คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 นางฟ้าตัวน้อยๆ (๑๐๐ เปอร์เซ็นต์)
“เมื่อช่วงบ่ายมีใครมาที่คฤหาสน์เราหรือเปล่า ซิลเวอร์”
‘วลาด แวนเดรส’เอ่ยถามพ่อบ้านที่ยกเอาเครื่องดื่มสีแดงสดที่ไม่หน้าจะใช่ไวท์หรือวิสกี้แน่นอนขึ้นมาให้เขาบนห้องห้องนอนอันกว้างขวานของเขา แต่สายตากลับมองทะลุผ่านหน้าหน้าต่างบานใหญ่ออกไปไปยังทุ่งดอกไม้ ที่แม้จะในเวลาค่ำคืนเช่นนี้ ความงามของธรรมชาติก็ไม่เคยหยุดพักเลยสักครา
“เห็นจะมีเพียงท่านหญิงเอริน่าขอรับ เธอมาธุระเรื่องงานวันเกิดครบรอบของท่านชายในวันพรุ่งนี้ขอรับ เธอเป็นผู้ที่รับผิดชอบเรื่องสถานที่และการแสดงทั้งหมดน่ะขอนับ”ซิลเวอร์ผู้มีฐานะเป็นพ่อบ้านประจำคฤหาสน์ตอบคำถามผู้เป็นนาย
“......อืม เจ้ามีอะไรก็ไปทำเถอะ”แวนเดรสบอกก่อนจะยกเครื่องดื่มสีแดงขึ้นมาจิบ
“ขอรับคุณชาย”ซิลเวอร์ตอบรับก่อนจะก้มตัวเล็กน้อยแล้วเดินออกจากห้องไป
“เดี๋ยว!! ...น้ำนี่...รสดีนะ”
“ขอรับ!!! นี่เป็นโลหิตชั้นดีของกวางป่าที่หายากมาก แต่โชคดีที่ท่านโอเวล่าหามาได้ เลยนำมากำนัลให้ท่านชายน่ะขอรับ”ซิลเวอร์เอ่ยถึงโอเวล่า ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานชายของแวนเดรส
“หมดธุระของเจ้าแล้ว ไปเถอะ”
เมื่อแวนเดรสมองออกไปยังทุ่งดอกไม้นั่น มันทำให้เขาหวนนึกถึงเด็กสาวตาใสคนนั้น กับใบหน้าใสซื่อในยามที่หล่อนมองเขา มันทำให้เขาอยากรู้จักหล่อนมากขึ้นๆ........
“แอนนิสจ๊ะ!!!”เอริน่าเรียกหาบุตรสาวเสียงดังตั้งแต่หัวบันไดชั้นสองของตัวบ้าน
“คะ คุณแม่”แอนนิสน้อยขานรับทั้งที่ตัวเองยังนอนคว่ำชันเข่าขะมักเขม้นอยู่กับการใช้สีแท่งระบายภาพวาดอยู่ข้างๆเจ้าพัมมิสที่นอนหลับอุตุไม่รู้เรื่อง
“พรุ่งนี้ลูกว่างไหมจ๊ะ”เอริน่าเดินลงมาถามบุตรสาว
“อืม...ก็ว่างนะคะ ไม่มีหนุ่มที่ไหนนัดเดท ไม่มีเรียนพิเศษ แล้วก็ไม่ได้นัดเพื่อนที่ไหนเที่ยวด้วยค่ะ”แอนนิสตอบยิ้มๆ คำพูดของแอนนิสทำให้ผู้เป็นมารดาถึงกับขำออกมาเบาๆ
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงล่ะก็... เย็นวันพรุ่งนี้แม่อยากให้ลูกไปสีวัยโอลีนโชว์ที่งานเลี้ยงในคฤหาสน์ของคุณชายวลาดน่ะลูก สนุกนะจ๊ะ”
อืมมม แล้วเราจะไปดีไหมนะ งานเลี้ยงของผู้ใหญ่คงจะไม่มีอะไรให้เด็กอย่างเธอทำมากนักหรอก สำหรับแอนนิสแล้ว การนั่งวาดภาพอยู่กับเจ้าพัมมิสที่บ้านยังสนุกกว่าอีก แต่ว่า...เราอาจจะได้เจอเขาคนนั้นอีกหนก็เป็นได้ แอนนิสหวนนึกถึงบุรุษที่ได้เจอกันใต้ต้นโอ๊คในช่วงบ่ายวันนี้
“....ก็ได้ค่ะ แต่พรุ่งนี้คุณแม่ต้องพาหนูไปช๊อปปิ้ง ซื้อชุดใหม่ที่จะใส่ไปงานนะคะ”แอนนิสรับคำมารดาอย่างกระตือรือร้น ทำให้เอริน่ายิ้มออกมาอย่างเอ็นดู
“ก็ได้จ่ะ แต่ ตอนนี้ได้เวลาที่ลูกกับเจ้าพัมมิสต้องไปอาบน้ำแล้วก็เข้านอนแล้วนะจ๊ะ”
“ค่ะคุณแม่”แอนนิสตอบพร้อมกับวิ่งขึ้นไปชั้นสองของบ้านหลังใหญ่พร้อมกับเจ้าพัมมิส
ณ งานเลี้ยงในคฤหาสน์วลาด
แวนเดรสอยู่ในชุดสูททักสิโด้สีดำ นั่งอยู่บนเก้าอี้นวมสีแดงสดตัวโตที่ตั้งอยู่ข้างระเบียงชั้นสองเพื่อรอเวลาเปิดตัวของตน
แวนเดรสเฝ้าคอยเธอตั้งแต่งานพึ่งเริ่ม เขาคอยชะเง้อหาเธอทุกครั้งที่มีแขกเดินเข้ามาในงาน แต่ก็ยังไม่พบแม้แต่เงา
แอนนิสและมารดาก้าวลงมาจากรถ โดยที่วันนี้ไม่มีเจ้าพัมมิสตามมาด้วย เพราะแม่ของเธอบอกว่าจะทำให้งานวุ่นวายได้ เธอจึงต้องมางานเพียงผู้เดียวโดยไม่มีผู้ติดตามเหมือนเช่นเคย
แอนนิสน้อยอยู่ในชุดแซ็คสีขาวกระโปรงฟูฟ่องยาวคลุมเข่า พร้อมกับผมสีน้ำตาลทองที่ถูกมัดแกะแล้วดัดให้เป็นลอนม้วนโต กับรองเท้าคู่น่ารักสีเดียวกับชุด มันทำให้เธอดูเหมือนนางฟ้าตัวน้อยๆมากกว่าจะเป็นหญิงงาม
แอนนิสเดินเข้ามาในงานพร้อมกับมารดาที่กล่าวทักทายผู้คนในงานอยู่ตลอดทาง ตั้งแต่สวนหน้าบ้านไปจนถึงตัวคฤหาสน์ซึ่งบัดนี้ได้ถูกตกแต่งและประดับประดาด้วยดอกไม้ และโคมไฟสีสวยไว้ตลอดทาง มีแขกมากมายเข้ามาร่วมในงานนี้ บางคนได้เดินเข้ามาทักมารดาของแอนนิส และหยุดคุยกันเป้นพักๆ
“นี่ลูกสาวของท่านหรือ เอริน่า!!!”คุณหญิงชุดแดงที่อายุคงราวๆ 30 แต่กลับดูเหมือนอย่างกับหญิงชราวัย 40 เพราะหล่อนแต่งหน้าเข้มและหนาเหมือนต้องการจะปกปิดริ้วรอยแห่งวัยของตัวเอง แต่มันกลับทำให้ดูชรามากขึ้นกว่าเดิมในสายตาของแอนนิส เดินเข้ามาทักเอริน่า
“ค่ะ นี่แอนนิส ลูกสาวของดิฉันเอง” เอริน่าตอบคำถาม
“งั้นเหรอจ๊ะ น่ารักน่าหยิกจริงๆเลย ดูสิค่ะ เหมือนเจ้าหญิงเลย”หล่อนแล้วหันมาหยิกแก้มแอนนิสซะแรง ทำท่าทางอย่างกับเอ็นดูเธอเสียเต็มประดา ประโยคหลังเธอหังไปหัวเราะกับกลุ่มเพื่อนสนทนา 4-5 คนที่ยืนห้อมล้อมแม่ของเธออยู่
‘น่าเบื่อจริงๆเลย ต้องมาคอยยืนคุยกับคนนู้นคนนี้ ไม่เห็นจะสนุกอย่างที่แม่บอกเลย’แอนิสคิดในใจ
“ขออภัยทุกท่านนะคะ แอนิสจ๊ะได้เวลาที่ลูกต้องไปเตรียมตัวแล้ว ขอตัวนะคะ”เอริน่าบอกผู้ร่วมสนทนา แต่ประโยคตรงกลางแอบก้มลงกระซิบกะลูกสาว แล้วเดินเข้าไปในห้องๆหนึ่งที่อยู่ลึกเข้าไปด้านหลังของเวทีที่ตั้งอยู่ด้านหน้า ซึ้งมีบันไดทั้งสองฝังขนาบข้างไว้
“ลูกเข้าไปรอแม่ข้างในนั้นก่อนนะจ๊ะ จะมีคนมาแต่งหน้าให้ลูก แล้วถ้าแม่ยังไม่มาให้ลูกซ้อมไวโอลีนในห้องนั้นไปก่อนนะ มันเป็นห้องเก็บเสียงน่ะ รับรองว่าปลอดภัยจ่ะ”เอริน่าบอกบุตรสาวรัวเมื่อมายืนอยู่หน้าห้องนั้น แล้วบีบไหล่ทั้งสองข้างของเธอเบาๆก่อนจะเดินหายเข้าไปด้านในที่ลึกกว่าห้องนั้น
แอนิสสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะผลักประตูไม้บานใหญ่เข้าไป เสียงความวุ่นวายข้างในเล็ดลอดออกมา ทำให้แอนิสตกใจเล็กน้อย แต่เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น แอนนิสก้าวเข้าไปข้างในก่อนจะเลื่อนประตูปิดเบาๆ แต่ก็ยังดังพอที่จะทำให้ทุดคนหันมาสนในร่างเล็กๆของเธอ
“ตายแล้ว!! เด็กที่ไหนหลงเข้ามาเนี้ย น่ารักจริงๆ”
“ลูกใครน่ะ เข้ามาได้ยังไงเนี้ย”
“เด็กที่ไหนน่ะ ตัวก็ขาว แก้มแดงๆอย่างเนี้ยน่ากินจริง”
“เด็กๆอย่างเนี้ยะ เลือดคงจะหวานน่าดูนะ”คำพูดมากมายพรั่งพรูออกมาจากปากของคนที่แต่งตัวประหลาดมากมายที่ออกันอยู่เต็มห้อง บางประโยคทำให้แอนนิสถึงกับงง
“พอได้แล้วทุกคน" เพียงแค่คำพูดของชายชราผู้หนึ่ง กลับทำให้ทั้งห้องเงียบได้ชั่วขณะ
"รู้จักไว้ซะ นี่คุณหนูแอนนิส เธอให้เกียรติมาเข้าร่วมในการแสดงครั้งนี้ด้วย ใครก็ได้ช่วยมาดูแลเธอที” แต่เพียงแต่เซี้ยวนาทีเท่านั้นห้องทั้งห้องก็กลับมาวุ่นวายเหมือนเดิม
“สวัสดีครับ กระผมคือซิลเวอร์ เป็นพ่อบ้านของที่นี่ มีอะไรก็เรียกได้นะขอรับ และนี่คือผู้ที่จะมาดูแลคุณหนูนะขอรับ ไม่ต้องเกรงใจ”ชายชราหันมาแนะนำตัว แล้วผายมือไปยังผู้ชายร่างใหญ่ที่เดินมาหยุดด้านหลังของแอนนิส
“คุณหนูแอนนิสใช่มั๊ยฮะ มาทางนี้ดีกว่างฮ่ะ เดี๋ยวพี่จะแต่งให้สวย ๆ เลยยย...”เสียงใหญ่ๆที่ดูเหมือนจะถูกดัดให้แหลมถูกเปล่งออกมาจะปากของผู้ชายคนนั้น ดูเหมือนว่าเขาจะมีสองเพศในร่างเดียวอ่ะนะ
เขาดึงแอนนิสไปนั่งยังเก้าอี้ที่ว่างอยู่เพียงตัวเดียว แล้วลงมือใช่เครื่องสำอางยี่ห้องดังแต่งแต้มลงบนใบหน้าเรียวเล็กนั่น
“แหม... หน้าเด็กๆเนี้ยแต่งง่ายดีจังเลยน้า...น่าอิจฉาจริงๆ”ช่างแต่งหน้าคนนั้นพูด
“นี่หล่อนๆ ใช่สีฟ้าดีกว่านะ หน้าเด็กจะได้สว่างๆ”ผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินผ่านมาหันมาบอก
“อย่าเลย เอาสีส้มดีกว่า”
“แต่ฉันว่า... น่าจะเป็นสีม่วงนะ”
“ฉันว่าสีเขียวดีกว่า”
เสียงผู้คนเถียงกันอยู่ด้านหลังแอนนิส
“พอแล้วๆ ฉันเป็นคนแต่งนะยะ เพราะฉะนั้นเอาสีชมพูดีที่สุด”เสียงใหญ่ๆที่ถูกดัดเอ่ยขึ้น
“โหยยยย...”ผู้คนที่ออกันอยู่ด้านหลังแอนนิสส่งเสียงอย่างไม่พอใจ
“เอาล่ะ เสร็จแล้วจ่ะหนู”ช่างแต่งหน้าพูด ก่อนจะจับผนักเก้าอี้หันมาให้ทุกคนในห้องดู
“””””””””””””””””
“แอนนิสจ๊ะ มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ล่ะ ทำไมไม่อยู่ในห้องแต่งตัวล่ะจ๊ะ”เอริน่าทักบุตรสาวที่ออกมายืนหลบอยู่ที่ด้านหลังเวที
“คือหนู... หนู หนูอยากออกมาหาอะไรทานน่ะค่ะ หนูหิวแล้ว”แอนนิสพูดปดมารดา แท้ที่จริงแล้วเธออึดอัดและรำคาญกับการที่ถูกผู้คนเหล่านั้นจับเธอแต่งตัวมากกว่า
“อย่างนั้นเหรอจ๊ะ งั้นเราไปหาอะไรทานกันดีกว่า”
ว่าแล้วเอริน่าก็จูงมือบุตรสาวออกไปจากที่แห่งนั้น
“เอาล่ะ อยากกินอะไรก็เลือกเลยนะ แม่ต้องกลับไปเตรียมงานแล้ว แล้วลูกก็อย่ากินเลอะเทอะล่ะ เดี๋ยวก็หมดสวยกันพอดี แต่ว่าลูกห้ามดื่มเครื่องดื่มในคฤหาสน์นี้เป็นอันขาดนะ นอกจากแม่จะเป็นคนหามาให้เอง”
“ค่ะ”แอนนิสยิ้มตอบผู้เป็นแม่อย่างง ๆ แล้วเดินไปเลือกอาหารมาใส่จาน
หลังจากที่ได้อาหารตามต้องการแล้วแอนนิสน้อยเลือกที่จะมานั่งทานอยู่ที่ระเบียงกว้างข้างๆประตูมากกว่าการนั่งทานอยู่ในห้องอาหารหรูๆภายใต้คฤหาสน์ใหญ่
ส่วนทางแวนเดรส เขาอดรนทนรอที่จะต้องนั่งชะเง้อมองหาคนที่รอคอยอยู่ข้างบนไม่ไหว เขาจึงต้องลงมาชั้นล่างอย่างร้อนใจ แม้ว่าจะยังไม่ถึงเวลาเปิดตัวก็เถอะ ทำไมเด็กนั่นยังไม่มาอีกนะ หรือว่าเธอจะไม่ได้มางานนี้ด้วย
เอ๊ะ!!! แล้วทำไมเขาจะต้องเป็นกังวลถึงขนาดนี้นะ มีหญิงงามมากมายที่พร้อมจะพลีชีพเพื่อเขา ทำไมเขาจะต้องมาสนใจเด็กตัวเล็กๆอย่างแอนนิสด้วย แวนเดรสสับสนกับความรู้สึกของตัวเองเป็นยิ่งนัก เด็กนั่นมีดีอะไรที่หญิงอื่นไม่มีหรือ ก็คงจะเป็นความไร้เดียงสาแล้วก็ความสดใสของเธอสินะที่สามารถผูกใจเขาไว้ได้
............................................................................
แวนเดรสคิดผิดจริงๆเลยที่ลงมาตามหาเธอข้างล่าง เพราะการปรากฏตัวของเขาทำให้มีแขกมากมายในงานเบนความสนใจมาที่เขา มันยิ่งทำให้เป็นการยากที่จะตามหาตัวเด็กคนนั้น
แต่แล้วความปรารถนาของเขาก็เป็นผล เมื่อสายตาของเขาเหลือบไปเห็นร่างของเล็กๆของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังให้ความสนกับสวนน้ำพุของเขาอยู่ที่ระเบียงข้างประตูโดยไม่สนใจความวุ่นวายรอบข้าง เธออยู่ในชุดที่ทำให้เหมาะสมกับวัย มันทำให้เขายิ้มออก
.............................................................................................................
แวนเดรสกล่าวขอตัวกับผู้ร่วมสนทนาแล้วตรงไปหาแอนนิส
“เจอกันอีกแล้วนะ”แวนเดรสพูดเสียงกระซิบอยู่ด้านหลังร่างแอนนิส มันทำให้แอนนิสสะดุ้งเล็กน้อย พร้อมกับหันกลับมาด้วยความตกใจ
“คุณ”แอนิสเปลี่ยนสีหน้าทันทีที่เจอเขา บุรุษที่เธออยากเจอ จากการที่เจอกันครั่งที่แล้วเขานั่งอยู่ พอเจอกันในครั้งนี้ร่างใหญ่ๆของเขายืนเต็มความสูงบังเธอจนมิดเลย
“ทำไม การที่ได้เจอข้ามันทำให้เจ้าลำบากใจหรือ”แวนเดรสเลิกคิ้วถาม
“ไม่ใช่อย่างงั้นนะคะ หนูดีใจต่างหากที่เจอคุณ”แอนนิสรีบแก้ตัว
“ข้านึกว่าเจ้าจะไม่มางานนี้เสียแล้วสิ เจ้ารู้หรือไม่ว่าการรอคอยของข้ามันยิ่งใหญ่นัก”แวนเดรสพูดน้ำเสียงตัดพ้อ
“หนูดีใจนะคะที่คุณอยากเจอหนู”แอนนิสยิ้ม
“เมื่อครั้งที่แล้วเจ้าด่วนจากข้าไปซะก่อน การเจอกันครั้งนี้ข้าขอทราบนามของเจ้าหน่อยได้หรือไม่”
“แอนนิสค่ะ ‘เวเนอร์ แอนิสัน’ ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการนะคะ”แอนนิสยื่นมือออกไปข้างหน้า
( ป.ล. ชื่อของชาวต่างชาติจะใช้นามสกุลนำหน้าชื่อจริง ส่วนชื่อย่อหรือชื่อเล่นจะเรียกอย่างไรก้ได้ให้คล้องกับชื่อจริง)
“ข้า แวนเดรส ‘วลาด แวนเดรส’ ยินดีที่ได้รู้จักเจ้าเช่นกัน”เขาไม่เพียงยื่นมือไปสัมผัสกับมือน้อยๆนั่นธรรมดา แต่กลับก้มลงจุมพิตมันเบาๆอีกด้วย
คงเพราะความเยาว์วัยของเธอทำให้แอนนิสไม่ได้คิดอะไร ได้แต่มองการกระทำของเขายิ้มๆเท่านั้น
....วลาดอย่างงั้นเหรอ คงจะเป็นหลานชายหรือญาติเจ้าของงานล่ะมั้งมั้ง.... แอนนิสคิด
............................................................................................
“แล้วเจ้ามาทำอะไรที่นี่งั้นเหรอ”แวนเดรสนั่งลงที่ราวระเบียงเพื่อที่จะได้คุยสะดวก ถามหลังจากที่คุยกันได้ซักพัก
“อ๋อ....ก็งานนี้เป็นงานฉลองวันเกิดของเจ้าของบ้านไม่ใช่เหรอคะ หนูก็ต้องมาร่วมอวยพรน่ะซี่”แอนนิสตอบอย่างอารมณ์ดี โดยที่ไม่รู้ว่าเจ้าของงานมานั่งอยู่ข้างๆตนแล้ว
“เขาคงดีใจมากนะที่เธอให้เกียติมาร่วมฉลองและได้รับคำอวยพรจากเธอ”
“หนูต่างหากล่ะคะที่รู้สึกเป็นเกียติ ก็คนที่เป็นเจ้าของงานนี้น่ะ มีบุญคุณกับครอบครัวหนูจะตายไป”แอนนิสพูดตามที่เธอรู้
“เจ้ารู้ได้ยังไง บางทีพ่อแม่เจ้าอาจจะเป็นผู้มีพระคุณกับเขาก็ได้”แวนเดรสพูดในสิ่งที่ทำให้แอนนิสมองหน้าเขา
“ก็คุณแม่บอกว่า คุณลุงคนนั้นน่ะ ช่วยไม่ให้บริษัทของคุณพ่อล้มละลาย แล้วยังช่วยเหลือเราอีกตั้งหลายอย่าง”
“คุณลุงงั้นเหรอ...หึๆ.... สิ่งที่เจ้ารู้อาจจะเป็นอะไรที่ผิดก็ได้ เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าพ่อแม่ของเจ้าจะเป็นผู้มีพระคุณของเขาน่ะ”เขาบอกอย่างมีความหมาย
......................................................................................................................
แวนเดรสหวนนึกถึงเมื่อแปดปีที่แล้ว คราที่แอนนิสยังไม่มีตัวตน คราที่เขาถูกพวกกบฏล้มล้างบัลลังก์ตามล่าปลิดชีวิต เขาต้องหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย จนหมดแรงไม่เหลือคราบคุณชายแวนเดรสผู้สูงศักดิ์ มีสามีและภรรยาสาวที่กำลังตั้งท้องอ่อนๆอยู่คู่หนึ่งช่วยเขาไว้
ทั้งสองเป็นเจ้าของฟาร์มนมวัว ตอนนั้นแวนเดรสบาดเจ็บสาหัสเอาการ แล้วยังไม่สามารถกินอาหารเหมือนพวกเขาไม่ได้ เมื่อทั้งสองรู้ว่าเขาเป็นอะไรก็ไม่ได้ไล่เขาออกจาฟาร์มหรือทำท่ารังเกียจแต่อย่างใด กลับยอมเสียสละวัวนมและสัตว์ในฟาร์มให้กับเขาเพื่อใช้เป็นอาหาร ซึ่งมันทำให้สมาชิกในฟาร์มลดจำนวนลงไปมากกว่าครึ่ง
เมื่ออาการบาดเจ็บของเขาทุเลาลงได้ไม่นานพวกกบฏก็ตามตัวเจอ ผู้เป็นสามียอมเสียสละชีวิตตังเองเพื่อที่จะให้ภรรยาและเขาหนีรอด มันทำให้แวนเดรสรู้สึกพลาบปลื้มในตัวทั้งสองคนมาก และยังรู้สึกผิดมากเมื่อภารยาของชายผู้นั้นซึ่งก็คือเอริน่า ต้องให้กำเนิดทารกในที่ๆไม่ใช่โรงพยาบาลหรือบ้านของตน แต่กลับเป็นคอกม้าเก่าๆในคฤหาสน์วลาดแห่งนี้ เขายิ่งรู้สึกสำนึกผิดกับการที่ทำให้เด็กที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยต้องมาเสียบิดาไปทั้งที่ยังไม่ทันได้เห็นหน้ากันด้วยซ้ำ จนพวกกบฏถูกล้มล้างลง ...
เขาจึงเต็มใจเป็นอย่างมากที่จะให้ความช่วยเหลือเอริน่า จนตระ*ลนี้กลายเป็นว่ามีเชื้อมีสายเข้ามาและได้ชื่อว่ามีอิทธิพลเป็นอย่างมาก ถึงบัดนี้เวลาก็ล่วงเลยมามากแล้วแต่เขาก็ไม่เคยไม่เคยให้ความสำคัญของตระกูลนี้ลดลงได้เลย
...................................................................................................................................
“แอนนิสจ๊ะ ได้เวลาแล้วลูกมาเตรียมตัวเถอะจ่ะ”เอริน่าร้องบอกอยู่ที่สนามหน้าคฤหาสน์
“ค่ะแม่”แอนนิสตอบ
“เตรียมอะไรหรือ”แวนเดรสถามอย่างใคร่รู้
“อ๋อ... ก็งานเนี๊ยะหนูจะสีวัยโอลีนให้เป็นของขวัญวันเกิดคุณลุงวลาดน่ะสิคะ ”แอนนิสบอก
“งั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นข้าจะคอยฟังนะ แอนนิสน้อย”แวนเดรสขยี้หัวแอนนิสเบาๆ
“ไปนะคะ แล้วเดี๋ยวมาคุยด้วยใหม่”แอนนิสวิ่งไปหลังม่านงาน
แวนเดรสลุกขึ้นแล้วหันออกไปนอกระเบียง เห็นเอริน่ากำลังมองเขาอยู่ เขาจึงยิ้มทัก เอริน่าก้มหัวเป็นการคำนับเล็กน้อย ก่อนที่จะแวนเดรสจะเดินหายเข้าไปในงาน
………………………………………………….
แอนนิสเตรียมความพร้อมของสายวัยโอลีนอยู่ด้านหลัง
“งานวันนี้มีเซอร์ไพรซ์กันครับ นั่นก็คือ...คุณหนูแอนนิสแห่งตระ*ลเวเนอร์จะมาสีวัยโอลีนเพื่อเป็นของขวัญให้แก่คุณชายวลาด เชิญรับชมรับฟังได้เลยขอรับ”หัวหน้าคณะกายกรรมที่มารับหน้าที่พิธีกรเอ่ย
เสียงปรบมือดังทั่วงานก่อนที่ม่านเวทีจะเปิดออก เผยให้เห็นแอนนิสพร้อมกับวง.........แต่กลับไร้เงาของผู้เล่นเปียโน ซึ่งเป็นที่แปลกใจของทุกคนรวมทั้งคนในวงดนตรีด้วย
“เฮอะ ให้เด็กมาเรียกความสนใจจากท่านวลาดล่ะสิ แม่เอริน่านี่แผนสูงนะ”
“เด็กนั่นใครน่ะ คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ถึงกล้ามาเล่นเทียบกับวงดนตรีอันดับหนึ่งของประเทศน่ะ”
“จะเรียกร้องคะแนนรึไงตระกูลนี้ ส่งเด็กมารับชะตากรรมแทน”
“เก่งจริง ตัวแค่นั้นเล่นวัยโอลีนเก่งถึงขนาดขึ้นแสดงได้แล้วเหรอเนี้ย”
มีเสียงติชมลอยมาตามลม ถึงจะเบาแต่แอนนิสก็ได้ยิน มันพาดพิงถึงคนทั้งตระ*ลของเธอ แต่เธอพยายามระงับอารมณ์ไว้ได้
แอนนิสเริ่มสีวัยโอลีนเป็นเพลงคลาสสิคเพลงหนึ่งที่แม้แต่ผู้ใหญ่บางคนยังเล่นไม่ได้ถ้าไม่เก่งจริง คนในงานถึงกับเงียบไป แม้แต่คนในวงมืออาชีพยังอึ้งในความสามารถของแอนนิสจนลืมนึกถึงเรื่องคนเล่นเปียโน คงจะมีแค่แอนนิสคนเดีย;ที่ยังมองหาเขาอยู่
จู่ๆก็มีเสียงเปียโนดังขึ้น ทุกคนในงานต่างหันมาสนใจกับชายหน้าตาคมสัน หน้าตาอันอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงที่ถ้าทุกคนรู้คงจะบอกว่าเป็นไปไม่ได้ เขาใสชุดสูททักสิโด้สีดำตัดกับเปียโนสีขาวที่อยู่บนเวที มันทำให้แอนนิสแปลกใจ แวนเดรสเป็นคนเล่นเปียโนงั้นหรือ ทำไม่เธอไม่ถามเขานะ
แวนเดรสหันมามองแอนนิสนิดนึ่งก่อนจะยิ้มให้ เขารู้ว่าเธอละทุกคนแปลกใจที่เห็นเขามานั่งเล่นเปียโนแทนที่ผู้เล่นตัวจริง แต่มันยังดีที่ทำให้แอนนิสยิ้มออกและเดินเข้ามาเล่นอยู่ข้างๆเขา
ทั้งสองเล่นได้เข้าขากันมาก เมื่อเพลงจบเสียงปรบมือดังกันเกรียวกราว นักดนตรีทุกคนโค้งคำนับ แวนเดรสลุกขึ้นมาจับมือแอนนิสเดินออกมาข้างหน้านิดนึ่ง แอนนิสยังมองหน้างเขางงๆ
“ขอขอบใจพวกเจ้าทุกคนที่มาร่วมงานฉลองครั้งนี้ และขอใจมากสำหรับนักดนตรีตัวน้อยนี่ มันคงจะถึงเวลาที่งานจะเริ่มแล้วสินะ ถ้าอย่างนั้นในฐานะเจ้าของงานนี้ ข้า... วลาด แวนเดรส ขอเปิดงานที่ทุกคนรอคอย ณ บัดนี้”
เมื่อแวนเดรสพูดจบนักดนตรีรวมทั้งนักเปียโนก็เริ่มบรรเลงเพลงว้อล ผู้คนเริ่มออกมาเต้นรำ แวนเดรสดึงมือแอนนิส ออกมาจากที่แห่งนั้นแล้วเลยไปยังทุ่งดอกไม้ด้านหน้าคฤหาสน์
...............................................................
“ไม่ยักรู้นะคะว่าคุณเล่นเปียโนเป็นด้วย แถมยังเป็นถึงคุณชายวลาดเจ้าของคฤหาสน์นี้อีก...”
คำพูดของแอนนิสทำใหแวนเดรสหยุดเดิน
“เจ้าประชดข้า นี่เจ้าโกรธข้าหรือ”
“เปล่าซะหน่อย คุณไม่ได้ทำอะไรผิดนี่”แอนนิสทำแก้มป่อง แล้วกอดอกหันหลังให้เขา
“ข้าไม่เคยโกหกอะไรเจ้า ข้าแค่ไม่ได้บอกความจริงเท่านั้น”
“แล้วมันต่างกันตรงไหนล่ะ”แอนนิสหันกลับมาพูดแลลัวก็สะบัดหน้ากลับไปเหมือนเดิม กิริยาของเธอทำให้แวนเดรสขำออกมาเบาๆด้วยความเอ็นดู
“ต่างสิ ในเมื่อการกระทำของข้าไม่ถือว่าเป้นการโกหก”เขาพูดพลางให้นั่งลงบนพื้นหญ้าที่ล้อมรอบไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ ก่อนจะดึงแอนนิสให้นั่งตาม
“การที่ข้าคือคุณชายวลาดมันต่างกับการที่ข้าเป็นวลาด เพื่อนเล่นของเจ้าตรงไหน”เขาหันไปพูดกับแอนนิสที่ยังไม่ยอมมองหน้าเขา
“........”แอนนิสเงียบ
“ไม่ว่าข้าจะเป็นใคร ข้าก็คือวลาดเพื่อนของเจ้า”แวนเดรสบอก
“........”แอนนิสยังเงียบ
“ข้าให้คำมั่นกับเราแล้วไม่ใช่หรือ ....ด้วยดอกลาเวนเดอร์นี้”เขาหยิบเอาดอกลาเวนเดอร์ที่เธอเคยให้เขาไว้เมื่อครั้งก่อนออกมาจากเสื้อสูท
“.......”แอนนิสหันมามองหน้าเขา
“ถ้าเยี่ยงนั้น...ข้าขอให้คำมั่นกับเจ้าว่าข้า...วลาดแวนเดรสผู้นี้ยินดีจะเป็นสหายของเจ้าเช่นกัน”
แวนเดรสหันไปเด็ดดอกลาเวนเดอร์สีม่วงที่ขึ้นอยู่ข้าง ๆ ตัวขึ้นมามัดกับดาเวนเดอร์ที่เริ่มจะเฉาอยู่ในมือตน แล้วยื่นให้แอนนิส
“แต่ว่า...การที่คุณเป็นคุณชาย เราก็จะไม่ได้มาเล่นด้วยกันอีก เวลาเจอกันที่อื่นก็ทักกันไม่ได้ เพราะคนอื่นคงคิดว่าคุณชายอย่างคุณคงไม่รู้จักเด็กอย่างหนูหรอก”แอนนิสพูดเสียงเศร้าๆ
“ใครว่า ข้าก็คือข้า เจ้าจะทักเมื่อไหร่ก็ได้ ในเมื่อเราเป็นเพื่อนกัน”แวนเดรสบอกเสียงนุ่ม
“จริงเหรอคะ”แอนนิสทำท่าดีใจ แวนเดรสเหลือบไปเห็นไวโอลีนที่ติดมากับมือแอนนิส
“ข้าจะโกหกเจ้าทำไม ...ตอนนี้ข้าอยากฟังเจ้าสีวัยโอลีนมากกว่าสิ่งอื่นใด”
“งั้นต้องมีของแลกเปลี่ยน...”
“หากเจ้าปรารถนาสิ่งใด ข้าจะหามามอบให้เจ้าให้จงได้”
“อืม...”แอนนิสทำท่าคิด
“ตอนนี้ยังคิดไม่ออก งั้นเอาไว้เล่นวัยโอลีนเสร็จเมื่อไหร่หนูจะทวง”
“ย่อมได้”
แอนนิสยิ้มนิดนึ่งก่อนจะเริ่มยกวัยโอลีนขึ้นมาสีเป็นเพลงคลาสสิก เสียงวัยโอลีนดังก้องไปทั่วทุ่งดอกไม้ยามค่ำคืน มันช่างเป็นอะไรที่โรแมนติกยิ่งนักสำหรับแวนเดรส
เขาเผลอจ้องมองหน้าของแอนนิสอยู่เนิ่นนานก็ต้องสะดุ้ง นี่เขาหลงรักเด็กวัย 7 ขวบหรือนี่ หากผู้ใดรู้เข้าคงจะหัวเราะเยาะเขาเป็นแน่ อะไรกันนี่ เขาแปลกใจในตัวเอง
สักพักเสียงวัยโอลีนก็หยุดลง แอนนิสหันมายิ้มตาหยีให้แวนเดรส
“เป็นยังไงคะ เพราะไหมคุณวลาด...”
........................................................................
สักพักเสียงวัยโอลีนก็หยุดลง แอนนิสหันมายิ้มตาหยีให้แวนเดรส
“เป็นยังไงคะ เพราะไหมคุณวลาด...”
“แวนเดรส ข้าอยากให้เจ้าเรียกข้าว่าแวนเดรส”
“เอ่อ... ค่ะ”แอนนิสยิ้มรับคำ
“เจ้าเล่นได้เพราะมากแอนนิสน้อย แล้วสิ่งแลกเปลี่ยนที่เจ้าต้องการล่ะ ...มันคืออะไร”
“อืม... งั้น....คุณก็เล่านิทานให้หนูฟังสิ ได้รึเปล่า”แอนนิสส่งสายตาเว้าวอน
“ย่อมได้ เจ้าอยากฟังเรื่องอะไรล่ะ”
แวนเดรสไม่พูดปล่าวกลับดึงแอนนิสที่นั่งจ้องหน้าเขาอยู่ให้ล้มลงนอนบนตักของเขา แต่เธอก็ไม่ได้คิดมากยอมนิ่งอย่างว่าง่าย คงเพราะความเยาวัยของเธอทำให้เธอไม่ได้คิดอะไรมาก
“เรื่องอะไรดีล่ะ ...ไม่รู้สิ แล้วแต่คุณละกัน”
“ถ้าอย่างนั้น...ข้าจะเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้เจ้าฟัง เจ้าต้องชอบแน่”
“กาลครั้งหนึ่ง....นานมาแล้ว...ในยุคแห่งเทพนิยาย มีชายหญิงอยู่คู่หนึ่ง ฝ่ายหญิงคือผู้ล่า ส่วนฝ่ายชายคือผู้กระหายเลือด แต่ทั้งสองมีใจรักมั่นต่อกันและกันแน่นแฟ้นยิ่ง ตระกูลของทั้งสองฝ่ายเป็นอริกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ทั้งสองจึงถูกขัดขวางกีดกันความรัก แต่ทั้งสองก็รักกันมากเกินกว่าจะยอมพรากจากกัน จึงตัดสินใจหนีความวุ่นวายทั้งหมดไปอยู่ด้วยกัน ไม่นานทั้งคู่ก็ให้กำเนิดบุตรชายที่มีสองสายเลือด หรือครึ่งมนุษย์ครึ่งผู้กระหายเลือดออกมาเป็นพยานรัก คนของทั้งสองตระกูลหาทั้งคู่เจอ พวกเขาถูกพรากจากกันไปอยู่คนละมุมโลก บุตรของทั้งสองก็ต้องเสียชีวิตด้วยโรคระบาด แต่ความรักของพวกเขาก็ไม่อาจทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายเข้าใจได้ ทั้งคู้ตัดสินใจหนีไปอยู่ด้วยกันที่คฤหาสห์ร้าง แต่ก็ยังถูกตามล่าจนเวลาล่วงเลยไปนานแสนนาน ทั้งคู่ให้กำเนิดบุตรสองสายเลือดอีกครั้ง แต่ไม่นานผู้ใหญ่ของก็ตามหาทั้งสองเจอ พวกเขาได้ร่ำร้องขอชีวิตกันและกัน แต่ด้วยชาติกำเนิดที่ขัดแย้งกันทางผู้ใหญ่จึงไว้ชีวิตพวกเขาทั้งหมดไม่ได้ ทั้งสองจึงขอชีวิตของบุตรชายเอาไว้ และขอสละชีวิตตนเองแทน ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายจึงยินยอม พวกเขาได้ตัดสินใจกระโดดหน้าผาทิ้งร่างลงสู่ทะเลลึกเบื้องล่าง ดูเหมือนพระเจ้าจะรับรู้ในความรักของทั้งคู่ เพราะเวลาผ่านไปไม่นานก็มีหินงอกออกมาเหนือป้ายหลุมศพเป็นเหมือนรูปผู้หญิงถือดอกไม้ไว้ที่ทรวงอก สีหน้าเศร้าสลด คล้ายกับว่าต้องการจะไว้อาลัยให้กับความรักของทั้งคู่... คนของทั้งสองตระกูลแย่งสิทธิ์การเลี้ยงดูบุตรของเขา แต่พวกเขาทั้งคู่คงไม่รู้เลยว่าได้ทิ้งให้บุตรชายของตนไว้เผชิญหน้ากับอะไรบ้าง แต่บุตรของเขาก็ไม่เคยโกรธหรือเกลียดบุพการีทั้งสอง แต่กลับภูมิใจที่เขาได้เกิดมาเพราะความรักของพ่อและแม่..... ”แวนเดรสจบนิทานของเขาแต่เพียงเท่านี้
“...ว้าว ช่างเป็นความรักที่มั่นคงละโรแมนติกซะจริงเลย” แอนนิสพูดอย่างอารมณ์ดี
“ในโลกนี้ยังมีเรื่องที่เจ้าคาดไม่ถึงอีกเยอะ เจ้ามีเวลาอีกทั้งชีวิตของเจ้าเพื่อค้นพบสิ่งเหล่านั้น...”
“อืม...เหรอคะ”แอนนิสเอ่ยเสียงแผ่ว
ทำไมเขาถึงกล้าเล่าเรื่องนี้ให้แอนนิสฟังนะ ทั้งที่ถูกสั่งห้ามไม่ให้เล่าเรื่องของตระกูลแล้วเชียว ทำไมเขายังกล้าเล่าเรื่องของพ่อแม่ตนเองให้แอนนิสฟัง แวนเดรสนิ่งคิดเรื่องตัวเอง
มีเงาดำแล่นผ่านทุ่งดอกไม้ด้านหลังเขาไปเพียงชั่ววินาที เเวนเดรสหันไปมองอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่ได้พบคือความมือ และความว่างเปล่า แวนเดรสรู้สึกเหมือนมีคนกำลังจ้องมองเขาอยู่ แต่สิ่งนั้นอยู่ไหนล่ะ เขามองไม่เห็นจริงๆ
“เดี๋ยวนี้คุณชายวลาดผู้สูงศักดิ์หันมาทำอาชีพพี่เลี้ยงเด็กแล้วหรือ ช่างเป็นบุญของเด็กน้อยผู้นี้เสียนี่กระไร!!!”
เสียงนั้นก้องมาตามลม แวนเดรสหันไปตามเสียงนั้นก็ต้องพบกันหญิงสาวหน้าตาสะสวยอยู่ในชุดราตรีสุดหรูสีทองในสไตล์ฝรั่งเศสโบราณ แต่ความงามของหล่อนมันคงจะไม่เป็นที่ตกตะลึงมากไปกว่า...การที่เจ้าหล่อนไปยืนพิงไหล่ด้วยท่าทีสบายใจอยู่บนกิ่งก้านที่ยื่นออกมาของต้นโอ๊คขนาดสูงใหญ่เสียดฟ้า
สาวผู้นั้นกระโดดลงมาจากต้นโอ๊คที่สูงราวๆตึกสามชั้นลงมาสู่พื้นอย่างเบาราวกับปุยนุ่นต้องสายลม ถ้าเป็นมนุษย์ธรรมดาคงจะตกลงมาขาหัก คอพับ หรือไม่ก็วิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้วล่ะ
“ทำไมเจ้าไม่อยู่ในงานล่ะ... มาเตอริน่า!!!”แวนเดรสถามเสียงเรียบ
“...ข้าน่าจะเป็นฝ่ายพูดประโยคนี้กับเจ้ามากกว่านะคุณชายวลาด...”หล่อนทำเสียงคางยาน
“ข้ารู้... เจ้ากลับไปได้แล้ว”
“อะไรกัน ทำไมข้าต้องกลับไปที่นั่นด้วย ในเมื่อเจ้ายังอยู่ได้เลย”เธอทำท่ายียวน
“ถือว่าข้าขอร้องก็แล้วกัน สหายแห่งข้า!!!”
ความคิดเห็น