คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Chapter: 1 ฉันนะหรือคือเจ้าชาย? 2
Chapter: 1 ฉันนะหรือคือเจ้าชาย? 2
“หมายความว่าเด็กใหม่ที่มาวันนี้หนีออกไปได้ทั้งๆที่เธออยู่ด้วยงั้นเหรอ ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะของหญิงวัยกลางคนดังลั่นอย่างขบขัน มองใบหน้าบูดบึ้งของชายหนุ่มที่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่ประกบติดเป้าหมายที่เล็งไว้ไม่เคยรอดพ้นเงื้อมือ เจอรายไหนเป็นได้เสร็จทุกรายแต่มาคราวนี้เหยื่อที่เล็งไว้กลับหลุดมือไปอย่างง่ายดายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ซ้ำยังเป็นเด็กใหม่ที่เพิ่งเข้าอีกถ้าข่าวนี้แพร่ออกไปมีหวังเสียชื่อหมด
“แม่คิดอะไรอยู่ผมรู้นะ” โทยะเขม่นมองผู้อำนวยการโรงเรียน Aid-de-camp ตาขวาง อายุอานามจะปาเข้าไป 50 แล้วยังทำตัวเหมือนเด็กอยู่ได้ ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“โทยะ...ลูกกำลังคิดอะไรอยู่แม่ก็รู้นะ”
“โอเคผมรู้ แม่ก็รู้ ต่างคนต่างรู้แต่ขอทีเถอะแม่จะเลือกใครเข้าเรียนสักคนก็น่าจะเลือกคนที่อยากเข้าเรียนจริงๆมากกว่า ไม่ใช่ใครที่ไหนก็ไม่รู้แค่เดินเข้ามาไม่ถึงห้านาทีก็จะเดินกลับ”
“โทยะ แม่มีมาตรฐานในการเลือกเหมือนกันนะจ๊ะ ไม่ใช่กับใครที่ไหนก็ได้ อีกอย่างลูกก็ยังไม่รู้เลยว่าเด็กคนนั้นมีดีอะไรที่ทำให้แม่ตกลงใจได้ คนตั้งแสนแต่แม่ก็เลือกเค้าให้อยู่ 1 ใน 10 คนที่ได้รับการคัดเลือก อีกอย่างแม่ก็ไม่ได้เป็นผู้ตัดสินใจเพียงคนเดียวแต่ทางคณะกรรมการก็มีส่วนร่วม...เอาเป็นว่าเรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่แม่แล้วกัน” ชายหนุ่มส่งเสียงฮึในลำคออย่างไม่พอใจ จนคนเป็นแม่ต้องคิดหาวิธีที่จะทำให้ลูกชายแสนดื้อของเธอยอมรับ
“ถ้าลูกไม่พอใจ...” เธอเอ่ยเว้นระยะมองดูท่าทางของอีกฝ่าย “แม่มีขอเสนออีกทางให้ลูก” โทยะหันมามองอย่างสนใจและนิ่งเพื่อรอฟัง
“แม่จะให้เวลาลูก 1 เดือนในการติดตามดูพฤติกรรมเด็กคนนี้ ถ้าภายใน 1 เดือนลูกเห็นว่าเค้าไม่เหมาะสมที่อยู่ที่นี่แม่ก็จะเอาเรื่องนี้เข้าที่ประชุมคณะกรรมการอีกครั้งเพื่อพิจารณา แต่ว่าในระหว่างนั้น...”
“อะไรครับ?”
“ห้ามข่มขู่เค้าเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นเรื่องที่แม่พูดมาถือว่าเป็นโมฆะ”
“ชิ!” ชายหนุ่มสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง ไม่ชอบนักที่คนเป็นแม่ดักคอเอาไว้อย่างรู้ทัน แต่มีรึที่คนอย่าง อิชิคาว่า โทยะ จะยอมแพ้ง่ายๆ ไม่ว่ายังไงเขาก็จะหาทางไล่หมอนั้นออกไปให้ได้ ถึงแม้เหตุผลจะดูไม่เข้าท่าก็ตามที แต่ในเมื่อความรู้สึกไม่ถูกชะตาเข้าจู่โจมแล้วยังงี้ไม่ว่าวิธีไหนก็จะขุดออกมาใช้ให้หมดถ้าคิดว่าทนอยู่ได้ก็ลองดู เมื่อคิดได้อย่างนั้นรอยยิ้มเจ้าเหล่ก็ผุดขึ้นมา ร่างสูงลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากห้องไปอย่างอารมณ์ดี
คนเป็นแม่ที่แอบมองอยู่ตลอดเวลาเห็นก็รู้ได้ทันทีเลยว่าเจ้าลูกชายตัวดีของเธอกำลังวางแผนร้ายแน่ๆ แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อเธอเป็นคนยื่นข้อเสนอนี้ไปเอง แฟ้มประวัติในลิ้นชักถูกดึงออกมา เปิดไปที่หน้าประวัติของเด็กนักเรียนคนใหม่ที่มาในวันนี้
“หวังว่าเธอจะลดดีกรีความบ้าของลูกชายฉันได้นะทาคุนาระ ฮารุโยะ”
“ฮัดชิ้ว!...ใครนินทาวะ?” ฮารุโยะที่นอนเอนตัวอยู่บนต้นไม้เช็ดจมูกเบาๆก่อนหลับตานอนต่อ ไม่ว่าใครก็ตามคงไม่คิดว่าเธอยังคงอยู่ในโรงเรียนแน่ๆ ในเมื่อวันทั้งวันโหนตัวอยู่แต่บนต้นไม้แม้แต่ข้าวก็ยังไม่ได้ทานเลย เป็นเพราะอีตาบ้าโรคจิตนั้นทีเดียวที่ทำให้เธอตกอยู่ในสภาพแบบนี้จะหนีออกไปก็กะไรๆอยู่ ในเมื่อกำแพงรั้วโรงเรียนที่เธอมาสูงตั้งสามเมตรแค่คิดที่จะปีนออกไปก็เป็นเรื่องยากอยู่แล้วแต่นี่ยังมีรั้วหนามกั้นไว้อีกตั้งครึ่งเมตรไม่รู้ว่ากลัวใครจะแอบเข้ามากันนักหนาจนต้องทำขนาดนี้ แต่พอลองมาคิดดูอีกทีหรือว่าสร้างไว้กันเด็กนักเรียนหนีเที่ยวกันหว่า?
“เฮ้ย...คิดไปก็เสียเวลาเปล่าหิวเป็นบ้าเลย” ฮารุโยะนอนลูบท้องไปมา แต่ว่าความหิวจู่โจมมาอย่างต่อเนื่องจนทนไม่ไหว นาฬิกาก็เดินมาถึง 4 โมงเย็นแล้วด้วยโรงเรียนก็น่าจะถึงเวลาเลิกเรียนพอดี คิดได้อย่างนั้นหญิงสาวจึงกระโดดลงมาจากต้นไม้ทันทีโดยไม่คิดที่จะดูลาดเลาเสียก่อน
“เฮ้ยนายหลบไป!”
“หืม!?!” ชายหนุ่มที่นั่งกึ่งนอนปรือตาเหงยหน้าขึ้นมอง “เฮ้ย!!!”
โครม !!!
“ซวยฉิบวันเดียวสองหน” ฮารุโยะครางเบาๆยันตัวขึ้นนั่ง มองเห็นดาวลูกไก่ลอยไปมาอยู่บนหัวจะลุกขึ้นยืนก็ยืนไม่ไหวแค่นั่งตัวตรงได้ก็แทบแย่แล้ว
“นี่นาย” เสียงทุ้มลึกเอ่ยทัก
“มีอะไร? คนกำลังมึนอยู่” หญิงสาวพูดตอบโต้โดยพยายามมองหาต้นเสียง นัยน์ตายังมองเห็นภาพเบลอๆอยู่
“นายมองหาอะไรอยู่นะ?” เสียงทุ้มถามตวัดห้วนอย่างไม่พอใจ
“หานายอยู่นะสิ พูดกับคนอื่นโดยไม่ปรากฏตัวอย่างนี้รู้มั้ยว่ามันเสียมารยาทนะ”
“คนที่เสียมารยาทนะนายต่างหากเล่า!”
“เอ๊ะ!?!” ฮารุโยะชักฉุน ตามองก็มองไม่ชัดแถมคู่สนทนาก็ยังไม่ยอมโผล่หัวออกมาอีกจึงทุบหมัดลงกับพื้นเพื่อระบายอามณ์
“โอ้ย!!! ฉันเจ็บนะ” หญิงสาวก้มลงมองตามเสียงที่ตะโกนลั่น ก็เห็นลางๆว่ามีร่างๆหนึ่งนอนอยู่ใต้ตัวเธอในสภาพหมอนรองนั่งชั้นดี และถ้าคิดไม่ผิดเมื้อกี้เธออัดหมัดเข้าที่กลางอกอีกฝ่ายซะเต็มเหนี่ยวเลย
“เฮ้ย!!! ฉันขอโทษ” ฮารุโยะกระโดดลงจากร่างของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
“ให้ตายสิบื้อชะมัด” ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งช้าๆใบหน้าบูดเบี้ยวด้วยความจุก ก่อนตวัดมองคู่กรณีอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ ถึงแม้ว่าสายตาของฮารุโยะจะยังมองไม่ชัดดีแต่ก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายอาฆาตน่าดูชม
“จะกระโดดลงมาก็หัดมองให้ดีก่อนสิ ซี้ซั้วลงมาอย่างนี้ถ้าโดนผู้หญิงเข้าเดี๋ยวก็ได้ซวยทั้งชีวิต”
“ฉันก็ขอโทษนายแล้วไง บ่นอยู่ได้”
“นายกล้าเถียงฉันที่เป็นรุ่นพี่เชียวเรอะ” คนที่อ้างตัวเองว่าเป็นรุ่นพี่ตวัดเสียงสูงลิบ “เป็นแค่เด็กปีหนึ่งหัดเจียมตัวซะมั้งสิ แต่ถ้านายมีแถบสีน้ำตาลละก็ค่อยว่ากันไปอย่าง”
“แถบสีน้ำตาล? แถบอะไร?” ฮารุโยะนั่งหน้าเอ๋อ
“นี่นายไม่ได้อ่านคู่มือนักเรียนรึยังไงกัน?” เอาละวะคู่มืออีกแล้ว เมื่อเช้าไอ้โรคจิตนั่นก็พูดถึงคู่มือตอนนี้ก็พูดถึงมันอีก แล้วตูจะได้อ่านมันไหมละในเมื่อมันนอนแอ่งแม้งอยู่ในถังขยะที่บ้าน
“นายก็บอกชั้นมาสิ”
“รุ่นพี่”
“หา!?!”
“ฉันบอกให้นายเรียกฉันว่ารุ่นพี่” รุ่นพี่ขึ้นเสียงอย่างกับว่ามันเป็นเรื่องใหญ่โต ถ้าเธอไม่เรียกสงสัยรุ่นพี่คนนี้คงจะชักดิ้นชักงอตายตรงนี้แน่ๆ
“เอ่อๆรุ่นพี่ก็รุ่นพี่” ฮารุโยะพูดแบบขอไปที ขี้เกียจมีปัญหา
“ดีมากไอ้น้อง...แถบสีที่ว่านะมีไว้สำหรับแยกชั้นปีแต่ละชั้นออกจากกัน แถบสีขาวก็ปีหนึ่ง แถบสีน้ำเงินปีสอง แถบสีน้ำตาลปีสามนอกจากนี้ยังมีแถบสีพิเศษอีก”
“ยังไง?”
“แถบสีพิเศษคือแถบสีที่บ่งบอกฐานะและหน้าที่ของผู้ที่ใส่ เช่น แถบสีทองคือประธานนักเรียน และรองประธานนักเรียนใครๆก็เรียกทั้งคู่ว่าคิง(King)และควีน(Queen) ส่วนแถบสีแดงก็เป็นคณะกรรมการนักเรียนหรือขุนนาง”
“แล้วถ้าเป็นแถบสีดำละ?”
“ก็พวกสารวัตินักเรียนไง พวกนี้นะทั้งโหดทั้งเย็นชาใครทำผิดกฎโรงเรียนเป็นไม่ได้ โดนสอยไปอยู่ในห้องผู้อำนวยการโรงเรียนเกลี้ยง” ฮารุโยะพยักหน้ารับรู้มิน่าละเมื่อเช้าเจ้าพวกนั้นถึงพยายามล้อมจับเธอเอาไว้
“แต่อย่าไปยุ่งกับพวกนั้นเชียวนะ”
“ทำไม?” หญิงสาวที่เริ่มมองภาพชัดขึ้นเห็นรุ่นพี่ที่นั่งคุยกับเธอ เอนตัวนอนพิงกับต้นไม้ มิน่าละตอนที่เธอกระโดดลงมาถึงได้นั่งทับเจ้าตัวซะเต็มรัก
“เอ่อนะรู้แค่นี้ก็พอแล้ว ว่าแต่นายเถอะช่วยทำอะไรกับเสียงท้องร้องนั้นได้มั้ยรำคาญวะ” ฮารุโยะยิ้มแห้งๆส่งให้ ก็ระหว่างที่คุยกันมาเสียงท้องของเธอก็ร้องออกมาเป็นระยะๆอย่างกับเสียงให้จังหวะการพูดของรุ่นพี่ ดังเมื่อไหร่คนพูดก็จะหยุดไปช่วงหนึ่งเหมือนรอว่าให้มันดังไปก่อนแล้วค่อยพูดต่อ
“นี่ก็เลิกเรียนแล้วเดี๋ยววันนี้ฉันเลี้ยงข้าวนายเองในฐานะรุ่นพี่ เริ่มจากแนะนำตัวก่อนเลยฉันคาซุสะ คาเครุ ปี 2 ห้อง อัศวิน (knight)”
“ฉันทาคุนาระ ฮา....เอย์เซย์”
“นายยังไม่ได้เลือกห้องอีกเหรอ?” คาเครุถามระหว่างที่เดินออกจากสวนต้นไม้
“ยังเพราะคู่มือฉันหายก็เลยไม่รู้รายละเอียดว่ามีอะไรบ้าง” ฮารุโยะพูดแก้ตัวสายตาเหลือบมองกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่เชื่อ ซึ่งโชคดีที่รุ่นพี่คนนี้ไม่ได้แม้แต่จะสนใจสักนิด
แต่ถึงยังไงวันนี้ก็เอาตัวรอดไปก่อนพรุ่งนี้ค่อยมาทำเรื่องลาออกกับทางโรงเรียน แค่ฟังรายระเอียดเรื่องแถบสีก็แปลกพิลึกพออยู่แล้วนี่ยังมีห้องเรียนที่เป็นฮัศวินอีก เหอะถ้าอยู่ต่อไปคงเจอเรื่องที่พิสดารกว่านี้แน่ๆ
“เฮ้...นายนะ” เสียงคุ้นหูแว่วมาแต่ไกล ฮารุโยะหันกลับไปมองที่ต้นเสียงอย่างนึกกลัว แล้วก็นั้นไงไอ้บ้าโรคจิตเมื่อเช้า
“อ...เอ่อรุ่นพี่ครับ พอดีผมมีธุระด่วน ว...วันนี้ขอบายแล้วกันไปแล้วครับ” หญิงสาวพูดละล่ำละลัก รีบวิ่งฉิ่วออกไปทันทีอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ยนายหยุดนะ ฉันบอกให้หยุด” โทยะที่เผอิญเดินออกมาจากอาคารเรียนเห็นฮารูโยะวิ่งหนีไปก็รีบวิ่งตามไปอย่างเร็วไม่แพ้กัน คาเครุยืนนิ่งมองอย่างอึ้งไม่นึกไม่ฝันเลยว่าวันนี้จะเห็นลูกชายผู้อำนวยการโรงเรียนวิ่งตามเด็กใหม่อย่างเอาเป็นเอาตายแทบไม่เหลือมาดขรึมคมเข้มเจ้าระเบียบอย่างที่เคยๆ
“นั้นอิชิคาว่า โทยะตัวจริงรึเปล่า?”
“นี่นายหยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ ฉันบอกให้หยุด” โทยะตะโกนไล่ตามมาอย่างประชิด นึกโมโหคนที่วิ่งหนีสุดชีวิตอยู่ข้างหน้า มันจะอะไรกันหนักกันหนาแค่เรียกให้หยุดคุยกันแค่นี้มันจะตายหรือไงกัน
“ถ้านายอยากให้หยุด ก็เลิกวิ่งไล่ตามฉันมาซะทีสิ”
“แน่ใจนะว่าถ้าฉันหยุด นายจะหยุด”
“เอ่อสิ” ฮารุโยะพูดตอบเสียงแหบก็เล่นวิ่งมาราธอนมาซะไกลขนาดนี้ใครมันจะไปมีแรงวิ่งต่อไหว ไอ้โรคจิตนี้ก็แรงดีเป็นบ้าวิ่งตามมาอย่างไม่ลดละมีความพยายามดีเหลือเกินพ่อคู้นนน.....
“งั้นเรามานับถึง 3 พร้อมกันแล้วหยุดตกลงมั้ย?” ฮารุโยะเสนอ
“ยังไงก็ได้”
“งั้น 1...2...3หยุด!... แฮ่กๆๆ...โอ้ยปวดซี่โครงฉิบ” หญิงสาวครวญเป็นการใหญ่ยืนหอบจนตัวโยกขาสั่นพับๆๆๆแทบทรุดลงนั่งกับพื้น เพราะมัวแต่ยืนนิ่งเอาอากาศเข้าปอดเลยไม่รู้ตัวเลยว่าชายหนุ่มที่วิ่งตามมาอย่างไม่ลดละคนนั้นเดินเข้ามาหาแบบประชิดตัว
คลิก
“เฮ้ย!?!...นายทำบ้าอะไรนะ?”ฮารุโยะมองข้อมือขวาของตัวเองที่ตอนนี้มีกุญแจมือคล้องไว้คู่กับอีกฝ่าย
“กันไว้ดีกว่าแก้” โทยะเหยียดยิ้มเหี้ยมดูสิจะหนีไปไหนพ้นหึๆๆๆ
“นายมันนี่มันโรคจิตอย่างที่ฉันคิดจริงๆ” ฮารุโยะพูดเสียงลอดไรฟัน ผู้ชายอะไรวะหน้าตาออกจะดูดีดันทำตัวทุเรศ!
“เปล่าฉันปกติดี ไม่ได้โรคจิตอย่างที่นายว่า แต่ที่ทำอย่างนี้ก็เพื่อป้องกันนายหนีไปอีกเดี๋ยวก็ไม่ได้คุยกันพอดี”
“จะคุยอะไรก็ว่ามา ฉันไม่มีเวลาว่างฟังมากนัก” หญิงสาวกระฟัดกระพืออมองใบหน้าหล่อตาขวาง แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้สึกภูมิใจมากเพราะรอยยิ้มเหี้ยมยังคงระบายอยู่เต็มหน้าไม่ยอมหุบซักที แทบยังทำเป็นเหลือบๆมองแบบเย็นชาซะอีกกวนบาทาดีแท้
“เรื่องที่เกิดเมื่อเช้านี้ฉันจะไม่ถือสาหาความนาย”
“ถือสาอะไรไม่ทราบ ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อยและยังได้ออกจากโรงเรียนก่อนเวลาเลิกเรียนด้วย”
“นายทำ!”
“ฉันเปล่าทำ!”
“นายทำ!!”
“ฉันไม่ได้ทำ!!” ต่างฝ่ายต่างถียงกันคอเป็นเอ็นไม่ยอมลดราวาศอก
“เอ่อก็ได้...นายไม่ได้ทำ” โทยะพูดเสียงประชด ทำเอาหญิงสาวที่เตี้ยกว่าไม่กี่เซ็นฉุน
“ก็ไม่ได้ซิฟะ ตกลงนายจะพูดอะไรก็พูดมาเสียเวลาฉัน แล้วไอ้กุญแจบ้านี่ก็ถอดออกเสียที ถึงนายจะไม่อายแต่ฉันอายชาวบ้านโว้ย!” คนที่เดินผ่านไปผ่านมาในบริเวณที่ทั้งคู่หยุดคุยกัน พากันกระซิบกระซาบ บ้างก็หัวเราะมองมาอย่างอายๆลองคิดดูละกัน ถ้ามีเด็กหนุ่มหน้าตาดีสองคนยืนหันหน้าคุยกันในระยะประชิดแล้วมือของแต่ละฝ่ายล่ามด้วยกุญแจติดกันอีกมันไม่เหมือนคู่เกย์รึไง?
“ขอโทษทีนะพอดีหน้าฉันหนา ถ้านายอายนักละก็ตามฉันมา”
“เอ๊ะ!ไม่ต้องจับมือกันก็ได้”คนหน้าหนากึ่งลากกึ่งจูงอีกฝ่ายไปที่สวนสาธารณะใกล้ๆ เลือกม้านั่งที่ไม่เป็นที่สังเกตนักเพื่อนั่งคุยกัน
“บอกตรงๆฉันไม่ยอมรับนาย ที่นายได้เข้าเรียนโรงเรียนนี้ และฉันก็ไม่ชอบหน้านายด้วย”
“แล้วนายคิดว่าฉันชอบรึไง? ถึงนายไม่บอกพรุ่งนี้ฉันก็จะทำเรื่องลาออกอยู่แล้ว” ฮารุโยะฮึ่มๆในลำคอ ฉันก็ไม่ชอบขี้นายเหมือนกันละโว้ยไอ้โรคจิต!
“ทำไม?” คนอยากให้เธอออกถามอย่างงุนงง โรงเรียน Aid-de-camp ไม่ไช่ใครที่ไหนจะเข้าก็เข้าได้ พวกที่อยากเข้าก็สู้กันเพื่อแย่งชิงที่นั่งอย่างเอาเป็นเอาตายขนาดซื้อด้วยเงินจำนวนมหาศาลก็ยังไม่อาจเข้าได้ แล้วนี้กลับจะลาออกซะงั้นหมายความว่าไง?
“นายอยากไล่ฉันออกอยู่แล้วนี่ถามทำไม และถึงแม้ว่าถึงนายไม่บอกให้ฉันออก ฉันก็จะออกอยู่แล้วเพราะฉันไม่ชอบถูกบังคับ โรงเรียนพิลึกอย่างนั้นใครกันอยากจะเรียน ที่ๆฉันจะสอบเข้าละคือมหาลัย xxx ต่างหากรู้ไว้ซะด้วย” มหาลัยที่ฮารุโยะกล่าวถึงเป็นมหาลัยที่ขึ้นชื่อเรื่องการสอบเข้าที่หินไม่น้อยหน้า Aid-de-camp เลยเพียงแต่หลักสูตรที่ใช้เรียนนั้นแตกต่างกันลิบ
“ถ้านายไม่อยากเรียนแล้วสมัครมาทำไม?”
“นายนึกว่าฉันสมัครรึไง? คนส่งใบสมัครนะมันพี่สาวข้างบ้านฉันต่างหากเล่า!” ฉารุโยะพูดอย่างฉุนเฉียวเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ แต่โทยะที่นั่งฟังกลับพูดตำหนิเธอ
“นั่นเป็นเพราะนายไม่ทำอะไรด้วยตัวเอง มีที่ไหนให้คนข้างบ้านส่งเอกสารการสมัครเรียนให้ แล้วยังมีหน้าไปโทษคนอื่นอีกไม่ไหวเลยจริงๆนายนี่”
“นายอยากตายรึไง?” ฮารุโยะง้างหมัดสูงเตรียมชกอีกฝ่าย “ไม่รู้เรื่องอะไรอย่าสู่รู้เรื่องคนอื่นมากนัก ถ้าตอนนั้นน้องสาวฉันไม่สบายเพราะพิษไข้ เรื่องในวันนี้ก็คงไม่เกิดขึ้นหรอก อีกอย่างฉันไม่ได้ฝากคนข้างบ้านไปส่งแต่เป็นพ่อบ้านั้นต่างหาก ถ้ารู้แล้วก็เอากุญแจงี่เง่านี้ออกเสียที” นัยน์ตาหญิงสาวแวววับด้วยแรงโกรธ
“ก็ได้ โทยะไขกุญแจมือออกไม่ได้เป็นเพราะกลัวหมัดอีกฝ่ายแต่เป็นเพราะนัยน์ตาที่จ้องมองมานั้นมันเจือไปด้วยแววเศร้าและความเหงาอย่างบอกไม่ถูก”
“แล้วเรื่องลาออกละว่าไง?”
“ก็บอกไปแล้วไง อย่าต้องให้พูดหลายรอบจะได้มั้ย?” ฮารุโยะพูดเสียงหงุดหงิดพลางลูบที่ข้อมือตัวเองที่มีรอยแดงจางๆเพราะระหว่างที่เดินมาเธอสะบัดข้อมือเพื่อดึงมือออกจากมืออีกฝ่ายที่ลากเธอมาสาธารณะนี้หลายรอบ
“ฉันยังไม่ให้นายลาออก”
“หะ! นายว่าไงนะ?” ฮารุโยะไม่เชื่อหูตัวเองว่าอีกฝ่ายจะพูดอย่างนั้นออกมา
“ฉันบอกว่ายังไม่ให้นายลาออกหูตึงรึไง? เฮ้อย่าทำหน้ายังงั้นสิฉันไม่ได้นึกพิศวาสหน้านายนักหรอกแค่อยากดูให้แน่ใจเท่านั้นเองว่าเพราะอะไรนายถึงได้รับเลือกให้เข้าเรียนแค่นั้น อีกอย่างฉันก็สัญญากับผ.อ.ไว้แล้วว่าถ้าใน 1 เดือน นายไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเข้าเรียนที่ Aid-de-camp ละก็นายได้ลาออกแน่นอนไม่ต้องห่วง”
“ไม่ดีกว่า โรงเรียนอย่างนั้นไม่เหมาะกับฉันชัวร์” ฮารุโยะยิ้มอย่างขยาด ไม่รู้ตัวเลยว่าทำให้คู่สนทนาไม่พอใจอย่างแรง
“โรงเรียนอย่างนั้นมันโรงเรียนอย่างไหนห่ะ?” โทยะมองหน้าอีกฝ่ายสีหน้าเรียบเฉยเพราะฟังดูแล้วอีกฝ่ายเหมือนดูถูโรงเรียนของตัวเอง
“ก...ก็เปล่า” ฮารุโยะพูดเสียงสั่น อะไรของมันวะอยู่ๆก็มาบอกให้ลาออก แล้วอยู่ๆก็บังคับไม่ให้ออก แล้วพอมาถึงตอนนี้ก็ทำท่าโกรธเป็นฝืนเป็นไฟกูไปทำอะไรให้มันฟะเนี้ย?
“ไม่ว่ายังไงพรุ่งนี้นายต้องมาเรียน ไม่งั้นเห็นดีกัน” โทยะสะบัดตัวเดินจากไป ไม่วายส่งสายอาฆาตมาให้เป็นของแถม ฮารุโยะได้แต่เกาหัวแกร็กๆๆอย่างไม่เข้าใจ เฮ้ย!~ ถึงยังไงก็ต้องไปใช่ไหมเนี้ย...เหอะๆเรื่องอะไรจะกลับไปให้โง่อย่างมากก็แค่ส่งหนังสือลาออกไปให้ทางไปรษณีย์ก็พอแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้นขณะที่ฮารุโยะกำลังหลับฝันดีอยู่นั้นเอง หูที่ไม่น่าจะได้ยินเพราะหลับลึกอยู่นั้นได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆของใครบางคนเดินเข้ามาที่ห้องของเธอ ฝีเท้าที่ไม่คุ้นเคยหยุดอยู่ที่ปลายเตียงนิ่งและนาน
ผีอำรึเปล่าวะ?
หญิงสาวคิดแล้วรีบดึงสติของตนเองที่เริงร่าอยู่ในความฝันกลับมา จะขยับก็ไม่กล้าจะลืมตาตื่นก็ยิ่งไม่กล้าเข้าไปใหญ่ แล้วเสียงประตูเสื้อผ้าก็ดังขึ้นพร้อมเสียงสวมสาบของอะไรบางอย่าง มันผีจริงรึฟะ? ฮารุโยะรีบผุดลุกขึ้นตื่นทันทีพร้อมเสียงร้องอย่างตกใจเมื่อมองเห็นว่าใครที่ยืนอยู่ในห้องตนเอง
“เฮ้ย!?!นายเข้ามาได้ไง?” ใบหน้าเรียบเฉยของผู้บุกรุกหันมามองเล็กน้อยแล้วใช้สายตาเย็นชาสำรวจอีกฝ่ายอย่างที่เคยทำมาก่อนก่อนเสียงดีดนิ้วดังเปาะจะตามมา ชายสามคนที่มีแถบสีดำก็กรูกันเข้ามาจับตัวเธอมัดด้วยเชือกแล้วแบกขึ้นรถคันหรูที่จอดไว้หน้าบ้านโดยมีสายตาของชาวบ้านในระแวกนั้นมองมาอย่างสนใจ
“พ่อช่วยด้วย!” หญิงสาวตะโกนขอความช่วยเหลือผู้เป็นพ่อที่ยืนมองอยู่หน้าประตู แต่แทนที่จะช่วยเหลือกลับโบกมือให้มาใบหน้าเจื่อนๆ
“โชคดีนะลูกรัก”
“พ่อ!?! อุบอื้อๆๆ...” เทปกาวแผ่นใหญ่แปะติดปากหญิงสาวก่อนที่เจ้าตัวจะโวยวายโดยผู้บุกรุกหนุ่ม
“อืออืออึอืออึ้? (นายทำอะไรหะ? )” ฮารุโยะมองหน้าอีกฝ่ายตาเขียวปัด
“ถ้านายอยากพูดอะไรละก็ไว้ค่อยคุยกันเมื่อถึงโรงเรียนเถอะ” โทยะพูดเสียงเย็นหันหน้าออกไปทางกระจกรถ แอบยิ้มอย่างพอใจเล็กๆ
“เอาอยากพูดอะไรก็พูดมา” เมื่อเหล่าสารวัตินักเรียนแถบสีดำแบกร่างของฮารุโยะมาส่งถึงที่แล้ว โทยะก็ดึงเทปกาวออกทันที
“นาย...ทำบ้าอะไรวะ?” เสียงแหบหวานพูดตะคอกสุดเสียง พยายามดิ้นไปมาเพื่อแก้เชือกที่มือ
“พานายมาโรงเรียนไง”
“นายมันไอ้โรคจิต มันเรื่องอะไรกันถึงกับบุกรุกมาที่บ้านฉันแล้วลักพาตัวมาอย่างนี้”
“ฉันไม่ใช่ไอ้โรคจิต” โทยะเอ่ยเสียงเครียด
“แล้วมันมีคนสติดีที่ไหนวะ รุกบุกขึ้นบ้านคนอื่นแล้วจับมัดพามาทั้งอย่างนี้ ให้ตายเหอะฉันไปทำอะไรให้นายแค้นนักแค้นหนาถึงทำกันอย่างนี้”
“นาย...ไม่ยอมมาเรียน” ฮารุโยะหันไปมองนาฬิกาที่ติดไว้ข้างฝาเข็มยาวชี้เลข 10 ส่วนเข็มสั้นชี้เลข 6
“มันยังไม่ 7 โมงเสียด้วยซ้ำนายบ้ารึเปล่า?”
“นายนึกว่าฉันโง่รึไง จากบ้านนายมาที่นี่ก็ปาไปชั่วโมง ตอนที่ฉันไปหาก็น่าจะเห็นนายแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว อย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้ว่านายนะจะลาออกทางไปรษณีย์นะ”
“นายรู้ได้ไง!?!” หญิงสาวนัยน์ตาเบิกกว้าง
“ฉันถามพ่อนายเอา” โทยะพูดเสียงเรียบ ความจริงแล้วเขาไม่ได้ถามเอาหรอกแต่ขู่เอาต่างหากคนอย่าง อิชิคาว่า โทยะอยากรู้อะไรก็ต้องรู้อยากได้อะไรก็ต้องได้ไม่ว่าด้วยวิธีอะไรก็ตาม
“นี่เสือผ้านาย เปลี่ยนซะ ถ้านายไม่ยอมเปลี่ยนละก็เดี๋ยวฉันทำให้ ว่าไงเปลี่ยนรีไม่เปลี่ยน” ชายหนุ่มยื่นคำขาดเสียงแน่น แววตาบ่งบอกว่าเอาจริงไม่ได้พูดเล่น
“ฉันเปลี่ยนเองไม่ต้องยุ่ง!” ฮารุโยะกระชากเสียง ส่งค้อนให้วงใหญ่อย่างหมั่นไส้ แต่จนแล้วจนรอดคนออกคำสั่งก็ยังยืนนิงไม่ไปไหน
“นี่นายจะให้ฉันเปลี่ยนเสื้อรึเปล่าเชือกก็ไม่แก้ให้” สายตาเย็นชาเหลือบมองเล็กน้อยแล้วถอนหายใจหนักๆ
“นายนี่ยุ่งจริงๆ” ฮารุโยะมองคนพูดตาขวางอยากจับบีบคออีกฝ่ายให้ตายคามือซะให้หายแค้น คนบ้าอะไรให้เปลี่ยนเสื้อทั่งๆที่มือยังถูกมัดอยู่ทำได้ก็พระเจ้าแล้วไอ้เบือกนี่ โทยะแก้เชือกให้เรียบร้อบแล้วก็มีทีท่าว่าจะไม่ยอมออกไปอีกจนฮารุโยะชักเหลืออด
“นายจะดูฉันเปลี่ยนเสื้อผ้ารึยังไงกัน ออกไปซิฟะ” โทยะถอนหายใจอีก ก่อนจะแกล้งพูดล้ออีกฝ่าย
“มันน่าดูตรงไหนกัน รูปร่างสูงๆแต่น้ำหนักนิดเดียวคงเห็นแต่กระดูกไม่น่าสนหรอก”
“งั้นนายก็ออกไปสิโว้ย” ใบหน้าฮารุโยะแดงก่ำ โดนอีกฝ่ายหยามกันอย่างนี้สักวันเดี๋ยวมีเฮแน่
“ได้...เชิญตามสบาย” ชายหนุ่มเดินออกไปพร้อมฮัมเพลงเบาๆในลำคอ วันนี้รู้สึกมีความสุขจริงๆ
ฮารุโยะแยกเขี้ยวให้อีกฝ่ายก่อนรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีอย่างรวดเร็ว ผมเผ้ายุ่งเหยิงชี้ฟูดูไม่ได้ก็อย่างว่าถูกจับมัดมาทั้งๆที่ขี้ตายังติดอยู่จะเอาเวลาที่ไหนไปหยิบจับหวีมาแปรงผม ก่อนมองดูตัวเองที่หน้ากระจกอย่างนึกเศร้า ถ้ารูปร่างดูเป็นผู้หญิงกว่านี้อีกหน่อยไม่ก็หล่อเข้มไปเลยคงจะดีกว่า เหอะดูแล้วเหมือนกระเทยอย่างไอ้โรคจิตนั้นว่าจริงๆเฮอะ
“เสร็จรึยัง?” โทยะที่ยืนรออยู่นอกห้องเคาะเรียกเบาๆ
“เสร็จแล้วเร่งจริง” ฮารุโยะตะโกนบอกเสียงแวว โทยะผลักประตูเข้ามาแล้วก็ยืนนิ่งพิจารณาอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า
“มองอะไร?”
“นายดู....แปลกตากว่าวันแรกที่เจอกันเอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันจัดการให้ จะได้ดูเหมาะสมกับตำแหน่งที่ได้รับหน่อย” เพียงแค่เสียงดีดนิ้วดังขึ้น เหล่าช่างแต่งหน้าทำผมก็กรูกันเข้ามา ทั้งหยิบทั้งจับทั้งลูบไล้ร่างกายของฮารุโยะ
“โอ้โห...ผิวสวยจังเลยนะค่ะ”
“ด...เดี๋ยวๆ” หญิงสาวชักมือหนีอีกฝ่ายที่ลูบแขนเธอไปมา
“หน้าตาดีจังเลยนะคะเหมือนผู้หญิงเลย”
“เฮ้ยอย่ามาจับหน้าฉันนะ”
“ผมนุ่มดีจังแต่ยาวไปนิดไม่เข้าทรง เดี๋ยวพี่จะจัดการให้เริดกว่านี้เองนะค่ะ”
“เฮ้ย!มันอะไรกันนะ อย่ามายุ่งกับฉัน” หญิงสาวใช้มือปัดป้องเป็นระวิงแต่ในที่สุดก็ยอมจำนนเมื่อสู้ 10 แรงมือไม่ไหว การตัด ซอย เซต และแต่งผมจึงทำกันอย่างรวดเร็ว
“เป็นยังไงบ้างคะ คุณอิชิคาว่า”
“อืมใช้ได้” โทยะประเมินด้วยสายตาแบบผ่านๆก่อนหิ้วอีกฝ่ายที่ยังอยู่ในอาการงุนงงให้เดินตาม แต่ที่จริงน่าจะเรียกว่าลากไปคงจะเหมาะกว่า
กว่าหญิงสาวจะรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไรก็พบว่าตัวเองยืนอยู่กลางเวทีขนาดใหญ่ในห้องที่เกือบจะเรียกได้ว่าโค-ตะ-ระใหญ่แถมยังประดับตกแต่งด้วยเครื่องเรือนสีเหลืองทองเงาวับทั้งหมด แต่นั้นก็ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ฮารุโยะนิ่งค้างนอกจาก..........
“ ยินดีด้วยครับคุณได้รับเลือกให้เป็นเจ้าชายในปีนี้” เสียงประกาศดังขึ้น พร้อมกับมงกุฎและผ้าคลุมสีเหลืองทองมาสวมไว้ ผสมกับเสียงกรี้ดมากมายของเหล่านักเรียนหญิงที่ยืนเบียดเสียดกันเต็มห้องและต่างกู่ร้องด้วยประโยคเดียวกันซ้ำๆว่า ปริ้น(Prince) ไม่คาดปาก
“ยินดีด้วยนะเจ้าชายคนใหม่แห่งโรงเรียน Aid-de-camp” โทยะกระซิบบอกเบาๆแล้วจับร่างของเจ้าชายคนใหม่ลงนั่งเก้าอี้ ฮารุโยะมองโดยรอบด้วยความงุนงงและหันกลับมามองหน้าชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายเธอ
“ฉันเนี้ยนะเจ้าชาย!?!”
ความคิดเห็น