ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เก็บของเเล้วเธอว์

    ลำดับตอนที่ #2 : ๒

    • อัปเดตล่าสุด 30 ม.ค. 55


    บทที่ ๒

    ภากรจัดการกับอาหารตรงหน้าจนอิ่มแปล้ เขามองไปรอบๆหาคนที่ช่วยเขาเอาไว้ แต่ก็ไร้วี่แวว

    ....แล้วจะไงต่อเนี่ย....

     

    ภากรยุดมองทิวทัศน์รอบๆ เขารู้สึกคุ้นเคยเหลือเกินแต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นเมื่อไหร่ ในเมื่อครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นอะไรแบบนี้  ภากรตัดสินใจลุกเดินไปที่บันไดที่ทอดลงสู่พื้นดิน เขาเดินลงไปแล้วเดินสำรวจไปทั่ว  

       “เจ้าคนแปลกหน้า หาใครอยู่”   เสียงหนึ่งกังจากที่ใกล้ๆทำให้ภากรรีบหันกลับไปมอง เจ้าของสียงเป็นเด็กหนุ่มอายุน่าจะไม่เกินสิบสี่ได้ ท่าทางกระด้างเล็กน้อยหน้าตาละม้ายคล้ายกับบางคนที่ภากรนึกไม่ออก

       “อ..เอ่อ...คือผม เดินเล่นน่ะครับ คือ ...อันที่จริงก็..อ่า...พยายามหาคนน่ะครับ”     ภากรตอบเกร็งๆ

       “มีพิรุธนัก....เจ้าเป็นใครกัน ไม่เคยพบหน้า”      เด็กหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น  พร้อมเดินวนสำรวจภากรอย่างจับผิด

       “เอ่อ...เรื่องนั้น...”    ภากรยังคงเกร็งอยู่ไม่รู้จะเริ่มเล่าจากตรงไหนดี

       “ท่านผู้นั้นมากับเรา”    เสียงนุ่มเอ่ยจากด้านหลังของภากร ร่างบอบบางพยุงตนลงมาจากเรือนช้าๆ ใบหน้ายังคงแต่งด้วยรอยยิ้มแต่ภากรรู้สึกดีว่ารอยยิ้มนี้ดูแปลกไป

       “อ้าว....มากับพี่หรอกหรือ.....อย่างนั้นก็ขออภัยที่ข้าล่วงเกิน”  เด็กหนุ่มค้อมกายอย่างสุภาพก่อนเดินเตะฝุ่นหายลับไปอีกฟากของแนวป่า  ภากรได้แต่มองด้วยความฉงนเพียงเท่านั้น

       “เด็กคนนั้นชื่อธมน เป็นน้องชายของเราเอง อาจดูแข็งกระด้างบ้าง ท่านอย่าถือสาเลย อีกอย่าง เขาไม่เคยพบท่านมา  ก่อน”     ดมิศเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม   

     ถึงว่าล่ะหน้าคุ้นตะหงิดๆ แต่ว่าเป็นพี่น้องที่....คนละขั้วกันเลย 

       “ดูแตกต่างจากคุณลิบลับเลยนะครับ”   ภากรพูดพลางมองตามเข้าไปในแนวป่าร่มรื่น 

       “.....ใช่....ช่างแตกต่าง”      น้ำเสียงที่ใช้ตอบดูเบาหวิว ดวงตาของดมิศนั้นมองภากรอย่างเลื่อนลอย ดูคล้ายกับหวนนึกถึงอะไรบางอย่าง ดมิศชะงักเล็กน้อยเมื่อพบว่าภากรจ้องมองเขาด้วยสายตาสงสัย

       “เราว่าท่านคงจะอยากเดินดูรอบที่นี่บ้าง เราจะพาชมแล้วกัน”    ดมิศส่งยิ้มให้อีกครั้งร่างนั้นเดินนำหน้าไปอย่าเชื่องช้าและดูติดขัด ชอบกล  หากแต่ภากรก็ไม่ได้สลักสนใจมากนัก เพราะมัวแต่ทุ่มความสนใจไปที่บรรยากาศแวดล้อมมากกว่า เป็นภาพที่เหมือนจะคุ้นเคยมาก แต่จำไม่ได้เลยสักนิดว่าเคยพบที่ไหน       

    เดจาวู  

    ภากรหยุดนิ่งมองต้นไม้ต้นใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าอย่างครุ่นคิด  ทำให้ร่างที่เดินนำไปก่อนหน้าชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับมามอง แววตาฉายแววระยับขึ้นเล็กน้อย

       “ท่านนึกอะไรอยู่งั้นหรือ”      ดมิศเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยความหวัง

       “อ้อ...คือ แค่นึกว่า...เหมือนเคยเห็นที่ไหนน่ะครับ จะว่าต้นไม้แบบนี้พบได้บ่อยๆก็จริง แต่มัน..รู้สึกเหมือนเคยสัมผัสเลย”    ภากรเอ่ยเสียงแผ่วพร้อมยื่นมือไปสัมผัสเนื้อไม้หยาบ  เหมือนความทรงจำขาดหายไปชั่วเวลาหนึ่ง ...เลือนรางเต็มที  ภากรขมวดคิ้วเข้าหากัน เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก...แต่มันไม่สามารถจะประติดประต่อเรื่องราวใดๆได้เลย  ภากรหยุดมองต้นไม้ใหญ่ราวกับถูกดูดเอาสติสัมปชัญญะ ออกไปจนหมด   ดมิศส่งเสียงเรียกอยู่หลายครั้ง แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ยินอะไรเลย  

     ดมิศเดินเข้าไปใกล้ๆ ภากรเองก็ยังคงเพ่งมองต้นไม้อยู่เพียงอย่างเดียว ดมิศปรบมือข้างๆหูของภากรทำให้ภากรสะดุ้งตัวโหยงราวกับแมวโดนน้ำร้อน   ทำเอาดมิศกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่เผลอหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้

       “ตกใจหมดเลยนะครับ”      ภากรพูดก่อนพรูลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พลางมองดมิศที่ยืนหัวเราะคิกคักด้วยสายตาที่แฝงความแง่งอนไว้เล็กน้อย 

       “เราขออภัย ฮ่ะๆ ก็เราเรียกท่านหลายหนแล้ว เราเลยช่วยเรียกสติท่านกลับมาเพียงเท่านั้น”      ดมิศตอบด้วยใบหน้ายิ้มระรื่นผิดกับภากรโดยสิ้นเชิง

    ภากรยังคงมองต้นไม้ใหญ่อย่างฉงน  ดมิศได้แต่ส่งยิ้มออกมา

    ท่านคงจำมันไม่ได้...

       “เราควรจะบอกเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ท่านรู้บ้าง.....”    ดมิศถอนหายใจเฮือกยาวก่อนเอ่ยต่อด้วยสีหน้าที่ดูจริงจังรอยยิ้มเมื่อครู่ได้ถูกลบออกไปจนหมด  “ท่านเคยมีตัวตนอยู่ ณ ที่แห่งนี้ เมื่อนานมาแล้ว ต้นไม้ต้นนี้ท่านมักจะปีนขึ้นไปนั่งเล่นอยู่เนืองๆ และท่านก็ได้จากเราไปจากโลกแห่งนี้ไป ด้วยฝีมือของคนใกล้ตัวของท่าน  จนในวันนี้ ท่านได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง...มากกว่านี้เราคงไม่อาจอธิบายได้ อ้อ อย่าลืมซะล่ะ ความมืดมิดจะทำให้ท่านเป็นอันตราย”

     ภากรอ้าปากค้าง   เขาไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นักแต่ก็พยักหน้าช้าๆเป็นการตอบ  ดมิศมองดูท่าทางของภากรก็ทำให้อดยิ้มเสียไม่ได้ ใบหน้าจริงจังถูกแต้มด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง

       “เรารู้ว่าท่านไม่เข้าใจ”   ดมิศหัวเราะเบาๆก่อนเดินนำไปอีกทาง ภากรที่รวมสติได้แล้วก็รีบเดินตามไปทันที ทั้งสองมีเรื่องหัวเราะกันไปตลอดทาง ผิดกับหนึ่งคู่สายตาที่มองมาอย่างเกรี้ยวกราด...

     

     

    เช้าที่วุ่นวายในเมืองใหญ่ ปลุกภากรที่นอนหลับอุตุตื่นขึ้นมา อาการเมาค้างจากงานสังสรรค์เมื่อคืนยังทำให้รู้สึกหนักอึ้งไปหมด ชายหนุ่มยันกายนั่งบนเตียงเขามองออกไปนอกหน้าต่าง รถราวิ่งกันขวักไขว่ ตึกสูงบ้างช่องแออัด ผู้คนต่างรีบร้อนในชั่วโมงเร่งด่วนเดินขวักไขว่กันวุ่นไปหมด   เขาพยุงร่างเดินไปที่ห้องน้ำอย่างทุลักทุเล  จ้องมองใบหน้าอิดโรยและผมที่ยุ่งเหยิงของตัวเองอยู่สักพักก่อนจะอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย   เวลาผ่านไปไม่นานภากรเดินออกจากห้องน้ำด้วยหน้าตาที่ดูสดชื่นขึ้นบ้างแต่ยังมีอาการเบลออย่างหนักอยู่ บางครั้งรู้สึกเหมือนกับลืมการควบคุมตัวเองไปซะดื้อๆ  ภากรนั่งลงที่โซฟา พร้อมกับน้ำผลไม้กล่อง  และเริ่มเกิดอาการเหม่อเล็กน้อย

    เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นปลุกให้ภากรรู้สึกตัว เขาเดินมาจนถึงหน้าต่างแล้ว แต่กลับไม่รู้ตัวเลยว่าเดินมาถึงตอนไหน ภากรเดินไปหยิบโทรศัพท์  บนหน้าจอแสดงชื่อของน้องสาว ภากรกดรับสายทันทีที่โทรศัพท์แนบกับใบหูเขาก็เอาออกห่างเพราะเสียงแหลมเล็กของน้องที่ตะโกนว่าเขาแว๊ดๆ ผ่านมือถือ

       “มาทำงานสาย ไม่ไหวรึไง จะให้ลางานให้ไหม แพรวบอกแล้วว่าอย่าเยอะ เหอะพวกพี่นี่ยังไง อดใจให้ถึงวันนี้ไม่ได้รึไงค่อยก๊งกัน จะหยุดต่อยาวอีกเสาร์อาทิตย์ ให้ตายสิ ฉลาดจริงๆ”

       “เออๆ เลิกบ่นเถอะ ช่วยลาให้หน่อยก็ดี ยังเบลอๆอยู่เลยเนี่ย ลุกก็แทบจะไม่ขึ้น ถึงไปทำงานก็คงจะฟุบไปเฉยๆ”

       “อย่าให้รู้แล้วกันว่าแอบหนีเที่ยวไม่งั้นแพรวจะกลับไปพังบ้านพี่!    เธอตวาดเสียงแหลมก่อนตัดสายไป ภากรอยากนึกหัวเราะ น้องสาว

    คนเมาค้างแม้แต่แรงจะหาข้าวกินยังไม่มี จะเอาแรงที่ไหนไปตะลอนเที่ยวกัน  

     

    ทั้งๆที่คิดแบบนั้น แต่เหมือนมีอะไรดลใจให้ภากรนึกอยากจะออกไปเดินเล่นซักที่  ภากรใช้เวลาในช่วงเช้าในการคิดหาที่ไปจนเวลาล่วงมาเกือบเที่ยงวัน ภากรตัดสินใจว่าจะออกไปซื้อของเล็กน้อยแล้วไปเที่ยวชลบุรีแล้วค่อยกลับมาพรุ่งนี้  แน่นอนว่า ภากรลืมคำพูดของน้องสาวไปแล้ว เขาเก็บเสื้อผ้าสองสามชุดกับของใช้จิปาถะใส่กระเป๋าขึ้นรถ  ภากรขับรถออกไปซื้ออาหารเช้าที่ร้านสะดวกซื้อ  และของกินเล็กน้อย ก่อนตรงดิ่งไปชลบุรี 

    ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงตามข้างทางก็ฉายภาพทิวทัศน์ของภูเขาและทะเล ให้เห็นเขารู้สึกสดชื่นขึ้นมากทีเดียว ภากรขับวนหาที่พักสักแห่งที่ราคาไม่สูงนัก จนในที่สุดเขาก็เลือกห้องพักที่ไม่แพงนักอยู่ใกล้กับทะเลแถมยังปลอดจากความวุ่นวายอีก  ช่วงนี้ไม่มีคนนิยมมาเที่ยวเท่าไหร่เพราะยังอยู่ในช่วงฤดูหนาว  ถ้าไม่ใช่พวกอกหักรักคุด ก็ต้องพวกหนีปัญหาชีวิตมาพักผ่อน แล้วเขาจัดอยู่พวกไหนกัน ภากรคิดเล่นๆกับตัวเอง โดยที่ไม่รู้ว่าเขาอาจเป็นคนเดียวที่จัดอยู่ในพวก หนีชีวิตปกติธรรมดาไปพบปัญหาที่ค้างคาเมื่ออดีต

    ภากรเก็บของเข้าที่พักให้เรียบร้อยก่อนออกมาเดินเล่นตามแนวหาด  สมองปลอดโปร่งขึ้นมาก สงบและไม่วุ่นวาย เป็นบรรยากาศที่ไม่ชวนปวดหัวเหมือนที่เขาเจอในชีวิตประจำวัน

    ภากรใช้เวลาสำหรับการเดินเล่นนานพอตัวจนท้องเริ่มประท้วงขออาหาร ภากรกะว่าจะกลับไปพึ่งนมที่ซื้อจากร้านสะดวกซื้อ แต่พอคิดอีกที จะบึ่งรถออกไปหาอะไรลงท้องตามร้านอาหารก็ไม่เลว 

     ภากรเลือกอย่างหลัง  จากคำแนะนำของเจ้าของที่พักมีร้านอาหารเล็กๆริมหาดไม่ไกลจากที่นี่นัก เดินไปก็ถึง เป็นร้านที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก แต่รสชาติสุดยอดทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นร้านที่มีแต่คนเฉพาะกลุ่มเท่านั้นที่รู้จัก ภากรเดินจากที่พักไปตามทางที่เจ้าของที่พักแนะนำ ไม่ถึงสิบนาทีก็มาถึง  ภากรเดินเข้าในร้าน คนในร้านเรียกว่าไม่มากนักสงบกำลังดี ภากรสั่งอาหารไม่นานของที่สั่งก็ยกมาเสิร์ฟส่งกลิ่นหอมฉุย แน่นอนรสชาติเยี่ยมสมคำล่ำลือ  ภากรจัดการค่าอาหาร  ขณะกำลังจะเดินกลับที่พัก เป็นเวลาเริ่มค่ำแล้วยิ่งบวกกับเวลาในฤดูหนาวยิ่งทำให้ท้องฟ้ามืดลงมาก ตามแนวหาดแทบจะไม่มีคนออกมาเดินเลยด้วยซ้ำ เขามองออกไปในทะเลและสังเกตเห็นเงาตะคุ่มๆ เสียงคลื่นตีกระทบกับร่างนั้น  ส่วนน้ำทะเลกลืนตัวของคนคนนั้นไปถึงอกแล้ว ร่างนั้นยังคงเดินต่อไปจนระดับน้ำเริ่มสูงขึ้น  ภากรหันมองรอบๆ  หวังจะหาคนช่วย แต่ดูเหมือนถ้ามัวแต่หาคงช่วยคนไม่ทัน ภากรตะโกนเรียกคนผู้นั้น  พร้อมกับลงน้ำตามไป แรงคลื่นไม่แรงนักแต่อุปสรรคคือความหนาวเย็น มันเย็น...เย็นจนเกินไป  ภากรรู้สึกชาแทบทั้งตัว ชาจนเดินไม่ไหว ระดับน้ำอยู่ที่ระดับอก ร่างเงาตรงหน้าค่อยๆจางหายไป  ภากรทรุดลง...ร่างทั้งร่างหายไปในทะเลอย่างเงียบงัน... ภายใต้เสียงกรีดหวิวของของสายลมหนาวยามพลบค่ำ

        ภากรดิ้นรนเอาชีวิตรอด แต่ทั้งๆที่ระดับน้ำแค่นี้น่าจะทำให้เขายันกายขึ้นได้ แต่ช่างน่าแปลก ที่พื้นดินที่เคยเหยียบเมื่อครูหายไป ราวกับจมดิ่งสู่ก้นทะเลอย่างไม่ที่สิ้นสุด ทั้งลึก มืด และ หนาวเย็น ภากรภาวนาให้ตนเอง นึกถึงน้องสาวและเพื่อนฝูง  เขายังไม่อยากจากไป  แต่จะทำอย่างไรได้.....

     

    ดวงตาปิดลง  พร้อมกับร่างที่อ่อนแรงถูกดึงลงสู่ห้วงลึกของสายน้ำเย็นเฉียบ

     

    ภากรรู้สึกตัวขึ้น กลิ่นหอมอ่อนๆชวนหลงใหลลอยมาแตะจมูก เปลือกตาขยับเล็กน้อยก่อนเปิดขึ้น  ปรากฏภาพคนเลือนราง

        “...ตื่นแล้วรึ เราเห็นท่านหลับไปนานนัก คิดว่าจะไม่ฟื้นขึ้นมาแล้วเสียอีก”     เสียงหนึ่งทักขึ้นในประสาทการได้ยิน....

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×