ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เก็บของเเล้วเธอว์

    ลำดับตอนที่ #1 : ๑

    • อัปเดตล่าสุด 30 ม.ค. 55


    บทที่ ๑

    หอม....ราวกับ ดอกไม้ที่อยู่แดนสวรรค์...

        “...ตื่นแล้วรึ เราเห็นท่านหลับไปนานนัก คิดว่าจะไม่ฟื้นขึ้นมาแล้วเสียอีก”  ภาพของร่างบางระหง เส้นผมสีดำสนิทปล่อยยาวสลวย  ผิวพรรณขาวผุดผ่องดวงหน้างดงามราวกับนางอัปสรจำแลง เริ่มเด่นชัดขึ้นในประสาทการมองเห็นของผู้ที่เพิ่งจะลืมตาตื่นขึ้นจากการหลับใหล

        “อือ...ใคร...”   น้ำเสียงแห้งผากของร่างสูงที่เพิ่งได้สติเอ่ยขึ้น

        “อ้อ...เราชื่อ ดมิศ เราพบท่านหมดสติอยู่ตั้งแต่วานซืน เราคิดว่าท่านจะไม่รอดเสียแล้ว ”    ร่างระหงเอ่ยขึ้นพร้อมพยุงร่างของอีกฝ่ายให้ดื่มน้ำ

     ผู้ชาย....คนตรงหน้านี้เป็นผู้ชายเหรอ ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลย

    ร่างสูงเอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอิดโรย

        “เราว่าท่านควรจะกินอะไรเสียหน่อย....ดูท่านอิดโรยนัก”    ดมิศวางน้ำลงใกล้ๆก่อนจะใช้มืออังหน้าผากของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา  “ซ้ำ ยังตัวร้อนราวกับไฟอีก แล้วท่านมีนามว่าอย่างไร เราจะได้เรียกท่านตามนั้น” 

        “...ภากร..ผมชื่อภากรครับ”    ร่างสูงใจเต้นระรัว เป็นเพราะความอ่อนแรงและพิษไข้ หรือ เป็นเพราะคนตรงหน้า เจ้าตัวเองก็ยังสับสนนัก

        “เป็นชื่อที่ดีนัก  สักพักเราจะเอาผ้าขึ้นมาให้ท่านผลัดเปลี่ยน เราเช็ดตัวให้ท่านแล้ว ท่านอาจมีอาการวิงเวียนอยู่บ้าง แต่ประเดี๋ยวกินข้าวกินปลาคงทุเลาลง”

         “...ครับ”  ภากรตอบพร้อมกับกวาดสายตามองบรรยากาศรอบข้าง   ราวกับหลุดมาอยู่ในโลกวรรณคดี มองลอดหน้าต่างออกไปจะเห็นแนวป่าร่มรื่น เสียงนกขับขานประสานกันราวกับต้องการขับกล่อมให้ผู้ฟังนั้นหลับใหล ต่างกับเมืองใหญ่ที่ครึกครื้นไปด้วยรถรา ตึกสูงบดบังทัศนียภาพ ที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างมาก แต่มันกลับเป็นบรรยากาศที่ทำให้เขาสบายใจอย่างน่าประหลาด

    เราจะไปเป็นลมล้มพับหมดสติได้ยังไงในเมื่อ............จะ...จมน้ำ  ระ...หรือว่าเราตายแล้ว!!!!

    ภากรเบิกตากว้างพร้อมกับจับใบหน้าของตัวเองอย่างลุกลน

        “ท่าน...เป็นอะไรไป”

        “ปะ...มะ..เอ่อ ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่ที่นี่ คือที่ไหนหรือครับ”   

        “....เอาเป็นว่าเราและผู้คนที่นี่เป็นมิตรกับท่าน  หากท่านประสงค์สิ่งใดเรียกเราได้ตลอดเวลา อ้อ แต่ผู้ที่มีนามคล้ายความดำมืด ท่านอย่าได้ไว้ใจ..”   ดมิศเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยปริศนาก่อนยกข้าวของออกไปจากห้องเงียบๆ ปล่อยให้ภากรอยู่คนเดียวกับความสับสนอีกมากมาย    

      ที่นี่ ที่ไหนวะ ไอ้กรเอ๊ย! เอ็งหลุดมาอยู่อีกมิติแบบในละครซะแล้วหรือเปล่าวะเนี่ย.... แล้วพ่อคนงามคนนั้นมัน....คนหรือเปล่าวะ...แล้วเราตายยังวะเนี่ย อะไรกันนักกันหนา...พูดจากลึกลับเป็นบ้า  โว้ย มันอยากรู้นะเว่ย

    ภากรตะโกนอยู่ในใจคนเดียวแต่ไม่มีแรงจะทำอะไรไปมากว่ายีหัวตัวเองแรงๆสองสามทีเป็นการระบาย

     ไม่นานนักประตูไม้บานใหญ่ก็ถูกเปิดเข้ามา ดมิศ กลับมาพร้อมชุดใหม่ที่พับอย่างเรียบร้อย

        “ให้เราช่วยเปลื่ยนหรือไม่”  ดมิศพูดพร้อมวางชุดลงข้างๆภากร

        “อืม...เอ่อ ไม่เป็นไร ไม่ต้องครับ”   ภากรคว้าเอาชุดมากอดไว้พร้อมส่ายศีรษะแรงๆเป็นการปฏิเสธ   ดมิศยิ้มให้ก่อนจะเดินออกไป  ภากรมองชุดในมือแล้วลงมือพยายามเปลี่ยนชุดให้เรียบร้อย

    ภากรถอนหายใจเฮือกใหญ่หลังจากพยายามใส่ชุดที่ดูจะยากเพราะไม่คุ้นชินอยู่เป็นนาน ทำให้ดมิศต้องเดินเข้ามาดูเมื่อเห็นว่าเวลาก็ผ่านไปนานผิดปกติ ดมิศลอบถอนหายใจ ก่อนจะยิ้มบางๆเมื่อเห็นคนที่อยู่ในห้องไม่ได้เป็นอะไรไปอย่างที่ตนคิดแต่กลับกำลังง่วนอยู่กับเลื้อผ้า ที่อาจไม่คุ้นเคย

        “เอ่อ...”   ภากรเงยหน้าขึ้นมองคนที่เข้ามาในห้องก่อนจะยิ้มแห้งๆออกมา

        “มา..เราจะสอน เห็นท่านแล้วเหมือนเห็นเด็กเล็กอย่างไรพิกล เห็นเงียบอยู่เป็นนาน เราคิดว่าท่านจะเป็นลมล้มพับเพราะพิษไข้เสียอีก”   ดมิศพูดพร้อมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปผูกเชือกที่ตัวเสื้อให้ภากร พร้อมสอนวิธีใส่ไปช้าๆ แต่คนฟังกลับไม่ได้ยินอะไรเลย หูอื้อ หน้าร้อนไปหมด เลยได้แต่นั่งตัวแข็งทื่อเป็นเสาหินอยู่อย่างนั้น 

    ดมิศเงยหน้าขึ้นมองภากรที่ทำหน้าตาท่าทางแปลกๆ

        “ท่านเป็นไรไปหรือ...?”   ดมิศทำท่าทางสงสัย

        “หือ?...เป็นอะไร ไม่มีครับ ไม่เป็น ไม่มีอะไรทั้งนั้นเลยครับผม”    ภากรพูดพร้อมส่ายหน้าเลิ่กลั่ก 

       “ผม...แบบว่า..เอ่อ...ชักหิวแล้วครับ ครับหิวแล้ว ฮ่าๆ”   ภากรเริ่มประติดประต่อคำพูดไม่รู้เรื่องและแค่นหัวเราะออกไปกลบเกลื่อน  ดมิศได้แต่ยิ้มและส่ายหน้าเบาๆ

        “อย่างนั้นตามเรามาทางนี้”   ดมิศลุกขึ้นและเดินนำไปด้านนอก ภายนอกห้องที่ภากรอยู่สร้างความแปลกใจให้กับภากร เป็นอย่าง ทุกอย่างดูสวยงามเหลือเกิน ธรรมชาติโดยรอบนั้นดูอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้สีเขียวเรียงราย  บ้างก็มีกระรอกวิ่งไปวิ่งมา ดูแล้วก็อดยิ้มไม่ได้

        “สวยจัง...”   ภากรพูดออกมาขณะที่มองบรรยากาศโดยรอบ

        “ท่านชอบ เราก็ดีใจ พี่ชายท่านก็คงจะเช่นกัน”   ภากรชะงักฝีเท้าเล็กน้อย

        “พี่ชาย?....ผมไม่มีพี่ชาย ผมเป็นลูกคนโตนะ” 

        “ใช่...ท่านไม่มี แต่ในที่แห่งนี้ท่านมีแน่ ท่านภากร...”   ดมิศหันหน้ามองภากรด้วยแววตาอ่อนโยนเช่นทุกครั้งแต่วูบหนึ่งกลับฉายชัดถึงความเศร้าหมอง

        “ถึงแล้ว เชิญท่านตามสบาย”  ดมิศส่งภากรถึงจุดที่ตั้งสำรับอาหารไว้พร้อม บางอย่างภากรไม่เคยรู้จัก

        “แล้ว...คุณล่ะ” 

        “ท่านมีน้ำใจนัก เชิญท่านตามสบาย ประเดี๋ยวจะมีคนมาเก็บสำรับเอง ท่านไม่ต้องลำบากอะไรหรอก”    ดมิศยิ้มก่อนเดินจากไป

     

     

    ในห้องที่แทบจะไม่มีแสงเข้าถึงมีร่างร่างหนึ่งกำลังแค่นไออย่างทรมานมือจิกผนังไม้อย่างแรง  ใบหน้าเนียนสล้างบางส่วนเริ่มปรากฏรอยเกล็ดสีขาวลักษณะคล้ายเกล็ดของงสัตว์เลื้อยคลานเรียงซ้อนกัน ร่างนั้นทรุดลงกับพื้น หอบหายใจแรงขึ้นทุกขณะ ดวงตาเบิกกว้างขึ้น ดวงตาทั้งคู่นั้น เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเงินม่านตาหรี่เล็กเป็นเสี้ยว บางส่วนร่างกลายเริ่มปรากฏเกล็ดแบบเดียวกับที่อยู่บนใบหน้า

        “..อาการไม่สู้ดีเลยนี่ ดมิศ”    เสียงทุ้มทรงอำนาจดังขึ้นทำร่างที่กำลังทนทรมานอยู่หันขวับมามองอย่างไม่พอใจ ดวงตาฉายแววแข็งกร้าวและเกลียดชังเอาไว้ไม่น้อย

        “นิลฬะ อ..อ.ออก ไป!    ดมิศเอ่ยตวาดออกไปแม้แทบจะไม่แรงแล้วก็ตาม

        “หึ.....เจ้าจะทนความทรมานไอ้อีกสักเท่าไร ทุกครั้งเห็นเจ้าออดอ้อนข้าดีนัก เอ...หรือเป็นเพราะ น้องชายสุดรักของข้ากลับคืนมาอย่างนั้นรึ เจ้าจึงได้ แข็งกร้าวต่อข้าได้ถึงเพียงนี้”

        “ชั่วช้า..”     ดมิศเอ่ยด้วยเสียงและแววตาที่เหยียดหยัน 

    เพี้ยะ!      

    ใบหน้าห้องดมิศหันไปตามแรงฟาดฝ่ามือของอีกฝ่ายที่ตบเข้าอย่างแรง จนใบหน้าชาไปทั้งแถบ ไม่ทันจะรู้สึกเจ็บที่ใบหน้าเส้นผมก็ถูกทึ้งให้เงยหน้าขึ้น

        “จำเอาไว้ว่าเจ้าไม่มีสิทธิ์กำแหงกับข้า ถึงแม้ว่ามันจะกลับมาแต่ก็ใช่ว่ามันจะช่วยเจ้าอย่างเดิมได้...ในตอนนี้มีเพียงข้าที่      สามารถเยียวยาเจ้าได้  มีเพียงข้าเท่านั้นที่เจ้าจะต้องอยู่รับใช้ เจ้าเข้าใจหรือไม่!!!!!  นิลฬะตวาดลั่น จนดมิศสะดุ้งเล็กน้อย

        “แต่เอาเถอะ ครั้งนี้ข้าจะไม่ถือโทษเอาความกับเจ้าไปมากกว่านี้....”   มือหนาที่จิกเส้นผมของดมิศเริ่มคลายออกก่อนจะค่อยๆไล้ผ่านใบหน้าลงมาจนถึงคางช้าๆ ก่อนออกแรงบีบเล็กน้อย

        “ข้าช่วยเจ้าเอง ดมิศ....”         นิลฬะโน้มใบหน้าคมเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้นจนดมิศสำผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นของอีกฝ่าย ริมฝีปากหนาทาบทับบนริมฝีปากของดมิศอย่างแผ่วเบา ส่งผ่านไอเย็นยะเยือกบางอย่างเข้าไปในช่องปากของอีกฝ่าย ก่อนจะเริ่มบดจูบรุกเร้าร้อนแรงมากขึ้น...และมากขึ้น  ดมิศจมสู่ภวังค์ลึกล้ำ... ดวงตาสีเงินสุกใสปิดลงช้าๆ วูบหนึ่งใบหน้าของชายผู้หวนคืนได้ฉายชัดในจิตใต้สำนึก ร่างระหงออกแรงปัดป่ายร่างกำยำอย่างสุดกำลังหลังจากความทรมานเริ่มหายไป  แม้แรงแทบจะไม่มีเหลือแล้วเลยก็ตาม การกระทำนั้นถือเป็นการจุดไฟโทสะของนิลฬะขึ้นมา  ดวงตาคมกริบจ้องมองร่างที่อยู่ภายใต้พันธะของตน  ดมิศจ้องกลับด้วยสายตาที่แข็งกร้าวไม่แพ้กันเพียงแต่น้ำตากับก่อตัวขึ้นและไหลอาบลงที่แก้มนวลทั้งสองข้าง

        “น้ำตา...น้ำตางั้นรึ!!!  ข้าเกลียดน้ำตา โดยเฉพาะน้ำตาของเจ้า!   นิลฬะเหวี่ยงร่างไร้เรี่ยวแรงของดมิศกระแทกกับพื้นอย่างแรงจนอีกฝ่ายจุกจนตัวงอ ก่อนจะจิกเส้นผมของดมิศให้เงยหน้ามองตนอีกครั้ง มือหนาบรรจงเช็ดหยาดน้ำตาบนใบหน้างามเบาๆ

        “ได้โปรด...อย่าร้องไห้...ได้โปรด”   นิลฬะคลายมือออกจากเส้นผมสลวยก่อนโอบกอดร่างนั้นอย่างอ่อนโยน ดมิศได้เพียงแต่สะอื้นออกมาด้วยความเจ็บและตกใจ

        “ข้าไม่ได้ตั้งใจ....เพียงแต่ข้ากลัว...กลัวยิ่งนัก ว่าสิ่งที่ข้ารักจะถูกช่วงชิงไป” 

        “เราไม่เคย....เป็น ของ ของ ท่าน!   ดมิศเอ่ยเสียงแข็ง

        ดวงตาของนิลฬะแข็งกร้าวขึ้นอีกครั้ง แต่ภายบอบช้ำเกินจะเยียวยา.....

        “ที่ผ่านมาข้าไม่เคยจะทำเช่นนี้.......ไม่เคยล่วงเกินเจ้า.......แต่ครั้งนี้...เจ้าทำให้ข้าโมโห!!!   นิลฬะกดร่างของดมิศลงกับพื้นด้วยเพลิงโทสะ แม้อีกฝ่ายจะขัดขืนแต่ก็ไม่สามารถต้านทานแรงปรารถนาของอีกฝ่ายได้

    ประดุจ....เหยื่อที่ไม่อาจหลุดรอดคมเขี้ยวของพญาราชสีห์...

    ไอร้อนจากลมหายใจของนิลฬะคลอเคลียอยู่บริเวณต้นคอขาวระหง นิลฬะออกแรงขบกัดจนเกิดรอยสีชมพูจางบริเวณต้นคอ ร่างบางไร้เรี่ยวแรงขัดขืนได้แต่ปล่อยให้ร่างกายตอบรับไฟราคะของอีกฝ่ายที่ค่อยๆแผดเผามากขึ้น รุ่มร้อน และรุนแรง..

        เสียงที่เกิดจากร่านราคะดังขึ้น เปรียบดังน้ำมันที่ราดลงบนกองไฟ นิลฬะบดเบียดตัวตนเข้าหลอมรวมกับร่างของดมิศ อย่างกระหาย อุณหภูมิรอบด้านสูงขึ้น  สียงหอบหายใจถี่ขึ้น ถี่ขึ้น....ก่อนความรุ่มร้อนจะค่อยๆลดลง

        “.....ดมิศ....”     นิลฬะเรียกชื่อของอีกฝ่ายเบาๆ  ไร้เสียงใดตอบกลับ มีเพียงแต่รอยยิ้มที่สามมารถทำให้ตายได้ในชั่ววินาทีนั้น   เจ้าของรอยยิ้มยื่นมือมาสัมผัสที่ใบหน้าของชายตรงหน้าอย่างแผ่วเบา

        “ท่าน...เหมือนเขามาก เหมือนจริงๆ....เพียงแต่คนผู้นั้นคงไม่คิดทำสิ่งหยาบกระด้างกับเราเช่นนี้”  

        ขอโทษ.....  คำคำนี้ผุดขึ้นในหัวของนิลฬะก่อนที่จะถูกกลืนหายไปในความคิด  เขานิ่งเงียบ...

       

    ดมิศ ปาดคราบน้ำตาที่ยังเหลือยู่ของตนออกเบาๆ พร้อมรอยยิ้มว่างเปล่า

    ....น้ำตาเริ่มเหือดแห้ง

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×