คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ปกป้อง
ปกป้อง
องครักษ์มาหยากลับมายังห้องเล็กๆที่อยู่ทางปีกซ้ายของตำหนักภิรมย์รังสรรค์ ร่างผอมเพรียวอุ้มเจ้ายิหวาตัวปุยไปอาบน้ำพร้อมกับตัวเอง หลังอาบน้ำเสร็จก็มานั่งลงที่โต๊ะอาหารตัวเล็กๆ ทั้งคนทั้งแมวลงมือจัดการกับอาหารที่มีนางกำนัลยกมาส่งให้จนอิ่มแปล้
“มาหยาต้องไปเข้าเวรแล้ว ห้ามเกเรนะยิหวาผู้น่ารัก” มาหยาพูดพลางหยิบน้ำมาเทลงในถ้วยแก้วให้ยิหวา เสร็จแล้วก็จัดการหาที่หลับที่นอนให้ก่อนจะออกไปเข้าเวร
ร่างผอมเพรียวค่อยๆเดินออกมาตามระเบียงทางเดินที่ทอดตัวสู่ศูนย์กลางของตำหนัก จากค่อยๆเดินนางก็เปลี่ยนมาเป็นวิ่งเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากชั้นสองของตำหนัก หน้าที่องครักษ์พิทักษ์คนบ้าเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ‘พิทักษ์คนบ้าไม่ให้ไปทำร้ายคนดี’ มาหยารีบวิ่งขึ้นมายังห้องที่เกิดเหตุ แล้วแทรกตัวผ่านบรรดานางกำนัลที่มายืนมุงดูอยู่หน้าห้อง พวกนางตกใจและสงสารคนที่อยู่ข้างในแต่ไม่กล้าช่วย
ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือ องครักษ์ลลนาถูกองค์หญิงรัชนีกรกาลกำลังดึงทึ้งผมสลวยของนางอยู่ ในมืออีกข้างขององค์หญิงถือกรรไกรไว้ ข้าวของกระจัดกระจายทั่วห้องตั้งแต่หน้าประตูยันเตียงนอน
“หยุดเดี๋ยวนี้นะเพคะองค์หญิง หม่อมฉันบอกให้หยุด!” มาหยารีบวิ่งเข้าไปแย่งกรรไกรจากมือองค์หญิงบ้าไว้
เมื่อกรรไกรถูกแย่งไปได้ ร่างอวบก็พลันหันควับเปลี่ยนจากลลนามาเอาเรื่องกับมาหยาทันที นางตรงเข้าไปหยิบของที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้ๆ มาปาใส่
“แกกล้าลองดีกับข้างั้นเหรอ นี่แน่ะๆ ฮ่าๆๆ สมน้ำหน้า” องครักษ์มาหยาหลบได้บ้างโดนบ้าง แล้วองค์หญิงรัชนีกรกาลก็ปรี่เข้าไปหามาหยาพร้อมฟาดมือฟาดไม้ใส่ให้วุ่นวาย องครักษ์มาหยาจึงรวบมือนางไปไว้ด้านหลังแล้วกดนางลงกับพื้น พลางร้องสั่งให้คนหยิบเชือกมามัดให้นางสงบสติอารมณ์
“กรี๊ด! อีบ้า อีไพร่ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ ข้าบอกให้ปล่อย” เสียงกรีดร้องโวยวายดังขึ้นอย่างขัดใจ
“หม่อมฉันปล่อยพระองค์แน่ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ พระองค์ต้องมีพระสติให้มากกว่านี้ หากยังไม่มีหม่อมฉันเห็นทีจะปล่อยไม่ได้” มาหยาพูดระคนเหนื่อยหอบ
“เป็นอย่างไงบ้างลลนา ไหวไหม” มาหยารีบเข้ามาดูสหายที่นั่งกุมหัวอยู่
“ไหวอยู่มาหยา ว่าแต่เจ้าเถอะระวังตัวหน่อยก็แล้วกัน เราเผลอแป๊บเดียวยังโดนทึ้งผมแทบหลุดหมดหัว เจ็บเป็นบ้าเลย ดีนะเจ้าเข้ามาแย่งกรรไกรไว้ทัน ไม่อย่างงั้นคงแย่กว่านี้” ลลนาพูดพลางหันไปมองนอกห้องที่นางกำนัลมายืนมุงดูองครักษ์ถูก ‘ยำ’
“มองอะไรไม่มีงานมีการทำกันหรืออย่างไร กับแค่คนโดนทึ้งผมไม่เคยเห็นกันหรือไง ยากจะลองกันบ้างไหมเล่า” ลลนาตะโกนออกไปอย่าอารมณ์เสีย บรรดานางกำนัลที่มองดูอยู่จึงแยกย้ายกันออกไป
“กลับห้องเถอะเดี๋ยวเราไปส่ง” องครักษ์มาหยาพูดขึ้นพลางช่วยประคองเพื่อนองครักษ์ออกไป องค์หญิงรัชนีกรกาลมองตามทั้งสองคนด้วยใจอาฆาต
แสงจันทร์คืนเพ็ญเริ่มสาดส่อง ร่างอรชรนั่งอยู่ที่ริมหน้าต่างปล่อยน้ำตาให้ไหลรินอาบแก้มนวล ตาคู่สวยทอดมองไปยังชายผู้เป็นที่รัก ที่บัดนี้ทรงไร้ซึ่งรักต่อพระองค์แล้ว ในใจของเขามีเพียงความแค้นและสนมตัวโปรดนางหนึ่งเท่านั้น หาได้มีพื้นที่หัวใจว่างเหลือเผื่อพระองค์เลยแม้แต่น้อย คำว่ารักที่ทรงพร่ำบอกก็เป็นเพียงลมปากหวานหูที่พัดผ่านเข้ามา หาเอาความจริงอันใดได้ไม่ ยิ่งคิดแล้วยิ่งน้อยใจน้ำตายิ่งไหลอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
“เป็นอะไรหรือ ‘มนทิรา’ ร้องไห้ทำไมลูก”
“พี่เขารังแกอะไรเจ้าหรือเปล่า” พระนางบัณยิตาเอ่ยถามคู่หมั้นของลูกชาย
หญิงสาวไม่ตอบแต่โผกอดพระนางไว้แน่ เพียงเท่านี้ก็ทรงทราบถึงความในใจของหญิงสาวดี การที่ต้องมารับรู้ว่าพระคู่หมั้นมีหญิงอื่นซ่อนอยู่ เป็นใครก็ต้องเสียพระทัย ถึงแม้นางผู้นั้นจะเป็นเพียงแค่พระสนมก็เถอะ
“อย่ากังวลไปเลยมนทิราทุกอย่างจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันใด พี่เขาเป็นชายเรื่องแบบนี้มันก็ต้องมีกันบ้างอย่าไปใส่ใจเลย ในวันที่แม่ก้าวเข้ามาอยู่ในฐานะเดียวกับเจ้า แม่ก็เคยรู้สึกเช่นนี้แรกๆก็ทำใจยอมรับยากอยู่ ราชกิจของ‘เจ้าหลวงยันตรา’มากมายและสนมข้างกายก็นับไม่ถ้วน จนแม่เหนื่อยใจท้อใจและเสียใจนับครั้งไม่ถ้วน แต่ในความรู้สึกเหล่านั้นก็มีสิ่งหนึ่งที่แม่ภูมิใจ มันก็คือการที่เราได้อยู่เคียงข้างชายที่เรารัก ได้เป็นเมียได้เป็นแม่ของลูกและได้เป็นแม่ของแผ่นดิน เพียงเท่านี้แม่ก็รู้สึกว่าแม่เป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุด” พระนางบัณยิตาพยายามอธิบายให้ว่าที่ลูกสะใภ้ฟัง
“แม่รู้ว่าเจ้าน้อยใจฝ่าบาท แต่แม่อยากให้เจ้าคิดให้ดีก่อนจะตัดสินใจทำอะไรลงไป เจ้าหลวงบายันต์รักเจ้ามาก มากกว่าใครทั้งหมดหากไม่รักเจ้าจริงคงไม่หมั้นหมายกับเจ้า”
“แต่หากเจ้าจะถอนหมั้นจริงๆก็สุดแท้แต่ใจเจ้า แม่จะไม่ดึงดันบังคับใจ”
“หม่อมฉันทราบว่าเจ้าพี่ทรงรัก หากแต่มีผู้หญิงคนใดเล่าไม่อยากเป็นเมียเอก ‘พระสนมอันติมา’นางมาก่อนหม่อมฉันและนางก็ทรงรักเจ้าพี่มากเช่นกัน หม่อมฉันไม่ยากทำร้ายใจใคร” องค์หญิงมนทิราตรัสขึ้นอย่างเห็นใจหญิงอีกคน
“เจ้าหลวงทรงเลือกแล้วว่าคือเจ้าและแม่ก็เห็นตามนั้น จริงอยู่ที่สนมอันติมามาก่อน แต่ผู้หญิงใจคอคับแคบอย่างอันติมาไม่เหมาะสมกับการเป็นแม่ของแผ่นดิน และที่นางเป็นอยู่นั้นก็มากเกินไปเสียด้วยซ้ำ”
“เวลาเปลี่ยนไปจิตใจของนางอาจเปลี่ยนไปในทางที่ดี” ร่างอรชรพยายามหาเหตุผลมาใช้
“เจ้ายังไม่รู้จักนางดีพอมนทิรา เอาไว้เจ้ารู้จักนางมากว่านี้แล้วเจ้าจะเข้าใจในสิ่งที่แม่พูด แม่หาได้อคติต่ออันติมาแต่นางไม่คู่ควรกับตำแหน่งอัครชายาอย่างที่เจ้าคิดจริงๆ”
“แล้วเจ้าจะเข้าใจว่าทำไมเจ้าหลวงถึงเลือกเจ้าเป็นชายาแทนที่จะเป็นนาง” พระนางบัณยิตาทิ้งท้ายไว้เพียงแค่นั้นก่อนจะออกจากตำหนักไป ปล่อยให้องค์หญิงมนทิราได้คิดทบทวนอีกที ก่อนที่จะตัดสินพระทัยทำอะไรต่อจากนี้
ร่างผอมเพรียวขององครักษ์มาหยากลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมถาดยา หลังจากออกไปส่งสหายองครักษ์กลับห้อง ในถาดที่ถือเข้ามามีขวดแก้วเจียระไนบรรจุยาสีดำเข้มและแก้วใบย่อมๆวางอยู่ มาหยาเดินเข้ามานั่งข้างๆร่างอวบขององค์หญิงรัชนีกรกาลที่ถูกพันธนาการไว้ด้วยเชือก
“เสวยโอสถสักนิดนะเพคะ พระอาการจะได้ดีขึ้นไวๆ” เสียงหวานเอ่ยขึ้นแต่ร่างอวบหาได้สนใจมาหยา ยังนั่งเชิดเป็นทองไม่รู้ร้อน องครักษ์มาหยาเทยาใส่แก้วใบย่อมอย่างไม่สนใจในคำตอบเช่นกัน
“หากไม่เสวยหม่อมฉันก็จะไม่ปล่อย” มาหยาใช้ไม้ตายก่อนจะหยิบแก้วยาขึ้นมาป้อนที่ปากอิ่มสวย นางยอมรับยามาอมไว้ในปากก่อนจะพ่นใส่หน้าองครักษ์มาหยา
“ทำไมทรงทำแบบนี้” มาหยามองคนตรงหน้าอย่างเอือมระอา พลางมือเรียวลูบยาออกจากหน้า แล้วขยับไปนั่งในที่ประจำของนาง
“หม่อมฉันทูลแล้วว่าหากไม่เสวยหม่อมฉันก็จะไม่ปล่อย ทรงเลือกที่จะอยู่อย่างนี้ก็ตามพระทัย แต่หากเปลี่ยนพระทัยเมื่อไหร่ก็บอก หม่อมฉันจะนั่งรออยู่ตรงนี้”
“กรี๊ด! อีไพร่แกกล้าออกคำสั่งกับข้าเหรอ แล้วแกกับข้าจะได้เห็นดีกัน” เสียงกรีดร้องและด่าทอดังมาเป็นระยะ แต่องครักษ์มาหยาก็หาใส่ใจยังคงนั่งนิ่งเงียบเหมือนตุ๊กตาปูนปั้น แล้วคนด่าก็รู้สึกเหนื่อยและหยุดไปเองในที่สุด
“นังไพร่ นังไพร่ ข้ายอมกินแล้วก็ได้ แต่แกต้องปล่อยข้านะ” เสียงแหลมต่อรองหลังจากทนการถูกพันธนาการไม่ไหว หากแต่คนถูกเรียกกับนิ่งเฉย
“นังไพร่แกหูหนวกหรือไง” มาหยาหันซ้ายหันขวาแล้วย้อนถามกลับไป
“เรียกใครหรือเพคะ”
“ก็เรียกแกนั่นแหละ นังไพร่”
“หม่อมฉันเป็นองครักษ์ ชื่อมาหยาหาใช่นังไพร่ที่ไหน”
“ข้าจะเรียกแกว่านังไพร่ แกจะทำไม”
“ก็ไม่ทำไมหรอกเพคะ แค่อยากให้พระองค์ให้เกียรติผู้อื่นบ้าง หากมีใครมาเรียกพระองค์ว่า‘นังบ้า’บ้าง พระองค์จะรู้สึกอย่างไร”
“แก แก!” สายตาอาฆาตถูกส่งไป แต่คนรับก็ยังไม่ใส่ใจ รินยาใส่แก้วมาส่งให้
“หวังว่าจะไม่ทรงบ้วนยาใส่หน้าหม่อมฉันอีกนะเพคะ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นหม่อมฉันจะมัดพระองค์ไว้อย่างนี้ทั้งคืน” มาหยาพูดขึ้นก่อนจะป้อนยาให้ องค์หญิงบ้ายอมกินแต่โดยดี แต่สายตาบ่งบอกได้ว่าอาฆาต
“ข้ากินยาแล้วแกก็ปล่อยข้าซิ หรือแกจะผิดคำพูด”
“เดี๋ยวซิเพคะ พระทัยเย็นหน่อยหม่อมฉันขอเอาถาดยาไปเก็บก่อน”
“ไม่ได้ ! มาแก้มัดให้ข้าเดี๋ยวนี้” มาหยามองมายังคนสั่งอย่างอ่อนใจ ก่อนจะวางถาดยาลง แล้วไปแก้มัดให้ตามสัญญา
“เรียบร้อยแล้วเพคะ หม่อมฉันขอเอาถาดยาไปเก็บก่อนแล้วจะรีบกลับมา” ร่างผอมเพรียวเอ่ยบอกก่อนจะถือถาดยาตรงไปยังประตู แต่อยู่ๆก็มีบางสิ่งตรงเข้ามากระแทกที่ศีรษะอย่างแรง
“เพล้ง!” เศษแจกันใบงามล่วงหล่นลงพร้อมกับร่างผอมเพรียวขององครักษ์มาหยาที่ทรุดลงกับพื้น
“เสียงอะไร” องค์ชายศิขรินทร์ที่ทรงแวะมาเยี่ยมเอ่ยถามนางกำนัลที่กำลังจะวิ่งขึ้นไปดูยังห้องต้นเหตุ แต่นางกำนัลก็ได้แต่สายหัวด้วยความไม่รู้เช่นกัน
“แล้วใครอยู่กับรัชนี” ร่างสูงเอ่ยถามอย่างสังหรณ์ใจ
“ท่านองครักษ์มาหยาเพคะ” เพียงสิ้นเสียงตอบร่างสูงก็รีบเดินประดุจวิ่งไปในทันที
“นี่คือโทษของแกที่บังอาจบังคับข้า ข้าเป็นองค์หญิงแกไม่มีสิทธิ์มาบังคับข้า ข้าเป็นองค์หญิงแกเข้าใจไหม” องค์หญิงรัชนีกรกาลย้ำคำว่าองค์หญิงอย่างเจ้ายศเจ้าอย่าง ทั้งที่ลูกกบฏลูกชู้อย่างนางไร้ซึ่งยศศักดิ์ใดๆต่ำกว่าไพร่เสียด้วยซ้ำ ยาในขวดแก้วเจียระไนถูกยกขึ้นมาเทกรอกองครักษ์มาหยา มาหยาพยายามสะบัดหน้าหนี
“กินเข้าไปซิ ข้าบอกให้กินเข้าไปบังคับข้าดีนักไม่ใช่เหรอ กินซิ” องค์หญิงรัชนีกรกาลจับยากรอกมาหยาอย่างบ้าคลั่ง เมื่อยาหมดขวดนางก็หันไปหยิบเศษแจกันที่ตกอยู่ใกล้ๆขึ้นมาถือไว้
“นี่สำหรับโทษที่แกบังอาจมาสั่งสอนข้า”
“พระองค์จะทำอะไรหม่อมฉัน ปล่อยนะเพคะ คนเราทุกคนความอดทนมีขีดจำกัด หม่อมฉันไม่อยากทำร้ายพระองค์ หากเล่นสนุกพอแล้วก็ทรงหยุดเถอะ”
“แกขู่ข้างั้นเหรอ ข้ายังสนุกไม่พอแกห้ามไปไหนทั้งนั้น ถ้าเก่งนักก็เอาตัวให้รอดก็แล้วกัน ข้าอยากรู้นักว่าแกจะเก่งสักแค่ไหน” องค์หญิงรัชนีกรกาลถือเศษแจกันเข้ามาใกล้ๆใบหน้างดงามขององครักษ์มาหยา
“ใบหน้าสวยๆของเจ้า ถ้ามันถูกละเลงด้วยสีเลือดมันจะสวยไหมน๊า” ร่างอวบตรัสพลางกดเศษแจกันลงไปที่ใบหน้าของมาหยา องครักษ์มาหยาก็รั้งข้อมือนางไว้ ไม่อยากทำร้ายนางหากไม่ถึงที่สุดจริงๆ แต่ร่างอวบก็คิดย่ามใจว่าเขาสู้ไม่ได้จะบรรเลงสีเลือดลงบนใบหน้าสวยของมาหยาให้จงได้
“โอ๊ย!” เสียงองค์หญิงรัชนีกรกาลร้องเสียงหลง เมื่อร่างสูงใหญ่ขององค์ชายศิขรินทร์ตรงเข้ามาบิดข้อมือไว้ เศษแจกันในมือพลันล่วงหล่นจากมือเหมือนคนไร้เรี่ยวแรง บ่งบอกได้ว่าคนที่พึ่งเข้ามาโกรธจัด
“ไอ้ศิขรินทร์ปล่อยข้า”
“เมื่อไหร่จะหยุดสักทีห๊ารัชนี”
“เราชักจะหมดความอดทนกับเจ้าแล้วนะ ก่อเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน” องค์ชายศิขรินทร์ตรัสพลางเหวี่ยงนางไปยังเตียง แล้วหันกลับไปดูองครักษ์มาหยาอย่างเป็นห่วง
“เป็นอย่างไรบ้างมาหยา เจ็บมากไหม เป็นแผลตรงไหนหรือเปล่า”ร่างสูงตรัสถามพลางมองสำรวจ
“ไม่เพคะ แค่รู้สึกมึนๆ” องครักษ์มาหยาตอบ ชายร่างสูงจึงค่อยๆพยุงร่างผอมเพรียวขึ้นพลางตวาดหญิงอีกคนลั่น
“หยุดนะรัชนี! หยุดอยู่ตรงนั้นเลย เจ้านี่มันที่สุดของที่สุดเลยจริงๆ ให้ตายซิ” ศิขรินทร์ฉุนขาดเมื่อองค์หญิงรัชนีกรกาลถือแจกันอีกใบเตรียมทุ่มใส่พระองค์และแม่องครักษ์หน้าหวาน
“ถ้าเจ้าบังอาจมาทำร้ายเรา เราจะจับเจ้าไปขังลืม ที่เป็นอยู่มันมากเกินพอแล้วสำหรับเจ้า ถ้าขืนยังทำตัวแย่ๆอีกก็ไม่ต้องปงไม่ต้องเป็นมันแล้วองค์ยงองค์หญิงเนี่ย” ผู้มีอำนาจเหนือกว่ากล่าววาจาข่มขู่
“อย่าทำให้ใครเอือมระอาเจ้ามากไปกว่านี้เลย” ร่างสูงทิ้งท้ายด้วยสุรเสียงเรียบๆ
“ไอ้ศิขรินทร์ ไอ้บ้า” เสียงแหลมร้องด่าอย่างขัดใจ หากแต่ร่างสูงก็ไม่ใส่ใจที่จะฟัง พยุงร่างผอมเพรียวของมาหยาออกไป
ร่างสูงใหญ่ขององค์ชายศิขรินทร์พยุงองค์ร่างเพรียวอย่างเป็นห่วง แต่สาวเจ้าดูจะไม่อยากให้แตะต้องสักเท่าไหร่ พยายามแกะมือปลาหมึกของพระองค์ออกตั้งแต่พ้นหน้าห้องขององค์หญิงรัชนีกรกาลจนมาถึงห้องของนาง
“ทรงปล่อยเถอะเพคะ หม่อมฉันไม่ได้เป็นอะไรเดินเองได้”
“ไม่เป็นอะไรได้ไง ดูซิช้ำไปทั้งตัว เสื้อผ้าก็ขาดซะขนาดนั้น อย่ามาโกหกเลยว่าไม่เป็นอะไร” สายพระเนตรทอดมองไปตามรอยช้ำ ก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงส่วนที่‘ขาด’
เนินเนื้อนวลเนียนลอดผ่านรอยขาดมารับลม นัยน์ตาคมมองตามสายตาของอีกฝ่าย ก่อนจะรีบเอามือมาปิดเมื่อรู้ตัวว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตา คนร่างใหญ่หัวเราะเมื่อเห็นกิริยาหวงตัวของเจ้าของร่างเพรียวตรงหน้า
“ขอโทษไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกิน มันบังเอิญมองเห็น” คนตัวใหญ่แก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ
“รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เดี๋ยวเราให้คนไปตามหมอหลวงมาตรวจ”
“ตรวจทำไมเพคะ หม่อมฉันไม่ได้เป็นอะไรแค่รู้สึกมึนๆนิดหน่อย”
“อย่าเถียง” เสียงหล่อแกมดุนิดๆ
“มิบังอาจ แต่หม่อมฉันไม่ได้เป็นอะไร แค่มึนหัวนิดหน่อยเท่านั้น ถ้าจะเป็นคงเป็นตั้งแต่โดนแจกันทุ่มใส่หัวไปแล้ว” คนตัวเล็กตอบอย่างไม่ใส่ใจ แต่คนตัวใหญ่กลับทำตาโต
“โดนรัชนีเอาแจกันทุ่มใส่หัวงั้นหรือ แล้วอย่างนี้นะจะไม่ยอมพบหมอ”
“ทำไมไม่บอกสักที ไหนโดนตรงไหนมาดูหน่อยซิ หัวแตกหรือเปล่าก็ไม่รู้” องค์ชายไม่สนใจเสียงคัดค้านของนาง ดึงร่างผอมเพรียวลงมานั่งข้างๆแล้วเป่าที่หัวให้เหมือนมาหยาเป็นเด็กๆ เจ้ายิหวาตัวปุยที่เพิ่งตื่นเดินตามเสียงของทั้งสองคน ออกมาจากตะกร้านอนอย่างงัวเงีย ก่อนจะมาทิ้งตัวลงข้างๆทั้งสองคนอย่างอิจฉา
“มาหยา มาหยาเป็นอย่างไรบ้าง ข้าเตือนเจ้าแล้วก็ไม่ฟังว่าให้อยู่ห่างๆนางไว้ ข้ายังเจ็บที่หัวไม่หายนี่เจ้าก็มาโดนอีกคน” เสียงคนที่พึ่งเข้ามาเอ่ยถามพร้อมบ่นไปในตัว ก่อนจะทรุดลงกับพื้นตำหนักแทบเป็นเนื้อเดียวกัน เมื่อมองเห็นว่าบุคคลที่อยู่ในห้องกับสหายสนิทนั้นเป็นใคร
“ขอพระราชทานอภัยเพคะ หม่อมฉันไม่ทราบว่าทรงประทับอยู่ด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอก” เสียงหล่อตอบพลางเอ่ยถามกลับไป
“ว่าแต่เจ้าก็โดนด้วยคนหรือ เราขอโทษพวกเจ้าแทนนางด้วย”
“ไม่เป็นไรมิได้เพคะ” ลลนาก้มหน้าก้มตาตอบ
“ขอบใจที่ยังทนอยู่กับนาง เดี๋ยวเราจะหาคนมาช่วยดูแลเพิ่ม”
“ขอบพระทัยเพคะ” เสียงหวานของมาหยาเอ่ยขึ้นบ้าง
“แต่เสด็จกลับได้แล้วเพคะ หม่อมฉันไม่ได้เป็นอะไรมากและเดี๋ยวหมอหลวงคงมา แล้วตอนนี้ก็มีลลนามาอยู่เป็นเพื่อนแล้ว ไม่ต้องทรงเป็นห่วง ขอบพระทัยอีกครั้งที่ช่วยเหลือ”
“ไล่เรางั้นรึ” คนถูกไล่ทางอ้อมเอ่ยถามไปตรงๆ
“หามิได้เพคะ พระองค์ยังมีราชกิจอีกมากมายที่ต้องทำ เรื่องของหม่อมฉันเรื่องเล็กอย่าทรงใส่พระทัยเลย”
“งั้นรึ เรานึกว่าไล่เราเสียอีก” ชายร่างสูงมองหน้ามาหยาแล้วยิ้มให้ ผู้หญิงมากมายล้วนอยากอยู่ใกล้พระองค์แต่นางผู้นี้ไม่ เย่อหยิ่งทะนงตนหวงตัวเป็นที่สุด
“เรากลับก่อนนะ แล้ววันหลังจะมาเยี่ยมใหม่เจ้าของห้องเขาไล่แล้ว” องค์ชายศิขรินทร์ตรัสกับเจ้ายิหวาตัวปุยแล้วก็เสด็จออกจากห้องไป
“โอ๊ย!” ลลนาที่หูอื้อตาลายคล้ายหลับฝันอยู่หยิกที่แขนตัวเอง เพื่อพิสูตรความจริง
“หยิกตัวเองทำไมลลนา” มาหยาถามสหายอย่างไม่เข้าใจ
“พิสูตรว่าข้าไม่ได้ฝัน องค์ชายตัวเป็นๆเสด็จมาที่นี่ ในห้องนี้ ตรงนี้ เมื่อกี้ และที่สำคัญทรงคุยกับข้า” ลลนาพูดออกมาคล้ายละเมอ ทั้งที่คนที่เอ่ยถึงเขาไม่ได้มาหาตัวเองและตรัสด้วยแค่ไม่กี่คำด้วยซ้ำไป
“เป็นเอามากนะลลนา” มาหยายิ้มให้กับกิริยาน่ารักน่าชังของลลนา พลางหันไปอุ้มเจ้ายิหวาตัวปุยมาแนบอก
“แมวนี่ เป็นของเจ้าเหรอ เลี้ยงแมวในวังมันผิดกฎนี่ ทำไมฝ่าบาทไม่ลงโทษมิหนำซ้ำยังจะมาเยี่ยมมันอีก” ลลนาทั้งงงทั้งสงสัย
“ก็เจ้ายิหวาไม่ใช่ของเรา เป็นของฝ่าบาทแล้วจะทรงลงโทษมันได้อย่างไร ในเมื่อทรงเป็นเจ้าของ” มาหยาแก้ข้อสงสัยพลางเดินหนีคนช่างถาม แต่คนช่างถามก็ไม่ละความพยายามตามมาถามโน่นถามนี่ ก่อนจะคว้าเจ้ายิหวามาอุ้มแล้วหอมซ้ายหอมขวา จนขนของยิหวาติดเต็มหน้าเต็มตาเป็นยอพระกลิ่นกินแมว
ความคิดเห็น