คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : โรงเรียน S
4 สิงหาคม 2549
08.14 น. โรงเรียนหมายเลข 0
“ 7 ศพนักเรียนปริศนาโรงเรียนหมายเลข 0 ตายเวลาเดียวกัน แพทย์ชันสูตรไม่ยืนยันสาเหตุ”
“นี่ ตาต้า นายอ่านกี่รอบแล้ววะเนี่ยฮะ เราล่ะเบื่อจะฟังจริงๆ”เด็กชายหน้าค่อนข้างเหมือนเกย์แต่ใส่แว่นปกปิดตัวตนบ่นออกมาเปรยๆ
“นายไม่เครียดเลยหรือไง ลูกหมี นักเรียนโรงเรียนเราตายไปตั้ง 7 คนเชียวนะ ข่าวหนังสือพิมพ์เขาประกาศกันโครมๆเนี่ย นายไม่รู้จักรักโรงเรียนบ้างเลย แล้ว 2 ใน 7 นั้นก็มีนักเรียนห้องเราอยู่ด้วยนะ นายไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือ” เด็กชายตาต้าหรือชื่อเต็มๆว่า’ทรงพร ศุกร์เมาเสาร์นอน’ บ่นกลับ
“เออ เรารู้ว่าว่าแกรักโรงเรียน แต่ไม่เห็นต้องมาพูดมากเลยนี่ ส่วนเรื่องแป้งกับพีทน่ะ พวกเราก็เสียใจนะ แต่ไม่มีใครเหมือนแกหรอก พอได้ข่าวเมื่อวานก็ทำท่าจะร้องไห้ ตลกสิ้นดีว่ะ”เด็กที่ชื่อลูกหมีด่ามาอีก
“เออๆ พอๆ หยุดเถียงแล้วมาคิดดีกว่าไหม “ทรงพรกล่าวตัดบท ”ฉันยังสงสัยอยู่เลยว่าแป้งกับพีทมันจะตายยังไงหว่า” เขาถามความคิดเห็น ซึ่งตอนนี้กลุ่มสนทนาเขามากขึ้นเพราะมีคนสนใจมาก
“เห็นในหนังสือพิมพ์บอกว่าหมอที่ตรวจบอกว่าหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันไม่ใช่หรอ” เป้กางหนังสือพิมพ์ออกแล้วกวาดสายตาอ่านข่าวทั้งหมด
“แต่ที่น่าแปลกคืออะไรรู้ไหม” ลูกหมีโพล่งขึ้นมา
“อะไรล่ะ” ทุกคนถามพร้อมกัน
“ฟังนะ“ลูกหมีเรียกความสนใจจากทุกคน”ก็คือว่า ศพทุกศพน่ะมีรอยเหมือนถูกอะไรกัดเป็นแผลฉกรรจ์ทั่วร่างเลย แล้วยังพบอีกว่าศพที่พบทั้งหมดน่ะมีปริมาณเลือดภายในร่างกายเหลือไม่ถึง 10 % กล่าวคือถูกสูบเลือดออกไปจนเกือบหมด”
“ไม่เห็นมีในหนังสือพิมพ์เลย” ทรงพรถามอย่างสงสัย “แล้วนายไปตรัสรู้มาจากไหนล่ะเนี่ย หา”
“ก็เพราะเราเก่งไง”
“ตอบดีๆสิ” ทรงพรเร่งเร้า
“ก็เพราะว่าเขาปิดข่าวไง นายถึงไม่รู้ ส่วนที่เรารู้ได้ก็เพราะพ่อเราเป็นตำรวจไง”
“อ๋อ อืม~ งั้นก็เป็นคดีที่แปลกมากคดีหนึ่งเลยนะเนี่ย สูบเลือดหรอ คงไม่ได้เกิดจากการฆาตกรรมธรรมดาแน่ๆ” เป้เปรยๆออกมา ตอนนี้ทุกคนกำลังคิดหาเหตุผลที่ทำให้แป้งต้องเคราะห์ร้ายเช่นนี้
กิ๊ง-ก่อง
“ได้เวลาเรียนแล้ว เราไปเรียนก่อนเร็ว ชั่วโมงแรกภาษาไทย อ.รัฐด้วย เดี๋ยวจะไม่ทันส่งงานที่อุตสาห์ปั่นการบ้านคำราชาศัพท์เมื่อคืน”
“งั้นไปๆ” แล้วทุกคนก็เข้าไปในห้องเรียนพร้อมๆกัน
หลังจากต้องนั่งท่องคำราชาศัพท์ของครูรัฐอยู่นานแสนนาน วันนี้เด็กๆก็สอบเกี่ยวกับคำสุภาพเช่นว่า คนป่วย ต้องเปลี่ยนเป็น ผู้ป่วย , แมลงวัน ต้องเปลี่ยนเป็น มัขขิกา ,ปลิง ต้องเปลี่ยนเป็น ชัลลุกา , แตงโม ต้องเปลี่ยนเป็น ผลอุลิด ส่วนข้อสอบนั้นสายภาษาไทยของโรงเรียนหมายเลข 0 นั้นขึ้นชื่ออยู่แล้วว่ายากมากๆ
“นี่ลูกหมี นายมานี่กับเราหน่อยสิ” อยู่ทรงพรก็โพล่งขึ้นมาหลังออกมาจากห้องเรียนในเวลาพักเที่ยงทำเอาลูกหมีถึงกับสะดุ้ง
“ทำไมหรอ”
“เหอะน่า นายตามมาได้แล้ว”ตาต้าเดินนำไปให้ลูกหมีตามมา ซึ่งลูกหมีก็รีบวิ่งตามมาทันที ทรงพรนำลูกหมีไปยังใต้ต้นหูกวางแล้วมองซ้ายมองขวาแล้วเห็นว่าไม่มีใครจึงนั่งลงแล้วเปิดฉากสนทนา
“นายแน่ใจนะว่ารูปคดีมันมีแค่นี้น่ะ ไหนนายลองเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดมาให้ฉันฟังซิ”
“อ๋อ นายเรียกเรามาด้วยเรื่องแค่นี้เองหรอ” ลูกหมีบ่น”ไม่เห็นต้องทำตัวลับๆล่อๆ เลยนี่นา นายทำไมไม่พูดต่อหน้าคนอื่นไปเลยเผื่อจะได้ความคิดดีๆบ้างน่ะ”
“ก็เพราะเรื่องนี้เราจะทำกันอย่างเป็นความลับไงล่ะ” ทรงพรบอก
“แล้วทำไมเราต้องทำอย่างเป็นความลับด้วยล่ะ” ลูกหมีถามด้วยสีหน้างุนงง
“เพราะถ้าใครรู้เข้าอาจจะต้องห้ามเราไงล่ะ เข้าใจ?”
“อ่อ แล้วทำไมต้องห้ามด้วยล่ะ” เอ่อ ต้องบอกนึดนึงว่าลูกหมีเป็นโรคออทิสติค เวลาพูดจะไม่สบตา และชอบถามคำถามไร้สาระอยู่เรื่อย แต่ว่าเด็กออทิสติกก็มีประโยชน์เหมือนกันนะ เพราะเขาจะเป็นคนซื่อสัตย์ต่อเพื่อนเป็นอย่างมาก แถมบางคนอาจจะมีสมองที่ฉลาดปราดเปรื่องกว่าคนธรรมดาก็เป็นได้
“เอาเหอะ ตอบคำถามนายไม่เห็นจะมีประโยชน์เลย ขั้นแรกที่เราจะทำในวันนี้นั่นคือ เราจะศึกษาอย่างละเอียดก่อนว่าทั้ง 7 ศพนั่นตายได้อย่างไร”
“โอเคครับผม” ลูกหมีขานรับด้วยสีหน้าขึงขัง
“เอาล่ะ นายลองเล่าทั้งหมดซิ”
“เอาล่ะนะ” ลูกหมีควักสมุดจดที่แนบเอกสารมา “ ผู้ตายคนแรก ชื่อว่า วิจิตรกานต์พัฒนา แซ่ซือ อายุ 13 ปี สาเหตุที่ตาย- เนื่องจากหัวใจล้มเหลวฉับพลัน จากการสอบปากคำพยานทั้งหมดคือ มีพยานพบเห็นเธอครั้งสุดท้ายซึ่งตอนนั้นเธอกำลังอยู่กับชื่อว่า สาธิต เกษตร ซึ่งเขาก็เป็นหนึ่งจำนวนผู้เคราะห์ร้ายด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังพบว่ามีรอยแผลจำนวนมากที่คาดว่าจะเกิดจากเขี้ยวของสัตว์จำพวกทากดูดเลือด”
“ทากดูดเลือด?”
“ก็อย่างเช่นพวกปลิงอะไรทำนองนี้น่ะ” ลูกหมีอธิบายก่อนจะทิ้งท้ายแบบเหน็บแนม” นายยังซื่อบื้อไม่เปลี่ยนเลยนะ”
“อ้อ งั้นหมายความว่าปลิงบุกเชียงใหม่งั้นสิ” ประชด
“ไม่ใช่หรอก ปลิงอาจจะเป็นแค่เครื่องมือแพร่ไวรัสก็ได้”
“ไวรัส? ปลิงบ้านป้าแกสิเป็นไวรัสน่ะสิ” ทรงพรพูดออกมาอย่างขำๆ
“ไม่รู้สิ แต่รุ่นพี่ที่ตายที่อยู่ม.3 น่ะทิ้งไดอิ้งเมสเสจเอาไว้ว่า ”ไวรัสและการทำลายล้างเผ่าพันธุ์”
ธรรมชาติของไวรัสก็คือ มันจะเพิ่มจากสองเป็น สี่ สี่เป็นแปด แปดเป็นสิบหก ทวีคูณขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น
“ถ้างั้นรุ่นพี่คนนั้นต้องการจะสื่อหมายความว่าความตายที่เกิดขึ้นต้องจากเพียงจุดเดียว แล้วแพร่ไป 7 คน ว่างั้นสิ?” ทรงพรออกความเห็น
“คงงั้นมั้ง”
“งั้นเราไปบ้านแป้งกันดีกว่า เผื่อจะมีเบาะแสอะไรบ้าง”
“โอเคๆ งั้นเย็นเจอกัน”
ทั้งสองคนตกลงกันเรียบร้อยว่าจะไปค้นบ้านวิจิตรกานต์พัฒนา หรือที่เพื่อนๆเรียกกันว่าแป้ง ตอนเย็นของวันนี้หลังจากทั้งสองเลิกเรียนแล้ว เพื่อสืบหาของคดีมรณะที่ทั้งสองยังไม่รู้ซึ้งว่าได้เดินเข้าไปใกล้อีกขั้นหนึ่งในดินแดนที่เรียกว่า มิติลึกลับ
08.14 น. โรงเรียนหมายเลข 0
“ 7 ศพนักเรียนปริศนาโรงเรียนหมายเลข 0 ตายเวลาเดียวกัน แพทย์ชันสูตรไม่ยืนยันสาเหตุ”
“นายไม่เครียดเลยหรือไง ลูกหมี นักเรียนโรงเรียนเราตายไปตั้ง 7 คนเชียวนะ ข่าวหนังสือพิมพ์เขาประกาศกันโครมๆเนี่ย นายไม่รู้จักรักโรงเรียนบ้างเลย แล้ว 2 ใน 7 นั้นก็มีนักเรียนห้องเราอยู่ด้วยนะ นายไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือ” เด็กชายตาต้าหรือชื่อเต็มๆว่า’ทรงพร ศุกร์เมาเสาร์นอน’ บ่นกลับ
“เออ เรารู้ว่าว่าแกรักโรงเรียน แต่ไม่เห็นต้องมาพูดมากเลยนี่ ส่วนเรื่องแป้งกับพีทน่ะ พวกเราก็เสียใจนะ แต่ไม่มีใครเหมือนแกหรอก พอได้ข่าวเมื่อวานก็ทำท่าจะร้องไห้ ตลกสิ้นดีว่ะ”เด็กที่ชื่อลูกหมีด่ามาอีก
“เออๆ พอๆ หยุดเถียงแล้วมาคิดดีกว่าไหม “ทรงพรกล่าวตัดบท ”ฉันยังสงสัยอยู่เลยว่าแป้งกับพีทมันจะตายยังไงหว่า” เขาถามความคิดเห็น ซึ่งตอนนี้กลุ่มสนทนาเขามากขึ้นเพราะมีคนสนใจมาก
“เห็นในหนังสือพิมพ์บอกว่าหมอที่ตรวจบอกว่าหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันไม่ใช่หรอ” เป้กางหนังสือพิมพ์ออกแล้วกวาดสายตาอ่านข่าวทั้งหมด
“แต่ที่น่าแปลกคืออะไรรู้ไหม” ลูกหมีโพล่งขึ้นมา
“อะไรล่ะ” ทุกคนถามพร้อมกัน
“ฟังนะ“ลูกหมีเรียกความสนใจจากทุกคน”ก็คือว่า ศพทุกศพน่ะมีรอยเหมือนถูกอะไรกัดเป็นแผลฉกรรจ์ทั่วร่างเลย แล้วยังพบอีกว่าศพที่พบทั้งหมดน่ะมีปริมาณเลือดภายในร่างกายเหลือไม่ถึง 10 % กล่าวคือถูกสูบเลือดออกไปจนเกือบหมด”
“ไม่เห็นมีในหนังสือพิมพ์เลย” ทรงพรถามอย่างสงสัย “แล้วนายไปตรัสรู้มาจากไหนล่ะเนี่ย หา”
“ก็เพราะเราเก่งไง”
“ตอบดีๆสิ” ทรงพรเร่งเร้า
“ก็เพราะว่าเขาปิดข่าวไง นายถึงไม่รู้ ส่วนที่เรารู้ได้ก็เพราะพ่อเราเป็นตำรวจไง”
“อ๋อ อืม~ งั้นก็เป็นคดีที่แปลกมากคดีหนึ่งเลยนะเนี่ย สูบเลือดหรอ
คงไม่ได้เกิดจากการฆาตกรรมธรรมดาแน่ๆ” เป้เปรยๆออกมา ตอนนี้ทุกคนกำลังคิดหาเหตุผลที่ทำให้แป้งต้องเคราะห์ร้ายเช่นนี้
กิ๊ง-ก่อง
“ได้เวลาเรียนแล้ว เราไปเรียนก่อนเร็ว ชั่วโมงแรกภาษาไทย อ.รัฐด้วย เดี๋ยวจะไม่ทันส่งงานที่อุตสาห์ปั่นการบ้านคำราชาศัพท์เมื่อคืน”
“งั้นไปๆ” แล้วทุกคนก็เข้าไปในห้องเรียนพร้อมๆกัน
หลังจากต้องนั่งท่องคำราชาศัพท์ของครูรัฐอยู่นานแสนนาน วันนี้เด็กๆก็สอบเกี่ยวกับคำสุภาพเช่นว่า คนป่วย ต้องเปลี่ยนเป็น ผู้ป่วย , แมลงวัน ต้องเปลี่ยนเป็น มัขขิกา ,ปลิง ต้องเปลี่ยนเป็น ชัลลุกา , แตงโม ต้องเปลี่ยนเป็น ผลอุลิด ส่วนข้อสอบนั้นสายภาษาไทยของโรงเรียนหมายเลข 0 นั้นขึ้นชื่ออยู่แล้วว่ายากมากๆ
“ทำไมหรอ”
“เหอะน่า นายตามมาได้แล้ว”ตาต้าเดินนำไปให้ลูกหมีตามมา ซึ่งลูกหมีก็รีบวิ่งตามมาทันที ทรงพรนำลูกหมีไปยังใต้ต้นหูกวางแล้วมองซ้ายมองขวาแล้วเห็นว่าไม่มีใครจึงนั่งลงแล้วเปิดฉากสนทนา
“นายแน่ใจนะว่ารูปคดีมันมีแค่นี้น่ะ ไหนนายลองเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดมาให้ฉันฟังซิ”
“อ๋อ นายเรียกเรามาด้วยเรื่องแค่นี้เองหรอ” ลูกหมีบ่น”ไม่เห็นต้องทำตัวลับๆล่อๆ เลยนี่นา นายทำไมไม่พูดต่อหน้าคนอื่นไปเลยเผื่อจะได้ความคิดดีๆบ้างน่ะ”
“ก็เพราะเรื่องนี้เราจะทำกันอย่างเป็นความลับไงล่ะ” ทรงพรบอก
“แล้วทำไมเราต้องทำอย่างเป็นความลับด้วยล่ะ” ลูกหมีถามด้วยสีหน้างุนงง
“เพราะถ้าใครรู้เข้าอาจจะต้องห้ามเราไงล่ะ เข้าใจ?”
“อ่อ แล้วทำไมต้องห้ามด้วยล่ะ” เอ่อ ต้องบอกนึดนึงว่าลูกหมีเป็นโรคออทิสติค เวลาพูดจะไม่สบตา และชอบถามคำถามไร้สาระอยู่เรื่อย แต่ว่าเด็กออทิสติกก็มีประโยชน์เหมือนกันนะ เพราะเขาจะเป็นคนซื่อสัตย์ต่อเพื่อนเป็นอย่างมาก แถมบางคนอาจจะมีสมองที่ฉลาดปราดเปรื่องกว่าคนธรรมดาก็เป็นได้
“เอาเหอะ ตอบคำถามนายไม่เห็นจะมีประโยชน์เลย ขั้นแรกที่เราจะทำในวันนี้นั่นคือ เราจะศึกษาอย่างละเอียดก่อนว่าทั้ง 7 ศพนั่นตายได้อย่างไร”
“โอเคครับผม” ลูกหมีขานรับด้วยสีหน้าขึงขัง
“เอาล่ะ นายลองเล่าทั้งหมดซิ”
“เอาล่ะนะ” ลูกหมีควักสมุดจดที่แนบเอกสารมา “ ผู้ตายคนแรก ชื่อว่า วิจิตรกานต์พัฒนา แซ่ซือ อายุ 13 ปี สาเหตุที่ตาย- เนื่องจากหัวใจล้มเหลวฉับพลัน จากการสอบปากคำพยานทั้งหมดคือ มีพยานพบเห็นเธอครั้งสุดท้ายซึ่งตอนนั้นเธอกำลังอยู่กับชื่อว่า สาธิต เกษตร ซึ่งเขาก็เป็นหนึ่งจำนวนผู้เคราะห์ร้ายด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังพบว่ามีรอยแผลจำนวนมากที่คาดว่าจะเกิดจากเขี้ยวของสัตว์จำพวกทากดูดเลือด”
“ทากดูดเลือด?”
“ก็อย่างเช่นพวกปลิงอะไรทำนองนี้น่ะ” ลูกหมีอธิบายก่อนจะทิ้งท้ายแบบเหน็บแนม” นายยังซื่อบื้อไม่เปลี่ยนเลยนะ”
“อ้อ งั้นหมายความว่าปลิงบุกเชียงใหม่งั้นสิ” ประชด
“ไม่ใช่หรอก ปลิงอาจจะเป็นแค่เครื่องมือแพร่ไวรัสก็ได้”
“ไวรัส? ปลิงบ้านป้าแกสิเป็นไวรัสน่ะสิ” ทรงพรพูดออกมาอย่างขำๆ
“ไม่รู้สิ แต่รุ่นพี่ที่ตายที่อยู่ม.3 น่ะทิ้งไดอิ้งเมสเสจเอาไว้ว่า ”ไวรัสและการทำลายล้างเผ่าพันธุ์”
ธรรมชาติของไวรัสก็คือ มันจะเพิ่มจากสองเป็น สี่ สี่เป็นแปด แปดเป็นสิบหก ทวีคูณขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น
“ถ้างั้นรุ่นพี่คนนั้นต้องการจะสื่อหมายความว่าความตายที่เกิดขึ้นต้องจากเพียงจุดเดียว แล้วแพร่ไป 7 คน ว่างั้นสิ?” ทรงพรออกความเห็น
“คงงั้นมั้ง”
“งั้นเราไปบ้านแป้งกันดีกว่า เผื่อจะมีเบาะแสอะไรบ้าง”
“โอเคๆ งั้นเย็นเจอกัน”
ทั้งสองคนตกลงกันเรียบร้อยว่าจะไปค้นบ้านวิจิตรกานต์พัฒนา หรือที่เพื่อนๆเรียกกันว่าแป้ง ตอนเย็นของวันนี้หลังจากทั้งสองเลิกเรียนแล้ว เพื่อสืบหาของคดีมรณะที่ทั้งสองยังไม่รู้ซึ้งว่าได้เดินเข้าไปใกล้อีกขั้นหนึ่งในดินแดนที่เรียกว่า มิติลึกลับ
4 สิงหาคม 2549
“นี่ ตาต้า นายอ่านกี่รอบแล้ววะเนี่ยฮะ เราล่ะเบื่อจะฟังจริงๆ”เด็กชายหน้าค่อนข้างเหมือนเกย์แต่ใส่แว่นปกปิดตัวตนบ่นออกมาเปรยๆ
“นี่ลูกหมี นายมานี่กับเราหน่อยสิ” อยู่ทรงพรก็โพล่งขึ้นมาหลังออกมาจากห้องเรียนในเวลาพักเที่ยงทำเอาลูกหมีถึงกับสะดุ้ง
4 สิงหาคม 2549
08.14 น. โรงเรียนหมายเลข 0
“ 7 ศพนักเรียนปริศนาโรงเรียนหมายเลข 0 ตายเวลาเดียวกัน แพทย์ชันสูตรไม่ยืนยันสาเหตุ”
“นี่ ตาต้า นายอ่านกี่รอบแล้ววะเนี่ยฮะ เราล่ะเบื่อจะฟังจริงๆ”เด็กชายหน้าค่อนข้างเหมือนเกย์แต่ใส่แว่นปกปิดตัวตนบ่นออกมาเปรยๆ
“นายไม่เครียดเลยหรือไง ลูกหมี นักเรียนโรงเรียนเราตายไปตั้ง 7 คนเชียวนะ ข่าวหนังสือพิมพ์เขาประกาศกันโครมๆเนี่ย นายไม่รู้จักรักโรงเรียนบ้างเลย แล้ว 2 ใน 7 นั้นก็มีนักเรียนห้องเราอยู่ด้วยนะ นายไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือ” เด็กชายตาต้าหรือชื่อเต็มๆว่า’ทรงพร ศุกร์เมาเสาร์นอน’ บ่นกลับ
“เออ เรารู้ว่าว่าแกรักโรงเรียน แต่ไม่เห็นต้องมาพูดมากเลยนี่ ส่วนเรื่องแป้งกับพีทน่ะ พวกเราก็เสียใจนะ แต่ไม่มีใครเหมือนแกหรอก พอได้ข่าวเมื่อวานก็ทำท่าจะร้องไห้ ตลกสิ้นดีว่ะ”เด็กที่ชื่อลูกหมีด่ามาอีก
“เออๆ พอๆ หยุดเถียงแล้วมาคิดดีกว่าไหม “ทรงพรกล่าวตัดบท ”ฉันยังสงสัยอยู่เลยว่าแป้งกับพีทมันจะตายยังไงหว่า” เขาถามความคิดเห็น ซึ่งตอนนี้กลุ่มสนทนาเขามากขึ้นเพราะมีคนสนใจมาก
“เห็นในหนังสือพิมพ์บอกว่าหมอที่ตรวจบอกว่าหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันไม่ใช่หรอ” เป้กางหนังสือพิมพ์ออกแล้วกวาดสายตาอ่านข่าวทั้งหมด
“แต่ที่น่าแปลกคืออะไรรู้ไหม” ลูกหมีโพล่งขึ้นมา
“อะไรล่ะ” ทุกคนถามพร้อมกัน
“ฟังนะ“ลูกหมีเรียกความสนใจจากทุกคน”ก็คือว่า ศพทุกศพน่ะมีรอยเหมือนถูกอะไรกัดเป็นแผลฉกรรจ์ทั่วร่างเลย แล้วยังพบอีกว่าศพที่พบทั้งหมดน่ะมีปริมาณเลือดภายในร่างกายเหลือไม่ถึง 10 % กล่าวคือถูกสูบเลือดออกไปจนเกือบหมด”
“ไม่เห็นมีในหนังสือพิมพ์เลย” ทรงพรถามอย่างสงสัย “แล้วนายไปตรัสรู้มาจากไหนล่ะเนี่ย หา”
“ก็เพราะเราเก่งไง”
“ตอบดีๆสิ” ทรงพรเร่งเร้า
“ก็เพราะว่าเขาปิดข่าวไง นายถึงไม่รู้ ส่วนที่เรารู้ได้ก็เพราะพ่อเราเป็นตำรวจไง”
“อ๋อ อืม~ งั้นก็เป็นคดีที่แปลกมากคดีหนึ่งเลยนะเนี่ย สูบเลือดหรอ คงไม่ได้เกิดจากการฆาตกรรมธรรมดาแน่ๆ” เป้เปรยๆออกมา ตอนนี้ทุกคนกำลังคิดหาเหตุผลที่ทำให้แป้งต้องเคราะห์ร้ายเช่นนี้
กิ๊ง-ก่อง
“ได้เวลาเรียนแล้ว เราไปเรียนก่อนเร็ว ชั่วโมงแรกภาษาไทย อ.รัฐด้วย เดี๋ยวจะไม่ทันส่งงานที่อุตสาห์ปั่นการบ้านคำราชาศัพท์เมื่อคืน”
“งั้นไปๆ” แล้วทุกคนก็เข้าไปในห้องเรียนพร้อมๆกัน
หลังจากต้องนั่งท่องคำราชาศัพท์ของครูรัฐอยู่นานแสนนาน วันนี้เด็กๆก็สอบเกี่ยวกับคำสุภาพเช่นว่า คนป่วย ต้องเปลี่ยนเป็น ผู้ป่วย , แมลงวัน ต้องเปลี่ยนเป็น มัขขิกา ,ปลิง ต้องเปลี่ยนเป็น ชัลลุกา , แตงโม ต้องเปลี่ยนเป็น ผลอุลิด ส่วนข้อสอบนั้นสายภาษาไทยของโรงเรียนหมายเลข 0 นั้นขึ้นชื่ออยู่แล้วว่ายากมากๆ
“นี่ลูกหมี นายมานี่กับเราหน่อยสิ” อยู่ทรงพรก็โพล่งขึ้นมาหลังออกมาจากห้องเรียนในเวลาพักเที่ยงทำเอาลูกหมีถึงกับสะดุ้ง
“ทำไมหรอ”
“เหอะน่า นายตามมาได้แล้ว”ตาต้าเดินนำไปให้ลูกหมีตามมา ซึ่งลูกหมีก็รีบวิ่งตามมาทันที ทรงพรนำลูกหมีไปยังใต้ต้นหูกวางแล้วมองซ้ายมองขวาแล้วเห็นว่าไม่มีใครจึงนั่งลงแล้วเปิดฉากสนทนา
“นายแน่ใจนะว่ารูปคดีมันมีแค่นี้น่ะ ไหนนายลองเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดมาให้ฉันฟังซิ”
“อ๋อ นายเรียกเรามาด้วยเรื่องแค่นี้เองหรอ” ลูกหมีบ่น”ไม่เห็นต้องทำตัวลับๆล่อๆ เลยนี่นา นายทำไมไม่พูดต่อหน้าคนอื่นไปเลยเผื่อจะได้ความคิดดีๆบ้างน่ะ”
“ก็เพราะเรื่องนี้เราจะทำกันอย่างเป็นความลับไงล่ะ” ทรงพรบอก
“แล้วทำไมเราต้องทำอย่างเป็นความลับด้วยล่ะ” ลูกหมีถามด้วยสีหน้างุนงง
“เพราะถ้าใครรู้เข้าอาจจะต้องห้ามเราไงล่ะ เข้าใจ?”
“อ่อ แล้วทำไมต้องห้ามด้วยล่ะ” เอ่อ ต้องบอกนึดนึงว่าลูกหมีเป็นโรคออทิสติค เวลาพูดจะไม่สบตา และชอบถามคำถามไร้สาระอยู่เรื่อย แต่ว่าเด็กออทิสติกก็มีประโยชน์เหมือนกันนะ เพราะเขาจะเป็นคนซื่อสัตย์ต่อเพื่อนเป็นอย่างมาก แถมบางคนอาจจะมีสมองที่ฉลาดปราดเปรื่องกว่าคนธรรมดาก็เป็นได้
“เอาเหอะ ตอบคำถามนายไม่เห็นจะมีประโยชน์เลย ขั้นแรกที่เราจะทำในวันนี้นั่นคือ เราจะศึกษาอย่างละเอียดก่อนว่าทั้ง 7 ศพนั่นตายได้อย่างไร”
“โอเคครับผม” ลูกหมีขานรับด้วยสีหน้าขึงขัง
“เอาล่ะ นายลองเล่าทั้งหมดซิ”
“เอาล่ะนะ” ลูกหมีควักสมุดจดที่แนบเอกสารมา “ ผู้ตายคนแรก ชื่อว่า วิจิตรกานต์พัฒนา แซ่ซือ อายุ 13 ปี สาเหตุที่ตาย- เนื่องจากหัวใจล้มเหลวฉับพลัน จากการสอบปากคำพยานทั้งหมดคือ มีพยานพบเห็นเธอครั้งสุดท้ายซึ่งตอนนั้นเธอกำลังอยู่กับชื่อว่า สาธิต เกษตร ซึ่งเขาก็เป็นหนึ่งจำนวนผู้เคราะห์ร้ายด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังพบว่ามีรอยแผลจำนวนมากที่คาดว่าจะเกิดจากเขี้ยวของสัตว์จำพวกทากดูดเลือด”
“ทากดูดเลือด?”
“ก็อย่างเช่นพวกปลิงอะไรทำนองนี้น่ะ” ลูกหมีอธิบายก่อนจะทิ้งท้ายแบบเหน็บแนม” นายยังซื่อบื้อไม่เปลี่ยนเลยนะ”
“อ้อ งั้นหมายความว่าปลิงบุกเชียงใหม่งั้นสิ” ประชด
“ไม่ใช่หรอก ปลิงอาจจะเป็นแค่เครื่องมือแพร่ไวรัสก็ได้”
“ไวรัส? ปลิงบ้านป้าแกสิเป็นไวรัสน่ะสิ” ทรงพรพูดออกมาอย่างขำๆ
“ไม่รู้สิ แต่รุ่นพี่ที่ตายที่อยู่ม.3 น่ะทิ้งไดอิ้งเมสเสจเอาไว้ว่า ”ไวรัสและการทำลายล้างเผ่าพันธุ์”
ธรรมชาติของไวรัสก็คือ มันจะเพิ่มจากสองเป็น สี่ สี่เป็นแปด แปดเป็นสิบหก ทวีคูณขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น
“ถ้างั้นรุ่นพี่คนนั้นต้องการจะสื่อหมายความว่าความตายที่เกิดขึ้นต้องจากเพียงจุดเดียว แล้วแพร่ไป 7 คน ว่างั้นสิ?” ทรงพรออกความเห็น
“คงงั้นมั้ง”
“งั้นเราไปบ้านแป้งกันดีกว่า เผื่อจะมีเบาะแสอะไรบ้าง”
“โอเคๆ งั้นเย็นเจอกัน”
ทั้งสองคนตกลงกันเรียบร้อยว่าจะไปค้นบ้านวิจิตรกานต์พัฒนา หรือที่เพื่อนๆเรียกกันว่าแป้ง ตอนเย็นของวันนี้หลังจากทั้งสองเลิกเรียนแล้ว เพื่อสืบหาของคดีมรณะที่ทั้งสองยังไม่รู้ซึ้งว่าได้เดินเข้าไปใกล้อีกขั้นหนึ่งในดินแดนที่เรียกว่า มิติลึกลับ
ความคิดเห็น