คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ
3 สิงหาคม 2549
20.17 น. แถบหลังโรงเรียน S
ม่านดำนามรัตติกาลบัดนี้ได้ปกคลุมท้องฟ้าอย่างสมบูรณ์ พร้อมกับจันทร์นวลผ่องที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมู่เมฆทั้งหลาย ราวกับต้องการจะปกปิดแสงแห่งความหวังอันน้อยนิดที่มีอยู่ในค่ำคืนยามราตรีนี้ให้หมดไป 3 สิงหาคม 2549
20.17 น. แถบหลังโรงเรียน S
ม่านดำนามรัตติกาลบัดนี้ได้ปกคลุมท้องฟ้าอย่างสมบูรณ์ พร้อมกับจันทร์นวลผ่องที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมู่เมฆทั้งหลาย ราวกับต้องการจะปกปิดแสงแห่งความหวังอันน้อยนิดที่มีอยู่ในค่ำคืนยามราตรีนี้ให้หมดไป
แต่ในแถบนี้ก็ยังมีหอพักที่คงจะเรียกได้ว่ามีอิสระมากที่สุดอยู่เหมือนกัน ชื่อว่า หอ ท ซึ่งเจ้าของหอก็เป็นชายชราคนหนึ่งเช่นกัน แต่แปลกไปจากเจ๊หวยเนื่องด้วยว่า เขาตาบอด เพราะฉะนั้น ใครจะเข้าจะออก ใครจะไปจะมา ใครจะทำอะไร ก็ตาม ลุงแกก็จะไม่รับรู้ยินดียินร้ายด้วยทั้งสิ้น ซึ่งพวกเด็กหอก็ไม่เข้าใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมลุงแกถึงได้ยังเป็นเจ้าของหออยู่ แต่ในทางกลับกันก็ไม่จำเป็นจะต้องไปคิดอะไร ได้อยู่อย่างอิสระแบบนี้ก็คงดีแล้วไม่ใช่หรือ
เลยเขตโรงเรียนไปก็เป็นดอยสูงตระหง่านที่อยู่คู่เชียงใหม่นามว่า “ดอย ส” บนยอดดอยมีวัดนามว่า “ วัดพระธาตุดอย ส “ซึ่งในยามรัตติกาลเฉกเช่นค่ำคืนนี้นั้น คงจะเป็นสถานที่อันดับสุดท้ายที่คุณอยากไปเลยกระมัง ยกเว้นว่าคุณต้องการทดสอบความกล้าของคุณเมื่อไรละก็ คงจะกล่าวได้ว่า
ถัดไปจากโรงเรียนโรงเรียน S ไปอีกซักประมาณ 2 กิโลเมตรนั้นมีหมู่บ้านจัดสรรอยู่ภายในพื้นที่เล็กๆ ขนาด 2-3 ไร่ มีบ้านที่เช่าอยู่ในบริเวณนั้นเพียงไม่กี่หลัง เห็นป้ายประกาศขายอยู่ร่ำไป เมื่อเทียบกับหอพักที่มีคนจองเข้าจนเต็มแล้วนั้น ช่างเป็นภาพที่ต่างกันเสียจริงๆ และเหตุผลของมันก็คงเป็นเพราะว่าตั้งอยู่ใกล้ดอย ส จนผู้คนขยาดไม่กล้าที่จะมาตั้งหลักปักฐานอยู่ที่สถานที่แห่งกระมัง
บ้านชั้นเดียวหลังหนึ่งภายในหมู่บ้านจัดสรรนั้นตั้งอยู่ค่อนข้างโดดเดี่ยว ถนนลูกรังคดเคี้ยวเป็นเส้นทางเดียวที่จะเข้าสู่บ้านหลังนั้น ตัวบ้านก็เหมือนกับบ้านจัดสรรธรรมดาๆ ที่เราพบเห็นได้ทั่วไป หน้าบ้านหันเข้าหาถนน ข้างๆบ้านมีที่ว่างพอที่จะจอดรถได้คันหนึ่ง สีบ้านเป็นสีขาวเรียบ สนามหน้าบ้านมีหญ้าขึ้นอยู่ประปราย
แสงไฟจากบ้านหลังนั้นสาดส่องลงมายังพื้นที่ว่างเปล่าบริเวณนั้น ภายในบ้านมีคนอยู่เพียงคนเดียวนั่นคือ เด็กหญิงชั้นมัธยมศึกษาปีที่สองโรงเรียนหมายเลข 0 หน้าตาจัดว่าใช้ได้ชื่อว่า วิจิตรกานต์พัฒนา หรือเราเรียกสั้นๆว่า แป้ง นอนเปลือยร่างเหยียดอยู่บนเตียง เธอกำลังทำการบ้านวิชาคณิตที่เมื่อวันศุกร์ ครูซาลาเปาได้สั่งเอาไว้เป็นภูเขาเลากา ซึ่งบางที วิจิตรกานต์พัฒนาก็ไม่ทำไปทำให้เกรดปีที่แล้วของเธอไม่ค่อยจะดีนัก
‘วัฏจักรชีวิตของเรามันมีแค่นี้หรือไงนะ วันหยุดอันแสนสบายผ่านไป วันต่อมาก็ต้องส่งงาน อากาศหนาวๆอย่างนี้สู้ออกไปหาความอบอุ่นจากนายพีทยังจะดีกว่านี้อีก’
พีท หรือชื่อเต็มว่า “สาธิต เกษตร” นั้น เป็นแฟนคนล่าสุดของวิจิตรกานต์พัฒนานั่นเอง ซึ่งกล่าวได้ว่าไม่ตรงกับสเป็คแป้งเลย เพราะปกติแป้งเป็นคนชอบคนผอม สูง ผิวดำ แต่นายสาธิต เกษตรนั้นทั้งตุ้ยนุ้ย อ้วนเตี้ย ผิวขาว วิจิตรกานต์พัฒนามักจะไปหานายพีทหลังเลิกเรียน สุดท้ายพวกเขามักจะจบที่เตียงเสมอ แต่พ่อ และแม่ของทั้งสองฝ่ายนั้นยังไม่รู้หรอกว่าลูกของตนมีพฤติกรรมที่แหลกเหลวขนาดไหน
วิจิตรกานต์พัฒนามักจะคิดอยู่เสมอว่า อะไรๆในโลกนี้มันก็เปลี่ยนไปแล้วทั้งนั้น การมีเพศสัมพันธ์ในวัยของเราไม่เห็นจะมีอะไรเลย พวกผู้ใหญ่น่ะหัวโบราณ คิดมากไปเอง ผู้หญิงสมัยนี้ไม่ต้องรักนวลสงวนตัวก็ได้ (ช่างเป็นความคิดที่ประเสริฐจริงๆ เหอ เหอ)
วิจิตรกานต์พัฒนาคิดอะไรไปต่างๆนานาแล้วก็หันมาให้ความสนใจกับการบ้านของตน แต่ทำไปได้ไม่นานเธอก็เริ่มหมดความอดทน วางปากกาแล้วหยิบผ้าเช็ตตัวมาพันรอบตัวเพื่อป้องกันความหนาวเหน็บ ใครเห็นเธอก็คงจะแปลกใจอยู่หรอกว่าอากาศหนาวขนาดนี้ยังมานอนเปลือยกายอยู่อีก แต่เหตุผลของเธอก็คือ
“ฉันไม่ชอบใส่เสื้อ”
หนาวจะตายชัก ใครจะไปมีอารมณ์ทำการบ้านละเนี่ย พ่อแม่ก็ยังไม่กลับเสียที
พ่อแม่ของเธอนั้นกำลังไปดูงานที่ต่างจังหวัด กำลังจะกลับมาวันนี้ พวกเขาไปตั้งแต่ 3-4 วันก่อน วิจิตรกานต์พัฒนาไม่เคยคิดถึงพ่อกับแม่ของเธอขนาดนี้มาก่อน เวลา 1 นาทีในโลกความเป็นจริงคงจะเท่ากับเวลา 1 ชั่วโมงสำหรับเธอ และระยะเวลาเหล่านี้คงจะเป็นเวลาแห่งความทุกข์ทนของเธอเป็นอย่างมากในเวลานี้
บรรยากาศเริ่มเงียบสงัดจนถ้ามีเข็มตกกระทบลงบนพื้นนั้น วิจิตรกานต์พัฒนาคงจะได้ยินเป็นแน่แท้ ทั้งๆที่อากาศหนาวเหน็บและไม่มีฝนตกมานานแล้ว แต่วิจิตรกานต์พัฒนากลับรู้สึกเหมือนกับมีละอองน้ำอยู่ในอากาศอย่างประหลาด บางทีเธอก็รู้สึกคันเนื้อคันตัว อึดอัดไปหมด เธอคิดว่ามันคงจะเป็นอุปาทาน แต่เมื่อมองดูที่พื้นกลับพบว่ามีจุดดำๆจุดหนึ่งอยู่บนพื้น เธอก้มลงไปดูใกล้แล้วจึงรู้ว่ามันคือสิ่งมีชีวิตสีดำ ตัวหยุ่นๆ หรือที่เรียกว่ากันว่า”ปลิง” นั่นเอง
วิจิตรกานต์พัฒนาตกใจมากขนาดที่ว่าเต้นเร่า หกรีดร้องเลยที่เดียว
.คนมันเกลียดนี่นะ ตัวหยุ่นๆน่าขยะแขยงที่สุด
. วิจิตรกานต์พัฒนาใช้ไม้ตีแมลงวันเขี่ยปลิงออกไปด้วยท่าทางขยะแขยงเป็นที่สุด บัดนี้เธอรู้สึกปวดปัสสาวะพร้อมกับความกระหายแห้งผากราวกับผนังลำคอจะแตกเป็นผุยผง
วิจิตรกานต์พัฒนาจงใจเดินเสียงดังขณะไปเปิดสวิตซ์ไฟที่อยู่หน้าห้องน้ำ เธอเข้าไปในห้องอย่างหวาดระแวง ก่อนค่อยๆ เดินเข้าไปภายในห้องน้ำ หลังจากปลดทุกข์แล้ว วิจิตรกานต์พัฒนานั่งทำใจอยู่ภายในห้องน้ำพักใหญ่ ราวกับจะปลอบใจว่าความอึดอัดนี้มันเป็นแค่เพียงอุปาทาน แล้วเธอสวมกางเกงอย่างรวดเร็ว และเดินออกมาจากห้องน้ำ แต่ทันใดนั้น
เพล้ง!!~
เสียงเหมือนแก้วแตกดังสนั่นออกมาจากห้องครัว วิจิตรกานต์พัฒนาสะดุ้งสุดตัวพร้อมกับส่งเสียงคราง เธอทำใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะลงไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องครัว
แก้ว 2 ใบที่เธอวางไว้บนเคาน์เตอร์หล่นลงมาบนพื้นแตกกระจุยกระจาย เธอย่อตัวลงไปเก็บเศษแก้วขึ้นมาทีละชิ้นๆ มือวิจิตรกานต์พัฒนาสั่น เบื้องหลังเธอมีกลิ่นอายของอะไรบางอย่าง
.สิ่งที่ไม่อาจจะเรียกได้ว่า มนุษย์ ตอนนี้มือของเธอชะงักค้าง สติสัมปชัญญะเริ่มแปรปรวน เหมือนกับว่ากลิ่นอายของมันได้แทรกซึมเข้ามาในทุกโมเลกุลของร่างกาย เธอเหลือบไปมองนาฬิกาบนชั้นก็เห็นว่าเป็นเวลาสองทุ่มครึ่งแล้ว
‘ได้โปรดเถอะ
..อย่า’
วิจิตรกานต์พัฒนาพยายามให้สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นแค่ความฝัน หรือไม่ก็เป็นอุปาทานก็ยังดี แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันชัดเจนยิ่งกว่าที่จะเป็นทั้งสอง ราวกับว่ามันกำลังยืดตัวเน่าเหม็นของมันเข้ามาจนหายใจรดต้นคอเธอแล้ว
‘ถ้ามันเป็นสิ่งนั้นล่ะ เราจะทำยังไง’
‘สิ่งนั้น
..สิ่งนั้น
.สิ่งนั้น
.สิ่งนั้น
..สิ่งนั้น
’
วิจิตรกานต์พัฒนาไม่อยากคิดให้มันไกลไปมากกว่านี้อีกแล้ว ถ้าวันนั้นนายพีทไม่เอามันมาดูที่โรงเรียนล่ะก็ เราก็คงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพอย่างนี้หรอก แถมส่วนนั้นมันก็โดนฉีกไปแล้ว จะทำยังไงดี
..จะทำยังไงดี เรายังไม่อยากตายนะ ไม่เอา
ไม่เอา.. เรื่องนั้นมันเป็นไปไม่ได้น่า
เป็นไปไม่ได้!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
วิจิตรกานต์พัฒนาไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างหลังเธอ แต่เธอไม่สามารถรวบรวมความกล้าให้มากพอที่จะชนะความกลัว
‘ขออย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย
ได้โปรด’
วิจิตรกานต์พัฒนาอยากจะกลับหันไปดูเหลือเกิน จะได้หลุดจากสภาพนี้เสียที แต่เธอก็ไม่สามารถจะสกัดกั้นความกลัวที่ค่อยแทะเล็มจิตใจเธอทีละนิด
ทีละนิดได้ ตอนนี้ทั้งที่อากาศหนาวเหน็บ แต่วิจิตรกานต์พัฒนาก็ไม่สามารถหยุดเหงื่อที่ไหลทะลักออกมาจากร่างกายเธอในขณะนี้ได้ เธอไม่สามารถห้ามมันได้จริงๆ
เปรี๊ยะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เพล้ง!!!!~
แก้วใบที่สามหล่นลงมาจากเคาน์เตอร์ วิจิตรกานต์พัฒนาสะดุ้งเฮือก ก่อนที่เธอจะหันไปข้างหลังโดยไม่รู้ตัว
“อา
อา
อะ อะ
..อะ
.จะ
”
3 สิงหาคม 2549
20.17 น. แถบหลังโรงเรียน S
ม่านดำนามรัตติกาลบัดนี้ได้ปกคลุมท้องฟ้าอย่างสมบูรณ์ พร้อมกับจันทร์นวลผ่องที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมู่เมฆทั้งหลาย ราวกับต้องการจะปกปิดแสงแห่งความหวังอันน้อยนิดที่มีอยู่ในค่ำคืนยามราตรีนี้ให้หมดไป
แต่ในแถบนี้ก็ยังมีหอพักที่คงจะเรียกได้ว่ามีอิสระมากที่สุดอยู่เหมือนกัน ชื่อว่า หอ ท ซึ่งเจ้าของหอก็เป็นชายชราคนหนึ่งเช่นกัน แต่แปลกไปจากเจ๊หวยเนื่องด้วยว่า เขาตาบอด เพราะฉะนั้น ใครจะเข้าจะออก ใครจะไปจะมา ใครจะทำอะไร ก็ตาม ลุงแกก็จะไม่รับรู้ยินดียินร้ายด้วยทั้งสิ้น ซึ่งพวกเด็กหอก็ไม่เข้าใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมลุงแกถึงได้ยังเป็นเจ้าของหออยู่ แต่ในทางกลับกันก็ไม่จำเป็นจะต้องไปคิดอะไร ได้อยู่อย่างอิสระแบบนี้ก็คงดีแล้วไม่ใช่หรือ
เลยเขตโรงเรียนไปก็เป็นดอยสูงตระหง่านที่อยู่คู่เชียงใหม่นามว่า “ดอย ส” บนยอดดอยมีวัดนามว่า “ วัดพระธาตุดอย ส “ซึ่งในยามรัตติกาลเฉกเช่นค่ำคืนนี้นั้น คงจะเป็นสถานที่อันดับสุดท้ายที่คุณอยากไปเลยกระมัง ยกเว้นว่าคุณต้องการทดสอบความกล้าของคุณเมื่อไรละก็ คงจะกล่าวได้ว่า
ถัดไปจากโรงเรียนโรงเรียน S ไปอีกซักประมาณ 2 กิโลเมตรนั้นมีหมู่บ้านจัดสรรอยู่ภายในพื้นที่เล็กๆ ขนาด 2-3 ไร่ มีบ้านที่เช่าอยู่ในบริเวณนั้นเพียงไม่กี่หลัง เห็นป้ายประกาศขายอยู่ร่ำไป เมื่อเทียบกับหอพักที่มีคนจองเข้าจนเต็มแล้วนั้น ช่างเป็นภาพที่ต่างกันเสียจริงๆ และเหตุผลของมันก็คงเป็นเพราะว่าตั้งอยู่ใกล้ดอย ส จนผู้คนขยาดไม่กล้าที่จะมาตั้งหลักปักฐานอยู่ที่สถานที่แห่งกระมัง
บ้านชั้นเดียวหลังหนึ่งภายในหมู่บ้านจัดสรรนั้นตั้งอยู่ค่อนข้างโดดเดี่ยว ถนนลูกรังคดเคี้ยวเป็นเส้นทางเดียวที่จะเข้าสู่บ้านหลังนั้น ตัวบ้านก็เหมือนกับบ้านจัดสรรธรรมดาๆ ที่เราพบเห็นได้ทั่วไป หน้าบ้านหันเข้าหาถนน ข้างๆบ้านมีที่ว่างพอที่จะจอดรถได้คันหนึ่ง สีบ้านเป็นสีขาวเรียบ สนามหน้าบ้านมีหญ้าขึ้นอยู่ประปราย
แสงไฟจากบ้านหลังนั้นสาดส่องลงมายังพื้นที่ว่างเปล่าบริเวณนั้น ภายในบ้านมีคนอยู่เพียงคนเดียวนั่นคือ เด็กหญิงชั้นมัธยมศึกษาปีที่สองโรงเรียนหมายเลข 0 หน้าตาจัดว่าใช้ได้ชื่อว่า วิจิตรกานต์พัฒนา หรือเราเรียกสั้นๆว่า แป้ง นอนเปลือยร่างเหยียดอยู่บนเตียง เธอกำลังทำการบ้านวิชาคณิตที่เมื่อวันศุกร์ ครูซาลาเปาได้สั่งเอาไว้เป็นภูเขาเลากา ซึ่งบางที วิจิตรกานต์พัฒนาก็ไม่ทำไปทำให้เกรดปีที่แล้วของเธอไม่ค่อยจะดีนัก
‘วัฏจักรชีวิตของเรามันมีแค่นี้หรือไงนะ วันหยุดอันแสนสบายผ่านไป วันต่อมาก็ต้องส่งงาน อากาศหนาวๆอย่างนี้สู้ออกไปหาความอบอุ่นจากนายพีทยังจะดีกว่านี้อีก’
พีท หรือชื่อเต็มว่า “สาธิต เกษตร” นั้น เป็นแฟนคนล่าสุดของวิจิตรกานต์พัฒนานั่นเอง ซึ่งกล่าวได้ว่าไม่ตรงกับสเป็คแป้งเลย เพราะปกติแป้งเป็นคนชอบคนผอม สูง ผิวดำ แต่นายสาธิต เกษตรนั้นทั้งตุ้ยนุ้ย อ้วนเตี้ย ผิวขาว วิจิตรกานต์พัฒนามักจะไปหานายพีทหลังเลิกเรียน สุดท้ายพวกเขามักจะจบที่เตียงเสมอ แต่พ่อ และแม่ของทั้งสองฝ่ายนั้นยังไม่รู้หรอกว่าลูกของตนมีพฤติกรรมที่แหลกเหลวขนาดไหน
วิจิตรกานต์พัฒนามักจะคิดอยู่เสมอว่า อะไรๆในโลกนี้มันก็เปลี่ยนไปแล้วทั้งนั้น การมีเพศสัมพันธ์ในวัยของเราไม่เห็นจะมีอะไรเลย พวกผู้ใหญ่น่ะหัวโบราณ คิดมากไปเอง ผู้หญิงสมัยนี้ไม่ต้องรักนวลสงวนตัวก็ได้ (ช่างเป็นความคิดที่ประเสริฐจริงๆ เหอ เหอ)
วิจิตรกานต์พัฒนาคิดอะไรไปต่างๆนานาแล้วก็หันมาให้ความสนใจกับการบ้านของตน แต่ทำไปได้ไม่นานเธอก็เริ่มหมดความอดทน วางปากกาแล้วหยิบผ้าเช็ตตัวมาพันรอบตัวเพื่อป้องกันความหนาวเหน็บ ใครเห็นเธอก็คงจะแปลกใจอยู่หรอกว่าอากาศหนาวขนาดนี้ยังมานอนเปลือยกายอยู่อีก แต่เหตุผลของเธอก็คือ
“ฉันไม่ชอบใส่เสื้อ”
หนาวจะตายชัก ใครจะไปมีอารมณ์ทำการบ้านละเนี่ย พ่อแม่ก็ยังไม่กลับเสียที
พ่อแม่ของเธอนั้นกำลังไปดูงานที่ต่างจังหวัด กำลังจะกลับมาวันนี้ พวกเขาไปตั้งแต่ 3-4 วันก่อน วิจิตรกานต์พัฒนาไม่เคยคิดถึงพ่อกับแม่ของเธอขนาดนี้มาก่อน เวลา 1 นาทีในโลกความเป็นจริงคงจะเท่ากับเวลา 1 ชั่วโมงสำหรับเธอ และระยะเวลาเหล่านี้คงจะเป็นเวลาแห่งความทุกข์ทนของเธอเป็นอย่างมากในเวลานี้
บรรยากาศเริ่มเงียบสงัดจนถ้ามีเข็มตกกระทบลงบนพื้นนั้น วิจิตรกานต์พัฒนาคงจะได้ยินเป็นแน่แท้ ทั้งๆที่อากาศหนาวเหน็บและไม่มีฝนตกมานานแล้ว แต่วิจิตรกานต์พัฒนากลับรู้สึกเหมือนกับมีละอองน้ำอยู่ในอากาศอย่างประหลาด บางทีเธอก็รู้สึกคันเนื้อคันตัว อึดอัดไปหมด เธอคิดว่ามันคงจะเป็นอุปาทาน แต่เมื่อมองดูที่พื้นกลับพบว่ามีจุดดำๆจุดหนึ่งอยู่บนพื้น เธอก้มลงไปดูใกล้แล้วจึงรู้ว่ามันคือสิ่งมีชีวิตสีดำ ตัวหยุ่นๆ หรือที่เรียกว่ากันว่า”ปลิง” นั่นเอง
วิจิตรกานต์พัฒนาตกใจมากขนาดที่ว่าเต้นเร่า หกรีดร้องเลยที่เดียว
.คนมันเกลียดนี่นะ ตัวหยุ่นๆน่าขยะแขยงที่สุด
. วิจิตรกานต์พัฒนาใช้ไม้ตีแมลงวันเขี่ยปลิงออกไปด้วยท่าทางขยะแขยงเป็นที่สุด บัดนี้เธอรู้สึกปวดปัสสาวะพร้อมกับความกระหายแห้งผากราวกับผนังลำคอจะแตกเป็นผุยผง
วิจิตรกานต์พัฒนาจงใจเดินเสียงดังขณะไปเปิดสวิตซ์ไฟที่อยู่หน้าห้องน้ำ เธอเข้าไปในห้องอย่างหวาดระแวง ก่อนค่อยๆ เดินเข้าไปภายในห้องน้ำ หลังจากปลดทุกข์แล้ว วิจิตรกานต์พัฒนานั่งทำใจอยู่ภายในห้องน้ำพักใหญ่ ราวกับจะปลอบใจว่าความอึดอัดนี้มันเป็นแค่เพียงอุปาทาน แล้วเธอสวมกางเกงอย่างรวดเร็ว และเดินออกมาจากห้องน้ำ แต่ทันใดนั้น
เพล้ง!!~
เสียงเหมือนแก้วแตกดังสนั่นออกมาจากห้องครัว วิจิตรกานต์พัฒนาสะดุ้งสุดตัวพร้อมกับส่งเสียงคราง เธอทำใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะลงไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องครัว
แก้ว 2 ใบที่เธอวางไว้บนเคาน์เตอร์หล่นลงมาบนพื้นแตกกระจุยกระจาย เธอย่อตัวลงไปเก็บเศษแก้วขึ้นมาทีละชิ้นๆ มือวิจิตรกานต์พัฒนาสั่น เบื้องหลังเธอมีกลิ่นอายของอะไรบางอย่าง
.สิ่งที่ไม่อาจจะเรียกได้ว่า มนุษย์ ตอนนี้มือของเธอชะงักค้าง สติสัมปชัญญะเริ่มแปรปรวน เหมือนกับว่ากลิ่นอายของมันได้แทรกซึมเข้ามาในทุกโมเลกุลของร่างกาย เธอเหลือบไปมองนาฬิกาบนชั้นก็เห็นว่าเป็นเวลาสองทุ่มครึ่งแล้ว
‘ได้โปรดเถอะ
..อย่า’
วิจิตรกานต์พัฒนาพยายามให้สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นแค่ความฝัน หรือไม่ก็เป็นอุปาทานก็ยังดี แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันชัดเจนยิ่งกว่าที่จะเป็นทั้งสอง ราวกับว่ามันกำลังยืดตัวเน่าเหม็นของมันเข้ามาจนหายใจรดต้นคอเธอแล้ว
‘ถ้ามันเป็นสิ่งนั้นล่ะ เราจะทำยังไง’
‘สิ่งนั้น
..สิ่งนั้น
.สิ่งนั้น
.สิ่งนั้น
..สิ่งนั้น
’
วิจิตรกานต์พัฒนาไม่อยากคิดให้มันไกลไปมากกว่านี้อีกแล้ว ถ้าวันนั้นนายพีทไม่เอามันมาดูที่โรงเรียนล่ะก็ เราก็คงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพอย่างนี้หรอก แถมส่วนนั้นมันก็โดนฉีกไปแล้ว จะทำยังไงดี
..จะทำยังไงดี เรายังไม่อยากตายนะ ไม่เอา
ไม่เอา.. เรื่องนั้นมันเป็นไปไม่ได้น่า
เป็นไปไม่ได้!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
วิจิตรกานต์พัฒนาไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างหลังเธอ แต่เธอไม่สามารถรวบรวมความกล้าให้มากพอที่จะชนะความกลัว
‘ขออย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย
ได้โปรด’
วิจิตรกานต์พัฒนาอยากจะกลับหันไปดูเหลือเกิน จะได้หลุดจากสภาพนี้เสียที แต่เธอก็ไม่สามารถจะสกัดกั้นความกลัวที่ค่อยแทะเล็มจิตใจเธอทีละนิด
ทีละนิดได้ ตอนนี้ทั้งที่อากาศหนาวเหน็บ แต่วิจิตรกานต์พัฒนาก็ไม่สามารถหยุดเหงื่อที่ไหลทะลักออกมาจากร่างกายเธอในขณะนี้ได้ เธอไม่สามารถห้ามมันได้จริงๆ
เปรี๊ยะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เพล้ง!!!!~
แก้วใบที่สามหล่นลงมาจากเคาน์เตอร์ วิจิตรกานต์พัฒนาสะดุ้งเฮือก ก่อนที่เธอจะหันไปข้างหลังโดยไม่รู้ตัว
“อา
อา
อะ อะ
..อะ
.จะ
”
แถบหลังโรงเรียน S นั้นเรียงรายไปด้วยตึกสูงตระหง่านไม่ว่าจะเป็น คอนโดมิเนียม ร้านค้า บริษัทต่างๆ ห้องแถว หมู่บ้านจัดสรร และหอพักของโรงเรียน S เอง ยกตัวอย่างเช่น หอพัก u ซึ่งถือได้ว่าเป็นหอหญิงล้วนที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุด เพราะนอกจากเหตุผลที่ว่าเป็นหอพักที่อยู่ใกล้จากโรงเรียนมากที่สุดแล้ว เจ้าของหอก็ยังกินใจผู้ปกครองของนักเรียนโรงเรียน Sไปมากกว่าครึ่ง เนื่องจากว่าเธอเป็นหญิงชราที่แสนจะเฮี้ยบแสนเฮี้ยบ ซึ่งพวกเด็กหอก็ได้ตั้งฉายาเปลี่ยนชื่อแกจาก”เจ๊หมวย” เป็น “เจ๊หวย” ซึ่งทุกคนรู้และเข้าใจได้ลึกซึ้งว่า ทำไมเราจึงนิยามกฎของหอพักนี้ได้ว่า”หามีความอิสระไม่”
“ ดอย ส ยินดีต้อนรับ “
แถบหลังโรงเรียน S นั้นเรียงรายไปด้วยตึกสูงตระหง่านไม่ว่าจะเป็น คอนโดมิเนียม ร้านค้า บริษัทต่างๆ ห้องแถว หมู่บ้านจัดสรร และหอพักของโรงเรียน S เอง ยกตัวอย่างเช่น หอพัก u ซึ่งถือได้ว่าเป็นหอหญิงล้วนที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุด เพราะนอกจากเหตุผลที่ว่าเป็นหอพักที่อยู่ใกล้จากโรงเรียนมากที่สุดแล้ว เจ้าของหอก็ยังกินใจผู้ปกครองของนักเรียนโรงเรียน Sไปมากกว่าครึ่ง เนื่องจากว่าเธอเป็นหญิงชราที่แสนจะเฮี้ยบแสนเฮี้ยบ ซึ่งพวกเด็กหอก็ได้ตั้งฉายาเปลี่ยนชื่อแกจาก”เจ๊หมวย” เป็น “เจ๊หวย” ซึ่งทุกคนรู้และเข้าใจได้ลึกซึ้งว่า ทำไมเราจึงนิยามกฎของหอพักนี้ได้ว่า”หามีความอิสระไม่”
“ ดอย ส ยินดีต้อนรับ “
3 สิงหาคม 2549
20.17 น. แถบหลังโรงเรียน S
ม่านดำนามรัตติกาลบัดนี้ได้ปกคลุมท้องฟ้าอย่างสมบูรณ์ พร้อมกับจันทร์นวลผ่องที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมู่เมฆทั้งหลาย ราวกับต้องการจะปกปิดแสงแห่งความหวังอันน้อยนิดที่มีอยู่ในค่ำคืนยามราตรีนี้ให้หมดไป
แถบหลังโรงเรียน S นั้นเรียงรายไปด้วยตึกสูงตระหง่านไม่ว่าจะเป็น คอนโดมิเนียม ร้านค้า บริษัทต่างๆ ห้องแถว หมู่บ้านจัดสรร และหอพักของโรงเรียน S เอง ยกตัวอย่างเช่น หอพัก u ซึ่งถือได้ว่าเป็นหอหญิงล้วนที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุด เพราะนอกจากเหตุผลที่ว่าเป็นหอพักที่อยู่ใกล้จากโรงเรียนมากที่สุดแล้ว เจ้าของหอก็ยังกินใจผู้ปกครองของนักเรียนโรงเรียน Sไปมากกว่าครึ่ง เนื่องจากว่าเธอเป็นหญิงชราที่แสนจะเฮี้ยบแสนเฮี้ยบ ซึ่งพวกเด็กหอก็ได้ตั้งฉายาเปลี่ยนชื่อแกจาก”เจ๊หมวย” เป็น “เจ๊หวย” ซึ่งทุกคนรู้และเข้าใจได้ลึกซึ้งว่า ทำไมเราจึงนิยามกฎของหอพักนี้ได้ว่า”หามีความอิสระไม่”
แต่ในแถบนี้ก็ยังมีหอพักที่คงจะเรียกได้ว่ามีอิสระมากที่สุดอยู่เหมือนกัน ชื่อว่า หอ ท ซึ่งเจ้าของหอก็เป็นชายชราคนหนึ่งเช่นกัน แต่แปลกไปจากเจ๊หวยเนื่องด้วยว่า เขาตาบอด เพราะฉะนั้น ใครจะเข้าจะออก ใครจะไปจะมา ใครจะทำอะไร ก็ตาม ลุงแกก็จะไม่รับรู้ยินดียินร้ายด้วยทั้งสิ้น ซึ่งพวกเด็กหอก็ไม่เข้าใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมลุงแกถึงได้ยังเป็นเจ้าของหออยู่ แต่ในทางกลับกันก็ไม่จำเป็นจะต้องไปคิดอะไร ได้อยู่อย่างอิสระแบบนี้ก็คงดีแล้วไม่ใช่หรือ
เลยเขตโรงเรียนไปก็เป็นดอยสูงตระหง่านที่อยู่คู่เชียงใหม่นามว่า “ดอย ส” บนยอดดอยมีวัดนามว่า “ วัดพระธาตุดอย ส “ซึ่งในยามรัตติกาลเฉกเช่นค่ำคืนนี้นั้น คงจะเป็นสถานที่อันดับสุดท้ายที่คุณอยากไปเลยกระมัง ยกเว้นว่าคุณต้องการทดสอบความกล้าของคุณเมื่อไรละก็ คงจะกล่าวได้ว่า
“ ดอย ส ยินดีต้อนรับ “
ถัดไปจากโรงเรียนโรงเรียน S ไปอีกซักประมาณ 2 กิโลเมตรนั้นมีหมู่บ้านจัดสรรอยู่ภายในพื้นที่เล็กๆ ขนาด 2-3 ไร่ มีบ้านที่เช่าอยู่ในบริเวณนั้นเพียงไม่กี่หลัง เห็นป้ายประกาศขายอยู่ร่ำไป เมื่อเทียบกับหอพักที่มีคนจองเข้าจนเต็มแล้วนั้น ช่างเป็นภาพที่ต่างกันเสียจริงๆ และเหตุผลของมันก็คงเป็นเพราะว่าตั้งอยู่ใกล้ดอย ส จนผู้คนขยาดไม่กล้าที่จะมาตั้งหลักปักฐานอยู่ที่สถานที่แห่งกระมัง
บ้านชั้นเดียวหลังหนึ่งภายในหมู่บ้านจัดสรรนั้นตั้งอยู่ค่อนข้างโดดเดี่ยว ถนนลูกรังคดเคี้ยวเป็นเส้นทางเดียวที่จะเข้าสู่บ้านหลังนั้น ตัวบ้านก็เหมือนกับบ้านจัดสรรธรรมดาๆ ที่เราพบเห็นได้ทั่วไป หน้าบ้านหันเข้าหาถนน ข้างๆบ้านมีที่ว่างพอที่จะจอดรถได้คันหนึ่ง สีบ้านเป็นสีขาวเรียบ สนามหน้าบ้านมีหญ้าขึ้นอยู่ประปราย
แสงไฟจากบ้านหลังนั้นสาดส่องลงมายังพื้นที่ว่างเปล่าบริเวณนั้น ภายในบ้านมีคนอยู่เพียงคนเดียวนั่นคือ เด็กหญิงชั้นมัธยมศึกษาปีที่สองโรงเรียนหมายเลข 0 หน้าตาจัดว่าใช้ได้ชื่อว่า วิจิตรกานต์พัฒนา หรือเราเรียกสั้นๆว่า แป้ง นอนเปลือยร่างเหยียดอยู่บนเตียง เธอกำลังทำการบ้านวิชาคณิตที่เมื่อวันศุกร์ ครูซาลาเปาได้สั่งเอาไว้เป็นภูเขาเลากา ซึ่งบางที วิจิตรกานต์พัฒนาก็ไม่ทำไปทำให้เกรดปีที่แล้วของเธอไม่ค่อยจะดีนัก
‘วัฏจักรชีวิตของเรามันมีแค่นี้หรือไงนะ วันหยุดอันแสนสบายผ่านไป วันต่อมาก็ต้องส่งงาน อากาศหนาวๆอย่างนี้สู้ออกไปหาความอบอุ่นจากนายพีทยังจะดีกว่านี้อีก’
พีท หรือชื่อเต็มว่า “สาธิต เกษตร” นั้น เป็นแฟนคนล่าสุดของวิจิตรกานต์พัฒนานั่นเอง ซึ่งกล่าวได้ว่าไม่ตรงกับสเป็คแป้งเลย เพราะปกติแป้งเป็นคนชอบคนผอม สูง ผิวดำ แต่นายสาธิต เกษตรนั้นทั้งตุ้ยนุ้ย อ้วนเตี้ย ผิวขาว วิจิตรกานต์พัฒนามักจะไปหานายพีทหลังเลิกเรียน สุดท้ายพวกเขามักจะจบที่เตียงเสมอ แต่พ่อ และแม่ของทั้งสองฝ่ายนั้นยังไม่รู้หรอกว่าลูกของตนมีพฤติกรรมที่แหลกเหลวขนาดไหน
วิจิตรกานต์พัฒนามักจะคิดอยู่เสมอว่า อะไรๆในโลกนี้มันก็เปลี่ยนไปแล้วทั้งนั้น การมีเพศสัมพันธ์ในวัยของเราไม่เห็นจะมีอะไรเลย พวกผู้ใหญ่น่ะหัวโบราณ คิดมากไปเอง ผู้หญิงสมัยนี้ไม่ต้องรักนวลสงวนตัวก็ได้ (ช่างเป็นความคิดที่ประเสริฐจริงๆ เหอ เหอ)
วิจิตรกานต์พัฒนาคิดอะไรไปต่างๆนานาแล้วก็หันมาให้ความสนใจกับการบ้านของตน แต่ทำไปได้ไม่นานเธอก็เริ่มหมดความอดทน วางปากกาแล้วหยิบผ้าเช็ตตัวมาพันรอบตัวเพื่อป้องกันความหนาวเหน็บ ใครเห็นเธอก็คงจะแปลกใจอยู่หรอกว่าอากาศหนาวขนาดนี้ยังมานอนเปลือยกายอยู่อีก แต่เหตุผลของเธอก็คือ
“ฉันไม่ชอบใส่เสื้อ”
หนาวจะตายชัก ใครจะไปมีอารมณ์ทำการบ้านละเนี่ย พ่อแม่ก็ยังไม่กลับเสียที
พ่อแม่ของเธอนั้นกำลังไปดูงานที่ต่างจังหวัด กำลังจะกลับมาวันนี้ พวกเขาไปตั้งแต่ 3-4 วันก่อน วิจิตรกานต์พัฒนาไม่เคยคิดถึงพ่อกับแม่ของเธอขนาดนี้มาก่อน เวลา 1 นาทีในโลกความเป็นจริงคงจะเท่ากับเวลา 1 ชั่วโมงสำหรับเธอ และระยะเวลาเหล่านี้คงจะเป็นเวลาแห่งความทุกข์ทนของเธอเป็นอย่างมากในเวลานี้
บรรยากาศเริ่มเงียบสงัดจนถ้ามีเข็มตกกระทบลงบนพื้นนั้น วิจิตรกานต์พัฒนาคงจะได้ยินเป็นแน่แท้ ทั้งๆที่อากาศหนาวเหน็บและไม่มีฝนตกมานานแล้ว แต่วิจิตรกานต์พัฒนากลับรู้สึกเหมือนกับมีละอองน้ำอยู่ในอากาศอย่างประหลาด บางทีเธอก็รู้สึกคันเนื้อคันตัว อึดอัดไปหมด เธอคิดว่ามันคงจะเป็นอุปาทาน แต่เมื่อมองดูที่พื้นกลับพบว่ามีจุดดำๆจุดหนึ่งอยู่บนพื้น เธอก้มลงไปดูใกล้แล้วจึงรู้ว่ามันคือสิ่งมีชีวิตสีดำ ตัวหยุ่นๆ หรือที่เรียกว่ากันว่า”ปลิง” นั่นเอง
วิจิตรกานต์พัฒนาตกใจมากขนาดที่ว่าเต้นเร่า หกรีดร้องเลยที่เดียว .คนมันเกลียดนี่นะ ตัวหยุ่นๆน่าขยะแขยงที่สุด . วิจิตรกานต์พัฒนาใช้ไม้ตีแมลงวันเขี่ยปลิงออกไปด้วยท่าทางขยะแขยงเป็นที่สุด บัดนี้เธอรู้สึกปวดปัสสาวะพร้อมกับความกระหายแห้งผากราวกับผนังลำคอจะแตกเป็นผุยผง
วิจิตรกานต์พัฒนาจงใจเดินเสียงดังขณะไปเปิดสวิตซ์ไฟที่อยู่หน้าห้องน้ำ เธอเข้าไปในห้องอย่างหวาดระแวง ก่อนค่อยๆ เดินเข้าไปภายในห้องน้ำ หลังจากปลดทุกข์แล้ว วิจิตรกานต์พัฒนานั่งทำใจอยู่ภายในห้องน้ำพักใหญ่ ราวกับจะปลอบใจว่าความอึดอัดนี้มันเป็นแค่เพียงอุปาทาน แล้วเธอสวมกางเกงอย่างรวดเร็ว และเดินออกมาจากห้องน้ำ แต่ทันใดนั้น
เพล้ง!!~
เสียงเหมือนแก้วแตกดังสนั่นออกมาจากห้องครัว วิจิตรกานต์พัฒนาสะดุ้งสุดตัวพร้อมกับส่งเสียงคราง เธอทำใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะลงไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องครัว
แก้ว 2 ใบที่เธอวางไว้บนเคาน์เตอร์หล่นลงมาบนพื้นแตกกระจุยกระจาย เธอย่อตัวลงไปเก็บเศษแก้วขึ้นมาทีละชิ้นๆ มือวิจิตรกานต์พัฒนาสั่น เบื้องหลังเธอมีกลิ่นอายของอะไรบางอย่าง .สิ่งที่ไม่อาจจะเรียกได้ว่า มนุษย์ ตอนนี้มือของเธอชะงักค้าง สติสัมปชัญญะเริ่มแปรปรวน เหมือนกับว่ากลิ่นอายของมันได้แทรกซึมเข้ามาในทุกโมเลกุลของร่างกาย เธอเหลือบไปมองนาฬิกาบนชั้นก็เห็นว่าเป็นเวลาสองทุ่มครึ่งแล้ว
‘ได้โปรดเถอะ ..อย่า’
วิจิตรกานต์พัฒนาพยายามให้สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นแค่ความฝัน หรือไม่ก็เป็นอุปาทานก็ยังดี แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันชัดเจนยิ่งกว่าที่จะเป็นทั้งสอง ราวกับว่ามันกำลังยืดตัวเน่าเหม็นของมันเข้ามาจนหายใจรดต้นคอเธอแล้ว
‘ถ้ามันเป็นสิ่งนั้นล่ะ เราจะทำยังไง’
‘สิ่งนั้น ..สิ่งนั้น .สิ่งนั้น .สิ่งนั้น ..สิ่งนั้น ’
วิจิตรกานต์พัฒนาไม่อยากคิดให้มันไกลไปมากกว่านี้อีกแล้ว ถ้าวันนั้นนายพีทไม่เอามันมาดูที่โรงเรียนล่ะก็ เราก็คงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพอย่างนี้หรอก แถมส่วนนั้นมันก็โดนฉีกไปแล้ว จะทำยังไงดี ..จะทำยังไงดี เรายังไม่อยากตายนะ ไม่เอา ไม่เอา.. เรื่องนั้นมันเป็นไปไม่ได้น่า
เป็นไปไม่ได้!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
วิจิตรกานต์พัฒนาไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างหลังเธอ แต่เธอไม่สามารถรวบรวมความกล้าให้มากพอที่จะชนะความกลัว
‘ขออย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย ได้โปรด’
วิจิตรกานต์พัฒนาอยากจะกลับหันไปดูเหลือเกิน จะได้หลุดจากสภาพนี้เสียที แต่เธอก็ไม่สามารถจะสกัดกั้นความกลัวที่ค่อยแทะเล็มจิตใจเธอทีละนิด ทีละนิดได้ ตอนนี้ทั้งที่อากาศหนาวเหน็บ แต่วิจิตรกานต์พัฒนาก็ไม่สามารถหยุดเหงื่อที่ไหลทะลักออกมาจากร่างกายเธอในขณะนี้ได้ เธอไม่สามารถห้ามมันได้จริงๆ
เปรี๊ยะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เพล้ง!!!!~
แก้วใบที่สามหล่นลงมาจากเคาน์เตอร์ วิจิตรกานต์พัฒนาสะดุ้งเฮือก ก่อนที่เธอจะหันไปข้างหลังโดยไม่รู้ตัว
“อา อา อะ อะ ..อะ .จะ ”
3 สิงหาคม 2549
20.17 น. แถบหลังโรงเรียน S
ม่านดำนามรัตติกาลบัดนี้ได้ปกคลุมท้องฟ้าอย่างสมบูรณ์ พร้อมกับจันทร์นวลผ่องที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมู่เมฆทั้งหลาย ราวกับต้องการจะปกปิดแสงแห่งความหวังอันน้อยนิดที่มีอยู่ในค่ำคืนยามราตรีนี้ให้หมดไป
แถบหลังโรงเรียน S นั้นเรียงรายไปด้วยตึกสูงตระหง่านไม่ว่าจะเป็น คอนโดมิเนียม ร้านค้า บริษัทต่างๆ ห้องแถว หมู่บ้านจัดสรร และหอพักของโรงเรียน S เอง ยกตัวอย่างเช่น หอพัก u ซึ่งถือได้ว่าเป็นหอหญิงล้วนที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุด เพราะนอกจากเหตุผลที่ว่าเป็นหอพักที่อยู่ใกล้จากโรงเรียนมากที่สุดแล้ว เจ้าของหอก็ยังกินใจผู้ปกครองของนักเรียนโรงเรียน Sไปมากกว่าครึ่ง เนื่องจากว่าเธอเป็นหญิงชราที่แสนจะเฮี้ยบแสนเฮี้ยบ ซึ่งพวกเด็กหอก็ได้ตั้งฉายาเปลี่ยนชื่อแกจาก”เจ๊หมวย” เป็น “เจ๊หวย” ซึ่งทุกคนรู้และเข้าใจได้ลึกซึ้งว่า ทำไมเราจึงนิยามกฎของหอพักนี้ได้ว่า”หามีความอิสระไม่”
แต่ในแถบนี้ก็ยังมีหอพักที่คงจะเรียกได้ว่ามีอิสระมากที่สุดอยู่เหมือนกัน ชื่อว่า หอ ท ซึ่งเจ้าของหอก็เป็นชายชราคนหนึ่งเช่นกัน แต่แปลกไปจากเจ๊หวยเนื่องด้วยว่า เขาตาบอด เพราะฉะนั้น ใครจะเข้าจะออก ใครจะไปจะมา ใครจะทำอะไร ก็ตาม ลุงแกก็จะไม่รับรู้ยินดียินร้ายด้วยทั้งสิ้น ซึ่งพวกเด็กหอก็ไม่เข้าใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมลุงแกถึงได้ยังเป็นเจ้าของหออยู่ แต่ในทางกลับกันก็ไม่จำเป็นจะต้องไปคิดอะไร ได้อยู่อย่างอิสระแบบนี้ก็คงดีแล้วไม่ใช่หรือ
เลยเขตโรงเรียนไปก็เป็นดอยสูงตระหง่านที่อยู่คู่เชียงใหม่นามว่า “ดอย ส” บนยอดดอยมีวัดนามว่า “ วัดพระธาตุดอย ส “ซึ่งในยามรัตติกาลเฉกเช่นค่ำคืนนี้นั้น คงจะเป็นสถานที่อันดับสุดท้ายที่คุณอยากไปเลยกระมัง ยกเว้นว่าคุณต้องการทดสอบความกล้าของคุณเมื่อไรละก็ คงจะกล่าวได้ว่า
“ ดอย ส ยินดีต้อนรับ “
ถัดไปจากโรงเรียนโรงเรียน S ไปอีกซักประมาณ 2 กิโลเมตรนั้นมีหมู่บ้านจัดสรรอยู่ภายในพื้นที่เล็กๆ ขนาด 2-3 ไร่ มีบ้านที่เช่าอยู่ในบริเวณนั้นเพียงไม่กี่หลัง เห็นป้ายประกาศขายอยู่ร่ำไป เมื่อเทียบกับหอพักที่มีคนจองเข้าจนเต็มแล้วนั้น ช่างเป็นภาพที่ต่างกันเสียจริงๆ และเหตุผลของมันก็คงเป็นเพราะว่าตั้งอยู่ใกล้ดอย ส จนผู้คนขยาดไม่กล้าที่จะมาตั้งหลักปักฐานอยู่ที่สถานที่แห่งกระมัง
บ้านชั้นเดียวหลังหนึ่งภายในหมู่บ้านจัดสรรนั้นตั้งอยู่ค่อนข้างโดดเดี่ยว ถนนลูกรังคดเคี้ยวเป็นเส้นทางเดียวที่จะเข้าสู่บ้านหลังนั้น ตัวบ้านก็เหมือนกับบ้านจัดสรรธรรมดาๆ ที่เราพบเห็นได้ทั่วไป หน้าบ้านหันเข้าหาถนน ข้างๆบ้านมีที่ว่างพอที่จะจอดรถได้คันหนึ่ง สีบ้านเป็นสีขาวเรียบ สนามหน้าบ้านมีหญ้าขึ้นอยู่ประปราย
แสงไฟจากบ้านหลังนั้นสาดส่องลงมายังพื้นที่ว่างเปล่าบริเวณนั้น ภายในบ้านมีคนอยู่เพียงคนเดียวนั่นคือ เด็กหญิงชั้นมัธยมศึกษาปีที่สองโรงเรียนหมายเลข 0 หน้าตาจัดว่าใช้ได้ชื่อว่า วิจิตรกานต์พัฒนา หรือเราเรียกสั้นๆว่า แป้ง นอนเปลือยร่างเหยียดอยู่บนเตียง เธอกำลังทำการบ้านวิชาคณิตที่เมื่อวันศุกร์ ครูซาลาเปาได้สั่งเอาไว้เป็นภูเขาเลากา ซึ่งบางที วิจิตรกานต์พัฒนาก็ไม่ทำไปทำให้เกรดปีที่แล้วของเธอไม่ค่อยจะดีนัก
‘วัฏจักรชีวิตของเรามันมีแค่นี้หรือไงนะ วันหยุดอันแสนสบายผ่านไป วันต่อมาก็ต้องส่งงาน อากาศหนาวๆอย่างนี้สู้ออกไปหาความอบอุ่นจากนายพีทยังจะดีกว่านี้อีก’
พีท หรือชื่อเต็มว่า “สาธิต เกษตร” นั้น เป็นแฟนคนล่าสุดของวิจิตรกานต์พัฒนานั่นเอง ซึ่งกล่าวได้ว่าไม่ตรงกับสเป็คแป้งเลย เพราะปกติแป้งเป็นคนชอบคนผอม สูง ผิวดำ แต่นายสาธิต เกษตรนั้นทั้งตุ้ยนุ้ย อ้วนเตี้ย ผิวขาว วิจิตรกานต์พัฒนามักจะไปหานายพีทหลังเลิกเรียน สุดท้ายพวกเขามักจะจบที่เตียงเสมอ แต่พ่อ และแม่ของทั้งสองฝ่ายนั้นยังไม่รู้หรอกว่าลูกของตนมีพฤติกรรมที่แหลกเหลวขนาดไหน
วิจิตรกานต์พัฒนามักจะคิดอยู่เสมอว่า อะไรๆในโลกนี้มันก็เปลี่ยนไปแล้วทั้งนั้น การมีเพศสัมพันธ์ในวัยของเราไม่เห็นจะมีอะไรเลย พวกผู้ใหญ่น่ะหัวโบราณ คิดมากไปเอง ผู้หญิงสมัยนี้ไม่ต้องรักนวลสงวนตัวก็ได้ (ช่างเป็นความคิดที่ประเสริฐจริงๆ เหอ เหอ)
วิจิตรกานต์พัฒนาคิดอะไรไปต่างๆนานาแล้วก็หันมาให้ความสนใจกับการบ้านของตน แต่ทำไปได้ไม่นานเธอก็เริ่มหมดความอดทน วางปากกาแล้วหยิบผ้าเช็ตตัวมาพันรอบตัวเพื่อป้องกันความหนาวเหน็บ ใครเห็นเธอก็คงจะแปลกใจอยู่หรอกว่าอากาศหนาวขนาดนี้ยังมานอนเปลือยกายอยู่อีก แต่เหตุผลของเธอก็คือ
“ฉันไม่ชอบใส่เสื้อ”
หนาวจะตายชัก ใครจะไปมีอารมณ์ทำการบ้านละเนี่ย พ่อแม่ก็ยังไม่กลับเสียที
พ่อแม่ของเธอนั้นกำลังไปดูงานที่ต่างจังหวัด กำลังจะกลับมาวันนี้ พวกเขาไปตั้งแต่ 3-4 วันก่อน วิจิตรกานต์พัฒนาไม่เคยคิดถึงพ่อกับแม่ของเธอขนาดนี้มาก่อน เวลา 1 นาทีในโลกความเป็นจริงคงจะเท่ากับเวลา 1 ชั่วโมงสำหรับเธอ และระยะเวลาเหล่านี้คงจะเป็นเวลาแห่งความทุกข์ทนของเธอเป็นอย่างมากในเวลานี้
บรรยากาศเริ่มเงียบสงัดจนถ้ามีเข็มตกกระทบลงบนพื้นนั้น วิจิตรกานต์พัฒนาคงจะได้ยินเป็นแน่แท้ ทั้งๆที่อากาศหนาวเหน็บและไม่มีฝนตกมานานแล้ว แต่วิจิตรกานต์พัฒนากลับรู้สึกเหมือนกับมีละอองน้ำอยู่ในอากาศอย่างประหลาด บางทีเธอก็รู้สึกคันเนื้อคันตัว อึดอัดไปหมด เธอคิดว่ามันคงจะเป็นอุปาทาน แต่เมื่อมองดูที่พื้นกลับพบว่ามีจุดดำๆจุดหนึ่งอยู่บนพื้น เธอก้มลงไปดูใกล้แล้วจึงรู้ว่ามันคือสิ่งมีชีวิตสีดำ ตัวหยุ่นๆ หรือที่เรียกว่ากันว่า”ปลิง” นั่นเอง
วิจิตรกานต์พัฒนาตกใจมากขนาดที่ว่าเต้นเร่า หกรีดร้องเลยที่เดียว .คนมันเกลียดนี่นะ ตัวหยุ่นๆน่าขยะแขยงที่สุด . วิจิตรกานต์พัฒนาใช้ไม้ตีแมลงวันเขี่ยปลิงออกไปด้วยท่าทางขยะแขยงเป็นที่สุด บัดนี้เธอรู้สึกปวดปัสสาวะพร้อมกับความกระหายแห้งผากราวกับผนังลำคอจะแตกเป็นผุยผง
วิจิตรกานต์พัฒนาจงใจเดินเสียงดังขณะไปเปิดสวิตซ์ไฟที่อยู่หน้าห้องน้ำ เธอเข้าไปในห้องอย่างหวาดระแวง ก่อนค่อยๆ เดินเข้าไปภายในห้องน้ำ หลังจากปลดทุกข์แล้ว วิจิตรกานต์พัฒนานั่งทำใจอยู่ภายในห้องน้ำพักใหญ่ ราวกับจะปลอบใจว่าความอึดอัดนี้มันเป็นแค่เพียงอุปาทาน แล้วเธอสวมกางเกงอย่างรวดเร็ว และเดินออกมาจากห้องน้ำ แต่ทันใดนั้น
เพล้ง!!~
เสียงเหมือนแก้วแตกดังสนั่นออกมาจากห้องครัว วิจิตรกานต์พัฒนาสะดุ้งสุดตัวพร้อมกับส่งเสียงคราง เธอทำใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะลงไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องครัว
แก้ว 2 ใบที่เธอวางไว้บนเคาน์เตอร์หล่นลงมาบนพื้นแตกกระจุยกระจาย เธอย่อตัวลงไปเก็บเศษแก้วขึ้นมาทีละชิ้นๆ มือวิจิตรกานต์พัฒนาสั่น เบื้องหลังเธอมีกลิ่นอายของอะไรบางอย่าง .สิ่งที่ไม่อาจจะเรียกได้ว่า มนุษย์ ตอนนี้มือของเธอชะงักค้าง สติสัมปชัญญะเริ่มแปรปรวน เหมือนกับว่ากลิ่นอายของมันได้แทรกซึมเข้ามาในทุกโมเลกุลของร่างกาย เธอเหลือบไปมองนาฬิกาบนชั้นก็เห็นว่าเป็นเวลาสองทุ่มครึ่งแล้ว
‘ได้โปรดเถอะ ..อย่า’
วิจิตรกานต์พัฒนาพยายามให้สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นแค่ความฝัน หรือไม่ก็เป็นอุปาทานก็ยังดี แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันชัดเจนยิ่งกว่าที่จะเป็นทั้งสอง ราวกับว่ามันกำลังยืดตัวเน่าเหม็นของมันเข้ามาจนหายใจรดต้นคอเธอแล้ว
‘ถ้ามันเป็นสิ่งนั้นล่ะ เราจะทำยังไง’
‘สิ่งนั้น ..สิ่งนั้น .สิ่งนั้น .สิ่งนั้น ..สิ่งนั้น ’
วิจิตรกานต์พัฒนาไม่อยากคิดให้มันไกลไปมากกว่านี้อีกแล้ว ถ้าวันนั้นนายพีทไม่เอามันมาดูที่โรงเรียนล่ะก็ เราก็คงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพอย่างนี้หรอก แถมส่วนนั้นมันก็โดนฉีกไปแล้ว จะทำยังไงดี ..จะทำยังไงดี เรายังไม่อยากตายนะ ไม่เอา ไม่เอา.. เรื่องนั้นมันเป็นไปไม่ได้น่า
เป็นไปไม่ได้!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
วิจิตรกานต์พัฒนาไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างหลังเธอ แต่เธอไม่สามารถรวบรวมความกล้าให้มากพอที่จะชนะความกลัว
‘ขออย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย ได้โปรด’
วิจิตรกานต์พัฒนาอยากจะกลับหันไปดูเหลือเกิน จะได้หลุดจากสภาพนี้เสียที แต่เธอก็ไม่สามารถจะสกัดกั้นความกลัวที่ค่อยแทะเล็มจิตใจเธอทีละนิด ทีละนิดได้ ตอนนี้ทั้งที่อากาศหนาวเหน็บ แต่วิจิตรกานต์พัฒนาก็ไม่สามารถหยุดเหงื่อที่ไหลทะลักออกมาจากร่างกายเธอในขณะนี้ได้ เธอไม่สามารถห้ามมันได้จริงๆ
เปรี๊ยะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เพล้ง!!!!~
แก้วใบที่สามหล่นลงมาจากเคาน์เตอร์ วิจิตรกานต์พัฒนาสะดุ้งเฮือก ก่อนที่เธอจะหันไปข้างหลังโดยไม่รู้ตัว
“อา อา อะ อะ ..อะ .จะ ”
ความคิดเห็น