ำตาที่กลันจากความชิงชังริษยา......

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×