คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ๒
บทที่ ๒
ภากรจัดการกับอาหารตรงหน้าจนอิ่มแปล้ เขามองไปรอบๆหาคนที่ช่วยเขาเอาไว้ แต่ก็ไร้วี่แวว
....แล้วจะไงต่อเนี่ย....
ภากรยุดมองทิวทัศน์รอบๆ เขารู้สึกคุ้นเคยเหลือเกินแต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นเมื่อไหร่ ในเมื่อครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นอะไรแบบนี้ ภากรตัดสินใจลุกเดินไปที่บันไดที่ทอดลงสู่พื้นดิน เขาเดินลงไปแล้วเดินสำรวจไปทั่ว
“เจ้าคนแปลกหน้า หาใครอยู่” เสียงหนึ่งกังจากที่ใกล้ๆทำให้ภากรรีบหันกลับไปมอง เจ้าของสียงเป็นเด็กหนุ่มอายุน่าจะไม่เกินสิบสี่ได้ ท่าทางกระด้างเล็กน้อยหน้าตาละม้ายคล้ายกับบางคนที่ภากรนึกไม่ออก
“อ..เอ่อ...คือผม เดินเล่นน่ะครับ คือ ...อันที่จริงก็..อ่า...พยายามหาคนน่ะครับ” ภากรตอบเกร็งๆ
“มีพิรุธนัก....เจ้าเป็นใครกัน ไม่เคยพบหน้า” เด็กหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น พร้อมเดินวนสำรวจภากรอย่างจับผิด
“เอ่อ...เรื่องนั้น...” ภากรยังคงเกร็งอยู่ไม่รู้จะเริ่มเล่าจากตรงไหนดี
“ท่านผู้นั้นมากับเรา” เสียงนุ่มเอ่ยจากด้านหลังของภากร ร่างบอบบางพยุงตนลงมาจากเรือนช้าๆ ใบหน้ายังคงแต่งด้วยรอยยิ้มแต่ภากรรู้สึกดีว่ารอยยิ้มนี้ดูแปลกไป
“อ้าว....มากับพี่หรอกหรือ.....อย่างนั้นก็ขออภัยที่ข้าล่วงเกิน” เด็กหนุ่มค้อมกายอย่างสุภาพก่อนเดินเตะฝุ่นหายลับไปอีกฟากของแนวป่า ภากรได้แต่มองด้วยความฉงนเพียงเท่านั้น
“เด็กคนนั้นชื่อธมน เป็นน้องชายของเราเอง อาจดูแข็งกระด้างบ้าง ท่านอย่าถือสาเลย อีกอย่าง เขาไม่เคยพบท่านมา ก่อน” ดมิศเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
‘ถึงว่าล่ะหน้าคุ้นตะหงิดๆ แต่ว่าเป็นพี่น้องที่....คนละขั้วกันเลย ’
“ดูแตกต่างจากคุณลิบลับเลยนะครับ” ภากรพูดพลางมองตามเข้าไปในแนวป่าร่มรื่น
“.....ใช่....ช่างแตกต่าง” น้ำเสียงที่ใช้ตอบดูเบาหวิว ดวงตาของดมิศนั้นมองภากรอย่างเลื่อนลอย ดูคล้ายกับหวนนึกถึงอะไรบางอย่าง ดมิศชะงักเล็กน้อยเมื่อพบว่าภากรจ้องมองเขาด้วยสายตาสงสัย
“เราว่าท่านคงจะอยากเดินดูรอบที่นี่บ้าง เราจะพาชมแล้วกัน” ดมิศส่งยิ้มให้อีกครั้งร่างนั้นเดินนำหน้าไปอย่าเชื่องช้าและดูติดขัด ชอบกล หากแต่ภากรก็ไม่ได้สลักสนใจมากนัก เพราะมัวแต่ทุ่มความสนใจไปที่บรรยากาศแวดล้อมมากกว่า เป็นภาพที่เหมือนจะคุ้นเคยมาก แต่จำไม่ได้เลยสักนิดว่าเคยพบที่ไหน
‘เดจาวู’
ภากรหยุดนิ่งมองต้นไม้ต้นใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าอย่างครุ่นคิด ทำให้ร่างที่เดินนำไปก่อนหน้าชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับมามอง แววตาฉายแววระยับขึ้นเล็กน้อย
“ท่านนึกอะไรอยู่งั้นหรือ” ดมิศเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยความหวัง
“อ้อ...คือ แค่นึกว่า...เหมือนเคยเห็นที่ไหนน่ะครับ จะว่าต้นไม้แบบนี้พบได้บ่อยๆก็จริง แต่มัน..รู้สึกเหมือนเคยสัมผัสเลย” ภากรเอ่ยเสียงแผ่วพร้อมยื่นมือไปสัมผัสเนื้อไม้หยาบ เหมือนความทรงจำขาดหายไปชั่วเวลาหนึ่ง ...เลือนรางเต็มที ภากรขมวดคิ้วเข้าหากัน เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก...แต่มันไม่สามารถจะประติดประต่อเรื่องราวใดๆได้เลย ภากรหยุดมองต้นไม้ใหญ่ราวกับถูกดูดเอาสติสัมปชัญญะ ออกไปจนหมด ดมิศส่งเสียงเรียกอยู่หลายครั้ง แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ยินอะไรเลย
ดมิศเดินเข้าไปใกล้ๆ ภากรเองก็ยังคงเพ่งมองต้นไม้อยู่เพียงอย่างเดียว ดมิศปรบมือข้างๆหูของภากรทำให้ภากรสะดุ้งตัวโหยงราวกับแมวโดนน้ำร้อน ทำเอาดมิศกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่เผลอหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“ตกใจหมดเลยนะครับ” ภากรพูดก่อนพรูลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พลางมองดมิศที่ยืนหัวเราะคิกคักด้วยสายตาที่แฝงความแง่งอนไว้เล็กน้อย
“เราขออภัย ฮ่ะๆ ก็เราเรียกท่านหลายหนแล้ว เราเลยช่วยเรียกสติท่านกลับมาเพียงเท่านั้น” ดมิศตอบด้วยใบหน้ายิ้มระรื่นผิดกับภากรโดยสิ้นเชิง
ภากรยังคงมองต้นไม้ใหญ่อย่างฉงน ดมิศได้แต่ส่งยิ้มออกมา
‘ท่านคงจำมันไม่ได้...’
“เราควรจะบอกเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ท่านรู้บ้าง.....” ดมิศถอนหายใจเฮือกยาวก่อนเอ่ยต่อด้วยสีหน้าที่ดูจริงจังรอยยิ้มเมื่อครู่ได้ถูกลบออกไปจนหมด “ท่านเคยมีตัวตนอยู่ ณ ที่แห่งนี้ เมื่อนานมาแล้ว ต้นไม้ต้นนี้ท่านมักจะปีนขึ้นไปนั่งเล่นอยู่เนืองๆ และท่านก็ได้จากเราไปจากโลกแห่งนี้ไป ด้วยฝีมือของคนใกล้ตัวของท่าน จนในวันนี้ ท่านได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง...มากกว่านี้เราคงไม่อาจอธิบายได้ อ้อ อย่าลืมซะล่ะ ความมืดมิดจะทำให้ท่านเป็นอันตราย”
ภากรอ้าปากค้าง เขาไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นักแต่ก็พยักหน้าช้าๆเป็นการตอบ ดมิศมองดูท่าทางของภากรก็ทำให้อดยิ้มเสียไม่ได้ ใบหน้าจริงจังถูกแต้มด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง
“เรารู้ว่าท่านไม่เข้าใจ” ดมิศหัวเราะเบาๆก่อนเดินนำไปอีกทาง ภากรที่รวมสติได้แล้วก็รีบเดินตามไปทันที ทั้งสองมีเรื่องหัวเราะกันไปตลอดทาง ผิดกับหนึ่งคู่สายตาที่มองมาอย่างเกรี้ยวกราด...
เช้าที่วุ่นวายในเมืองใหญ่ ปลุกภากรที่นอนหลับอุตุตื่นขึ้นมา อาการเมาค้างจากงานสังสรรค์เมื่อคืนยังทำให้รู้สึกหนักอึ้งไปหมด ชายหนุ่มยันกายนั่งบนเตียงเขามองออกไปนอกหน้าต่าง รถราวิ่งกันขวักไขว่ ตึกสูงบ้างช่องแออัด ผู้คนต่างรีบร้อนในชั่วโมงเร่งด่วนเดินขวักไขว่กันวุ่นไปหมด เขาพยุงร่างเดินไปที่ห้องน้ำอย่างทุลักทุเล จ้องมองใบหน้าอิดโรยและผมที่ยุ่งเหยิงของตัวเองอยู่สักพักก่อนจะอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย เวลาผ่านไปไม่นานภากรเดินออกจากห้องน้ำด้วยหน้าตาที่ดูสดชื่นขึ้นบ้างแต่ยังมีอาการเบลออย่างหนักอยู่ บางครั้งรู้สึกเหมือนกับลืมการควบคุมตัวเองไปซะดื้อๆ ภากรนั่งลงที่โซฟา พร้อมกับน้ำผลไม้กล่อง และเริ่มเกิดอาการเหม่อเล็กน้อย
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นปลุกให้ภากรรู้สึกตัว เขาเดินมาจนถึงหน้าต่างแล้ว แต่กลับไม่รู้ตัวเลยว่าเดินมาถึงตอนไหน ภากรเดินไปหยิบโทรศัพท์ บนหน้าจอแสดงชื่อของน้องสาว ภากรกดรับสายทันทีที่โทรศัพท์แนบกับใบหูเขาก็เอาออกห่างเพราะเสียงแหลมเล็กของน้องที่ตะโกนว่าเขาแว๊ดๆ ผ่านมือถือ
“มาทำงานสาย ไม่ไหวรึไง จะให้ลางานให้ไหม แพรวบอกแล้วว่าอย่าเยอะ เหอะพวกพี่นี่ยังไง อดใจให้ถึงวันนี้ไม่ได้รึไงค่อยก๊งกัน จะหยุดต่อยาวอีกเสาร์อาทิตย์ ให้ตายสิ ฉลาดจริงๆ”
“เออๆ เลิกบ่นเถอะ ช่วยลาให้หน่อยก็ดี ยังเบลอๆอยู่เลยเนี่ย ลุกก็แทบจะไม่ขึ้น ถึงไปทำงานก็คงจะฟุบไปเฉยๆ”
“อย่าให้รู้แล้วกันว่าแอบหนีเที่ยวไม่งั้นแพรวจะกลับไปพังบ้านพี่!” เธอตวาดเสียงแหลมก่อนตัดสายไป ภากรอยากนึกหัวเราะ น้องสาว
‘คนเมาค้างแม้แต่แรงจะหาข้าวกินยังไม่มี จะเอาแรงที่ไหนไปตะลอนเที่ยวกัน ’
ทั้งๆที่คิดแบบนั้น แต่เหมือนมีอะไรดลใจให้ภากรนึกอยากจะออกไปเดินเล่นซักที่ ภากรใช้เวลาในช่วงเช้าในการคิดหาที่ไปจนเวลาล่วงมาเกือบเที่ยงวัน ภากรตัดสินใจว่าจะออกไปซื้อของเล็กน้อยแล้วไปเที่ยวชลบุรีแล้วค่อยกลับมาพรุ่งนี้ แน่นอนว่า ภากรลืมคำพูดของน้องสาวไปแล้ว เขาเก็บเสื้อผ้าสองสามชุดกับของใช้จิปาถะใส่กระเป๋าขึ้นรถ ภากรขับรถออกไปซื้ออาหารเช้าที่ร้านสะดวกซื้อ และของกินเล็กน้อย ก่อนตรงดิ่งไปชลบุรี
ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงตามข้างทางก็ฉายภาพทิวทัศน์ของภูเขาและทะเล ให้เห็นเขารู้สึกสดชื่นขึ้นมากทีเดียว ภากรขับวนหาที่พักสักแห่งที่ราคาไม่สูงนัก จนในที่สุดเขาก็เลือกห้องพักที่ไม่แพงนักอยู่ใกล้กับทะเลแถมยังปลอดจากความวุ่นวายอีก ช่วงนี้ไม่มีคนนิยมมาเที่ยวเท่าไหร่เพราะยังอยู่ในช่วงฤดูหนาว ถ้าไม่ใช่พวกอกหักรักคุด ก็ต้องพวกหนีปัญหาชีวิตมาพักผ่อน แล้วเขาจัดอยู่พวกไหนกัน ภากรคิดเล่นๆกับตัวเอง โดยที่ไม่รู้ว่าเขาอาจเป็นคนเดียวที่จัดอยู่ในพวก หนีชีวิตปกติธรรมดาไปพบปัญหาที่ค้างคาเมื่ออดีต
ภากรเก็บของเข้าที่พักให้เรียบร้อยก่อนออกมาเดินเล่นตามแนวหาด สมองปลอดโปร่งขึ้นมาก สงบและไม่วุ่นวาย เป็นบรรยากาศที่ไม่ชวนปวดหัวเหมือนที่เขาเจอในชีวิตประจำวัน
ภากรใช้เวลาสำหรับการเดินเล่นนานพอตัวจนท้องเริ่มประท้วงขออาหาร ภากรกะว่าจะกลับไปพึ่งนมที่ซื้อจากร้านสะดวกซื้อ แต่พอคิดอีกที จะบึ่งรถออกไปหาอะไรลงท้องตามร้านอาหารก็ไม่เลว
ภากรเลือกอย่างหลัง จากคำแนะนำของเจ้าของที่พักมีร้านอาหารเล็กๆริมหาดไม่ไกลจากที่นี่นัก เดินไปก็ถึง เป็นร้านที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก แต่รสชาติสุดยอดทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นร้านที่มีแต่คนเฉพาะกลุ่มเท่านั้นที่รู้จัก ภากรเดินจากที่พักไปตามทางที่เจ้าของที่พักแนะนำ ไม่ถึงสิบนาทีก็มาถึง ภากรเดินเข้าในร้าน คนในร้านเรียกว่าไม่มากนักสงบกำลังดี ภากรสั่งอาหารไม่นานของที่สั่งก็ยกมาเสิร์ฟส่งกลิ่นหอมฉุย แน่นอนรสชาติเยี่ยมสมคำล่ำลือ ภากรจัดการค่าอาหาร ขณะกำลังจะเดินกลับที่พัก เป็นเวลาเริ่มค่ำแล้วยิ่งบวกกับเวลาในฤดูหนาวยิ่งทำให้ท้องฟ้ามืดลงมาก ตามแนวหาดแทบจะไม่มีคนออกมาเดินเลยด้วยซ้ำ เขามองออกไปในทะเลและสังเกตเห็นเงาตะคุ่มๆ เสียงคลื่นตีกระทบกับร่างนั้น ส่วนน้ำทะเลกลืนตัวของคนคนนั้นไปถึงอกแล้ว ร่างนั้นยังคงเดินต่อไปจนระดับน้ำเริ่มสูงขึ้น ภากรหันมองรอบๆ หวังจะหาคนช่วย แต่ดูเหมือนถ้ามัวแต่หาคงช่วยคนไม่ทัน ภากรตะโกนเรียกคนผู้นั้น พร้อมกับลงน้ำตามไป แรงคลื่นไม่แรงนักแต่อุปสรรคคือความหนาวเย็น มันเย็น...เย็นจนเกินไป ภากรรู้สึกชาแทบทั้งตัว ชาจนเดินไม่ไหว ระดับน้ำอยู่ที่ระดับอก ร่างเงาตรงหน้าค่อยๆจางหายไป ภากรทรุดลง...ร่างทั้งร่างหายไปในทะเลอย่างเงียบงัน... ภายใต้เสียงกรีดหวิวของของสายลมหนาวยามพลบค่ำ
ภากรดิ้นรนเอาชีวิตรอด แต่ทั้งๆที่ระดับน้ำแค่นี้น่าจะทำให้เขายันกายขึ้นได้ แต่ช่างน่าแปลก ที่พื้นดินที่เคยเหยียบเมื่อครูหายไป ราวกับจมดิ่งสู่ก้นทะเลอย่างไม่ที่สิ้นสุด ทั้งลึก มืด และ หนาวเย็น ภากรภาวนาให้ตนเอง นึกถึงน้องสาวและเพื่อนฝูง เขายังไม่อยากจากไป แต่จะทำอย่างไรได้.....
ดวงตาปิดลง พร้อมกับร่างที่อ่อนแรงถูกดึงลงสู่ห้วงลึกของสายน้ำเย็นเฉียบ
ภากรรู้สึกตัวขึ้น กลิ่นหอมอ่อนๆชวนหลงใหลลอยมาแตะจมูก เปลือกตาขยับเล็กน้อยก่อนเปิดขึ้น ปรากฏภาพคนเลือนราง
“...ตื่นแล้วรึ เราเห็นท่านหลับไปนานนัก คิดว่าจะไม่ฟื้นขึ้นมาแล้วเสียอีก” เสียงหนึ่งทักขึ้นในประสาทการได้ยิน....
ความคิดเห็น