ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Vampire Story รักหมดใจ...คุณแวมไพร์ที่รัก (เลิกดองแล้ว)

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 นางฟ้าตัวน้อยๆ (๑๐๐ เปอร์เซ็นต์)

    • อัปเดตล่าสุด 31 พ.ค. 56


    บทที่ 1 นางฟ้าตัวน้อยๆ









    เมื่อช่วงบ่ายมีใครมาที่คฤหาสน์เราหรือเปล่า   ซิลเวอร์”  
                    ‘วลาด   แวนเดรสเอ่ยถามพ่อบ้านที่ยกเอาเครื่องดื่มสีแดงสดที่ไม่หน้าจะใช่ไวท์หรือวิสกี้แน่นอนขึ้นมาให้เขาบนห้องห้องนอนอันกว้างขวานของเขา    แต่สายตากลับมองทะลุผ่านหน้าหน้าต่างบานใหญ่ออกไปไปยังทุ่งดอกไม้   ที่แม้จะในเวลาค่ำคืนเช่นนี้    ความงามของธรรมชาติก็ไม่เคยหยุดพักเลยสักครา
                    “เห็นจะมีเพียงท่านหญิงเอริน่าขอรับ   เธอมาธุระเรื่องงานวันเกิดครบรอบของท่านชายในวันพรุ่งนี้ขอรับ   เธอเป็นผู้ที่รับผิดชอบเรื่องสถานที่และการแสดงทั้งหมดน่ะขอนับซิลเวอร์ผู้มีฐานะเป็นพ่อบ้านประจำคฤหาสน์ตอบคำถามผู้เป็นนาย
                    “......อืม    เจ้ามีอะไรก็ไปทำเถอะแวนเดรสบอกก่อนจะยกเครื่องดื่มสีแดงขึ้นมาจิบ
                    “ขอรับคุณชายซิลเวอร์ตอบรับก่อนจะก้มตัวเล็กน้อยแล้วเดินออกจากห้องไป
                    “เดี๋ยว!!    ...น้ำนี่...รสดีนะ
                    “ขอรับ!!!   นี่เป็นโลหิตชั้นดีของกวางป่าที่หายากมาก   แต่โชคดีที่ท่านโอเวล่าหามาได้   เลยนำมากำนัลให้ท่านชายน่ะขอรับซิลเวอร์เอ่ยถึงโอเวล่า   ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานชายของแวนเดรส
                    “หมดธุระของเจ้าแล้ว   ไปเถอะ
                    เมื่อแวนเดรสมองออกไปยังทุ่งดอกไม้นั่น   มันทำให้เขาหวนนึกถึงเด็กสาวตาใสคนนั้น   กับใบหน้าใสซื่อในยามที่หล่อนมองเขา  มันทำให้เขาอยากรู้จักหล่อนมากขึ้นๆ........

       
                    “แอนนิสจ๊ะ!!!เอริน่าเรียกหาบุตรสาวเสียงดังตั้งแต่หัวบันไดชั้นสองของตัวบ้าน
                    “คะ   คุณแม่แอนนิสน้อยขานรับทั้งที่ตัวเองยังนอนคว่ำชันเข่าขะมักเขม้นอยู่กับการใช้สีแท่งระบายภาพวาดอยู่ข้างๆเจ้าพัมมิสที่นอนหลับอุตุไม่รู้เรื่อง
                    “พรุ่งนี้ลูกว่างไหมจ๊ะเอริน่าเดินลงมาถามบุตรสาว
                    “อืม...ก็ว่างนะคะ   ไม่มีหนุ่มที่ไหนนัดเดท   ไม่มีเรียนพิเศษ   แล้วก็ไม่ได้นัดเพื่อนที่ไหนเที่ยวด้วยค่ะแอนนิสตอบยิ้มๆ   คำพูดของแอนนิสทำให้ผู้เป็นมารดาถึงกับขำออกมาเบาๆ
                    “ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงล่ะก็...   เย็นวันพรุ่งนี้แม่อยากให้ลูกไปสีวัยโอลีนโชว์ที่งานเลี้ยงในคฤหาสน์ของคุณชายวลาดน่ะลูก   สนุกนะจ๊ะ
                    อืมมม   แล้วเราจะไปดีไหมนะ   งานเลี้ยงของผู้ใหญ่คงจะไม่มีอะไรให้เด็กอย่างเธอทำมากนักหรอก   สำหรับแอนนิสแล้ว   การนั่งวาดภาพอยู่กับเจ้าพัมมิสที่บ้านยังสนุกกว่าอีก   แต่ว่า...เราอาจจะได้เจอเขาคนนั้นอีกหนก็เป็นได้   แอนนิสหวนนึกถึงบุรุษที่ได้เจอกันใต้ต้นโอ๊คในช่วงบ่ายวันนี้
                    “....ก็ได้ค่ะ   แต่พรุ่งนี้คุณแม่ต้องพาหนูไปช๊อปปิ้ง    ซื้อชุดใหม่ที่จะใส่ไปงานนะคะแอนนิสรับคำมารดาอย่างกระตือรือร้น    ทำให้เอริน่ายิ้มออกมาอย่างเอ็นดู
           “ก็ได้จ่ะ   แต่ ตอนนี้ได้เวลาที่ลูกกับเจ้าพัมมิสต้องไปอาบน้ำแล้วก็เข้านอนแล้วนะจ๊ะ
           “ค่ะคุณแม่แอนนิสตอบพร้อมกับวิ่งขึ้นไปชั้นสองของบ้านหลังใหญ่พร้อมกับเจ้าพัมมิส

    ณ  งานเลี้ยงในคฤหาสน์วลาด
                    แวนเดรสอยู่ในชุดสูททักสิโด้สีดำ   นั่งอยู่บนเก้าอี้นวมสีแดงสดตัวโตที่ตั้งอยู่ข้างระเบียงชั้นสองเพื่อรอเวลาเปิดตัวของตน
    แวนเดรสเฝ้าคอยเธอตั้งแต่งานพึ่งเริ่ม    เขาคอยชะเง้อหาเธอทุกครั้งที่มีแขกเดินเข้ามาในงาน   แต่ก็ยังไม่พบแม้แต่เงา
                    แอนนิสและมารดาก้าวลงมาจากรถ    โดยที่วันนี้ไม่มีเจ้าพัมมิสตามมาด้วย   เพราะแม่ของเธอบอกว่าจะทำให้งานวุ่นวายได้   เธอจึงต้องมางานเพียงผู้เดียวโดยไม่มีผู้ติดตามเหมือนเช่นเคย    
                    แอนนิสน้อยอยู่ในชุดแซ็คสีขาวกระโปรงฟูฟ่องยาวคลุมเข่า   พร้อมกับผมสีน้ำตาลทองที่ถูกมัดแกะแล้วดัดให้เป็นลอนม้วนโต    กับรองเท้าคู่น่ารักสีเดียวกับชุด     มันทำให้เธอดูเหมือนนางฟ้าตัวน้อยๆมากกว่าจะเป็นหญิงงาม
                    แอนนิสเดินเข้ามาในงานพร้อมกับมารดาที่กล่าวทักทายผู้คนในงานอยู่ตลอดทาง   ตั้งแต่สวนหน้าบ้านไปจนถึงตัวคฤหาสน์ซึ่งบัดนี้ได้ถูกตกแต่งและประดับประดาด้วยดอกไม้   และโคมไฟสีสวยไว้ตลอดทาง   มีแขกมากมายเข้ามาร่วมในงานนี้   บางคนได้เดินเข้ามาทักมารดาของแอนนิส  และหยุดคุยกันเป้นพักๆ
                    “นี่ลูกสาวของท่านหรือ    เอริน่า!!!คุณหญิงชุดแดงที่อายุคงราวๆ 30  แต่กลับดูเหมือนอย่างกับหญิงชราวัย 40  เพราะหล่อนแต่งหน้าเข้มและหนาเหมือนต้องการจะปกปิดริ้วรอยแห่งวัยของตัวเอง  แต่มันกลับทำให้ดูชรามากขึ้นกว่าเดิมในสายตาของแอนนิส  เดินเข้ามาทักเอริน่า
                    “ค่ะ  นี่แอนนิส   ลูกสาวของดิฉันเองเอริน่าตอบคำถาม
                    “งั้นเหรอจ๊ะ   น่ารักน่าหยิกจริงๆเลย  ดูสิค่ะ    เหมือนเจ้าหญิงเลยหล่อนแล้วหันมาหยิกแก้มแอนนิสซะแรง   ทำท่าทางอย่างกับเอ็นดูเธอเสียเต็มประดา    ประโยคหลังเธอหังไปหัวเราะกับกลุ่มเพื่อนสนทนา 4-5 คนที่ยืนห้อมล้อมแม่ของเธออยู่
                    ‘น่าเบื่อจริงๆเลย   ต้องมาคอยยืนคุยกับคนนู้นคนนี้    ไม่เห็นจะสนุกอย่างที่แม่บอกเลยแอนิสคิดในใจ  
                    “ขออภัยทุกท่านนะคะ   แอนิสจ๊ะได้เวลาที่ลูกต้องไปเตรียมตัวแล้ว   ขอตัวนะคะเอริน่าบอกผู้ร่วมสนทนา   แต่ประโยคตรงกลางแอบก้มลงกระซิบกะลูกสาว   แล้วเดินเข้าไปในห้องๆหนึ่งที่อยู่ลึกเข้าไปด้านหลังของเวทีที่ตั้งอยู่ด้านหน้า   ซึ้งมีบันไดทั้งสองฝังขนาบข้างไว้
                    “ลูกเข้าไปรอแม่ข้างในนั้นก่อนนะจ๊ะ   จะมีคนมาแต่งหน้าให้ลูก   แล้วถ้าแม่ยังไม่มาให้ลูกซ้อมไวโอลีนในห้องนั้นไปก่อนนะ   มันเป็นห้องเก็บเสียงน่ะ   รับรองว่าปลอดภัยจ่ะเอริน่าบอกบุตรสาวรัวเมื่อมายืนอยู่หน้าห้องนั้น    แล้วบีบไหล่ทั้งสองข้างของเธอเบาๆก่อนจะเดินหายเข้าไปด้านในที่ลึกกว่าห้องนั้น
                    แอนิสสูดหายใจเข้าลึกๆ   ก่อนจะผลักประตูไม้บานใหญ่เข้าไป   เสียงความวุ่นวายข้างในเล็ดลอดออกมา   ทำให้แอนิสตกใจเล็กน้อย    แต่เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น   แอนนิสก้าวเข้าไปข้างในก่อนจะเลื่อนประตูปิดเบาๆ  แต่ก็ยังดังพอที่จะทำให้ทุดคนหันมาสนในร่างเล็กๆของเธอ

                    “ตายแล้ว!!   เด็กที่ไหนหลงเข้ามาเนี้ย   น่ารักจริงๆ
                    “ลูกใครน่ะ   เข้ามาได้ยังไงเนี้ย”     
                    “เด็กที่ไหนน่ะ  ตัวก็ขาว   แก้มแดงๆอย่างเนี้ยน่ากินจริง”     

    เด็กๆอย่างเนี้ยะ   เลือดคงจะหวานน่าดูนะคำพูดมากมายพรั่งพรูออกมาจากปากของคนที่แต่งตัวประหลาดมากมายที่ออกันอยู่เต็มห้อง    บางประโยคทำให้แอนนิสถึงกับงง
                    “พอได้แล้วทุกคน" เพียงแค่คำพูดของชายชราผู้หนึ่ง   กลับทำให้ทั้งห้องเงียบได้ชั่วขณะ  
                    "รู้จักไว้ซะ   นี่คุณหนูแอนนิส    เธอให้เกียรติมาเข้าร่วมในการแสดงครั้งนี้ด้วย   ใครก็ได้ช่วยมาดูแลเธอที” แต่เพียงแต่เซี้ยวนาทีเท่านั้นห้องทั้งห้องก็กลับมาวุ่นวายเหมือนเดิม
                    “สวัสดีครับ   กระผมคือซิลเวอร์   เป็นพ่อบ้านของที่นี่   มีอะไรก็เรียกได้นะขอรับ   และนี่คือผู้ที่จะมาดูแลคุณหนูนะขอรับ   ไม่ต้องเกรงใจชายชราหันมาแนะนำตัว   แล้วผายมือไปยังผู้ชายร่างใหญ่ที่เดินมาหยุดด้านหลังของแอนนิส
                    “คุณหนูแอนนิสใช่มั๊ยฮะ    มาทางนี้ดีกว่างฮ่ะ    เดี๋ยวพี่จะแต่งให้สวย ๆ เลยยย...เสียงใหญ่ๆที่ดูเหมือนจะถูกดัดให้แหลมถูกเปล่งออกมาจะปากของผู้ชายคนนั้น    ดูเหมือนว่าเขาจะมีสองเพศในร่างเดียวอ่ะนะ 
                    เขาดึงแอนนิสไปนั่งยังเก้าอี้ที่ว่างอยู่เพียงตัวเดียว   แล้วลงมือใช่เครื่องสำอางยี่ห้องดังแต่งแต้มลงบนใบหน้าเรียวเล็กนั่น    
                    “แหม...   หน้าเด็กๆเนี้ยแต่งง่ายดีจังเลยน้า...น่าอิจฉาจริงๆช่างแต่งหน้าคนนั้นพูด 
                    “นี่หล่อนๆ   ใช่สีฟ้าดีกว่านะ   หน้าเด็กจะได้สว่างๆผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินผ่านมาหันมาบอก
                    “อย่าเลย   เอาสีส้มดีกว่า
                    “แต่ฉันว่า...   น่าจะเป็นสีม่วงนะ
                    “ฉันว่าสีเขียวดีกว่า
                    เสียงผู้คนเถียงกันอยู่ด้านหลังแอนนิส  
                    “พอแล้วๆ    ฉันเป็นคนแต่งนะยะ   เพราะฉะนั้นเอาสีชมพูดีที่สุดเสียงใหญ่ๆที่ถูกดัดเอ่ยขึ้น
                    “โหยยยย...ผู้คนที่ออกันอยู่ด้านหลังแอนนิสส่งเสียงอย่างไม่พอใจ
                    “เอาล่ะ    เสร็จแล้วจ่ะหนูช่างแต่งหน้าพูด     ก่อนจะจับผนักเก้าอี้หันมาให้ทุกคนในห้องดู
    “””””””””””””””””

                    “แอนนิสจ๊ะ    มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ล่ะ    ทำไมไม่อยู่ในห้องแต่งตัวล่ะจ๊ะเอริน่าทักบุตรสาวที่ออกมายืนหลบอยู่ที่ด้านหลังเวที
                    “คือหนู...   หนู    หนูอยากออกมาหาอะไรทานน่ะค่ะ    หนูหิวแล้วแอนนิสพูดปดมารดา    แท้ที่จริงแล้วเธออึดอัดและรำคาญกับการที่ถูกผู้คนเหล่านั้นจับเธอแต่งตัวมากกว่า
                    “อย่างนั้นเหรอจ๊ะ   งั้นเราไปหาอะไรทานกันดีกว่า
                    ว่าแล้วเอริน่าก็จูงมือบุตรสาวออกไปจากที่แห่งนั้น
                    “เอาล่ะ    อยากกินอะไรก็เลือกเลยนะ แม่ต้องกลับไปเตรียมงานแล้ว แล้วลูกก็อย่ากินเลอะเทอะล่ะ เดี๋ยวก็หมดสวยกันพอดี แต่ว่าลูกห้ามดื่มเครื่องดื่มในคฤหาสน์นี้เป็นอันขาดนะ นอกจากแม่จะเป็นคนหามาให้เอง
                    “ค่ะแอนนิสยิ้มตอบผู้เป็นแม่อย่างง ๆ แล้วเดินไปเลือกอาหารมาใส่จาน

                    หลังจากที่ได้อาหารตามต้องการแล้วแอนนิสน้อยเลือกที่จะมานั่งทานอยู่ที่ระเบียงกว้างข้างๆประตูมากกว่าการนั่งทานอยู่ในห้องอาหารหรูๆภายใต้คฤหาสน์ใหญ่

                    ส่วนทางแวนเดรส   เขาอดรนทนรอที่จะต้องนั่งชะเง้อมองหาคนที่รอคอยอยู่ข้างบนไม่ไหว   เขาจึงต้องลงมาชั้นล่างอย่างร้อนใจ   แม้ว่าจะยังไม่ถึงเวลาเปิดตัวก็เถอะ   ทำไมเด็กนั่นยังไม่มาอีกนะ   หรือว่าเธอจะไม่ได้มางานนี้ด้วย  
     
                    เอ๊ะ!!!   แล้วทำไมเขาจะต้องเป็นกังวลถึงขนาดนี้นะ   มีหญิงงามมากมายที่พร้อมจะพลีชีพเพื่อเขา   ทำไมเขาจะต้องมาสนใจเด็กตัวเล็กๆอย่างแอนนิสด้วย   แวนเดรสสับสนกับความรู้สึกของตัวเองเป็นยิ่งนัก   เด็กนั่นมีดีอะไรที่หญิงอื่นไม่มีหรือ   ก็คงจะเป็นความไร้เดียงสาแล้วก็ความสดใสของเธอสินะที่สามารถผูกใจเขาไว้ได้


                                            ............................................................................  
         

                    แวนเดรสคิดผิดจริงๆเลยที่ลงมาตามหาเธอข้างล่าง   เพราะการปรากฏตัวของเขาทำให้มีแขกมากมายในงานเบนความสนใจมาที่เขา    มันยิ่งทำให้เป็นการยากที่จะตามหาตัวเด็กคนนั้น   

                    แต่แล้วความปรารถนาของเขาก็เป็นผล    เมื่อสายตาของเขาเหลือบไปเห็นร่างของเล็กๆของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังให้ความสนกับสวนน้ำพุของเขาอยู่ที่ระเบียงข้างประตูโดยไม่สนใจความวุ่นวายรอบข้าง    เธออยู่ในชุดที่ทำให้เหมาะสมกับวัย   มันทำให้เขายิ้มออก

                                  .............................................................................................................

     

    แวนเดรสกล่าวขอตัวกับผู้ร่วมสนทนาแล้วตรงไปหาแอนนิส
                    “เจอกันอีกแล้วนะแวนเดรสพูดเสียงกระซิบอยู่ด้านหลังร่างแอนนิส   มันทำให้แอนนิสสะดุ้งเล็กน้อย   พร้อมกับหันกลับมาด้วยความตกใจ 
                    “คุณแอนิสเปลี่ยนสีหน้าทันทีที่เจอเขา    บุรุษที่เธออยากเจอ   จากการที่เจอกันครั่งที่แล้วเขานั่งอยู่    พอเจอกันในครั้งนี้ร่างใหญ่ๆของเขายืนเต็มความสูงบังเธอจนมิดเลย
                    “ทำไม   การที่ได้เจอข้ามันทำให้เจ้าลำบากใจหรือแวนเดรสเลิกคิ้วถาม
                    “ไม่ใช่อย่างงั้นนะคะ   หนูดีใจต่างหากที่เจอคุณแอนนิสรีบแก้ตัว
                    “ข้านึกว่าเจ้าจะไม่มางานนี้เสียแล้วสิ    เจ้ารู้หรือไม่ว่าการรอคอยของข้ามันยิ่งใหญ่นักแวนเดรสพูดน้ำเสียงตัดพ้อ
                    “หนูดีใจนะคะที่คุณอยากเจอหนูแอนนิสยิ้ม
                    “เมื่อครั้งที่แล้วเจ้าด่วนจากข้าไปซะก่อน    การเจอกันครั้งนี้ข้าขอทราบนามของเจ้าหน่อยได้หรือไม่
                    “แอนนิสค่ะ    ‘เวเนอร์   แอนิสัน’     ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการนะคะแอนนิสยื่นมือออกไปข้างหน้า
                    ( ป.ล. ชื่อของชาวต่างชาติจะใช้นามสกุลนำหน้าชื่อจริง     ส่วนชื่อย่อหรือชื่อเล่นจะเรียกอย่างไรก้ได้ให้คล้องกับชื่อจริง)
                    “ข้า  แวนเดรส     ‘วลาด   แวนเดรส’    ยินดีที่ได้รู้จักเจ้าเช่นกันเขาไม่เพียงยื่นมือไปสัมผัสกับมือน้อยๆนั่นธรรมดา    แต่กลับก้มลงจุมพิตมันเบาๆอีกด้วย  
                    คงเพราะความเยาว์วัยของเธอทำให้แอนนิสไม่ได้คิดอะไร     ได้แต่มองการกระทำของเขายิ้มๆเท่านั้น
                      ....วลาดอย่างงั้นเหรอ คงจะเป็นหลานชายหรือญาติเจ้าของงานล่ะมั้งมั้ง.... แอนนิสคิด

                                    ............................................................................................

    แล้วเจ้ามาทำอะไรที่นี่งั้นเหรอแวนเดรสนั่งลงที่ราวระเบียงเพื่อที่จะได้คุยสะดวก    ถามหลังจากที่คุยกันได้ซักพัก
                    “อ๋อ....ก็งานนี้เป็นงานฉลองวันเกิดของเจ้าของบ้านไม่ใช่เหรอคะ    หนูก็ต้องมาร่วมอวยพรน่ะซี่แอนนิสตอบอย่างอารมณ์ดี   โดยที่ไม่รู้ว่าเจ้าของงานมานั่งอยู่ข้างๆตนแล้ว
                    “เขาคงดีใจมากนะที่เธอให้เกียติมาร่วมฉลองและได้รับคำอวยพรจากเธอ

                    “หนูต่างหากล่ะคะที่รู้สึกเป็นเกียติ   ก็คนที่เป็นเจ้าของงานนี้น่ะ   มีบุญคุณกับครอบครัวหนูจะตายไปแอนนิสพูดตามที่เธอรู้
                    “เจ้ารู้ได้ยังไง   บางทีพ่อแม่เจ้าอาจจะเป็นผู้มีพระคุณกับเขาก็ได้แวนเดรสพูดในสิ่งที่ทำให้แอนนิสมองหน้าเขา
                    “ก็คุณแม่บอกว่า    คุณลุงคนนั้นน่ะ   ช่วยไม่ให้บริษัทของคุณพ่อล้มละลาย   แล้วยังช่วยเหลือเราอีกตั้งหลายอย่าง
                    “คุณลุงงั้นเหรอ...หึๆ....   สิ่งที่เจ้ารู้อาจจะเป็นอะไรที่ผิดก็ได้    เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าพ่อแม่ของเจ้าจะเป็นผู้มีพระคุณของเขาน่ะเขาบอกอย่างมีความหมาย

                     ......................................................................................................................

     

     แวนเดรสหวนนึกถึงเมื่อแปดปีที่แล้ว   คราที่แอนนิสยังไม่มีตัวตน     คราที่เขาถูกพวกกบฏล้มล้างบัลลังก์ตามล่าปลิดชีวิต    เขาต้องหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย   จนหมดแรงไม่เหลือคราบคุณชายแวนเดรสผู้สูงศักดิ์    มีสามีและภรรยาสาวที่กำลังตั้งท้องอ่อนๆอยู่คู่หนึ่งช่วยเขาไว้   

                    ทั้งสองเป็นเจ้าของฟาร์มนมวัว    ตอนนั้นแวนเดรสบาดเจ็บสาหัสเอาการ   แล้วยังไม่สามารถกินอาหารเหมือนพวกเขาไม่ได้   เมื่อทั้งสองรู้ว่าเขาเป็นอะไรก็ไม่ได้ไล่เขาออกจาฟาร์มหรือทำท่ารังเกียจแต่อย่างใด   กลับยอมเสียสละวัวนมและสัตว์ในฟาร์มให้กับเขาเพื่อใช้เป็นอาหาร   ซึ่งมันทำให้สมาชิกในฟาร์มลดจำนวนลงไปมากกว่าครึ่ง   

                    เมื่ออาการบาดเจ็บของเขาทุเลาลงได้ไม่นานพวกกบฏก็ตามตัวเจอ    ผู้เป็นสามียอมเสียสละชีวิตตังเองเพื่อที่จะให้ภรรยาและเขาหนีรอด    มันทำให้แวนเดรสรู้สึกพลาบปลื้มในตัวทั้งสองคนมาก    และยังรู้สึกผิดมากเมื่อภารยาของชายผู้นั้นซึ่งก็คือเอริน่า   ต้องให้กำเนิดทารกในที่ๆไม่ใช่โรงพยาบาลหรือบ้านของตน    แต่กลับเป็นคอกม้าเก่าๆในคฤหาสน์วลาดแห่งนี้   เขายิ่งรู้สึกสำนึกผิดกับการที่ทำให้เด็กที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยต้องมาเสียบิดาไปทั้งที่ยังไม่ทันได้เห็นหน้ากันด้วยซ้ำ    จนพวกกบฏถูกล้มล้างลง ... 
                    เขาจึงเต็มใจเป็นอย่างมากที่จะให้ความช่วยเหลือเอริน่า   จนตระ*ลนี้กลายเป็นว่ามีเชื้อมีสายเข้ามาและได้ชื่อว่ามีอิทธิพลเป็นอย่างมาก    ถึงบัดนี้เวลาก็ล่วงเลยมามากแล้วแต่เขาก็ไม่เคยไม่เคยให้ความสำคัญของตระกูลนี้ลดลงได้เลย



                 ...................................................................................................................................

     

                    “แอนนิสจ๊ะ   ได้เวลาแล้วลูกมาเตรียมตัวเถอะจ่ะเอริน่าร้องบอกอยู่ที่สนามหน้าคฤหาสน์
                    “ค่ะแม่แอนนิสตอบ
                    “เตรียมอะไรหรือแวนเดรสถามอย่างใคร่รู้
                    “อ๋อ...   ก็งานเนี๊ยะหนูจะสีวัยโอลีนให้เป็นของขวัญวันเกิดคุณลุงวลาดน่ะสิคะ ”แอนนิสบอก
                    “งั้นหรือ    ถ้าอย่างนั้นข้าจะคอยฟังนะ   แอนนิสน้อยแวนเดรสขยี้หัวแอนนิสเบาๆ  
                    “ไปนะคะ    แล้วเดี๋ยวมาคุยด้วยใหม่แอนนิสวิ่งไปหลังม่านงาน  
                    แวนเดรสลุกขึ้นแล้วหันออกไปนอกระเบียง   เห็นเอริน่ากำลังมองเขาอยู่   เขาจึงยิ้มทัก   เอริน่าก้มหัวเป็นการคำนับเล็กน้อย   ก่อนที่จะแวนเดรสจะเดินหายเข้าไปในงาน

                                   ………………………………………………….

                    แอนนิสเตรียมความพร้อมของสายวัยโอลีนอยู่ด้านหลัง  
                    “งานวันนี้มีเซอร์ไพรซ์กันครับ   นั่นก็คือ...คุณหนูแอนนิสแห่งตระ*ลเวเนอร์จะมาสีวัยโอลีนเพื่อเป็นของขวัญให้แก่คุณชายวลาด   เชิญรับชมรับฟังได้เลยขอรับหัวหน้าคณะกายกรรมที่มารับหน้าที่พิธีกรเอ่ย   
                    เสียงปรบมือดังทั่วงานก่อนที่ม่านเวทีจะเปิดออก   เผยให้เห็นแอนนิสพร้อมกับวง.........แต่กลับไร้เงาของผู้เล่นเปียโน   ซึ่งเป็นที่แปลกใจของทุกคนรวมทั้งคนในวงดนตรีด้วย
                    “เฮอะ   ให้เด็กมาเรียกความสนใจจากท่านวลาดล่ะสิ   แม่เอริน่านี่แผนสูงนะ”  
                    “เด็กนั่นใครน่ะ   คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน   ถึงกล้ามาเล่นเทียบกับวงดนตรีอันดับหนึ่งของประเทศน่ะ
                    “จะเรียกร้องคะแนนรึไงตระกูลนี้   ส่งเด็กมารับชะตากรรมแทน
                    “เก่งจริง    ตัวแค่นั้นเล่นวัยโอลีนเก่งถึงขนาดขึ้นแสดงได้แล้วเหรอเนี้ย
                    มีเสียงติชมลอยมาตามลม    ถึงจะเบาแต่แอนนิสก็ได้ยิน   มันพาดพิงถึงคนทั้งตระ*ลของเธอ   แต่เธอพยายามระงับอารมณ์ไว้ได้
                    แอนนิสเริ่มสีวัยโอลีนเป็นเพลงคลาสสิคเพลงหนึ่งที่แม้แต่ผู้ใหญ่บางคนยังเล่นไม่ได้ถ้าไม่เก่งจริง   คนในงานถึงกับเงียบไป   แม้แต่คนในวงมืออาชีพยังอึ้งในความสามารถของแอนนิสจนลืมนึกถึงเรื่องคนเล่นเปียโน    คงจะมีแค่แอนนิสคนเดีย;ที่ยังมองหาเขาอยู่
                    จู่ๆก็มีเสียงเปียโนดังขึ้น    ทุกคนในงานต่างหันมาสนใจกับชายหน้าตาคมสัน       หน้าตาอันอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงที่ถ้าทุกคนรู้คงจะบอกว่าเป็นไปไม่ได้   เขาใสชุดสูททักสิโด้สีดำตัดกับเปียโนสีขาวที่อยู่บนเวที   มันทำให้แอนนิสแปลกใจ   แวนเดรสเป็นคนเล่นเปียโนงั้นหรือ   ทำไม่เธอไม่ถามเขานะ    

    แวนเดรสหันมามองแอนนิสนิดนึ่งก่อนจะยิ้มให้   เขารู้ว่าเธอละทุกคนแปลกใจที่เห็นเขามานั่งเล่นเปียโนแทนที่ผู้เล่นตัวจริง     แต่มันยังดีที่ทำให้แอนนิสยิ้มออกและเดินเข้ามาเล่นอยู่ข้างๆเขา    
                    ทั้งสองเล่นได้เข้าขากันมาก   เมื่อเพลงจบเสียงปรบมือดังกันเกรียวกราว    นักดนตรีทุกคนโค้งคำนับ    แวนเดรสลุกขึ้นมาจับมือแอนนิสเดินออกมาข้างหน้านิดนึ่ง   แอนนิสยังมองหน้างเขางงๆ
                    “ขอขอบใจพวกเจ้าทุกคนที่มาร่วมงานฉลองครั้งนี้    และขอใจมากสำหรับนักดนตรีตัวน้อยนี่   มันคงจะถึงเวลาที่งานจะเริ่มแล้วสินะ   ถ้าอย่างนั้นในฐานะเจ้าของงานนี้    ข้า... วลาด   แวนเดรส   ขอเปิดงานที่ทุกคนรอคอย   ณ   บัดนี้
                    เมื่อแวนเดรสพูดจบนักดนตรีรวมทั้งนักเปียโนก็เริ่มบรรเลงเพลงว้อล   ผู้คนเริ่มออกมาเต้นรำ    แวนเดรสดึงมือแอนนิส ออกมาจากที่แห่งนั้นแล้วเลยไปยังทุ่งดอกไม้ด้านหน้าคฤหาสน์   
                                                  ...............................................................

     

                    “ไม่ยักรู้นะคะว่าคุณเล่นเปียโนเป็นด้วย    แถมยังเป็นถึงคุณชายวลาดเจ้าของคฤหาสน์นี้อีก...
                    คำพูดของแอนนิสทำใหแวนเดรสหยุดเดิน

                    “เจ้าประชดข้า    นี่เจ้าโกรธข้าหรือ
                    “เปล่าซะหน่อย   คุณไม่ได้ทำอะไรผิดนี่แอนนิสทำแก้มป่อง    แล้วกอดอกหันหลังให้เขา
                    “ข้าไม่เคยโกหกอะไรเจ้า   ข้าแค่ไม่ได้บอกความจริงเท่านั้น

                    “แล้วมันต่างกันตรงไหนล่ะแอนนิสหันกลับมาพูดแลลัวก็สะบัดหน้ากลับไปเหมือนเดิม   กิริยาของเธอทำให้แวนเดรสขำออกมาเบาๆด้วยความเอ็นดู
                    “ต่างสิ   ในเมื่อการกระทำของข้าไม่ถือว่าเป้นการโกหกเขาพูดพลางให้นั่งลงบนพื้นหญ้าที่ล้อมรอบไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์   ก่อนจะดึงแอนนิสให้นั่งตาม
                    “การที่ข้าคือคุณชายวลาดมันต่างกับการที่ข้าเป็นวลาด เพื่อนเล่นของเจ้าตรงไหนเขาหันไปพูดกับแอนนิสที่ยังไม่ยอมมองหน้าเขา
                    “........”แอนนิสเงียบ
                    “ไม่ว่าข้าจะเป็นใคร   ข้าก็คือวลาดเพื่อนของเจ้าแวนเดรสบอก
                    “........”แอนนิสยังเงียบ
                    “ข้าให้คำมั่นกับเราแล้วไม่ใช่หรือ   ....ด้วยดอกลาเวนเดอร์นี้เขาหยิบเอาดอกลาเวนเดอร์ที่เธอเคยให้เขาไว้เมื่อครั้งก่อนออกมาจากเสื้อสูท
                    “.......”แอนนิสหันมามองหน้าเขา   
                    “ถ้าเยี่ยงนั้น...ข้าขอให้คำมั่นกับเจ้าว่าข้า...วลาดแวนเดรสผู้นี้ยินดีจะเป็นสหายของเจ้าเช่นกัน
          แวนเดรสหันไปเด็ดดอกลาเวนเดอร์สีม่วงที่ขึ้นอยู่ข้าง ๆ ตัวขึ้นมามัดกับดาเวนเดอร์ที่เริ่มจะเฉาอยู่ในมือตน   แล้วยื่นให้แอนนิส
                    “แต่ว่า...การที่คุณเป็นคุณชาย   เราก็จะไม่ได้มาเล่นด้วยกันอีก   เวลาเจอกันที่อื่นก็ทักกันไม่ได้    เพราะคนอื่นคงคิดว่าคุณชายอย่างคุณคงไม่รู้จักเด็กอย่างหนูหรอกแอนนิสพูดเสียงเศร้าๆ
                    “ใครว่า   ข้าก็คือข้า   เจ้าจะทักเมื่อไหร่ก็ได้   ในเมื่อเราเป็นเพื่อนกันแวนเดรสบอกเสียงนุ่ม
                    “จริงเหรอคะแอนนิสทำท่าดีใจ    แวนเดรสเหลือบไปเห็นไวโอลีนที่ติดมากับมือแอนนิส
                    “ข้าจะโกหกเจ้าทำไม      ...ตอนนี้ข้าอยากฟังเจ้าสีวัยโอลีนมากกว่าสิ่งอื่นใด
                    “งั้นต้องมีของแลกเปลี่ยน...
                    “หากเจ้าปรารถนาสิ่งใด    ข้าจะหามามอบให้เจ้าให้จงได้
                    “อืม...แอนนิสทำท่าคิด
                    “ตอนนี้ยังคิดไม่ออก     งั้นเอาไว้เล่นวัยโอลีนเสร็จเมื่อไหร่หนูจะทวง
                    “ย่อมได้
                    แอนนิสยิ้มนิดนึ่งก่อนจะเริ่มยกวัยโอลีนขึ้นมาสีเป็นเพลงคลาสสิก   เสียงวัยโอลีนดังก้องไปทั่วทุ่งดอกไม้ยามค่ำคืน    มันช่างเป็นอะไรที่โรแมนติกยิ่งนักสำหรับแวนเดรส  
                    เขาเผลอจ้องมองหน้าของแอนนิสอยู่เนิ่นนานก็ต้องสะดุ้ง    นี่เขาหลงรักเด็กวัย 7 ขวบหรือนี่    หากผู้ใดรู้เข้าคงจะหัวเราะเยาะเขาเป็นแน่   อะไรกันนี่   เขาแปลกใจในตัวเอง
                    สักพักเสียงวัยโอลีนก็หยุดลง     แอนนิสหันมายิ้มตาหยีให้แวนเดรส
                    “เป็นยังไงคะ   เพราะไหมคุณวลาด...

                      ........................................................................
                    สักพักเสียงวัยโอลีนก็หยุดลง     แอนนิสหันมายิ้มตาหยีให้แวนเดรส 
                    “เป็นยังไงคะ   เพราะไหมคุณวลาด...
                    “แวนเดรส    ข้าอยากให้เจ้าเรียกข้าว่าแวนเดรส
                    “เอ่อ...    ค่ะแอนนิสยิ้มรับคำ
                    “เจ้าเล่นได้เพราะมากแอนนิสน้อย    แล้วสิ่งแลกเปลี่ยนที่เจ้าต้องการล่ะ   ...มันคืออะไร
                    “อืม...   งั้น....คุณก็เล่านิทานให้หนูฟังสิ     ได้รึเปล่าแอนนิสส่งสายตาเว้าวอน
                    “ย่อมได้   เจ้าอยากฟังเรื่องอะไรล่ะ
                    แวนเดรสไม่พูดปล่าวกลับดึงแอนนิสที่นั่งจ้องหน้าเขาอยู่ให้ล้มลงนอนบนตักของเขา   แต่เธอก็ไม่ได้คิดมากยอมนิ่งอย่างว่าง่าย    คงเพราะความเยาวัยของเธอทำให้เธอไม่ได้คิดอะไรมาก
                    “เรื่องอะไรดีล่ะ   ...ไม่รู้สิ   แล้วแต่คุณละกัน
                    “ถ้าอย่างนั้น...ข้าจะเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้เจ้าฟัง    เจ้าต้องชอบแน่

                    “.......”แอนนิสตั้งใจฟัง   แวนเดรสหันมองหน้าแอนนิสนิดนึ่งก่อนจะเริ่มเล่า     
                    “กาลครั้งหนึ่ง....นานมาแล้ว...ในยุคแห่งเทพนิยาย มีชายหญิงอยู่คู่หนึ่ง  ฝ่ายหญิงคือผู้ล่า ส่วนฝ่ายชายคือผู้กระหายเลือด แต่ทั้งสองมีใจรักมั่นต่อกันและกันแน่นแฟ้นยิ่ง ตระกูลของทั้งสองฝ่ายเป็นอริกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ทั้งสองจึงถูกขัดขวางกีดกันความรัก แต่ทั้งสองก็รักกันมากเกินกว่าจะยอมพรากจากกัน จึงตัดสินใจหนีความวุ่นวายทั้งหมดไปอยู่ด้วยกัน ไม่นานทั้งคู่ก็ให้กำเนิดบุตรชายที่มีสองสายเลือด หรือครึ่งมนุษย์ครึ่งผู้กระหายเลือดออกมาเป็นพยานรัก คนของทั้งสองตระกูลหาทั้งคู่เจอ พวกเขาถูกพรากจากกันไปอยู่คนละมุมโลก บุตรของทั้งสองก็ต้องเสียชีวิตด้วยโรคระบาด แต่ความรักของพวกเขาก็ไม่อาจทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายเข้าใจได้ ทั้งคู้ตัดสินใจหนีไปอยู่ด้วยกันที่คฤหาสห์ร้าง แต่ก็ยังถูกตามล่าจนเวลาล่วงเลยไปนานแสนนาน ทั้งคู่ให้กำเนิดบุตรสองสายเลือดอีกครั้ง แต่ไม่นานผู้ใหญ่ของก็ตามหาทั้งสองเจอ พวกเขาได้ร่ำร้องขอชีวิตกันและกัน แต่ด้วยชาติกำเนิดที่ขัดแย้งกันทางผู้ใหญ่จึงไว้ชีวิตพวกเขาทั้งหมดไม่ได้    ทั้งสองจึงขอชีวิตของบุตรชายเอาไว้ และขอสละชีวิตตนเองแทน ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายจึงยินยอม พวกเขาได้ตัดสินใจกระโดดหน้าผาทิ้งร่างลงสู่ทะเลลึกเบื้องล่าง ดูเหมือนพระเจ้าจะรับรู้ในความรักของทั้งคู่    เพราะเวลาผ่านไปไม่นานก็มีหินงอกออกมาเหนือป้ายหลุมศพเป็นเหมือนรูปผู้หญิงถือดอกไม้ไว้ที่ทรวงอก สีหน้าเศร้าสลด คล้ายกับว่าต้องการจะไว้อาลัยให้กับความรักของทั้งคู่...  คนของทั้งสองตระกูลแย่งสิทธิ์การเลี้ยงดูบุตรของเขา แต่พวกเขาทั้งคู่คงไม่รู้เลยว่าได้ทิ้งให้บุตรชายของตนไว้เผชิญหน้ากับอะไรบ้าง แต่บุตรของเขาก็ไม่เคยโกรธหรือเกลียดบุพการีทั้งสอง แต่กลับภูมิใจที่เขาได้เกิดมาเพราะความรักของพ่อและแม่..... แวนเดรสจบนิทานของเขาแต่เพียงเท่านี้

                    “...ว้าว    ช่างเป็นความรักที่มั่นคงละโรแมนติกซะจริงเลย แอนนิสพูดอย่างอารมณ์ดี
                    “ในโลกนี้ยังมีเรื่องที่เจ้าคาดไม่ถึงอีกเยอะ เจ้ามีเวลาอีกทั้งชีวิตของเจ้าเพื่อค้นพบสิ่งเหล่านั้น...
                    “อืม...เหรอคะแอนนิสเอ่ยเสียงแผ่ว
                    ทำไมเขาถึงกล้าเล่าเรื่องนี้ให้แอนนิสฟังนะ ทั้งที่ถูกสั่งห้ามไม่ให้เล่าเรื่องของตระกูลแล้วเชียว ทำไมเขายังกล้าเล่าเรื่องของพ่อแม่ตนเองให้แอนนิสฟัง แวนเดรสนิ่งคิดเรื่องตัวเอง

                    มีเงาดำแล่นผ่านทุ่งดอกไม้ด้านหลังเขาไปเพียงชั่ววินาที    เเวนเดรสหันไปมองอย่างรวดเร็ว    แต่สิ่งที่ได้พบคือความมือ    และความว่างเปล่า    แวนเดรสรู้สึกเหมือนมีคนกำลังจ้องมองเขาอยู่    แต่สิ่งนั้นอยู่ไหนล่ะ    เขามองไม่เห็นจริงๆ
                    “เดี๋ยวนี้คุณชายวลาดผู้สูงศักดิ์หันมาทำอาชีพพี่เลี้ยงเด็กแล้วหรือ    ช่างเป็นบุญของเด็กน้อยผู้นี้เสียนี่กระไร!!!
                    เสียงนั้นก้องมาตามลม   แวนเดรสหันไปตามเสียงนั้นก็ต้องพบกันหญิงสาวหน้าตาสะสวยอยู่ในชุดราตรีสุดหรูสีทองในสไตล์ฝรั่งเศสโบราณ    แต่ความงามของหล่อนมันคงจะไม่เป็นที่ตกตะลึงมากไปกว่า...การที่เจ้าหล่อนไปยืนพิงไหล่ด้วยท่าทีสบายใจอยู่บนกิ่งก้านที่ยื่นออกมาของต้นโอ๊คขนาดสูงใหญ่เสียดฟ้า  

                    สาวผู้นั้นกระโดดลงมาจากต้นโอ๊คที่สูงราวๆตึกสามชั้นลงมาสู่พื้นอย่างเบาราวกับปุยนุ่นต้องสายลม    ถ้าเป็นมนุษย์ธรรมดาคงจะตกลงมาขาหัก   คอพับ   หรือไม่ก็วิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้วล่ะ
                    “ทำไมเจ้าไม่อยู่ในงานล่ะ...    มาเตอริน่า!!!แวนเดรสถามเสียงเรียบ
                    “...ข้าน่าจะเป็นฝ่ายพูดประโยคนี้กับเจ้ามากกว่านะคุณชายวลาด...หล่อนทำเสียงคางยาน
                    “ข้ารู้...   เจ้ากลับไปได้แล้ว”  
                    “อะไรกัน    ทำไมข้าต้องกลับไปที่นั่นด้วย   ในเมื่อเจ้ายังอยู่ได้เลยเธอทำท่ายียวน
                    “ถือว่าข้าขอร้องก็แล้วกัน    สหายแห่งข้า!!!



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×