คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ๑
บทที่ ๑
หอม....ราวกับ ดอกไม้ที่อยู่แดนสวรรค์...
“...ตื่นแล้วรึ เราเห็นท่านหลับไปนานนัก คิดว่าจะไม่ฟื้นขึ้นมาแล้วเสียอีก” ภาพของร่างบางระหง เส้นผมสีดำสนิทปล่อยยาวสลวย ผิวพรรณขาวผุดผ่องดวงหน้างดงามราวกับนางอัปสรจำแลง เริ่มเด่นชัดขึ้นในประสาทการมองเห็นของผู้ที่เพิ่งจะลืมตาตื่นขึ้นจากการหลับใหล
“อือ...ใคร...” น้ำเสียงแห้งผากของร่างสูงที่เพิ่งได้สติเอ่ยขึ้น
“อ้อ...เราชื่อ ดมิศ เราพบท่านหมดสติอยู่ตั้งแต่วานซืน เราคิดว่าท่านจะไม่รอดเสียแล้ว ” ร่างระหงเอ่ยขึ้นพร้อมพยุงร่างของอีกฝ่ายให้ดื่มน้ำ
ผู้ชาย....คนตรงหน้านี้เป็นผู้ชายเหรอ ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลย
ร่างสูงเอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอิดโรย
“เราว่าท่านควรจะกินอะไรเสียหน่อย....ดูท่านอิดโรยนัก” ดมิศวางน้ำลงใกล้ๆก่อนจะใช้มืออังหน้าผากของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา “ซ้ำ ยังตัวร้อนราวกับไฟอีก แล้วท่านมีนามว่าอย่างไร เราจะได้เรียกท่านตามนั้น”
“...ภากร..ผมชื่อภากรครับ” ร่างสูงใจเต้นระรัว เป็นเพราะความอ่อนแรงและพิษไข้ หรือ เป็นเพราะคนตรงหน้า เจ้าตัวเองก็ยังสับสนนัก
“เป็นชื่อที่ดีนัก สักพักเราจะเอาผ้าขึ้นมาให้ท่านผลัดเปลี่ยน เราเช็ดตัวให้ท่านแล้ว ท่านอาจมีอาการวิงเวียนอยู่บ้าง แต่ประเดี๋ยวกินข้าวกินปลาคงทุเลาลง”
“...ครับ” ภากรตอบพร้อมกับกวาดสายตามองบรรยากาศรอบข้าง ราวกับหลุดมาอยู่ในโลกวรรณคดี มองลอดหน้าต่างออกไปจะเห็นแนวป่าร่มรื่น เสียงนกขับขานประสานกันราวกับต้องการขับกล่อมให้ผู้ฟังนั้นหลับใหล ต่างกับเมืองใหญ่ที่ครึกครื้นไปด้วยรถรา ตึกสูงบดบังทัศนียภาพ ที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างมาก แต่มันกลับเป็นบรรยากาศที่ทำให้เขาสบายใจอย่างน่าประหลาด
เราจะไปเป็นลมล้มพับหมดสติได้ยังไงในเมื่อ............จะ...จมน้ำ ระ...หรือว่าเราตายแล้ว!!!!
ภากรเบิกตากว้างพร้อมกับจับใบหน้าของตัวเองอย่างลุกลน
“ท่าน...เป็นอะไรไป”
“ปะ...มะ..เอ่อ ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่ที่นี่ คือที่ไหนหรือครับ”
“....เอาเป็นว่าเราและผู้คนที่นี่เป็นมิตรกับท่าน หากท่านประสงค์สิ่งใดเรียกเราได้ตลอดเวลา อ้อ แต่ผู้ที่มีนามคล้ายความดำมืด ท่านอย่าได้ไว้ใจ..” ดมิศเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยปริศนาก่อนยกข้าวของออกไปจากห้องเงียบๆ ปล่อยให้ภากรอยู่คนเดียวกับความสับสนอีกมากมาย
ที่นี่ ที่ไหนวะ ไอ้กรเอ๊ย! เอ็งหลุดมาอยู่อีกมิติแบบในละครซะแล้วหรือเปล่าวะเนี่ย.... แล้วพ่อคนงามคนนั้นมัน....คนหรือเปล่าวะ...แล้วเราตายยังวะเนี่ย อะไรกันนักกันหนา...พูดจากลึกลับเป็นบ้า โว้ย มันอยากรู้นะเว่ย
ภากรตะโกนอยู่ในใจคนเดียวแต่ไม่มีแรงจะทำอะไรไปมากว่ายีหัวตัวเองแรงๆสองสามทีเป็นการระบาย
ไม่นานนักประตูไม้บานใหญ่ก็ถูกเปิดเข้ามา ดมิศ กลับมาพร้อมชุดใหม่ที่พับอย่างเรียบร้อย
“ให้เราช่วยเปลื่ยนหรือไม่” ดมิศพูดพร้อมวางชุดลงข้างๆภากร
“อืม...เอ่อ ไม่เป็นไร ไม่ต้องครับ” ภากรคว้าเอาชุดมากอดไว้พร้อมส่ายศีรษะแรงๆเป็นการปฏิเสธ ดมิศยิ้มให้ก่อนจะเดินออกไป ภากรมองชุดในมือแล้วลงมือพยายามเปลี่ยนชุดให้เรียบร้อย
ภากรถอนหายใจเฮือกใหญ่หลังจากพยายามใส่ชุดที่ดูจะยากเพราะไม่คุ้นชินอยู่เป็นนาน ทำให้ดมิศต้องเดินเข้ามาดูเมื่อเห็นว่าเวลาก็ผ่านไปนานผิดปกติ ดมิศลอบถอนหายใจ ก่อนจะยิ้มบางๆเมื่อเห็นคนที่อยู่ในห้องไม่ได้เป็นอะไรไปอย่างที่ตนคิดแต่กลับกำลังง่วนอยู่กับเลื้อผ้า ที่อาจไม่คุ้นเคย
“เอ่อ...” ภากรเงยหน้าขึ้นมองคนที่เข้ามาในห้องก่อนจะยิ้มแห้งๆออกมา
“มา..เราจะสอน เห็นท่านแล้วเหมือนเห็นเด็กเล็กอย่างไรพิกล เห็นเงียบอยู่เป็นนาน เราคิดว่าท่านจะเป็นลมล้มพับเพราะพิษไข้เสียอีก” ดมิศพูดพร้อมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปผูกเชือกที่ตัวเสื้อให้ภากร พร้อมสอนวิธีใส่ไปช้าๆ แต่คนฟังกลับไม่ได้ยินอะไรเลย หูอื้อ หน้าร้อนไปหมด เลยได้แต่นั่งตัวแข็งทื่อเป็นเสาหินอยู่อย่างนั้น
ดมิศเงยหน้าขึ้นมองภากรที่ทำหน้าตาท่าทางแปลกๆ
“ท่านเป็นไรไปหรือ...?” ดมิศทำท่าทางสงสัย
“หือ?...เป็นอะไร ไม่มีครับ ไม่เป็น ไม่มีอะไรทั้งนั้นเลยครับผม” ภากรพูดพร้อมส่ายหน้าเลิ่กลั่ก
“ผม...แบบว่า..เอ่อ...ชักหิวแล้วครับ ครับหิวแล้ว ฮ่าๆ” ภากรเริ่มประติดประต่อคำพูดไม่รู้เรื่องและแค่นหัวเราะออกไปกลบเกลื่อน ดมิศได้แต่ยิ้มและส่ายหน้าเบาๆ
“อย่างนั้นตามเรามาทางนี้” ดมิศลุกขึ้นและเดินนำไปด้านนอก ภายนอกห้องที่ภากรอยู่สร้างความแปลกใจให้กับภากร เป็นอย่าง ทุกอย่างดูสวยงามเหลือเกิน ธรรมชาติโดยรอบนั้นดูอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้สีเขียวเรียงราย บ้างก็มีกระรอกวิ่งไปวิ่งมา ดูแล้วก็อดยิ้มไม่ได้
“สวยจัง...” ภากรพูดออกมาขณะที่มองบรรยากาศโดยรอบ
“ท่านชอบ เราก็ดีใจ พี่ชายท่านก็คงจะเช่นกัน” ภากรชะงักฝีเท้าเล็กน้อย
“พี่ชาย?....ผมไม่มีพี่ชาย ผมเป็นลูกคนโตนะ”
“ใช่...ท่านไม่มี แต่ในที่แห่งนี้ท่านมีแน่ ท่านภากร...” ดมิศหันหน้ามองภากรด้วยแววตาอ่อนโยนเช่นทุกครั้งแต่วูบหนึ่งกลับฉายชัดถึงความเศร้าหมอง
“ถึงแล้ว เชิญท่านตามสบาย” ดมิศส่งภากรถึงจุดที่ตั้งสำรับอาหารไว้พร้อม บางอย่างภากรไม่เคยรู้จัก
“แล้ว...คุณล่ะ”
“ท่านมีน้ำใจนัก เชิญท่านตามสบาย ประเดี๋ยวจะมีคนมาเก็บสำรับเอง ท่านไม่ต้องลำบากอะไรหรอก” ดมิศยิ้มก่อนเดินจากไป
ในห้องที่แทบจะไม่มีแสงเข้าถึงมีร่างร่างหนึ่งกำลังแค่นไออย่างทรมานมือจิกผนังไม้อย่างแรง ใบหน้าเนียนสล้างบางส่วนเริ่มปรากฏรอยเกล็ดสีขาวลักษณะคล้ายเกล็ดของงสัตว์เลื้อยคลานเรียงซ้อนกัน ร่างนั้นทรุดลงกับพื้น หอบหายใจแรงขึ้นทุกขณะ ดวงตาเบิกกว้างขึ้น ดวงตาทั้งคู่นั้น เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเงินม่านตาหรี่เล็กเป็นเสี้ยว บางส่วนร่างกลายเริ่มปรากฏเกล็ดแบบเดียวกับที่อยู่บนใบหน้า
“..อาการไม่สู้ดีเลยนี่ ดมิศ” เสียงทุ้มทรงอำนาจดังขึ้นทำร่างที่กำลังทนทรมานอยู่หันขวับมามองอย่างไม่พอใจ ดวงตาฉายแววแข็งกร้าวและเกลียดชังเอาไว้ไม่น้อย
“นิลฬะ อ..อ.ออก ไป!” ดมิศเอ่ยตวาดออกไปแม้แทบจะไม่แรงแล้วก็ตาม
“หึ.....เจ้าจะทนความทรมานไอ้อีกสักเท่าไร ทุกครั้งเห็นเจ้าออดอ้อนข้าดีนัก เอ...หรือเป็นเพราะ น้องชายสุดรักของข้ากลับคืนมาอย่างนั้นรึ เจ้าจึงได้ แข็งกร้าวต่อข้าได้ถึงเพียงนี้”
“ชั่วช้า..” ดมิศเอ่ยด้วยเสียงและแววตาที่เหยียดหยัน
เพี้ยะ!
ใบหน้าห้องดมิศหันไปตามแรงฟาดฝ่ามือของอีกฝ่ายที่ตบเข้าอย่างแรง จนใบหน้าชาไปทั้งแถบ ไม่ทันจะรู้สึกเจ็บที่ใบหน้าเส้นผมก็ถูกทึ้งให้เงยหน้าขึ้น
“จำเอาไว้ว่าเจ้าไม่มีสิทธิ์กำแหงกับข้า ถึงแม้ว่ามันจะกลับมาแต่ก็ใช่ว่ามันจะช่วยเจ้าอย่างเดิมได้...ในตอนนี้มีเพียงข้าที่ สามารถเยียวยาเจ้าได้ มีเพียงข้าเท่านั้นที่เจ้าจะต้องอยู่รับใช้ เจ้าเข้าใจหรือไม่!!!!!” นิลฬะตวาดลั่น จนดมิศสะดุ้งเล็กน้อย
“แต่เอาเถอะ ครั้งนี้ข้าจะไม่ถือโทษเอาความกับเจ้าไปมากกว่านี้....” มือหนาที่จิกเส้นผมของดมิศเริ่มคลายออกก่อนจะค่อยๆไล้ผ่านใบหน้าลงมาจนถึงคางช้าๆ ก่อนออกแรงบีบเล็กน้อย
“ข้าช่วยเจ้าเอง ดมิศ....” นิลฬะโน้มใบหน้าคมเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้นจนดมิศสำผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นของอีกฝ่าย ริมฝีปากหนาทาบทับบนริมฝีปากของดมิศอย่างแผ่วเบา ส่งผ่านไอเย็นยะเยือกบางอย่างเข้าไปในช่องปากของอีกฝ่าย ก่อนจะเริ่มบดจูบรุกเร้าร้อนแรงมากขึ้น...และมากขึ้น ดมิศจมสู่ภวังค์ลึกล้ำ... ดวงตาสีเงินสุกใสปิดลงช้าๆ วูบหนึ่งใบหน้าของชายผู้หวนคืนได้ฉายชัดในจิตใต้สำนึก ร่างระหงออกแรงปัดป่ายร่างกำยำอย่างสุดกำลังหลังจากความทรมานเริ่มหายไป แม้แรงแทบจะไม่มีเหลือแล้วเลยก็ตาม การกระทำนั้นถือเป็นการจุดไฟโทสะของนิลฬะขึ้นมา ดวงตาคมกริบจ้องมองร่างที่อยู่ภายใต้พันธะของตน ดมิศจ้องกลับด้วยสายตาที่แข็งกร้าวไม่แพ้กันเพียงแต่น้ำตากับก่อตัวขึ้นและไหลอาบลงที่แก้มนวลทั้งสองข้าง
“น้ำตา...น้ำตางั้นรึ!!! ข้าเกลียดน้ำตา โดยเฉพาะน้ำตาของเจ้า!” นิลฬะเหวี่ยงร่างไร้เรี่ยวแรงของดมิศกระแทกกับพื้นอย่างแรงจนอีกฝ่ายจุกจนตัวงอ ก่อนจะจิกเส้นผมของดมิศให้เงยหน้ามองตนอีกครั้ง มือหนาบรรจงเช็ดหยาดน้ำตาบนใบหน้างามเบาๆ
“ได้โปรด...อย่าร้องไห้...ได้โปรด” นิลฬะคลายมือออกจากเส้นผมสลวยก่อนโอบกอดร่างนั้นอย่างอ่อนโยน ดมิศได้เพียงแต่สะอื้นออกมาด้วยความเจ็บและตกใจ
“ข้าไม่ได้ตั้งใจ....เพียงแต่ข้ากลัว...กลัวยิ่งนัก ว่าสิ่งที่ข้ารักจะถูกช่วงชิงไป”
“เราไม่เคย....เป็น ของ ของ ท่าน!” ดมิศเอ่ยเสียงแข็ง
ดวงตาของนิลฬะแข็งกร้าวขึ้นอีกครั้ง แต่ภายบอบช้ำเกินจะเยียวยา.....
“ที่ผ่านมาข้าไม่เคยจะทำเช่นนี้.......ไม่เคยล่วงเกินเจ้า.......แต่ครั้งนี้...เจ้าทำให้ข้าโมโห!!!” นิลฬะกดร่างของดมิศลงกับพื้นด้วยเพลิงโทสะ แม้อีกฝ่ายจะขัดขืนแต่ก็ไม่สามารถต้านทานแรงปรารถนาของอีกฝ่ายได้
ประดุจ....เหยื่อที่ไม่อาจหลุดรอดคมเขี้ยวของพญาราชสีห์...
ไอร้อนจากลมหายใจของนิลฬะคลอเคลียอยู่บริเวณต้นคอขาวระหง นิลฬะออกแรงขบกัดจนเกิดรอยสีชมพูจางบริเวณต้นคอ ร่างบางไร้เรี่ยวแรงขัดขืนได้แต่ปล่อยให้ร่างกายตอบรับไฟราคะของอีกฝ่ายที่ค่อยๆแผดเผามากขึ้น รุ่มร้อน และรุนแรง..
เสียงที่เกิดจากร่านราคะดังขึ้น เปรียบดังน้ำมันที่ราดลงบนกองไฟ นิลฬะบดเบียดตัวตนเข้าหลอมรวมกับร่างของดมิศ อย่างกระหาย อุณหภูมิรอบด้านสูงขึ้น สียงหอบหายใจถี่ขึ้น ถี่ขึ้น....ก่อนความรุ่มร้อนจะค่อยๆลดลง
“.....ดมิศ....” นิลฬะเรียกชื่อของอีกฝ่ายเบาๆ ไร้เสียงใดตอบกลับ มีเพียงแต่รอยยิ้มที่สามมารถทำให้ตายได้ในชั่ววินาทีนั้น เจ้าของรอยยิ้มยื่นมือมาสัมผัสที่ใบหน้าของชายตรงหน้าอย่างแผ่วเบา
“ท่าน...เหมือนเขามาก เหมือนจริงๆ....เพียงแต่คนผู้นั้นคงไม่คิดทำสิ่งหยาบกระด้างกับเราเช่นนี้”
ขอโทษ..... คำคำนี้ผุดขึ้นในหัวของนิลฬะก่อนที่จะถูกกลืนหายไปในความคิด เขานิ่งเงียบ...
ดมิศ ปาดคราบน้ำตาที่ยังเหลือยู่ของตนออกเบาๆ พร้อมรอยยิ้มว่างเปล่า
....น้ำตาเริ่มเหือดแห้ง
ความคิดเห็น