ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ชัลลุกา:คำสาปมรณะ

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ

    • อัปเดตล่าสุด 10 ส.ค. 49


    3 สิงหาคม 2549

    20.17 . แถบหลังโรงเรียน S

                ม่านดำนามรัตติกาลบัดนี้ได้ปกคลุมท้องฟ้าอย่างสมบูรณ์ พร้อมกับจันทร์นวลผ่องที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมู่เมฆทั้งหลาย ราวกับต้องการจะปกปิดแสงแห่งความหวังอันน้อยนิดที่มีอยู่ในค่ำคืนยามราตรีนี้ให้หมดไป

    3 สิงหาคม 2549

    20.17 . แถบหลังโรงเรียน S

                ม่านดำนามรัตติกาลบัดนี้ได้ปกคลุมท้องฟ้าอย่างสมบูรณ์ พร้อมกับจันทร์นวลผ่องที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมู่เมฆทั้งหลาย ราวกับต้องการจะปกปิดแสงแห่งความหวังอันน้อยนิดที่มีอยู่ในค่ำคืนยามราตรีนี้ให้หมดไป

                แถบหลังโรงเรียน S นั้นเรียงรายไปด้วยตึกสูงตระหง่านไม่ว่าจะเป็น คอนโดมิเนียม ร้านค้า บริษัทต่างๆ ห้องแถว หมู่บ้านจัดสรร และหอพักของโรงเรียน S เอง ยกตัวอย่างเช่น หอพัก u ซึ่งถือได้ว่าเป็นหอหญิงล้วนที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุด เพราะนอกจากเหตุผลที่ว่าเป็นหอพักที่อยู่ใกล้จากโรงเรียนมากที่สุดแล้ว เจ้าของหอก็ยังกินใจผู้ปกครองของนักเรียนโรงเรียน Sไปมากกว่าครึ่ง เนื่องจากว่าเธอเป็นหญิงชราที่แสนจะเฮี้ยบแสนเฮี้ยบ ซึ่งพวกเด็กหอก็ได้ตั้งฉายาเปลี่ยนชื่อแกจากเจ๊หมวยเป็น เจ๊หวยซึ่งทุกคนรู้และเข้าใจได้ลึกซึ้งว่า ทำไมเราจึงนิยามกฎของหอพักนี้ได้ว่า”หามีความอิสระไม่”

                แต่ในแถบนี้ก็ยังมีหอพักที่คงจะเรียกได้ว่ามีอิสระมากที่สุดอยู่เหมือนกัน ชื่อว่า หอ ท ซึ่งเจ้าของหอก็เป็นชายชราคนหนึ่งเช่นกัน แต่แปลกไปจากเจ๊หวยเนื่องด้วยว่า เขาตาบอด เพราะฉะนั้น ใครจะเข้าจะออก ใครจะไปจะมา ใครจะทำอะไร ก็ตาม ลุงแกก็จะไม่รับรู้ยินดียินร้ายด้วยทั้งสิ้น ซึ่งพวกเด็กหอก็ไม่เข้าใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมลุงแกถึงได้ยังเป็นเจ้าของหออยู่ แต่ในทางกลับกันก็ไม่จำเป็นจะต้องไปคิดอะไร ได้อยู่อย่างอิสระแบบนี้ก็คงดีแล้วไม่ใช่หรือ

                เลยเขตโรงเรียนไปก็เป็นดอยสูงตระหง่านที่อยู่คู่เชียงใหม่นามว่า ดอย สบนยอดดอยมีวัดนามว่า วัดพระธาตุดอย ส ซึ่งในยามรัตติกาลเฉกเช่นค่ำคืนนี้นั้น คงจะเป็นสถานที่อันดับสุดท้ายที่คุณอยากไปเลยกระมัง ยกเว้นว่าคุณต้องการทดสอบความกล้าของคุณเมื่อไรละก็ คงจะกล่าวได้ว่า

              ดอย ส ยินดีต้อนรับ

                ถัดไปจากโรงเรียนโรงเรียน S ไปอีกซักประมาณ 2 กิโลเมตรนั้นมีหมู่บ้านจัดสรรอยู่ภายในพื้นที่เล็กๆ ขนาด 2-3 ไร่ มีบ้านที่เช่าอยู่ในบริเวณนั้นเพียงไม่กี่หลัง เห็นป้ายประกาศขายอยู่ร่ำไป เมื่อเทียบกับหอพักที่มีคนจองเข้าจนเต็มแล้วนั้น ช่างเป็นภาพที่ต่างกันเสียจริงๆ และเหตุผลของมันก็คงเป็นเพราะว่าตั้งอยู่ใกล้ดอย ส จนผู้คนขยาดไม่กล้าที่จะมาตั้งหลักปักฐานอยู่ที่สถานที่แห่งกระมัง

                บ้านชั้นเดียวหลังหนึ่งภายในหมู่บ้านจัดสรรนั้นตั้งอยู่ค่อนข้างโดดเดี่ยว ถนนลูกรังคดเคี้ยวเป็นเส้นทางเดียวที่จะเข้าสู่บ้านหลังนั้น ตัวบ้านก็เหมือนกับบ้านจัดสรรธรรมดาๆ ที่เราพบเห็นได้ทั่วไป หน้าบ้านหันเข้าหาถนน ข้างๆบ้านมีที่ว่างพอที่จะจอดรถได้คันหนึ่ง สีบ้านเป็นสีขาวเรียบ สนามหน้าบ้านมีหญ้าขึ้นอยู่ประปราย

                แสงไฟจากบ้านหลังนั้นสาดส่องลงมายังพื้นที่ว่างเปล่าบริเวณนั้น ภายในบ้านมีคนอยู่เพียงคนเดียวนั่นคือ เด็กหญิงชั้นมัธยมศึกษาปีที่สองโรงเรียนหมายเลข 0 หน้าตาจัดว่าใช้ได้ชื่อว่า วิจิตรกานต์พัฒนา หรือเราเรียกสั้นๆว่า แป้ง นอนเปลือยร่างเหยียดอยู่บนเตียง เธอกำลังทำการบ้านวิชาคณิตที่เมื่อวันศุกร์ ครูซาลาเปาได้สั่งเอาไว้เป็นภูเขาเลากา ซึ่งบางที วิจิตรกานต์พัฒนาก็ไม่ทำไปทำให้เกรดปีที่แล้วของเธอไม่ค่อยจะดีนัก

                วัฏจักรชีวิตของเรามันมีแค่นี้หรือไงนะ วันหยุดอันแสนสบายผ่านไป วันต่อมาก็ต้องส่งงาน อากาศหนาวๆอย่างนี้สู้ออกไปหาความอบอุ่นจากนายพีทยังจะดีกว่านี้อีก

                พีท หรือชื่อเต็มว่าสาธิต เกษตรนั้น เป็นแฟนคนล่าสุดของวิจิตรกานต์พัฒนานั่นเอง ซึ่งกล่าวได้ว่าไม่ตรงกับสเป็คแป้งเลย เพราะปกติแป้งเป็นคนชอบคนผอม สูง ผิวดำ แต่นายสาธิต เกษตรนั้นทั้งตุ้ยนุ้ย อ้วนเตี้ย ผิวขาว วิจิตรกานต์พัฒนามักจะไปหานายพีทหลังเลิกเรียน สุดท้ายพวกเขามักจะจบที่เตียงเสมอ แต่พ่อ และแม่ของทั้งสองฝ่ายนั้นยังไม่รู้หรอกว่าลูกของตนมีพฤติกรรมที่แหลกเหลวขนาดไหน

                วิจิตรกานต์พัฒนามักจะคิดอยู่เสมอว่า อะไรๆในโลกนี้มันก็เปลี่ยนไปแล้วทั้งนั้น การมีเพศสัมพันธ์ในวัยของเราไม่เห็นจะมีอะไรเลย พวกผู้ใหญ่น่ะหัวโบราณ คิดมากไปเอง ผู้หญิงสมัยนี้ไม่ต้องรักนวลสงวนตัวก็ได้ (ช่างเป็นความคิดที่ประเสริฐจริงๆ เหอ เหอ)

                วิจิตรกานต์พัฒนาคิดอะไรไปต่างๆนานาแล้วก็หันมาให้ความสนใจกับการบ้านของตน แต่ทำไปได้ไม่นานเธอก็เริ่มหมดความอดทน วางปากกาแล้วหยิบผ้าเช็ตตัวมาพันรอบตัวเพื่อป้องกันความหนาวเหน็บ ใครเห็นเธอก็คงจะแปลกใจอยู่หรอกว่าอากาศหนาวขนาดนี้ยังมานอนเปลือยกายอยู่อีก แต่เหตุผลของเธอก็คือ

                ฉันไม่ชอบใส่เสื้อ

    ……หนาวจะตายชัก ใครจะไปมีอารมณ์ทำการบ้านละเนี่ย พ่อแม่ก็ยังไม่กลับเสียที……

    พ่อแม่ของเธอนั้นกำลังไปดูงานที่ต่างจังหวัด กำลังจะกลับมาวันนี้ พวกเขาไปตั้งแต่ 3-4 วันก่อน วิจิตรกานต์พัฒนาไม่เคยคิดถึงพ่อกับแม่ของเธอขนาดนี้มาก่อน เวลา 1 นาทีในโลกความเป็นจริงคงจะเท่ากับเวลา 1 ชั่วโมงสำหรับเธอ และระยะเวลาเหล่านี้คงจะเป็นเวลาแห่งความทุกข์ทนของเธอเป็นอย่างมากในเวลานี้

    บรรยากาศเริ่มเงียบสงัดจนถ้ามีเข็มตกกระทบลงบนพื้นนั้น วิจิตรกานต์พัฒนาคงจะได้ยินเป็นแน่แท้ ทั้งๆที่อากาศหนาวเหน็บและไม่มีฝนตกมานานแล้ว แต่วิจิตรกานต์พัฒนากลับรู้สึกเหมือนกับมีละอองน้ำอยู่ในอากาศอย่างประหลาด บางทีเธอก็รู้สึกคันเนื้อคันตัว อึดอัดไปหมด เธอคิดว่ามันคงจะเป็นอุปาทาน แต่เมื่อมองดูที่พื้นกลับพบว่ามีจุดดำๆจุดหนึ่งอยู่บนพื้น เธอก้มลงไปดูใกล้แล้วจึงรู้ว่ามันคือสิ่งมีชีวิตสีดำ ตัวหยุ่นๆ หรือที่เรียกว่ากันว่าปลิงนั่นเอง

     

    วิจิตรกานต์พัฒนาตกใจมากขนาดที่ว่าเต้นเร่า หกรีดร้องเลยที่เดียว ….คนมันเกลียดนี่นะ ตัวหยุ่นๆน่าขยะแขยงที่สุด…. วิจิตรกานต์พัฒนาใช้ไม้ตีแมลงวันเขี่ยปลิงออกไปด้วยท่าทางขยะแขยงเป็นที่สุด บัดนี้เธอรู้สึกปวดปัสสาวะพร้อมกับความกระหายแห้งผากราวกับผนังลำคอจะแตกเป็นผุยผง

                วิจิตรกานต์พัฒนาจงใจเดินเสียงดังขณะไปเปิดสวิตซ์ไฟที่อยู่หน้าห้องน้ำ เธอเข้าไปในห้องอย่างหวาดระแวง ก่อนค่อยๆ เดินเข้าไปภายในห้องน้ำ หลังจากปลดทุกข์แล้ว วิจิตรกานต์พัฒนานั่งทำใจอยู่ภายในห้องน้ำพักใหญ่ ราวกับจะปลอบใจว่าความอึดอัดนี้มันเป็นแค่เพียงอุปาทาน แล้วเธอสวมกางเกงอย่างรวดเร็ว และเดินออกมาจากห้องน้ำ แต่ทันใดนั้น

                เพล้ง!!~

                เสียงเหมือนแก้วแตกดังสนั่นออกมาจากห้องครัว วิจิตรกานต์พัฒนาสะดุ้งสุดตัวพร้อมกับส่งเสียงคราง เธอทำใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะลงไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องครัว

                แก้ว 2 ใบที่เธอวางไว้บนเคาน์เตอร์หล่นลงมาบนพื้นแตกกระจุยกระจาย เธอย่อตัวลงไปเก็บเศษแก้วขึ้นมาทีละชิ้นๆ มือวิจิตรกานต์พัฒนาสั่น เบื้องหลังเธอมีกลิ่นอายของอะไรบางอย่าง….สิ่งที่ไม่อาจจะเรียกได้ว่า มนุษย์ ตอนนี้มือของเธอชะงักค้าง สติสัมปชัญญะเริ่มแปรปรวน เหมือนกับว่ากลิ่นอายของมันได้แทรกซึมเข้ามาในทุกโมเลกุลของร่างกาย เธอเหลือบไปมองนาฬิกาบนชั้นก็เห็นว่าเป็นเวลาสองทุ่มครึ่งแล้ว

                ได้โปรดเถอะ…..อย่า

                วิจิตรกานต์พัฒนาพยายามให้สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นแค่ความฝัน หรือไม่ก็เป็นอุปาทานก็ยังดี แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันชัดเจนยิ่งกว่าที่จะเป็นทั้งสอง ราวกับว่ามันกำลังยืดตัวเน่าเหม็นของมันเข้ามาจนหายใจรดต้นคอเธอแล้ว

                ถ้ามันเป็นสิ่งนั้นล่ะ เราจะทำยังไง

                สิ่งนั้น…..สิ่งนั้น….สิ่งนั้น………………….สิ่งนั้น……………………………..สิ่งนั้น……’

                วิจิตรกานต์พัฒนาไม่อยากคิดให้มันไกลไปมากกว่านี้อีกแล้ว ถ้าวันนั้นนายพีทไม่เอามันมาดูที่โรงเรียนล่ะก็ เราก็คงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพอย่างนี้หรอก แถมส่วนนั้นมันก็โดนฉีกไปแล้ว จะทำยังไงดี………………..จะทำยังไงดี  เรายังไม่อยากตายนะ ไม่เอาไม่เอา.. เรื่องนั้นมันเป็นไปไม่ได้น่า

                เป็นไปไม่ได้!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

              วิจิตรกานต์พัฒนาไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างหลังเธอ แต่เธอไม่สามารถรวบรวมความกล้าให้มากพอที่จะชนะความกลัว

                ขออย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย ได้โปรด

                วิจิตรกานต์พัฒนาอยากจะกลับหันไปดูเหลือเกิน จะได้หลุดจากสภาพนี้เสียที แต่เธอก็ไม่สามารถจะสกัดกั้นความกลัวที่ค่อยแทะเล็มจิตใจเธอทีละนิด………ทีละนิดได้ ตอนนี้ทั้งที่อากาศหนาวเหน็บ แต่วิจิตรกานต์พัฒนาก็ไม่สามารถหยุดเหงื่อที่ไหลทะลักออกมาจากร่างกายเธอในขณะนี้ได้ เธอไม่สามารถห้ามมันได้จริงๆ

                เปรี๊ยะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เพล้ง!!!!~

                แก้วใบที่สามหล่นลงมาจากเคาน์เตอร์ วิจิตรกานต์พัฒนาสะดุ้งเฮือก ก่อนที่เธอจะหันไปข้างหลังโดยไม่รู้ตัว

                อา…………………อา……อะ อะ…..อะ…….จะ…………”

    3 สิงหาคม 2549

    20.17 . แถบหลังโรงเรียน S

                ม่านดำนามรัตติกาลบัดนี้ได้ปกคลุมท้องฟ้าอย่างสมบูรณ์ พร้อมกับจันทร์นวลผ่องที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมู่เมฆทั้งหลาย ราวกับต้องการจะปกปิดแสงแห่งความหวังอันน้อยนิดที่มีอยู่ในค่ำคืนยามราตรีนี้ให้หมดไป

                แถบหลังโรงเรียน S นั้นเรียงรายไปด้วยตึกสูงตระหง่านไม่ว่าจะเป็น คอนโดมิเนียม ร้านค้า บริษัทต่างๆ ห้องแถว หมู่บ้านจัดสรร และหอพักของโรงเรียน S เอง ยกตัวอย่างเช่น หอพัก u ซึ่งถือได้ว่าเป็นหอหญิงล้วนที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุด เพราะนอกจากเหตุผลที่ว่าเป็นหอพักที่อยู่ใกล้จากโรงเรียนมากที่สุดแล้ว เจ้าของหอก็ยังกินใจผู้ปกครองของนักเรียนโรงเรียน Sไปมากกว่าครึ่ง เนื่องจากว่าเธอเป็นหญิงชราที่แสนจะเฮี้ยบแสนเฮี้ยบ ซึ่งพวกเด็กหอก็ได้ตั้งฉายาเปลี่ยนชื่อแกจากเจ๊หมวยเป็น เจ๊หวยซึ่งทุกคนรู้และเข้าใจได้ลึกซึ้งว่า ทำไมเราจึงนิยามกฎของหอพักนี้ได้ว่า”หามีความอิสระไม่”

                แต่ในแถบนี้ก็ยังมีหอพักที่คงจะเรียกได้ว่ามีอิสระมากที่สุดอยู่เหมือนกัน ชื่อว่า หอ ท ซึ่งเจ้าของหอก็เป็นชายชราคนหนึ่งเช่นกัน แต่แปลกไปจากเจ๊หวยเนื่องด้วยว่า เขาตาบอด เพราะฉะนั้น ใครจะเข้าจะออก ใครจะไปจะมา ใครจะทำอะไร ก็ตาม ลุงแกก็จะไม่รับรู้ยินดียินร้ายด้วยทั้งสิ้น ซึ่งพวกเด็กหอก็ไม่เข้าใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมลุงแกถึงได้ยังเป็นเจ้าของหออยู่ แต่ในทางกลับกันก็ไม่จำเป็นจะต้องไปคิดอะไร ได้อยู่อย่างอิสระแบบนี้ก็คงดีแล้วไม่ใช่หรือ

                เลยเขตโรงเรียนไปก็เป็นดอยสูงตระหง่านที่อยู่คู่เชียงใหม่นามว่า ดอย สบนยอดดอยมีวัดนามว่า วัดพระธาตุดอย ส ซึ่งในยามรัตติกาลเฉกเช่นค่ำคืนนี้นั้น คงจะเป็นสถานที่อันดับสุดท้ายที่คุณอยากไปเลยกระมัง ยกเว้นว่าคุณต้องการทดสอบความกล้าของคุณเมื่อไรละก็ คงจะกล่าวได้ว่า

              ดอย ส ยินดีต้อนรับ

                ถัดไปจากโรงเรียนโรงเรียน S ไปอีกซักประมาณ 2 กิโลเมตรนั้นมีหมู่บ้านจัดสรรอยู่ภายในพื้นที่เล็กๆ ขนาด 2-3 ไร่ มีบ้านที่เช่าอยู่ในบริเวณนั้นเพียงไม่กี่หลัง เห็นป้ายประกาศขายอยู่ร่ำไป เมื่อเทียบกับหอพักที่มีคนจองเข้าจนเต็มแล้วนั้น ช่างเป็นภาพที่ต่างกันเสียจริงๆ และเหตุผลของมันก็คงเป็นเพราะว่าตั้งอยู่ใกล้ดอย ส จนผู้คนขยาดไม่กล้าที่จะมาตั้งหลักปักฐานอยู่ที่สถานที่แห่งกระมัง

                บ้านชั้นเดียวหลังหนึ่งภายในหมู่บ้านจัดสรรนั้นตั้งอยู่ค่อนข้างโดดเดี่ยว ถนนลูกรังคดเคี้ยวเป็นเส้นทางเดียวที่จะเข้าสู่บ้านหลังนั้น ตัวบ้านก็เหมือนกับบ้านจัดสรรธรรมดาๆ ที่เราพบเห็นได้ทั่วไป หน้าบ้านหันเข้าหาถนน ข้างๆบ้านมีที่ว่างพอที่จะจอดรถได้คันหนึ่ง สีบ้านเป็นสีขาวเรียบ สนามหน้าบ้านมีหญ้าขึ้นอยู่ประปราย

                แสงไฟจากบ้านหลังนั้นสาดส่องลงมายังพื้นที่ว่างเปล่าบริเวณนั้น ภายในบ้านมีคนอยู่เพียงคนเดียวนั่นคือ เด็กหญิงชั้นมัธยมศึกษาปีที่สองโรงเรียนหมายเลข 0 หน้าตาจัดว่าใช้ได้ชื่อว่า วิจิตรกานต์พัฒนา หรือเราเรียกสั้นๆว่า แป้ง นอนเปลือยร่างเหยียดอยู่บนเตียง เธอกำลังทำการบ้านวิชาคณิตที่เมื่อวันศุกร์ ครูซาลาเปาได้สั่งเอาไว้เป็นภูเขาเลากา ซึ่งบางที วิจิตรกานต์พัฒนาก็ไม่ทำไปทำให้เกรดปีที่แล้วของเธอไม่ค่อยจะดีนัก

                วัฏจักรชีวิตของเรามันมีแค่นี้หรือไงนะ วันหยุดอันแสนสบายผ่านไป วันต่อมาก็ต้องส่งงาน อากาศหนาวๆอย่างนี้สู้ออกไปหาความอบอุ่นจากนายพีทยังจะดีกว่านี้อีก

                พีท หรือชื่อเต็มว่าสาธิต เกษตรนั้น เป็นแฟนคนล่าสุดของวิจิตรกานต์พัฒนานั่นเอง ซึ่งกล่าวได้ว่าไม่ตรงกับสเป็คแป้งเลย เพราะปกติแป้งเป็นคนชอบคนผอม สูง ผิวดำ แต่นายสาธิต เกษตรนั้นทั้งตุ้ยนุ้ย อ้วนเตี้ย ผิวขาว วิจิตรกานต์พัฒนามักจะไปหานายพีทหลังเลิกเรียน สุดท้ายพวกเขามักจะจบที่เตียงเสมอ แต่พ่อ และแม่ของทั้งสองฝ่ายนั้นยังไม่รู้หรอกว่าลูกของตนมีพฤติกรรมที่แหลกเหลวขนาดไหน

                วิจิตรกานต์พัฒนามักจะคิดอยู่เสมอว่า อะไรๆในโลกนี้มันก็เปลี่ยนไปแล้วทั้งนั้น การมีเพศสัมพันธ์ในวัยของเราไม่เห็นจะมีอะไรเลย พวกผู้ใหญ่น่ะหัวโบราณ คิดมากไปเอง ผู้หญิงสมัยนี้ไม่ต้องรักนวลสงวนตัวก็ได้ (ช่างเป็นความคิดที่ประเสริฐจริงๆ เหอ เหอ)

                วิจิตรกานต์พัฒนาคิดอะไรไปต่างๆนานาแล้วก็หันมาให้ความสนใจกับการบ้านของตน แต่ทำไปได้ไม่นานเธอก็เริ่มหมดความอดทน วางปากกาแล้วหยิบผ้าเช็ตตัวมาพันรอบตัวเพื่อป้องกันความหนาวเหน็บ ใครเห็นเธอก็คงจะแปลกใจอยู่หรอกว่าอากาศหนาวขนาดนี้ยังมานอนเปลือยกายอยู่อีก แต่เหตุผลของเธอก็คือ

                ฉันไม่ชอบใส่เสื้อ

    ……หนาวจะตายชัก ใครจะไปมีอารมณ์ทำการบ้านละเนี่ย พ่อแม่ก็ยังไม่กลับเสียที……

    พ่อแม่ของเธอนั้นกำลังไปดูงานที่ต่างจังหวัด กำลังจะกลับมาวันนี้ พวกเขาไปตั้งแต่ 3-4 วันก่อน วิจิตรกานต์พัฒนาไม่เคยคิดถึงพ่อกับแม่ของเธอขนาดนี้มาก่อน เวลา 1 นาทีในโลกความเป็นจริงคงจะเท่ากับเวลา 1 ชั่วโมงสำหรับเธอ และระยะเวลาเหล่านี้คงจะเป็นเวลาแห่งความทุกข์ทนของเธอเป็นอย่างมากในเวลานี้

    บรรยากาศเริ่มเงียบสงัดจนถ้ามีเข็มตกกระทบลงบนพื้นนั้น วิจิตรกานต์พัฒนาคงจะได้ยินเป็นแน่แท้ ทั้งๆที่อากาศหนาวเหน็บและไม่มีฝนตกมานานแล้ว แต่วิจิตรกานต์พัฒนากลับรู้สึกเหมือนกับมีละอองน้ำอยู่ในอากาศอย่างประหลาด บางทีเธอก็รู้สึกคันเนื้อคันตัว อึดอัดไปหมด เธอคิดว่ามันคงจะเป็นอุปาทาน แต่เมื่อมองดูที่พื้นกลับพบว่ามีจุดดำๆจุดหนึ่งอยู่บนพื้น เธอก้มลงไปดูใกล้แล้วจึงรู้ว่ามันคือสิ่งมีชีวิตสีดำ ตัวหยุ่นๆ หรือที่เรียกว่ากันว่าปลิงนั่นเอง

     

    วิจิตรกานต์พัฒนาตกใจมากขนาดที่ว่าเต้นเร่า หกรีดร้องเลยที่เดียว ….คนมันเกลียดนี่นะ ตัวหยุ่นๆน่าขยะแขยงที่สุด…. วิจิตรกานต์พัฒนาใช้ไม้ตีแมลงวันเขี่ยปลิงออกไปด้วยท่าทางขยะแขยงเป็นที่สุด บัดนี้เธอรู้สึกปวดปัสสาวะพร้อมกับความกระหายแห้งผากราวกับผนังลำคอจะแตกเป็นผุยผง

                วิจิตรกานต์พัฒนาจงใจเดินเสียงดังขณะไปเปิดสวิตซ์ไฟที่อยู่หน้าห้องน้ำ เธอเข้าไปในห้องอย่างหวาดระแวง ก่อนค่อยๆ เดินเข้าไปภายในห้องน้ำ หลังจากปลดทุกข์แล้ว วิจิตรกานต์พัฒนานั่งทำใจอยู่ภายในห้องน้ำพักใหญ่ ราวกับจะปลอบใจว่าความอึดอัดนี้มันเป็นแค่เพียงอุปาทาน แล้วเธอสวมกางเกงอย่างรวดเร็ว และเดินออกมาจากห้องน้ำ แต่ทันใดนั้น

                เพล้ง!!~

                เสียงเหมือนแก้วแตกดังสนั่นออกมาจากห้องครัว วิจิตรกานต์พัฒนาสะดุ้งสุดตัวพร้อมกับส่งเสียงคราง เธอทำใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะลงไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องครัว

                แก้ว 2 ใบที่เธอวางไว้บนเคาน์เตอร์หล่นลงมาบนพื้นแตกกระจุยกระจาย เธอย่อตัวลงไปเก็บเศษแก้วขึ้นมาทีละชิ้นๆ มือวิจิตรกานต์พัฒนาสั่น เบื้องหลังเธอมีกลิ่นอายของอะไรบางอย่าง….สิ่งที่ไม่อาจจะเรียกได้ว่า มนุษย์ ตอนนี้มือของเธอชะงักค้าง สติสัมปชัญญะเริ่มแปรปรวน เหมือนกับว่ากลิ่นอายของมันได้แทรกซึมเข้ามาในทุกโมเลกุลของร่างกาย เธอเหลือบไปมองนาฬิกาบนชั้นก็เห็นว่าเป็นเวลาสองทุ่มครึ่งแล้ว

                ได้โปรดเถอะ…..อย่า

                วิจิตรกานต์พัฒนาพยายามให้สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นแค่ความฝัน หรือไม่ก็เป็นอุปาทานก็ยังดี แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันชัดเจนยิ่งกว่าที่จะเป็นทั้งสอง ราวกับว่ามันกำลังยืดตัวเน่าเหม็นของมันเข้ามาจนหายใจรดต้นคอเธอแล้ว

                ถ้ามันเป็นสิ่งนั้นล่ะ เราจะทำยังไง

                สิ่งนั้น…..สิ่งนั้น….สิ่งนั้น………………….สิ่งนั้น……………………………..สิ่งนั้น……’

                วิจิตรกานต์พัฒนาไม่อยากคิดให้มันไกลไปมากกว่านี้อีกแล้ว ถ้าวันนั้นนายพีทไม่เอามันมาดูที่โรงเรียนล่ะก็ เราก็คงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพอย่างนี้หรอก แถมส่วนนั้นมันก็โดนฉีกไปแล้ว จะทำยังไงดี………………..จะทำยังไงดี  เรายังไม่อยากตายนะ ไม่เอาไม่เอา.. เรื่องนั้นมันเป็นไปไม่ได้น่า

                เป็นไปไม่ได้!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

              วิจิตรกานต์พัฒนาไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างหลังเธอ แต่เธอไม่สามารถรวบรวมความกล้าให้มากพอที่จะชนะความกลัว

                ขออย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย ได้โปรด

                วิจิตรกานต์พัฒนาอยากจะกลับหันไปดูเหลือเกิน จะได้หลุดจากสภาพนี้เสียที แต่เธอก็ไม่สามารถจะสกัดกั้นความกลัวที่ค่อยแทะเล็มจิตใจเธอทีละนิด………ทีละนิดได้ ตอนนี้ทั้งที่อากาศหนาวเหน็บ แต่วิจิตรกานต์พัฒนาก็ไม่สามารถหยุดเหงื่อที่ไหลทะลักออกมาจากร่างกายเธอในขณะนี้ได้ เธอไม่สามารถห้ามมันได้จริงๆ

                เปรี๊ยะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เพล้ง!!!!~

                แก้วใบที่สามหล่นลงมาจากเคาน์เตอร์ วิจิตรกานต์พัฒนาสะดุ้งเฮือก ก่อนที่เธอจะหันไปข้างหลังโดยไม่รู้ตัว

                อา…………………อา……อะ อะ…..อะ…….จะ…………”

    3 สิงหาคม 2549

    20.17 . แถบหลังโรงเรียน S

                ม่านดำนามรัตติกาลบัดนี้ได้ปกคลุมท้องฟ้าอย่างสมบูรณ์ พร้อมกับจันทร์นวลผ่องที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมู่เมฆทั้งหลาย ราวกับต้องการจะปกปิดแสงแห่งความหวังอันน้อยนิดที่มีอยู่ในค่ำคืนยามราตรีนี้ให้หมดไป

                แถบหลังโรงเรียน S นั้นเรียงรายไปด้วยตึกสูงตระหง่านไม่ว่าจะเป็น คอนโดมิเนียม ร้านค้า บริษัทต่างๆ ห้องแถว หมู่บ้านจัดสรร และหอพักของโรงเรียน S เอง ยกตัวอย่างเช่น หอพัก u ซึ่งถือได้ว่าเป็นหอหญิงล้วนที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุด เพราะนอกจากเหตุผลที่ว่าเป็นหอพักที่อยู่ใกล้จากโรงเรียนมากที่สุดแล้ว เจ้าของหอก็ยังกินใจผู้ปกครองของนักเรียนโรงเรียน Sไปมากกว่าครึ่ง เนื่องจากว่าเธอเป็นหญิงชราที่แสนจะเฮี้ยบแสนเฮี้ยบ ซึ่งพวกเด็กหอก็ได้ตั้งฉายาเปลี่ยนชื่อแกจากเจ๊หมวยเป็น เจ๊หวยซึ่งทุกคนรู้และเข้าใจได้ลึกซึ้งว่า ทำไมเราจึงนิยามกฎของหอพักนี้ได้ว่า”หามีความอิสระไม่”

                แต่ในแถบนี้ก็ยังมีหอพักที่คงจะเรียกได้ว่ามีอิสระมากที่สุดอยู่เหมือนกัน ชื่อว่า หอ ท ซึ่งเจ้าของหอก็เป็นชายชราคนหนึ่งเช่นกัน แต่แปลกไปจากเจ๊หวยเนื่องด้วยว่า เขาตาบอด เพราะฉะนั้น ใครจะเข้าจะออก ใครจะไปจะมา ใครจะทำอะไร ก็ตาม ลุงแกก็จะไม่รับรู้ยินดียินร้ายด้วยทั้งสิ้น ซึ่งพวกเด็กหอก็ไม่เข้าใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมลุงแกถึงได้ยังเป็นเจ้าของหออยู่ แต่ในทางกลับกันก็ไม่จำเป็นจะต้องไปคิดอะไร ได้อยู่อย่างอิสระแบบนี้ก็คงดีแล้วไม่ใช่หรือ

                เลยเขตโรงเรียนไปก็เป็นดอยสูงตระหง่านที่อยู่คู่เชียงใหม่นามว่า ดอย สบนยอดดอยมีวัดนามว่า วัดพระธาตุดอย ส ซึ่งในยามรัตติกาลเฉกเช่นค่ำคืนนี้นั้น คงจะเป็นสถานที่อันดับสุดท้ายที่คุณอยากไปเลยกระมัง ยกเว้นว่าคุณต้องการทดสอบความกล้าของคุณเมื่อไรละก็ คงจะกล่าวได้ว่า

              ดอย ส ยินดีต้อนรับ

                ถัดไปจากโรงเรียนโรงเรียน S ไปอีกซักประมาณ 2 กิโลเมตรนั้นมีหมู่บ้านจัดสรรอยู่ภายในพื้นที่เล็กๆ ขนาด 2-3 ไร่ มีบ้านที่เช่าอยู่ในบริเวณนั้นเพียงไม่กี่หลัง เห็นป้ายประกาศขายอยู่ร่ำไป เมื่อเทียบกับหอพักที่มีคนจองเข้าจนเต็มแล้วนั้น ช่างเป็นภาพที่ต่างกันเสียจริงๆ และเหตุผลของมันก็คงเป็นเพราะว่าตั้งอยู่ใกล้ดอย ส จนผู้คนขยาดไม่กล้าที่จะมาตั้งหลักปักฐานอยู่ที่สถานที่แห่งกระมัง

                บ้านชั้นเดียวหลังหนึ่งภายในหมู่บ้านจัดสรรนั้นตั้งอยู่ค่อนข้างโดดเดี่ยว ถนนลูกรังคดเคี้ยวเป็นเส้นทางเดียวที่จะเข้าสู่บ้านหลังนั้น ตัวบ้านก็เหมือนกับบ้านจัดสรรธรรมดาๆ ที่เราพบเห็นได้ทั่วไป หน้าบ้านหันเข้าหาถนน ข้างๆบ้านมีที่ว่างพอที่จะจอดรถได้คันหนึ่ง สีบ้านเป็นสีขาวเรียบ สนามหน้าบ้านมีหญ้าขึ้นอยู่ประปราย

                แสงไฟจากบ้านหลังนั้นสาดส่องลงมายังพื้นที่ว่างเปล่าบริเวณนั้น ภายในบ้านมีคนอยู่เพียงคนเดียวนั่นคือ เด็กหญิงชั้นมัธยมศึกษาปีที่สองโรงเรียนหมายเลข 0 หน้าตาจัดว่าใช้ได้ชื่อว่า วิจิตรกานต์พัฒนา หรือเราเรียกสั้นๆว่า แป้ง นอนเปลือยร่างเหยียดอยู่บนเตียง เธอกำลังทำการบ้านวิชาคณิตที่เมื่อวันศุกร์ ครูซาลาเปาได้สั่งเอาไว้เป็นภูเขาเลากา ซึ่งบางที วิจิตรกานต์พัฒนาก็ไม่ทำไปทำให้เกรดปีที่แล้วของเธอไม่ค่อยจะดีนัก

                วัฏจักรชีวิตของเรามันมีแค่นี้หรือไงนะ วันหยุดอันแสนสบายผ่านไป วันต่อมาก็ต้องส่งงาน อากาศหนาวๆอย่างนี้สู้ออกไปหาความอบอุ่นจากนายพีทยังจะดีกว่านี้อีก

                พีท หรือชื่อเต็มว่าสาธิต เกษตรนั้น เป็นแฟนคนล่าสุดของวิจิตรกานต์พัฒนานั่นเอง ซึ่งกล่าวได้ว่าไม่ตรงกับสเป็คแป้งเลย เพราะปกติแป้งเป็นคนชอบคนผอม สูง ผิวดำ แต่นายสาธิต เกษตรนั้นทั้งตุ้ยนุ้ย อ้วนเตี้ย ผิวขาว วิจิตรกานต์พัฒนามักจะไปหานายพีทหลังเลิกเรียน สุดท้ายพวกเขามักจะจบที่เตียงเสมอ แต่พ่อ และแม่ของทั้งสองฝ่ายนั้นยังไม่รู้หรอกว่าลูกของตนมีพฤติกรรมที่แหลกเหลวขนาดไหน

                วิจิตรกานต์พัฒนามักจะคิดอยู่เสมอว่า อะไรๆในโลกนี้มันก็เปลี่ยนไปแล้วทั้งนั้น การมีเพศสัมพันธ์ในวัยของเราไม่เห็นจะมีอะไรเลย พวกผู้ใหญ่น่ะหัวโบราณ คิดมากไปเอง ผู้หญิงสมัยนี้ไม่ต้องรักนวลสงวนตัวก็ได้ (ช่างเป็นความคิดที่ประเสริฐจริงๆ เหอ เหอ)

                วิจิตรกานต์พัฒนาคิดอะไรไปต่างๆนานาแล้วก็หันมาให้ความสนใจกับการบ้านของตน แต่ทำไปได้ไม่นานเธอก็เริ่มหมดความอดทน วางปากกาแล้วหยิบผ้าเช็ตตัวมาพันรอบตัวเพื่อป้องกันความหนาวเหน็บ ใครเห็นเธอก็คงจะแปลกใจอยู่หรอกว่าอากาศหนาวขนาดนี้ยังมานอนเปลือยกายอยู่อีก แต่เหตุผลของเธอก็คือ

                ฉันไม่ชอบใส่เสื้อ

    ……หนาวจะตายชัก ใครจะไปมีอารมณ์ทำการบ้านละเนี่ย พ่อแม่ก็ยังไม่กลับเสียที……

    พ่อแม่ของเธอนั้นกำลังไปดูงานที่ต่างจังหวัด กำลังจะกลับมาวันนี้ พวกเขาไปตั้งแต่ 3-4 วันก่อน วิจิตรกานต์พัฒนาไม่เคยคิดถึงพ่อกับแม่ของเธอขนาดนี้มาก่อน เวลา 1 นาทีในโลกความเป็นจริงคงจะเท่ากับเวลา 1 ชั่วโมงสำหรับเธอ และระยะเวลาเหล่านี้คงจะเป็นเวลาแห่งความทุกข์ทนของเธอเป็นอย่างมากในเวลานี้

    บรรยากาศเริ่มเงียบสงัดจนถ้ามีเข็มตกกระทบลงบนพื้นนั้น วิจิตรกานต์พัฒนาคงจะได้ยินเป็นแน่แท้ ทั้งๆที่อากาศหนาวเหน็บและไม่มีฝนตกมานานแล้ว แต่วิจิตรกานต์พัฒนากลับรู้สึกเหมือนกับมีละอองน้ำอยู่ในอากาศอย่างประหลาด บางทีเธอก็รู้สึกคันเนื้อคันตัว อึดอัดไปหมด เธอคิดว่ามันคงจะเป็นอุปาทาน แต่เมื่อมองดูที่พื้นกลับพบว่ามีจุดดำๆจุดหนึ่งอยู่บนพื้น เธอก้มลงไปดูใกล้แล้วจึงรู้ว่ามันคือสิ่งมีชีวิตสีดำ ตัวหยุ่นๆ หรือที่เรียกว่ากันว่าปลิงนั่นเอง

     

    วิจิตรกานต์พัฒนาตกใจมากขนาดที่ว่าเต้นเร่า หกรีดร้องเลยที่เดียว ….คนมันเกลียดนี่นะ ตัวหยุ่นๆน่าขยะแขยงที่สุด…. วิจิตรกานต์พัฒนาใช้ไม้ตีแมลงวันเขี่ยปลิงออกไปด้วยท่าทางขยะแขยงเป็นที่สุด บัดนี้เธอรู้สึกปวดปัสสาวะพร้อมกับความกระหายแห้งผากราวกับผนังลำคอจะแตกเป็นผุยผง

                วิจิตรกานต์พัฒนาจงใจเดินเสียงดังขณะไปเปิดสวิตซ์ไฟที่อยู่หน้าห้องน้ำ เธอเข้าไปในห้องอย่างหวาดระแวง ก่อนค่อยๆ เดินเข้าไปภายในห้องน้ำ หลังจากปลดทุกข์แล้ว วิจิตรกานต์พัฒนานั่งทำใจอยู่ภายในห้องน้ำพักใหญ่ ราวกับจะปลอบใจว่าความอึดอัดนี้มันเป็นแค่เพียงอุปาทาน แล้วเธอสวมกางเกงอย่างรวดเร็ว และเดินออกมาจากห้องน้ำ แต่ทันใดนั้น

                เพล้ง!!~

                เสียงเหมือนแก้วแตกดังสนั่นออกมาจากห้องครัว วิจิตรกานต์พัฒนาสะดุ้งสุดตัวพร้อมกับส่งเสียงคราง เธอทำใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะลงไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องครัว

                แก้ว 2 ใบที่เธอวางไว้บนเคาน์เตอร์หล่นลงมาบนพื้นแตกกระจุยกระจาย เธอย่อตัวลงไปเก็บเศษแก้วขึ้นมาทีละชิ้นๆ มือวิจิตรกานต์พัฒนาสั่น เบื้องหลังเธอมีกลิ่นอายของอะไรบางอย่าง….สิ่งที่ไม่อาจจะเรียกได้ว่า มนุษย์ ตอนนี้มือของเธอชะงักค้าง สติสัมปชัญญะเริ่มแปรปรวน เหมือนกับว่ากลิ่นอายของมันได้แทรกซึมเข้ามาในทุกโมเลกุลของร่างกาย เธอเหลือบไปมองนาฬิกาบนชั้นก็เห็นว่าเป็นเวลาสองทุ่มครึ่งแล้ว

                ได้โปรดเถอะ…..อย่า

                วิจิตรกานต์พัฒนาพยายามให้สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นแค่ความฝัน หรือไม่ก็เป็นอุปาทานก็ยังดี แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันชัดเจนยิ่งกว่าที่จะเป็นทั้งสอง ราวกับว่ามันกำลังยืดตัวเน่าเหม็นของมันเข้ามาจนหายใจรดต้นคอเธอแล้ว

                ถ้ามันเป็นสิ่งนั้นล่ะ เราจะทำยังไง

                สิ่งนั้น…..สิ่งนั้น….สิ่งนั้น………………….สิ่งนั้น……………………………..สิ่งนั้น……’

                วิจิตรกานต์พัฒนาไม่อยากคิดให้มันไกลไปมากกว่านี้อีกแล้ว ถ้าวันนั้นนายพีทไม่เอามันมาดูที่โรงเรียนล่ะก็ เราก็คงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพอย่างนี้หรอก แถมส่วนนั้นมันก็โดนฉีกไปแล้ว จะทำยังไงดี………………..จะทำยังไงดี  เรายังไม่อยากตายนะ ไม่เอาไม่เอา.. เรื่องนั้นมันเป็นไปไม่ได้น่า

                เป็นไปไม่ได้!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

              วิจิตรกานต์พัฒนาไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างหลังเธอ แต่เธอไม่สามารถรวบรวมความกล้าให้มากพอที่จะชนะความกลัว

                ขออย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย ได้โปรด

                วิจิตรกานต์พัฒนาอยากจะกลับหันไปดูเหลือเกิน จะได้หลุดจากสภาพนี้เสียที แต่เธอก็ไม่สามารถจะสกัดกั้นความกลัวที่ค่อยแทะเล็มจิตใจเธอทีละนิด………ทีละนิดได้ ตอนนี้ทั้งที่อากาศหนาวเหน็บ แต่วิจิตรกานต์พัฒนาก็ไม่สามารถหยุดเหงื่อที่ไหลทะลักออกมาจากร่างกายเธอในขณะนี้ได้ เธอไม่สามารถห้ามมันได้จริงๆ

                เปรี๊ยะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เพล้ง!!!!~

                แก้วใบที่สามหล่นลงมาจากเคาน์เตอร์ วิจิตรกานต์พัฒนาสะดุ้งเฮือก ก่อนที่เธอจะหันไปข้างหลังโดยไม่รู้ตัว

                อา…………………อา……อะ อะ…..อะ…….จะ…………”

    3 สิงหาคม 2549

    20.17 . แถบหลังโรงเรียน S

                ม่านดำนามรัตติกาลบัดนี้ได้ปกคลุมท้องฟ้าอย่างสมบูรณ์ พร้อมกับจันทร์นวลผ่องที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมู่เมฆทั้งหลาย ราวกับต้องการจะปกปิดแสงแห่งความหวังอันน้อยนิดที่มีอยู่ในค่ำคืนยามราตรีนี้ให้หมดไป

                แถบหลังโรงเรียน S นั้นเรียงรายไปด้วยตึกสูงตระหง่านไม่ว่าจะเป็น คอนโดมิเนียม ร้านค้า บริษัทต่างๆ ห้องแถว หมู่บ้านจัดสรร และหอพักของโรงเรียน S เอง ยกตัวอย่างเช่น หอพัก u ซึ่งถือได้ว่าเป็นหอหญิงล้วนที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุด เพราะนอกจากเหตุผลที่ว่าเป็นหอพักที่อยู่ใกล้จากโรงเรียนมากที่สุดแล้ว เจ้าของหอก็ยังกินใจผู้ปกครองของนักเรียนโรงเรียน Sไปมากกว่าครึ่ง เนื่องจากว่าเธอเป็นหญิงชราที่แสนจะเฮี้ยบแสนเฮี้ยบ ซึ่งพวกเด็กหอก็ได้ตั้งฉายาเปลี่ยนชื่อแกจากเจ๊หมวยเป็น เจ๊หวยซึ่งทุกคนรู้และเข้าใจได้ลึกซึ้งว่า ทำไมเราจึงนิยามกฎของหอพักนี้ได้ว่า”หามีความอิสระไม่”

                แต่ในแถบนี้ก็ยังมีหอพักที่คงจะเรียกได้ว่ามีอิสระมากที่สุดอยู่เหมือนกัน ชื่อว่า หอ ท ซึ่งเจ้าของหอก็เป็นชายชราคนหนึ่งเช่นกัน แต่แปลกไปจากเจ๊หวยเนื่องด้วยว่า เขาตาบอด เพราะฉะนั้น ใครจะเข้าจะออก ใครจะไปจะมา ใครจะทำอะไร ก็ตาม ลุงแกก็จะไม่รับรู้ยินดียินร้ายด้วยทั้งสิ้น ซึ่งพวกเด็กหอก็ไม่เข้าใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมลุงแกถึงได้ยังเป็นเจ้าของหออยู่ แต่ในทางกลับกันก็ไม่จำเป็นจะต้องไปคิดอะไร ได้อยู่อย่างอิสระแบบนี้ก็คงดีแล้วไม่ใช่หรือ

                เลยเขตโรงเรียนไปก็เป็นดอยสูงตระหง่านที่อยู่คู่เชียงใหม่นามว่า ดอย สบนยอดดอยมีวัดนามว่า วัดพระธาตุดอย ส ซึ่งในยามรัตติกาลเฉกเช่นค่ำคืนนี้นั้น คงจะเป็นสถานที่อันดับสุดท้ายที่คุณอยากไปเลยกระมัง ยกเว้นว่าคุณต้องการทดสอบความกล้าของคุณเมื่อไรละก็ คงจะกล่าวได้ว่า

              ดอย ส ยินดีต้อนรับ

                ถัดไปจากโรงเรียนโรงเรียน S ไปอีกซักประมาณ 2 กิโลเมตรนั้นมีหมู่บ้านจัดสรรอยู่ภายในพื้นที่เล็กๆ ขนาด 2-3 ไร่ มีบ้านที่เช่าอยู่ในบริเวณนั้นเพียงไม่กี่หลัง เห็นป้ายประกาศขายอยู่ร่ำไป เมื่อเทียบกับหอพักที่มีคนจองเข้าจนเต็มแล้วนั้น ช่างเป็นภาพที่ต่างกันเสียจริงๆ และเหตุผลของมันก็คงเป็นเพราะว่าตั้งอยู่ใกล้ดอย ส จนผู้คนขยาดไม่กล้าที่จะมาตั้งหลักปักฐานอยู่ที่สถานที่แห่งกระมัง

                บ้านชั้นเดียวหลังหนึ่งภายในหมู่บ้านจัดสรรนั้นตั้งอยู่ค่อนข้างโดดเดี่ยว ถนนลูกรังคดเคี้ยวเป็นเส้นทางเดียวที่จะเข้าสู่บ้านหลังนั้น ตัวบ้านก็เหมือนกับบ้านจัดสรรธรรมดาๆ ที่เราพบเห็นได้ทั่วไป หน้าบ้านหันเข้าหาถนน ข้างๆบ้านมีที่ว่างพอที่จะจอดรถได้คันหนึ่ง สีบ้านเป็นสีขาวเรียบ สนามหน้าบ้านมีหญ้าขึ้นอยู่ประปราย

                แสงไฟจากบ้านหลังนั้นสาดส่องลงมายังพื้นที่ว่างเปล่าบริเวณนั้น ภายในบ้านมีคนอยู่เพียงคนเดียวนั่นคือ เด็กหญิงชั้นมัธยมศึกษาปีที่สองโรงเรียนหมายเลข 0 หน้าตาจัดว่าใช้ได้ชื่อว่า วิจิตรกานต์พัฒนา หรือเราเรียกสั้นๆว่า แป้ง นอนเปลือยร่างเหยียดอยู่บนเตียง เธอกำลังทำการบ้านวิชาคณิตที่เมื่อวันศุกร์ ครูซาลาเปาได้สั่งเอาไว้เป็นภูเขาเลากา ซึ่งบางที วิจิตรกานต์พัฒนาก็ไม่ทำไปทำให้เกรดปีที่แล้วของเธอไม่ค่อยจะดีนัก

                วัฏจักรชีวิตของเรามันมีแค่นี้หรือไงนะ วันหยุดอันแสนสบายผ่านไป วันต่อมาก็ต้องส่งงาน อากาศหนาวๆอย่างนี้สู้ออกไปหาความอบอุ่นจากนายพีทยังจะดีกว่านี้อีก

                พีท หรือชื่อเต็มว่าสาธิต เกษตรนั้น เป็นแฟนคนล่าสุดของวิจิตรกานต์พัฒนานั่นเอง ซึ่งกล่าวได้ว่าไม่ตรงกับสเป็คแป้งเลย เพราะปกติแป้งเป็นคนชอบคนผอม สูง ผิวดำ แต่นายสาธิต เกษตรนั้นทั้งตุ้ยนุ้ย อ้วนเตี้ย ผิวขาว วิจิตรกานต์พัฒนามักจะไปหานายพีทหลังเลิกเรียน สุดท้ายพวกเขามักจะจบที่เตียงเสมอ แต่พ่อ และแม่ของทั้งสองฝ่ายนั้นยังไม่รู้หรอกว่าลูกของตนมีพฤติกรรมที่แหลกเหลวขนาดไหน

                วิจิตรกานต์พัฒนามักจะคิดอยู่เสมอว่า อะไรๆในโลกนี้มันก็เปลี่ยนไปแล้วทั้งนั้น การมีเพศสัมพันธ์ในวัยของเราไม่เห็นจะมีอะไรเลย พวกผู้ใหญ่น่ะหัวโบราณ คิดมากไปเอง ผู้หญิงสมัยนี้ไม่ต้องรักนวลสงวนตัวก็ได้ (ช่างเป็นความคิดที่ประเสริฐจริงๆ เหอ เหอ)

                วิจิตรกานต์พัฒนาคิดอะไรไปต่างๆนานาแล้วก็หันมาให้ความสนใจกับการบ้านของตน แต่ทำไปได้ไม่นานเธอก็เริ่มหมดความอดทน วางปากกาแล้วหยิบผ้าเช็ตตัวมาพันรอบตัวเพื่อป้องกันความหนาวเหน็บ ใครเห็นเธอก็คงจะแปลกใจอยู่หรอกว่าอากาศหนาวขนาดนี้ยังมานอนเปลือยกายอยู่อีก แต่เหตุผลของเธอก็คือ

                ฉันไม่ชอบใส่เสื้อ

    ……หนาวจะตายชัก ใครจะไปมีอารมณ์ทำการบ้านละเนี่ย พ่อแม่ก็ยังไม่กลับเสียที……

    พ่อแม่ของเธอนั้นกำลังไปดูงานที่ต่างจังหวัด กำลังจะกลับมาวันนี้ พวกเขาไปตั้งแต่ 3-4 วันก่อน วิจิตรกานต์พัฒนาไม่เคยคิดถึงพ่อกับแม่ของเธอขนาดนี้มาก่อน เวลา 1 นาทีในโลกความเป็นจริงคงจะเท่ากับเวลา 1 ชั่วโมงสำหรับเธอ และระยะเวลาเหล่านี้คงจะเป็นเวลาแห่งความทุกข์ทนของเธอเป็นอย่างมากในเวลานี้

    บรรยากาศเริ่มเงียบสงัดจนถ้ามีเข็มตกกระทบลงบนพื้นนั้น วิจิตรกานต์พัฒนาคงจะได้ยินเป็นแน่แท้ ทั้งๆที่อากาศหนาวเหน็บและไม่มีฝนตกมานานแล้ว แต่วิจิตรกานต์พัฒนากลับรู้สึกเหมือนกับมีละอองน้ำอยู่ในอากาศอย่างประหลาด บางทีเธอก็รู้สึกคันเนื้อคันตัว อึดอัดไปหมด เธอคิดว่ามันคงจะเป็นอุปาทาน แต่เมื่อมองดูที่พื้นกลับพบว่ามีจุดดำๆจุดหนึ่งอยู่บนพื้น เธอก้มลงไปดูใกล้แล้วจึงรู้ว่ามันคือสิ่งมีชีวิตสีดำ ตัวหยุ่นๆ หรือที่เรียกว่ากันว่าปลิงนั่นเอง

     

    วิจิตรกานต์พัฒนาตกใจมากขนาดที่ว่าเต้นเร่า หกรีดร้องเลยที่เดียว ….คนมันเกลียดนี่นะ ตัวหยุ่นๆน่าขยะแขยงที่สุด…. วิจิตรกานต์พัฒนาใช้ไม้ตีแมลงวันเขี่ยปลิงออกไปด้วยท่าทางขยะแขยงเป็นที่สุด บัดนี้เธอรู้สึกปวดปัสสาวะพร้อมกับความกระหายแห้งผากราวกับผนังลำคอจะแตกเป็นผุยผง

                วิจิตรกานต์พัฒนาจงใจเดินเสียงดังขณะไปเปิดสวิตซ์ไฟที่อยู่หน้าห้องน้ำ เธอเข้าไปในห้องอย่างหวาดระแวง ก่อนค่อยๆ เดินเข้าไปภายในห้องน้ำ หลังจากปลดทุกข์แล้ว วิจิตรกานต์พัฒนานั่งทำใจอยู่ภายในห้องน้ำพักใหญ่ ราวกับจะปลอบใจว่าความอึดอัดนี้มันเป็นแค่เพียงอุปาทาน แล้วเธอสวมกางเกงอย่างรวดเร็ว และเดินออกมาจากห้องน้ำ แต่ทันใดนั้น

                เพล้ง!!~

                เสียงเหมือนแก้วแตกดังสนั่นออกมาจากห้องครัว วิจิตรกานต์พัฒนาสะดุ้งสุดตัวพร้อมกับส่งเสียงคราง เธอทำใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะลงไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องครัว

                แก้ว 2 ใบที่เธอวางไว้บนเคาน์เตอร์หล่นลงมาบนพื้นแตกกระจุยกระจาย เธอย่อตัวลงไปเก็บเศษแก้วขึ้นมาทีละชิ้นๆ มือวิจิตรกานต์พัฒนาสั่น เบื้องหลังเธอมีกลิ่นอายของอะไรบางอย่าง….สิ่งที่ไม่อาจจะเรียกได้ว่า มนุษย์ ตอนนี้มือของเธอชะงักค้าง สติสัมปชัญญะเริ่มแปรปรวน เหมือนกับว่ากลิ่นอายของมันได้แทรกซึมเข้ามาในทุกโมเลกุลของร่างกาย เธอเหลือบไปมองนาฬิกาบนชั้นก็เห็นว่าเป็นเวลาสองทุ่มครึ่งแล้ว

                ได้โปรดเถอะ…..อย่า

                วิจิตรกานต์พัฒนาพยายามให้สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นแค่ความฝัน หรือไม่ก็เป็นอุปาทานก็ยังดี แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันชัดเจนยิ่งกว่าที่จะเป็นทั้งสอง ราวกับว่ามันกำลังยืดตัวเน่าเหม็นของมันเข้ามาจนหายใจรดต้นคอเธอแล้ว

                ถ้ามันเป็นสิ่งนั้นล่ะ เราจะทำยังไง

                สิ่งนั้น…..สิ่งนั้น….สิ่งนั้น………………….สิ่งนั้น……………………………..สิ่งนั้น……’

                วิจิตรกานต์พัฒนาไม่อยากคิดให้มันไกลไปมากกว่านี้อีกแล้ว ถ้าวันนั้นนายพีทไม่เอามันมาดูที่โรงเรียนล่ะก็ เราก็คงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพอย่างนี้หรอก แถมส่วนนั้นมันก็โดนฉีกไปแล้ว จะทำยังไงดี………………..จะทำยังไงดี  เรายังไม่อยากตายนะ ไม่เอาไม่เอา.. เรื่องนั้นมันเป็นไปไม่ได้น่า

                เป็นไปไม่ได้!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

              วิจิตรกานต์พัฒนาไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างหลังเธอ แต่เธอไม่สามารถรวบรวมความกล้าให้มากพอที่จะชนะความกลัว

                ขออย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย ได้โปรด

                วิจิตรกานต์พัฒนาอยากจะกลับหันไปดูเหลือเกิน จะได้หลุดจากสภาพนี้เสียที แต่เธอก็ไม่สามารถจะสกัดกั้นความกลัวที่ค่อยแทะเล็มจิตใจเธอทีละนิด………ทีละนิดได้ ตอนนี้ทั้งที่อากาศหนาวเหน็บ แต่วิจิตรกานต์พัฒนาก็ไม่สามารถหยุดเหงื่อที่ไหลทะลักออกมาจากร่างกายเธอในขณะนี้ได้ เธอไม่สามารถห้ามมันได้จริงๆ

                เปรี๊ยะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เพล้ง!!!!~

                แก้วใบที่สามหล่นลงมาจากเคาน์เตอร์ วิจิตรกานต์พัฒนาสะดุ้งเฮือก ก่อนที่เธอจะหันไปข้างหลังโดยไม่รู้ตัว

                อา…………………อา……อะ อะ…..อะ…….จะ…………”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×