คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : Chapter 4 : ภารกิจที่สาม กับ งานเต้นรำหรรษา 2
Chapter 4 : ภารกิจที่สาม กับ งานเต้นรำหรรษา 2
บรรยากาศในห้องอึมครึมราวกับมีเมฆฝนก่อตัวอยู่ภายใน นัยน์ตาคมเข้มจ้องมองอีกฝ่ายที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามราวกับจะกลืนกิน แม้แต่น้องชายตัวดีที่มีดีกรีแสบเหลือร้ายก็ยังต้องนั่งหุบปากเงียบไม่พูดไม่จาอย่างผิดวิสัย
“นายห็นฉันเป็นตัวอะไร?” โทยะเอ่ยเรียบพลางหักข้อนิ้วมือเล่นไปมา
“ไม่ได้เห็นเป็นอะไรนี่” ฮารุโยะเอ่ยเสียงสั่น แม้ปากจะบอกไปอย่างนั้นแต่ในสายตาของเธอกลับเห็นอีกฝ่ายเป็นเหมือนสุนัขดุที่มีสามหัว อย่างที่ใครๆก็เรียกว่าเซอร์รีรัส(Cerberus) หรือ เคอร์เบรอส (Kerberos) ที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูนรก
“แล้วทำไมต้องหนีทุกครั้งที่เจอหน้าฉัน”
“อ...เอ่อ” หญิงสาวอ้ำอึ้งไม่ยอมตอบ สร้างความรำคาญให้กับชายหนุ่มเป็นอย่างมากเลยทุบโต๊ะเสียงดังจนอีกฝ่ายสะดุ้งโหย่งพลั้งปากพูดออกมา “ก็ฉันไม่ถูกชะตากับนายนี่!”
รุยยะลอบยิ้มให้กับคำตอบของฮารุโยะเพราะช่างเป็นคำตอบที่ถูกหูสุดๆ แล้วก็ต้องเบือนหน้าหนีเมื่อบังคับไม่ให้ตัวเองหัวเราะออกมาได้หลังจากได้ยินประโยคถัดมา
“อีกอย่างหน้าตานายบอกบุญไม่รับสุดๆไม่ว่าใครก็ไม่อยากเข้าใกล้ แถมยังประกบติดซะขนาดนั้นน่าขนลุกจะตาย”
“นายนึกว่าฉันอยากจะเกาะติดนายรึยังไง!?” ชายหนุ่มชักคุมเสียงตัวเองไม่ไหวกระชากห้วนใส่อีกฝ่าย
“งั้นก็เลิกสักทีซิ!”
“ก็ไปบอกยัยแกนั้นซิวะ!”
“บอกแล้วโว้ยไอ้บ้า!! นายก็ไม่เห็นต้องทำตามคำสั่งซะขนาดนั้นก็ได้ ไม่ชอบก็ไม่ต้องทำ” ฮารุโยะขึ้นเสียงตามอีกฝ่ายอย่างไม่กลัว
“รู้จักคำว่าหน้าที่รึเปล่า?”
“รู้สิวะสะกดเป็นด้วยจะฟังมั้ย?”
“นาย......” โทยะพูดเข้นเขี้ยวนึกแช่งหักกระดูกอีกฝ่าย ที่ต่อปากต่อคำอย่างไม่ยอมแพ้
“เรื่องงานเต้นรำนะนายไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ตอนนี้ฉันเต้นเป็นแล้วไม่จำเป็นต้องให้นายมาสอน!”
“ไม่น่าเป็นไปได้” คิ้วเข้มขมวดแน่น เวลาแค่เพียง 3 วันเท่านั้นจะเป็นไปได้ยังที่อีกฝ่ายจะสามารถเต้นรำได้แล้ว อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ
“แต่ก็เป็นไปแล้ว! นายรอดูวันพรุ่งนี้ได้เลย”
“หึ! ดูนายทำเรื่องขายขี้หน้าตัวเองสินะ” ฮารุโยะกำมือแน่นมองอีกฝ่ายนิ่งไม่ปริปากโต้ตอบอีกฝ่าย ก่อนจะพาร่างสูงของตัวเองเดินไปที่ประตู แล้วพูดทิ้งท้ายเอาไว้พร้อมรอยยิ้มเหี้ยม
“คอยดูพรุ่งนี้ก็แล้วกัน”
ปึ่ง!!
เสียงปิดประตูดังสะท้านเป็นซาวด์ยาว พร้อมๆกับเสียงหัวเราะอย่างขบขันของชายหนุ่มใบหน้าสวยที่เป็นน้องแท้ๆ
“พี่ชายไปยั่วโมโหเจ้าชายซะแล้ว”
“แล้วไง?” เสียงทุ่มตวัดห้วนจัด กะอีพูดแค่นี้ทำเป็นอารมณ์เสียไปได้ทำตัวอย่างกับผู้หญิง!
“พี่ไม่เคยได้ยินหรือไงที่เค้าพูดกันว่า พวกนิ่งๆเงียบๆเวลาโมโหมาร้ายจนน่ากลัว แต่พวกที่ทำหน้าเป็นตลอดเวลาทำท่าไม่ทุกข์ร้อนนะน่ากลัวยิ่งกว่า” โทยะนิ่งฟังเงียบก่อนโบกมือไล่น้องชายตนเองเพื่อตัดความรำคาญ แต่อีกฝ่ายก็ไม่วายพูดส่งท้ายมาให้
“ระวังตัวไว้เถอะสักวันจะเจอดี”
“ให้ตายเหอะ!” โทยะถอนหายใจเฮือกใหญ่ เหนื่อยใจกับการที่ต้องตามประกบร่างที่เพิ่งเดินจากไป ไหนจะเรื่องนั้นไหนจะเรื่องนี้ที่มีเข้ามาให้ปวดหัวเล่น แต่ที่ร้ายยิ่งกว่าและรับมือยากที่สุดก็คือเจ้าชายหน้าหวานนั้น! นัยน์ตาเข้มมองอีกฝ่ายที่เดินห่างออกไปจากทางหน้าต่างอย่างกังวล
“หวังว่านายจะเต้นรำได้อย่างที่ปากพูดละกัน ทาคุนาระ เอย์เซย์”
ฮารุโยะเดินเร็วด้วยความรู้สึกอยากร้องกรี๊ดออกมาดังๆ เกลียดขี้หน้าเก๊กๆนั้นจริงๆ! ให้ตายเหอะอยากกระโดดถีบซะให้รู้แล้วรู้รอดไป ดูสิว่าจะยังเก๊กได้มั้ย แต่ก่อนที่เธอจะเดินออกนอกรั้วมหาลัยก็ได้ยินเสียงหวานเอ่ยทัก หญิงสาวจึงหันกลับไปมองและจำได้ว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนร่วมชั้น
“จะกลับแล้วเหรอ?” ฮินางาตะ เรียวโกะ เอ่ยทักพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ เธอจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มตอบ
“อืม”
“แล้วอิชิคาว่าละ?” ฮารุโยะเบ้หน้าทันทีเมื่อได้ยินชื่อนั้น
“จะถามหาเจ้าพวกนั้นไปทำไม....ว่าแต่เธอเถอะยังไม่กลับอีกเหรอ?”
“ยังก็รอนายอยู่นี่แหละ”
“รอฉัน!? มีอะไร?”
“ฉันอยากจะขอนายเต้นรำด้วย แต่เป็นคนที่สองต่อจากอิชิคาว่าคนน้อง” เรียวโกะเอ่ยเรียบมองใบหน้าเหวอของอีกฝ่ายอย่างขำๆ “นี่ฉันไม่ได้แกล้งพูดนะฉันเอาจริง” หญิงสาวเอ่ยสันทับอีกรอบเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
“แล้ว...แล้วทำไมต้องเป็นฉันละ?” ฮารุโยะถามอย่างสับสน “หรือว่าเธอยังหาคู่เต้นรำไม่ได้”
“เปล่า”
“แล้วทำไม?”
“ก็ฉันอยากเต้นรำกับนาย” ใบหน้าหล่อหวานปั้นหน้ายุ่ง ก่อนเอ่ยบอกกับอีกฝ่ายตรงๆ
“ก็ได้อยู่หรอก.....แต่ว่าฉันเต้นไม่เก่งหรอกนะเพราะเพิ่งเรียนมาแค่สามวันเอง” เรียวโกะส่ายหน้าเล็กน้อย
“ไม่เป็นไรฉันไม่ถือ แค่โดนเหยียบนิดเหยียบหน่อยก็ถือว่าคุ้มแล้วละ ถ้างั้นพรุ่งนี้ค่อยเจอกันนะ” ร่างแบบบางวิ่งจากไปโดยไม่หันกลับมา
อยากเต้นรำด้วย!?
นี่ถ้าคุณเธอรู้ว่าเจ้าชายจริงๆแล้วเป็นผู้หญิงจะทำหน้ายังไงนะ ฮารุโยะคิดในใจอย่างปลงๆก่อนจะมุ่งตรงไปที่โรงเรียนประถมเพื่อไปรับซายะน้องสาว แต่แล้วก็ต้องมาแห้วเมื่อได้รับคำตอบกลับมาว่ามีคนมารับไปแล้ว หญิงสาวจึงรีบดิ่งตรงกลับบ้านทันที
“อ้าวกลับมาแล้วเหรอ?” ฮิโตมุที่เดินออกมาจากห้องครัวเอ่ยทักทันทีที่เห็น
“วันนี้พ่อไปรับซายะรึเปล่าคะ?”
“เปล่า....พ่อให้นางาวะคุงไปรับซายะแทน นึกว่าวันนี้ลูกจะกลับดึกเหมือนเมื่อวานเสียอีก”
“เปล่าคะวันนี้เลิกเร็วเพราะพรุ่งนี้เป็นวันงานแล้วจะได้พักผ่อน แต่ว่าใครกันคะคุณนางาวะ?” ฮารุโยะเอ่ยถามอย่างสงสัย เพราะเพิ่งเคยได้ยินชื่อคนๆนี้ออกจากคนเป็นพ่อครั้งแรก
“มาทางนี้สิเดี๋ยวพ่อจะแนะนำให้รู้จัก” หญิงสาวเดินตามพ่อไปเงียบๆ
ใบหน้าชายหนุ่มอายุอานามไม่น่าเกินสามสิบหันมายิ้มให้ทันทีที่เห็นว่าใครเดินตามฮิโตมุมา ก่อนจะปล่อยอ้อมแขนที่อุ้มซายะเอาไว้เพื่อให้ร่างเล็กๆนั้นวิ่งไปหาพี่สาว
“พี่คะ”
“ไงยัยตัวเล็กของพี่” ฮารุโยะอุ้มซายะขึ้นมาหอมแก้มซ้ายขวาอย่างเคยชิน ก่อนวางลงกับพื้นอย่างเดิม “หัวเราะอะไรกันเสียงใสเชียว?”
“คุณอาเล่าเรื่องตลกๆให้ฟังนะคะ” แล้วร่างเล็กนั้นก็กระโดดไปขึ้นนั่งบนตักคนที่ตัวเองเรียกว่าอาอย่างรวดเร็ว
“ฮารุโยะนี่คุณนางาวะ โยอิจิ เป็นรุ่นน้องที่มหาลัยตอนนี้กำลังฝึกงานอยู่ที่บริษัทพ่อ ก็เลยพามาให้ลูกรู้จัก”
“สวัสดีคะ” หญิงสาวเอ่ยถักตามมารยาท
“นางาวะคุงนี่ลูกสาวคนโตฉันเองชื่อฮารุโยะ”
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นเดียวกันครับ” โยอิจิเผยยิ้มกว้าง “ไม่นึกว่ารุ่นพี่จะมีลูกสาวโตขนาดนี้แถมยังสวยซะด้วย” คนถูกชมรู้สึกกระอักกระอวนแปลกๆ ชมว่าหล่อหรือดูดียังไม่รู้สึกแย่เท่าถูกชมว่าสวยเลย
“งั้นเหรอ.....มีนายเป็นคนแรกเลยนะที่พูดอย่างนี้” ฮิโตมุเอ่ยออกมาพลางหัวเราะชอบใจ
“อ้าวทำไมละครับ ก็ฮารุโยะจังเป็นคนสวยจริงๆ”
“เอ่อคุณนางาวะคะไม่ต้องต่อท้ายด้วยจังก็ได้คะ เรียกคุงจะดูดีกว่า” ฮารุโยะแย้งขึ้นทันทีเพราะรู้สึกเหมือนผื่นจะขึ้นมารำไร พอๆกับคนเป็นพ่อที่เอ่ยไม่ต่างกัน
“นั้นสิเรียกคุงดีกว่านะ เรียกว่าจังแล้วไม่คุ้นหูเลย”
“ก็ได้ครับ” โยอิจิยอมรับแต่โดยดี นัยน์ตามองมาที่หญิงสาวไม่วางตา จนตัวเธอเองชักทนไม่ไหวขอตัวขึ้นห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อจะได้ลงมาทำอาหารเย็นทานกัน ซึ่งดูเหมือนว่าแขกของพ่อก็รอทานด้วย
“อาหารอร่อยมากครับ” นางาวะเอ่ยกับฮารุโยะยิ้มๆ จนหญิงสาวต้องเอ่ยรับแกนๆ
“ขอบคุณคะ”
“เอ่อ....พ่อลืมบอกไปว่าตั่งแต่วันนี้ไปนางาวะคุงจะมาอยู่ที่บ้านนี้กับเราด้วย”
“ค่ะ!?!” เสียงทุ้มหวานอุทานเสียงเบา มองใบหน้าอนาคตผู้ร่วมอาศัยคนใหม่ รู้สึกเหมือนเค้ารางความยุ่งยากจะลอยฟุ้งออกมาจากตัวอีกฝ่าย
“ครับตั่งแต่วันนี้ไปผมจะมาอยู่ที่ ยังไงก็อยากตัวด้วยนะครับ”
“คะ”
“รุ่นพี่ครับผมมีเรื่องอย่างหนึ่งจะสอบถาม”
“ว่ามาสิ” ฮิโตมุเอ่ยเนืองๆ ก่อนจะสำลักน้ำที่กำลังดื่มออกมา ส่วนคนที่ถูกพูดถึงก็สะดุ้งโหยง
“ทำไมลูกสาวรุ่นพี่ถึงได้แต่งชุดผู้ชายละครับ?”
“อะ..เอ่อ” สองพ่อลูกมองหน้ากันไปมาอย่างไม่รู้จะพูดอะไร ก่อนที่ฮิโตมุจะเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้อีกฝ่ายฟัง เพราะถึงอย่างไรต่อไปก็ต้องอาศัยอยู่ด้วยกันอีกนาน.........
“ผมเข้าใจแล้วครับ” นางาวะเอ่ยรับอย่างเข้าใจเมื่อฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว “งั้นต่อไปผมจะให้ความร่วมมือด้วยอีกแรง” ฮารุโยะมองหน้ายิ้มๆนั้นอย่างไม่ไว้ใจนัก เพราะสายตาที่อีกฝ่ายมองมานั้นราวกับจะค้นหาบางอย่างอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นสายตาที่เธอไม่ชอบเลยจริงๆ
“จะให้ผมไปส่งฮารุโยะคุงมั้ยครับ พอดีว่าพรุ่งนี้ว่างพดี”
“ก็ดีสิ ว่าไงเราจะให้นางาวะคุงไปส่งมั้ย?” ฮิโตมุหันมาถามลูกสาว เพราะรู้นิสัยอีกฝ่ายดีว่าห้ามทำอะไรที่เป็นการบังคับเด็ดขาด ให้ตอบเป็นกลางๆเข้าไว้ หญิงสาวนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบรับ เพราะอย่างไรเสียก็แค่ไปส่งไม่ได้ทำอะไรเสียหาย อีกอย่างอีกฝ่ายก็เป็นรุ่นน้องของพ่อด้วยยังไงก็ต้องเกรงใจกันบ้าง
รถเก่งคันงามจอดห่างจากประตูทางเข้าเล็กเล็กน้อย ก่อนโซเฟอร์จำเป็นจะอุทานเสียไม่ได้ เมื่อเห็นมหาลัยที่หญิงสาวเรียนเต็มตา
“เหมือนหลุดออกมาจากนิยายเลย”
“ครับทีแรกก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”
“จะให้เข้าไปส่งข้างในด้วยรึเปล่า?”
“ไม่ต้องก็ได้คะขอบคุณ” ฮารุโยะปฏิเสธหนักแน่น จนอีกฝ่ายชักอยากจะแหย่เล่น
“หรือว่ากลัวความลับจะแตก” หญิงสาวชักสีหน้าเล็กน้อยก่อนจะเผยยิ้มบางๆพยายามระงับอารมณ์หงุดหงิด
“พอดีที่นี่มีกฏห้ามไม่ให้บุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปภายในคะ อีกอย่างวันนี้เป็นวันสำคัญยิ่งเป็นเรื่องยากใหญ่ที่คุณนางาวะจะเข้าไปได้ ถ้าไงขอตัวนะคะเพราะดูเหมือนว่าจะมีคนมารับแล้ว” ร่างสูงในชุดสีขาวสะอาดราวทหารหลวงเดินอย่างสง่างามเข้าไปหาชายหนุ่มที่ยืนรออยู่หน้าประตูโดยข้างๆนั้นมีเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักๆอยู่ด้วย
นางาวะถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อประสานตาเข้ากับทั้งสองที่จ้องมองมาราวกับเป็นศัตรูกันของอีกฝ่าย ได้แต่หัวเราะในใจสงสัยจะมีอุปสรรคชิ้นโตคอยขว้างเสสียแล้วกระมั้ง จากนั้นชายหนุ่มก็ขับรถจากไป
โทยะมองหลังรถนั้นด้วยนัยน์ตากร้าวไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมรุ้สึกเหมือนเกลียดขี้หน้าอีกฝ่าย ทั้งๆที่เพิ่งเคยเห็นหน้ากันครั้งหน้า ไม่เว้นแม้แต่รุยยะเองที่รู้สึกไม่ต่างกัน ก่อนจะละสายตาหันมาจ้องมองฮารุโยะแทนราวกับนัดหมาย
“หมอนั้นใคร?” เสียงเย็นเอ่ยจากปากคนเป็นพี่ก่อน
“รุ่นน้องที่มหาลัยและที่บริษัทของพ่อนะ” หญิงสาวตอบหน่ายๆ
“เกี่ยวข้องอะไรกับเอย์เซย์คุง?” ต่อมารุยยะเป็นคนถามบ้าง ใบหน้าหล่อหวานชักสีหน้ายุ่ง ไม่ชอบพอที่คนอื่นมาวุ่นวายเรื่องส่วนตัวแต่ถึงยังไงเธอก็ตอบออกไปเพื่อตัดความรำคาญ
“เปล่า....แค่คนที่เข้ามาอาศัยร่วมชายคาเดียวกันเท่านั้น”
“!?!” ชายหนุ่มทั้งสองมีท่าทางกระตุกเล็กน้อย แต่ก็แค่เพียงแววบเดียวเท่านั้น ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าทาท่างเป็นปกติ ร่างเล็กๆคว้าแขนหญิงสาวเอาไปกอดไว้แน่น ก่อนเปิดยิ้มกว้างเปลี่ยนเรื่องคุยทันที
“เราไปเตรียมตัวกันเถอะ”
“อืม” ฮารุโยะตอบแบบขอไปที ก่อนจะเริ่มโวยวายเมื่อรุยยะดึงแขนเธอออกวิ่ง ส่วนโทยะนั้นก็ไม่วายหันไปมองข้างหลังอย่างติดใจ
“งานเต้นรำมันเริ่มตอนเย็นไม่ใช่รึไง ทำไมต้องรีบแต่งตัวด้วย!” ฮารุโยะโวยเป็นการใหญ่เมื่อโทยะยัดเหยียดเสื้อผ้าที่ใช้ใส่ในงานเต้นรำจริงให้
“ลองเสื้อก่อนเผื่อจะได้แก้ไขทัน” หญิงสาวนิ่งมองชุดในมือตัวเองอย่างลังเล แล้วก็ต้องตกใจเมื่ออยู่ๆอีกฝ่ายเข้ามาประชิดใกล้ พลางกระซิบเสียงเบาข้างหูให้ได้ยินกันแค่สองคน เป็นฉากที่เหล่าแผนกตัดเย็บแทบกรี๊ดกัน “หรือว่านายอยากจะให้ฉันเปลี่ยนให้ก็ไม่ว่ากันนะ”
“ไอ้โรคจิต!” ฮารุโยะพูดเสียงลอดไรฟันก่อนกระฟัดกระฟือเข้าไปเปลี่ยนชุดในห้องแต่งตัว
“พี่ชายขี้โกง!” รุยยะที่มองอยู่เอ่ยอย่างไม่พอใจ
“อะไร?” ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูงอย่างแปลกใจ มีอะไรที่อีกฝ่ายจะต้องหาว่าตนขี้โกงด้วย?
“อย่านึกว่าตัวสูงแล้วจะทำได้ทุกอย่างนะ!”
“!?” คนตัวสูงได้แต่ทำหน้างงๆ ก่อนเหลือบตามองชุดที่น้องชายตัวเองกำลังสวมอยู่จนอยากจะบ้าตาย
มันเหมาะเกินไปจนหน้ากลัว!
ส่วนฮารุโยะที่กำลังเปลี่ยนเสื้ออยู่นั้นก็ชักจะเหงื่อตกเมื่อมองตัวเองหน้ากระจก ให้ตายเถอะเธอน่าจะเกิดเป็นผู้ชายจริงๆนั้นแหละ เห็นภาพสะท้อนในกระจกแล้วได้แต่อุทานคำเดียวว่า.....นี่มันใครกันวะ!?
คงจะเป็นอย่างที่พ่อบอกจริงๆนั้นแหละ ว่าเธอนั้นมีหน้าตาท่าทางเหมือนกับญาติทางฝั่งแม่ที่เป็นตระกูลผู้ดีเก่า เพราะมีชื้อทางนู้นเยอะร่างกายถึงได้ดูสูงใหญ่อย่างนี้ นี่ถ้าพ่อไม่บอกแต่แรกว่าแม่เป็นลูกครึ่งละก็ ตัวเธอเองคงคิดว่าเป็นลูกที่ฮิโตมุเก็บมาเลี้ยงแหงๆเลย
“เสร็จรึยัง?” เสียงทุ้มที่แสนคุ้นเคยเอ่ยอย่างรำคาญตามแบบฉบับของเจ้าตัวดังขึ้น เรียกอาการหงุดหงิดที่เพิ่งหายไปของหญิงสาวให้กลับมาอย่างรวดเร็ว ก่อนกระชากเสียงห้วนตอบออกไปพร้อมทั้งเดินออกจากห้องแต่งตัว
“เอ่อ! วุ่นวายจริงเชียว”
“......นาย.......” คำต่อว่ามากมายหยุดอยู่ที่ริมฝีปากโทยะ นัยน์ตามองอีกฝ่ายแบบค้างๆ
“มีอะไรก็ว่าดิมองอยู่ได้!” หญิงสาวแววเข้าให้ ชายหนุ่มจึงหุบปากไม่พูดอะไรอีก
“เอย์เซย์คุงเท่จังเลย! ไม่นึกว่าจะเหมาะขนาดนี้” รุยยะอุทานขึ้นอย่างชื่นชม และได้รับการสนับสนุนจากแผนกเสื้อผ้าพร้อมกัน
ร่างสูงเพรียวภายใต้เสื้อแบบโบราณสง่าผ่าเผยดูภูมิฐาน เนื้อผ้าสีขาวตัดด้วยลวดลายสีเหลืองทองขับเน้นให้สีผิวนั้นขาวกระจ่างใส อีกทั้งใบหน้าหล่อหวานกับเรือนผมสีอ่อนๆนั้นช่างดูเข้ากันได้เป็นอย่างดี ราวกับว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้เป็นผู้สูงศักดิ์เชื้อพระวงศ์ก็มิปาน ถ้าไม่นับกับผมยุ่งๆที่ยังไม่ได้จัดทรงให้ดี
เหมาะเกินไปจนน่ากลัว!
“ว่าแต่นายเถอะไม่ลองเสื้อหน่อยเหรอ?” ฮารุโยะเอ่ยถาม
“ไม่” โทยะตอบเพียงสั้นๆก่อนจะเดินออกไปแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“เขาเป็นอะไร?” หญิงสาวถามทุกคนแต่ที่ได้รับตอบกลับมาก็คืออาการส่ายหัวเท่านั้น ก่อนจะเหลือบตามองเห็นคู่เต้นรำของวันนี้แล้วตกใจ “รุยยะเรอะนั้น!?!”
“สวยใช่มั้ยละ?” หญิงสาวพยักหน้าหงึกๆ...ผู้ชายอะไรสวยซะ
“นี่เรียบร้อยแล้วใช่มั้ยจะได้เปลี่ยนชุดกลับ”
“อย่าเปลี่ยนเลยนะ”
“ทำไม?”
“ก็ใส่อย่างนี้แล้วดูดีสุดๆไปเลย” รุยยะเอ่ยนัยน์ตาระยับ
“ไม่ละอย่าลืมสิเดี๋ยวเราจะต้องเตรียมงานอีก งานนะเริ่มตอนเย็นใส่มันซะเดี๋ยวนี้พอถึงเวลาก็เลอะหมดสวยกัน” เหตุผลของหญิงสาวดูจะมีน้ำหนักทุ กคนก็เลยไม่ว่าอะไรพอเดินออกมาจากห้องเท่านั้นก็เจอกับเพื่อนร่วมห้อง
“มีอะไรรึเปล่า?” ร่างบางหันมายิ้มให้น้อยๆ
“เปล่าแค่อยากจะชวนไปเดินดูรอบๆงานนะ” เรียวโกะดูเหมือนจะลังเลเล็กน้อยก่อนเอ่ยถามเสียงเบา “ได้รึเปล่าละ?”
“ไม่เป็นไร” อารุโยะเอ่ยรับก่อนเดินข้างอีกฝ่ายที่ทำหน้าที่เป็นไกด์นำชม พร้อมอธิบายส่วนต่างๆของงานอย่างชำนาญจนเธอเองอดปากชมไม่ได้
“รู้ละเอียดดีนะ”
“ก็ฉันเป็นหนึ่งในคณะกรรมการของชั้นปี 1นี่น่า”
“งั้นเหรอ แต่ก็ไม่ยักเห็นปลอกแขนสีแดงเลย” อีกฝ่ายหัวเราะคิก
“นั้นก็เพราะตอนปี 1 คณะกรรมการนักเรียนจะต้องไม่เปิดเผยตัวจนกว่าจะขึ้นปี 2 เพื่อสะดวกในการสอดแนมยังไงละ” ร่างสูงรู้สึกขนลุกอย่างช่วยไม่ได้ เหมือนกับว่าอีกฝ่ายดูน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้
ไอ้พวกคณะกรรมการนักเรียนที่นี้น่ากลัวกันหมดทุกคนเลยรึยังไงกัน!
หญิงสาวนึกค่อนขอดอยู่ในใจ เพราะแต่ละคนที่เจอมาหน้าตายิ้มๆดูไร้พิษสงแท้ๆ แต่พอถึงเวลาเหี้ยมแล้วน่ากลัวเป็นบ้าเลย
ความคิดเห็น